อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

โปรโตคอล พันธสัญญายิวไซออนิสต์ที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์






โปรโตคอล (Protocol) คือ หนึ่งจากวรรณกรรมที่ประมวลไปด้วยแผนการร้ายในการครอบงำและยึดครองโลกที่ถูกเขียนขึ้นโดยบรรดาผู้อาวุโสแห่งไซออน โดยโปรโตคอลได้ประมวลเรื่องราวต่าง ๆ ถึง 24 เรื่องด้วยกัน ซึ่งบรรดาแกนนำชั้นหัวหน้าของยิวได้กล่าวถึงโปรโตคอลว่า เป็นหนึ่งในแผนการร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

แผนการร้ายนี้ได้ถูกร่างขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่จะก่อตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์ โดยมีการจัดประชุมลับกันอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาถึง 23 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1897 จนถึง ค.ศ.1951 โดยเป้าหมายในการจัดประชุมทั้งหมดนี้ เพื่อศึกษาแผนการที่นำไปสู่การก่อตั้งอาณาจักรไซออนิสต์สากล

ในปี ค.ศ.1897 การประชุมครั้งแรกถูกจัดขึ้นในเมืองบาเซิล ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยมี “เทโอดอร์ เฮอร์เซิล” เป็นหัวหน้าแกนนำ เขาได้เรียกบรรดาแกนนำยิวไซออนิสต์ที่มีพลังอำนาจและโหดเหี้ยมที่สุดมากถึง 300 คน จากตัวแทนของสมาพันธ์ยิวทั้ง 50 แห่ง

ในการประชุมลับครั้งนี้ได้มีมติว่าจะต้องทำให้โลกทั้งโลกตกเป็นทาสอยู่ภายใต้มงกุฎกษัตริย์แห่งราชนิกูลเดวิด

แน่นอนว่าในการประชุมลับทุกครั้งได้ถูกปิดให้เป็นความลับสุดยอด ซึ่งหากมีการสอบถามถึงเรื่องราวของโปรโตคอลกับพวกยิว พวกเขาจะตอบปฏิเสธเสียงแข็งว่า “โปรโตคอลเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีอยู่จริง”

แผนการอันชั่วร้ายของยิวไซออนิสต์นี้ได้ถูกตีแพร่แก่สังคมได้ ซึ่งในขณะประชุมกับบรรดาผู้นำยิวในรังของพวกยิวกลุ่มฟรีมาโซนนิคในฝรั่งเศส มีหญิงชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งได้ลักลอบนำเอาเอกสารการประชุมบางส่วนออกมา และนำไปมอบให้แก่อเล็กซ์ นิโคลัส เนเวช ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในหมู่ขุนนางรัสเซียตะวันออกในราชสมัยซาร์ จนทำให้เขาได้รู้ถึงแผนการและเจตนาอันชั่วร้ายระดับโลก โดยเฉพาะแผนการร้ายที่มีต่อรัสเซีย

อเล็กซ์ นิโคลัส เห็นว่า ควรที่จะนำเอาเอกสารเหล่านี้ไปมอบไว้ให้แก่ผู้ที่ไว้ใจได้ พร้อมทั้งสามารถทำประโยชน์จากเอกสารด้วยการตีพิมพ์ออกมา เขาจึงได้นำเอกสารไปมอบให้แก่นักวิชาการชาวรัสเซียที่มีชื่อว่า “เซอร์กี ไนเลส” (Sergei Nilus) โดยเขาได้ศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยพิจารณาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ทางการเมืองที่ดำเนินอยู่ในขณะนั้น เขาจึงได้รู้ถึงแผนการอย่างสมบูรณ์ และสามารถรู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เพียงไม่กี่ปีตามที่มีระบุไว้ในเอกสารของพวกยิวไซออนิสต์

ในปี ค.ศ.1905 เซอร์กี ไนเลส ได้ทำการตีพิมพ์เพื่อเผยแผ่เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นความลับพวกยิวไวออนิสต์แก่ประชาคมโลกให้ได้รับรู้ โดยผมจะขอนำเสนอ โปรโตคอลทั้ง 24 บท ดังต่อไปนี้

โปรโตคอลบทที่ 1 : การปฏิวัติ การทำสงคราม และการสร้างความวุ่นวาย

- วิธีที่ดีที่สุดของการครอบงำโลก จะต้องนำมาซึ่งวิธีการการใช้ความรุนแรงและการก่อการร้าย

- จริยธรรมกับการเมืองจะต้องถูกแยกออกจากกัน ด้วยเหตุนี้แหละ จึงจำเป็นต้องกลับไปสู่การใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย

- ความไม่สงบภายใน ความสับสนวุ่นวาย การแพร่กระจายของอาชญากรรม ความโง่เขล่า ความยากจน สงครามกลางเมือง และสงครามกลุ่มชน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสื่อที่ช่วยให้รัฐล้มสลาย และเป็นสิ่งที่ทำให้ขบวนการยึดครองโลกเป็นเรื่องง่ายดาย

- เผยแพร่ความคิดเสรีนิยมที่จะล้มล้างกฎระเบียบและกฎหมายภายในของรัฐ

- ในแง่มุมของความสับสนวุ่นวายและความเสียหายดังกล่าว จะปรากฏขึ้นเหนือความแข็งแรงและการเชื่อมโยงกันของการปกครองของชาวยิวและความถูกต้องของการก่อสร้างรัฐยิว

โปรโตคอลบทที่ 2 : การครอบงำการศึกษา การนำเสนอข่าว และการให้ความคิดเห็น

- ผลของการเกิดสงครามจำนวนมาก จะทำให้เศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย (สองประเทศ) หยุดชะงัก และทั้งสองฝ่ายก็จะหันหน้ามาของความสนับสนุนทางด้านวัตถุดิบและขอความช่วยเหลือทางการเงินจากชาวยิว ด้วยเหตุนี้เอง ยิวจะสามารถควบคุมเศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์

- หลังจากสภาพการณ์ดังกล่าว แต่ละประเทศจะต้องกลับไปสร้างรัฐบาลใหม่ขึ้นมา ในขณะนั้นเอง ชาวยิวจะสามารถเข้าแทรกแซงด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการแต่งตั้งผู้นำประชาชนและผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับการบริหารและการปกครองประเทศขึ้นมา เพื่อให้พวกเขาเป็นดั่งตัวหมากรุกที่อยู่ภายใต้อำนาจของบรรดาปราชญ์ชาวยิว

- การนำเสนอข่าว (สื่อ) ถือเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด ซึ่งชาวยิวจะใช้เป็นเข็มทิศและควบคุมความคิดของผู้คนทั่วไปที่ไม่รู้หนังสือและทุกชนชันที่อยู่ในแวดวงการศึกษาโดยเท่าเทียมกัน โดยวิธีทางอ้อม ดังนั้นด้วยวิธีการผ่านการนำเสนอข่าวและสื่อมวลชนนี้เอง จะทำให้ชาวยิวมีอำนาจและคงอยู่จัดการอยู่เบื้องหลังม่าน

โปรโตคอลบทที่ 3 : โค่นล้มการปกครองและทำลายระบอบขุนนาง

- การแบ่งประเทศไปสู่การมีพรรคต่าง ๆ และจัดวางให้แต่ละพรรคแต่ละขั่วอำนาจมีนโยบายที่ตรงกันข้าม (ขัดแย้งกัน) พร้อมทั้งสนับสนุนให้แต่ละฝ่ายมีความต้องการยังความเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อฝ่ายใด หลังจากนั้นก็มอบอาวุธให้แก่พวกเขา (ได้ประหัตประหารซึ่งกันและกัน) และด้วยวิธีการนี้เองการปกครองจะกลายเป็นความความละโมบและเป็นเป้าหมายของทุก ๆ พรรค และดังกล่าวนี้ จะเป็นการจุดเพลิงสงครามระหว่างพรรค และนำไปสู่การพังทลายของเสาหลักของประเทศและนำไปสู่การหมดสิ้นความสักสิทธิ์ของระบอบการปกครอง

- การทำลายระบอบขุนนางด้วยมือของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยน้ำมือของชนชั้นคนยากจน เพื่อให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อภายใต้การปกครองของอันธพาลพวกฉวยโอกาส และพวกเศรษฐีหน้าเงิน ต่อจากนั้นยิวจะก้าวเข้ามามีบทบาทเหนือพวกเขา และจะเข้ามาแสดงความเห็นอกเห็นใจในการที่จะเข้ามาช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนให้พ้นจากความเดือดร้อน โดยชาวยิวจะใช้สิ่งที่ถูกเรียกว่า “สิทธิมนุษยชน” และนำมาซึ่งสิทธิที่ประชาชนไม่ได้รับ และความต้องการพื้นฐานที่พวกเขาไม่มีมาให้พวกเขา

- ชาวยิวจะต้องเรียกร้องให้ประชาชนที่ยากจนและผู้ที่ไม่มีความรู้ เพื่อให้เข้าร่วมกลุ่มภายใต้ร่มธงของอนาธิปไตยสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์

- คำว่า “เสรีภาพ” จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความขัดแย้งระหว่างอำนาจทางการเมือง ด้วยเหตุนี้เอง ยิวจะทำหน้าที่ลบคำ ๆ นี้ออกจากพจนานุกรมของความเป็นมนุษย์ และเพื่อผสมผสานความหมายของคำว่า “เสรีภาพ” เข้าไปในความนึกคิดของประชาชน พร้อมทั้งให้คำนิยามคำว่า “เสรีภาพ” ว่า เป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้าย ความป่าเถื่อน และความสับสนวุ่นวาย

โปรโตคอลบทที่ 4 : การควบคุมการค้าและการทำลายศาสนา

- สำหรับคำว่า “เสรีภาพ” มีความหมายมากมาย และมีหลากหลายด้าน แน่นอนว่า มันคืออาวุธของแต่ละด้าน แต่การนำมาเอามันมาใช้จะมีความแตกต่างกัน สามารถที่จะทำให้ผู้คนมีความสุขและเป็นพื้นฐานของความก้าวหน้าได้ เมื่อมันอยู่ในกรอบของความเกรงกลัวพระเจ้า ความอดกลั่น และความเป็นมนุษย์ โดยจะไม่มีการโต้แย้งใด ๆ ในการให้เสรีภาพทั้งชายและหญิง ซึ่งอัลลอฮ์ได้กล่าวถึงผู้หญิงในอัลกุรอานและให้สิทธิแก่พวกนาง แต่ไม่ได้บอกว่า ผู้หญิงนั้นมีความเท่าเทียบกับผู้ชายหรือไม่ ดังนั้นทั้งชายและหญิงจึงมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน

- จำเป็นต้องให้ผู้คนที่วางผลประโยชน์ของตนเองไว้ใต้ร่มธงของอิสลามปราศจากจากความคิดในเรื่องของเสรีภาพ โดยให้พวกเขามองไม่เห็นถึงผลประโยชน์และการงานของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้ และจำเป็นจะต้องให้ทั้งคริสต์และมุสลิมวางการศรัทธาไว้ในหัวใจ การปฏิบัติ และความก้าวหน้าไว้เพียงแค่ในสติปัญญาของพวกเขาเท่านั้น เพื่อให้ประชาชาติอื่น ๆ มีความรุดหน้ายิ่งกว่าพวกเขา

- ความคิดแบบไซออนิสต์สามารถควบคุมและครอบงำการค้าได้ตั้งแต่ในยุคอดีตทั้งในเรื่องของการออกใบสัญญาธุรกรรม การให้กู้ยืมเงินโดยมีดอกเบี้ย และการทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องออกแรงทำงานหรือแตะต้องงานที่หนักและยากลำบาก

- ตั้งแต่อดีตกาล ชาวยิวทำการต่อต้านศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากพระเจ้า และเข่นฆ่าบรรดาผู้เผยแผ่พระวจนะแห่งพระเจ้า โดยที่ศาสนาเหล่านั้นจะถูกเผยแผ่ไปพร้อม ๆ กับการเปรียบเทียบกับแนวความคิดต่างๆ (นิกาย) และกระจายความความเข้าใจในศาสนาอย่างผิด ๆ ออกไปอยู่เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพวกเขาจะได้วางสิ่งต่าง ๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในหลักคำสอนทางศาสนา และเมื่อใดที่ความเข้าใจในเรื่องของศาสนาอย่างผิด ๆ ก็จะแพร่กระจายออกไป เมื่อแหละ มันจะเป็นเรื่องยากลำบากที่จะตรวจสอบถึงสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นจากการกุเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาให้กับพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาจะแตกเป็นกลุ่มความคิด (นิกาย) ที่แตกต่างกัน จนกระทั่งเพลิงแห่งความขัดแย้งวุ่นวายได้ถูกจุดขึ้นระหว่างบรรดาผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกันในด้านหนึ่ง และเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ที่อยู่ในถิ่นฐานเดียวกัน (ประเทศเดียวกัน) กับผู้ที่นับถือศาสนาต่างกันในอีกด้าน ๆ หนึ่ง

โปรโตกอลที่ 5 การทำให้การเมืองห่างไกลจากเนื้อหาสาระที่ควรจะเป็น

- ในขณะที่การคอรัปชั่นและการทุจริตได้ครอบคลุมทุกสังคม โดยที่คนรวยกลายเป็นผู้คอรัปชั่น และความขัดแย้งกลายเป็นพื้นฐาน จริยธรรมอันสูงส่งต้องการกฎเกณฑ์ที่มาควบคุม และการสร้างกฎเกณฑ์เหล่านี้จะกลับไปสร้างจริยธรรมขึ้นมาอีกครั้ง และอุดมการณ์ต่าง ๆ เสื่อมลงและไม่น่าเชื่อถือ และในขณะที่ความรู้สึกแห่งความเป็นชาติพันธุ์และความเป็นศาสนาถูกลบล้างออกไปจากหัวใจ บทบาทและยุคสมัยของเรา (ยิว) จะเข้ามาก่อต้องรัฐบาลให้แก่สังคมนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศมหาอำนาจจะเข้ามาควบคุมคนที่ไม่มีความรู้และจะมอบสิทธิ์ให้แก่เราในการริดรอนสิทธิเสรีภาพด้วยกฎหมายใหม่ ๆ ด้วยเหตุนี้แหละ รัฐของเรา (รัฐยิว) จะแข็งแกร่งขึ้น ด้วยวิธีการลบทุก ๆ บุคคลที่ไม่ใช่ยิว

- ในอดีต มนุษย์จะมองกษัตริย์ดังพระเจ้า ซึ่งการตัดสินของกษัตริย์คือการเชื่อฟังสวามิภักดิ์โดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองใด ๆ แม้ว่าการตัดสินนั้นจะเป็นความยากลำบากก็ตาม ทว่าตั้งแต่ที่เราได้แทรกแซงความคิดของคนทั่วไปและวางความคิดด้านสิทธิความเป็นมนุษย์ในความความคิดของพวกเขา และตั้งแต่ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ พวกเขากลับมองว่ากษัตริย์เสมือนบุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับพวกเขา และในขณะนั้นเองศักดิ์ศรีและเกียรติยศของกษัตริย์ก็หมดไปในสายตาของสามัญชน ด้วยเหตุนี้ พลังอำนาจของกษัตริย์ก็จะถูกย้ายไปสู่ถนนหนทางในกลุ่มสามัญชน และเมื่อนั้นเรา (ยิว) จะลักเอาอำนาจนั้นมาจากพวกเขา

- ชาวยิวจะปลูกความคลั่งทางศาสนาและทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ให้กับแต่ละกลุ่มชน ดังกล่าวนี้ เพื่อที่รัฐบาลใด ๆ เพียงฝ่ายเดียวจะไม่สามารถให้การช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ และรัฐบาลอื่น ๆ ในการต่อต้านชาวยิวได้

- ประเทศต่าง ๆ จะไม่สามารถทำข้อตกลงสนธิสัญญาใด ๆ ได้ โดยที่ยิวไม่จำเป็นต้องเข้าแทรกแซงอย่างลับ ๆ

- การแสวงหาการผูกขาดอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ เพื่อทำให้เงินต้นทุนกลายเป็นเขตการค้าเสรี เพื่อให้อำนาจทางการเมืองเป็นส่วนหนึ่งจากการค้า

- ต้องหว่านเมล็ดแห่งความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจทางการเมืองและสลายความเป็นพันธมิตรทั้งหมด ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายของยิว

โปรโตคอลบทที่ 6 : ครอบงำอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม

- การจัดเตรียมและเตรียมพร้อมในการเข้าไปผูกขาดขนาดใหญ่เพื่อยึดครองทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อให้ทรัพยากรเหล่านั้นจะได้ลดน้อยลงไป และเพื่อให้ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลลดน้อยลงมาเช่นกัน

- ขจัดระบอบขุนนางให้ออกไปจากแผ่นดินของพวกเขา ด้วยการจ่ายค่าจ้างและภาษี แล้วค่อย ๆ ลดค่าจ้างลงเรื่อยๆ ต่อไปอีกไม่นาน พวกเขาจะพังทลายลง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่รู้ไม่ทันจากกลุ่มขุนนาง เพราะพวกเขาขาดความเชื่อมั่นด้วยค่าตอบแทนที่น้อยนิด

- การกำหนดให้การปกครองมีความแข็งแกร่งต้องอาศัยอุตสาหกรรม การพาณิชย์ และการเพิ่มราคาที่ดิน และต่อจากนี้การเกษตรก็จะล้มสลายไป ด้วยการนำเอาที่ดินเหล่านั้นมาจำนอง และนับจากนี้ ทรัพยกรโลกก็จะเปลี่ยนมาอยู่ในมือของยิวอย่างสมบูรณ์

- และเพื่อทำลายอุตสาหกรรมนั้น ยิวจะต้องมีส่วนร่วมในการเพิ่มค่าจ้างให้แก่คนงาน โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือคนชนชั้นรากหญ้า และช่วยเหลือคนงานในการเพิ่มราคาค่าจ้างในสภาพที่คนงานเหล่านั้นก็จะทำงานไปพร้อมกับการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย และให้คนงานเหล่านั้นเสพติดสุรา และหลังจากนั้นเจ้าของโรงงานต่าง ๆ ก็จะสับสนทำอะไรไม่ถูก

โปรโตคอลบทที่ 7 : ยั่วยุให้เกิดสงครามโลก

- เสริมกำลังทหารและจัดเตรียมกำลังตำรวจเฉพาะ เพื่อทำให้แผนการณ์ก่อนหน้านี้สำเร็จลุล่วง และจำเป็นต้องมีชนชั้นที่เรียกว่า “คนยากจน” ไว้ให้เป็นทหารและตำรวจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

- ไม่ว่าประเทศใดก็ตามที่ต่อต้านและคัดค้านยิว ชาวยิวจะต้องผลักดัน (ยุยง) ให้ประเทศใกล้เคียงกับประเทศดังกล่าวประกาศทำสงครามกัน ซึ่งแน่นอนว่าประเทศใกล้เคียงดังกล่าวจะต้องปฏิเสธความคิดที่จะทำสงคราม โดยต่อไปยิวก็จะเข้าไปปลุกปั่นให้พวกเขาประกาศทำสงครามกัน

- ต้องทำให้รัฐบาลในยุโรปบางประเทศเป็นทาสรับใช้ปราชญ์ชาวยิว (แกนนำยิว) และต้องสร้างอาชญากรรมที่รุนแรงขึ้นมาและก่อการร้ายต่อพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ไม่สามารถต่อต้านยิวได้ และเมื่อพวกเขายังคิดที่จะต่อต้านยิว ฉนวนระเบิดที่เป็นอเมริกา จีน หรือญี่ปุ่นก็จะมาถึงพวกเขา

โปรโตคอลที่ 8 ทำให้กฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ นอกห่างจากเนื้อหาสาระ

- การร่างกฎหมายต้องให้ใช้สำนวนและคำศัพท์ที่สลับซับซ้อน เพื่อให้ประชาชนและคนทั่วไปคิดว่า กฎหมายดังกล่าวคือรูปแบบของจริยธรรมอันสูงส่ง และเป็นสิ่งที่สามารถก่อให้เกิดความยุติธรรมได้

- ในขณะเดียวกัน การที่ยิวเข้าไปรับตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาลของประเทศในยุโรป จะถือว่าไม่ปลอดภัย (ซึ่งในความเป็นจริงนั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะทุกวันนี้ ยิวยังคงทำหน้าที่ตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาลในประเทศยุโรป) แน่นอนว่าต่อไป ยิวจะต้องแต่งตั้งประชาชนในประเทศนั้น ๆ ที่มีจริยธรรมอันชั่วร้ายขึ้นมาให้อยู่ในตำแหน่งของรัฐบาล เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ภายใต้อำนาจของปราชญ์ชาวยิว และเมื่อใดที่พวกเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของยิว จะไม่มีหนทางใดสำหรับพวกเขา เว้นแต่พวกเขาจะต้องถูกพิพากษาและถูกจำคุก ด้วยเหตุทั้งปวงนี้ พวกเขาจะต้องรักษาผลประโยชน์ของชาวยิวไว้เป็นหลักสำคัญ

โปรโตคอลบทที่ 9 หว่านเมล็ดแห่งการเป็นพนักงานและทำลายจริยธรรม

- เปลี่ยนแปลงจริยธรรมของผู้คนในทุก ๆ ประชาชาติ แม้ว่าพวกเขาจะยึดติดกับจริยธรรมมากเพียงใดก็ตาม แม้ว่าจะต้องใช้เวลาหลายสิบปี จนกว่าประชาชาติเหล่านี้จะสวามิภักดิ์ให้แก่ยิว

- ต้องให้ประชาชาติต่าง ๆ มีถ้อยคำที่นิยมกัน ซึ่งนั้นก็คือ “เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ” เพราะคำเหล่านี้คือความรู้สึกนึกคิดที่จะมาทำลายพลังของผู้นำของทุก ๆ ประชาชาติ

- ควบคุมให้ทุกพรรค ทุกกลุ่มที่ต้องการอำนาจและการครอบครองให้มารับใช้ยิว โดยแต่ละคนจะต้องพยายามที่จะหยิบฉวยอำนาจที่เหลืออยู่มาเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยไม่ต้องสนใจกฎหมายที่มีอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง รัฐบาลต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะล้มลง โดยการเสียสละตำแหน่งเพื่อความสงบสุขของประเทศ แต่ยิวจะไม่ช่วยให้พวกเขาสงบสุข นอกเสียจากพวกเขาจะต้องสวามิภักดิ์และเชื่อฟังรัฐบาลยิวเสียก่อน

โปรโตคอลที่ 10 : การร่างรัฐธรรมนูญที่มีจุดบกพร่อง

- ขัดขว้างไม่ให้สภาประชาชนมีสิทธิ์ในการตั้งคำถามเกี่ยวกับแผนการที่รัฐบาลได้ดำเนินอยู่ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องลับของประเทศ

- ก่อสงครามและความปั่นป่วนวุ่นวายอย่างต่อเนื่องระหว่างรัฐบาลกับประชาชน สร้างความเป็นศัตรู ความรังเกลียด และความทุกข์ให้เกิดขึ้นมากๆ จนกระทั่งนำไปสู่ความหิวโหย ความยากจน การจารจล การแพร่กระจายโรคต่าง ๆ ถึงขั้นที่ผู้คนทั่วไปหันมาขอความปกป้องด้วยการให้ยิวเข้ามามีอำนาจปกครอง

โปรโตคอลที่ 11 : ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจะต้องควบคุมอำนาจทั้งหมด

- ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจะต้องมีสิทธิ์ในการแต่งตั้งรัฐมนตรีตัวแทนของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และเขาจะกลายเป็นผู้มีสิทธิ์เรียกร้องของรัฐสภาและเป็นหัวหน้าในการบริหารจัดการอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยเขาจะมีสิทธิ์ในการยกเลิก วิจารณ์ และเสนอให้มีกฎหมายชั่วคราวใหม่ ๆ

โปรโตคอลที่ 12 ครองงำสื่อและการนำเสนอข่าว

- ข่าวจะต้องไม่ไปถึงสังคมหนึ่งสังคมใด นอกเสียจากจะต้องผ่านการตรวจสอบจากยิวเป็นอันดับแรก ดังนั้นสำนักข่าวไม่กี่แห่งทั่วโลกจะรู้ทันและตีแผ่ข่าวเหล่านั้นสู่สังคมได้ก็ต่อเมื่อหลังจากที่ได้รับตรวจสอบจากยิวเสียก่อน โดยให้ประชาชนเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกผ่านหน้ากากและมุมมองที่ยิวได้จัดวางให้แก่สายตาของพวกเขา

- ผู้ที่ต้องการจะเป็นผู้สื่อข่าวหรือเป็นนักเขียนข่าวนั้น จะไม่ได้รับใบอนุญาต เว้นเสียแต่จะต้องได้รับใบประกาศนียบัตรจากยิวเสียก่อน โดยยิวจะสามารถยึดขึ้นใบประกาศนียบัตรได้ เมื่อใดที่เขาได้ทำผิดกฎที่ยิวได้วางไว้

- จะต้องมีการเรียกเก็บภาษีการพิมพ์หนังสือที่มีเนื้อหายาวๆ เพื่อต่อไปการบริโภคหนังสือของประชาชนจะลดน้อยลง เพราะหนังสือมีเนื้อหาที่ยาวและมีราคาแพง ในขณะที่หนังสือของเรา (หนังสือรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นของยิว) ที่มีราคาถูกจะถูกตีแพร่ออกไป เพื่อที่เรา (ยิว) จะได้คุมประชาชนทั่วไปให้เดินไปตามเส้นทางที่ผู้นำยิวได้วางไว้

โปรโตคอลที่ 13 : ตัดขาดการรับรู้ของประชาชน (ปิดหูปิดตาประชาชน)

- พยายามล้อใจประชาชนด้วยกีฬา เกมส์ สวนสนุก ภาพยนตร์ เพลง การเต้น การแข่งขัน และเรื่องทางโลกที่ไร้สาระ

โปรโตคอลที่ 14 : ทำให้ห่างไกลจากศาสนา

- พวกเขา (ยิว) จะทำหน้าที่แพร่กระจายทุกชนิดของความสนุกสนาน ซึ่งจะเรียกมันว่าเป็นความสนุกสนานที่ซ้อนเร้น เพื่อให้พวกเขา (ยิว) ทำให้ผู้คนออกห่างจากศาสนา

โปรโตคอลที่ 15 : จัดตั้งหน่วยงานลับและก่อรัฐประหาร

- จัดตั้งหน่วยงานลับที่มาจากยิว ภายใต้ชื่อหรือในนามของศาสนา เพื่อกระจายการก่อวินาศกรรม การก่อการร้าย การสร้างความจลาจลวุ่นวาย และใช้มันเพื่อต่อต้านรุกรานประเทศต่าง ๆ และเพื่อสามารถเข้าไปแต่งตั้งบรรดาผู้นำประเทศที่อ่อนแอขึ้นมาประครองประเทศ และใช้มันในการกระจายความยากจนเพื่อแผ่ความขัดแย้งไปในวงกว้างระหว่างผู้นำประเทศกับประชาชน

โปรโตคอลที่ 16 : บรรจุข้อมูลการศึกษาที่ผิด ๆ และแพร่กระจายความโง่เขล่า

- เพราะการศึกษาจะทำให้สติปัญญาของผู้คนสว่างไสว โดยจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบ ดังนั้นด้วยการกระจายความโง่จะทำให้สังคมตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสติปัญญาที่เป็นแบบยิว

โปรโตคอลที่ 17 : ขจัดการปกครองด้วยศาสนาออกไป

โปรโตคอลที่ 18 : มีมาตรการในการผลักดันแบบลับ ๆ และแบบเปิดเผย เพื่อนำไปสู่การควบคุมอำนาจการปกครอง

โปรโตคอลที่ 19 : ก่อให้เกิดการชุมนุมทางการเมืองและประกาศข้อหาก่ออาชญากรรมทางการเมือง

โปรโตคอลที่ 20 : ทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยและให้ประเทศต่าง ๆ จมอยู่กับหนี้สิน

- เพราะนี้จะทำให้ยิวสามารถเข้าควบคุมเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

โปรโตคอลที่ 21 : แปลงหนี้สินดังกล่าวไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “หนี้ส่วนรวม” และการล้มละลาย

โปรโตคอลที่ 22 : ผลของศตวรรษที่ผ่านมาและอนาคตที่ดีจะต้องสำหรับชาวยิวเท่านั้น

โปรโตคอลที่ 23 : ทำลายสังคมต่าง ๆ ที่มีมาก่อนหน้านี้ และสร้างมันขึ้นมาด้วยรูปแบบใหม่ ตามรูปแบบของประชาชาติที่พระเจ้าได้เลือก (ยิว)

โปรโตคอลที่ 24 : แต่งตั้งราชนิกูลของกษัตริย์เดวิด

จากหนังสือ “ฮะกีเกาะห์ อัลยะฮูด ว่าตารีคุ้ฮุ้ม อัลอัซวัด” และจากข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น