อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตำแหน่งยืนของผู้ละหมาดที่มีเพียง 2 คน (เป็นอิหม่ามและมะมูม)

ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

คำถาม 

อยากทราบกรณีละหมาด 2 คน หากทั้งสองเป็นผู้ชาย การยืนของมะมูมต้องยืนอย่างไร? เห็นในหะดิษ เศาะหาบะฮฺที่ละหมาดพร้อมกับท่านนบียืนด้านขวาของท่านนบีตามแถวหน้ากระดาน แต่ที่เรียนมาจะให้มะมูมเยื้องไปด้านหลัง หากกรณีข้างต้น อีหม่ามเป็นผู้ชาย มะมูมเป็นผู้หญิง และกรณีคนทั้ง 2 เป็นผู้หญิง การยืนเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ตอบ

ถ้าผู้ละหมาดมีเพียง 2 คน คืออิหม่ามกับมะอฺมูม ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายทั้ง 2 คนหรือเป็นผู้หญิงทั้ง 2 คน ตามหลักฐานจากหะดีษที่ถูกต้อง ให้มะอฺมูมยืนทางด้านขวาของอิหม่ามและยืน "เสมอ" กับอิหม่าม ไม่ต้องถอยลงมานิดหน่อยตามทัศนะของนักวิชาการบางท่าน

ส่วนถ้าอิหม่ามเป็นผู้ชายและมะอฺมูมเป็นผุ้หญิง 1 คน ก็ให้มะอฺมูมผู้หญิงคนนั้นยืนด้านหลังอิหม่ามครับ

 ที่กล่าวมานี้หมายถึงในกรณีละหมาดฟัรฎู 5 เวลา .. ส่วนในกรณีละหมาดญะนาซะฮ์หรือละหมาดให้คนตาย ก็ให้มะอฺมูม 1 คนนั้นยืนด้านหลังของอิหม่าม ไม่ใช่ยืนเสมออิหม่ามเหมือนในละหมาดฟัรฺฎูครับ

วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

เสียน้ำละหมาดก่อนให้สลามออกจากละหมาดทางด้านซ้าย

ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

คำถาม

เมื่ออีหม่ามกำลังให้สลามออกจากละหมาดครั้งที่หนึ่งไปด้านขวา แต่ยังไม่หันหน้าสลามไปด้านซ้าย มะมูมคนหนึ่งก็ผ่ายลมเสียก่อน การละหมาดของมะมูมคนนั้นยังใช้ได้หรือเปล่าค่ะ?

ตอบ

ผู้ละหมาดคนใด - ไม่ว่าจะเป็นอิหม่ามหรือมะอฺมูม - ที่เสียน้ำละหมาดก่อนให้สล่ามของตนเอง ถือว่า ละหมาดของเขาเป็นโมฆะทันที จะต้องออกไปทำวุฎูอ์แล้วละหมาดใหม่ครับ 

การรุกั๊วะอฺของมะอฺมูมยังไม่ทันสงบนิ่ง

ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

คำถาม

กรณีมะมูมมาทีหลัง เมื่ออีหม่ามก้มรูกัวะอฺ พอมะมูมกำลังก้มรูกัวะฮฺ แต่การรูกัวะอฺยังไม่สงบนิ่ง อีหม่ามก็ขึ้นจากรูกัวะอฺมายืนตรงเสียก่อน ถือว่ามะมูมคนนั้นได้ร็อกอะฮฺนั้นหรือไม่?


ตอบ

 มะอฺมูมที่มาทันขณะอิหม่ามกำลังอยู่ในอริยาบถรุกั๊วะอฺ แต่พอมะอฺมูมก้มรุกั๊วะอฺตาม อิหม่ามก็เงยขึ้นมาพอดีโดยการรุกั๊วะอฺของมะอฺมูมคนนั้นยังไม่ทันสงบนิ่ง ถือว่า มะอฺมูมคนนั้น ไม่ทันร็อกอะฮ์นั้นของอิหม่ามครับ ...

การปิดร้านเพื่อไปละหมาดในวันศุกร์ของเขา ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันตลอดไป


....วันหนึ่งฉันได้พากลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปหลายสิบคนไปที่ตลาดบาซาร์แห่งหนึ่งในอียิปต์..ขณะที่กลุ่มของเรากำลังจะซื้อของของอยู่นั้น เจ้าของร้านบอกว่าไม่สามารถจะขายได้เพราะต้องปิดร้านเพื่อที่จะไปละหมาดญุมอัต..ฉันก็บอกกับเจ้าของร้านว่า กลุ่มคนพวกนี้เขามาจากยุโรปช่วง เขามีเงินมากมาย และพวกเขาพร้อมที่จะใช้จ่ายอย่างไม่อั้น..แล้วทำไมคุณต้องปิดร้าน ทำไมไม่ฉวยโอกาสทำกำไรก่อน..เจ้าของร้านกล่าวตอบว่า ผมต้องขอโทษด้วย คือผมเป็นมุสลิม หน้าที่ของผมเมื่อถึงเวลาที่ต้องละหมาด ผมจำเป็นต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกราบไหว้ต่อพระเจ้าของผมอัลลอฮ์(ซบ.)..
..จากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉันครุ่นคิดอย่างจริงจังว่า คนเราไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อเจอกับเงิน เงิน เงิน แล้วเป็นต้องอ่อนลงทันที..แต่ไม่ใช่สำหรับเจ้าของร้านนี้ เค้าไม่แคร์เลยไม่ว่าเงินจะมากขนาดไหนก็ตาม ทำไม...

ฉันเริ่มคิดกับตัวเองว่า คนพวกนี้ทิ้งเงินเพื่อที่จะกราบไหว้ต่อพระเจ้า..แล้วฉันละ ฉันเกิดมาทำไม เพื่ออะไร ชีวิตฉันไม่มีเป้าหมายใดๆเลยหรือ..ฉันรู้สึกเหมือนกับหลงทาง
วันหนึ่งฉันได้รับอัลกรุอานเป็นของขวัญจากเพื่อนมุสลิม เพื่อนฉันบอกว่าก่อนจะเปิดอัลกรุอาน ฉันต้องสะอาด...ฉันอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเพื่อที่จะอ่านอัลกรุอาน..มือของฉันสั่น ใจของฉันเต้นแรงซึ่งฉันไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน...ฉันศึกษาอิสลามและเปลี่ยนมารับอิสลามในที่สุด...ก่อนฉันจะรับอิสลาม ฉันทำงานเป็นนางแบบชุดว่ายน้ำ.ชีวิตในตอนนั้นชั่งไม่มีค่าเลยไม่มีเกียรติใดๆเลย
....เมื่อฉันรับอิสลามแล้วฉันก็เลิกอาชีพนางแบบ ฉันคลุมฮิญาบปกปิดร่างกาย ฉันรู้สึกมีเกียรติขึ้น รู้สึกปลอดภัย.ฉันรักศาสนาอิสลาม .ฉันต้องขอขอบคุณเจ้าของของร้านนั้นที่ทำให้ฉันำได้เป็นมุสลิม..อัลฮัมดุลิลลาฮ์..

ที่มา Muttaqeen Sukreez Desa
ร่วมนำเสนอสิ่งดีๆ โดย เพจศาสนาอิสลาม - الإسلام





การศิลอดหกวันเดือนเชาวาลตามด้วยศิลอดซุนนะฮ์ วันจันทร์ พฤหัส

ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย

คำถาม
เรียนถามอาจารย์ เดือนเชาวาลถือหกวันครบแล้วเราจะถือ จันทร์ พฤหัส ต่อใด้หรือไม่

ตอบ

ศีลอดวันจันทร์และวันพฤหัส สามารถกระทำได้โดยไม่จำกัดเดือน คือ ถือได้ทุกเดือนครับ ยกเว้นเดือนรอมะฎอนที่เราต้องถือศีลอดฟัรฺฎูตลอดเดือนอยู่แล้ว วัลลอฮุ อะอฺลัม ...


อภินิหารย์ อิหม่าม. อัลบากิร ปั้นช้างด้วยกับดินแล้วขี่มันบินไปยังนครมักกะห์!!



หนังสือ มะดีนะตุล มะอาริจ เล่มห้า หน้าที่สิบ บอกว่า

السادس أنه عليه السلام صنع فيلا من طين فركبه فطار به إلى مكة

ข้อที่หก ท่านอีหม่าม (อัลบากิร) อะลัยฮิสสลาม ได้สร้างช้างมาจากดินแล้วท่านก็ขี้มันแล้วบินไปยังนครมักกะห์.

ฮะดีษ ลำดับที่ 6/1422 จาก กุบัยเศาะห์ บิน อมัย กล่าวว่า "ญาบิร บิน ยะซีด อัลญุอฟีย์ ได้เล่าให้ฉันฟังว่า
"ฉัน(ญาบิร)ได้เห็น ท่านอีมาม(อัลบากิร) ท่านได้สร้างช้างจากดิน แล้วท่านก็ขี่มันแล้วได้บินไปกับมัน(ช้างดังกล่าว)บนอากาศกระทั่งไปถึงมักกะห์และกลับมากับมัน" แต่ฉัน(กุบัยเศาะห์)ก็ไม่เชื่อในสิ่งทีเขา(ญาบิร)เล่ามากระทั่งฉัน(กุบัยเศาะห์)ได้เห็น(กับตา)ว่าท่าน อัลบากิร แล้วฉันก็กล่าวกับท่านว่า "ญาบิรได้เล่าเรื่องดังกล่าวเกี่ยวกับท่านอย่างนั้นอย่างนี้ให้ฉันทราบ(จริงหรือเปล่า?)" แล้วท่านก็สร้างช้างแบบนั้นขึ้น(ต่อหน้าฉัน)แล้วท่านก็ขี่มันพร้อมกับให้ฉันขี่มันไปกับท่านไปยังมักกะห์และส่งฉันกลับมา"



นี้คือความของชีอะฮฺรอฟีเฎาะฮ์

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ที่มาของฉายา "รอฟีเฎาะฮ์" ต่อพวกชีอะฮ์


กี่ครั้งที่ชาวกูฟะฮ์หักหลังอะลุยบัยต์ (ท่านเซดบินอะลี เรียกพวกนี้ว่า รอฟีดี หรือรอฟีเฎาะฮ์)

(ฮ.ศ.122) เมื่อถึงเวลาปฏิบัติการที่ต้องใช้ดาบและความกล้าหาญ พวกกูฟะฮ์ได้ถามเซด บินอะลี บินฮุเซน บินอะลี บินอบูฏอลิบ เหมือนกับเด็กนักเรียนว่า
"ก่อนอื่น ขอให้บอกเราว่าท่านมีความเห็นเกี่ยวกับอบูบักรฺ ซิดดีกและอุมัรฺ บินค็อฏฏอบอย่างไร"

เซดได้ได้กล่าวว่า
"ฉันไม่เคยได้ยินใครในตระกูลของฉันเรียกเขาทั้งสองอย่างเสียๆ หายๆ เลย"

พวกกูฟะฮ์จึงกล่าวว่า
"ก็ใช่สิ เพราะคนในตระกูลของท่านมีสิทธิ์ได้เป็นเคาะลีฟะฮฺนี่ พวกท่านจึงไม่รู้สึกผิดที่ทั้งสองคนนี้(อบูบักรและอุมัรฺ) ช่วงชิงเอาตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ไปครอง พอตอนนี้พวกอนูอุมัยยะฮฺได้เป็นเคาะลีฟะฮ์บ้าง พวกท่านจะมาบอกว่าพวกเขาไม่เหมาะสมและต่อต้านพวกเขาได้อย่างไร?"

พอกล่าวจบ พวกกูฟะฮ์ก็ถอนคำให้สัตย์ปฏิญาณของพวกตนและจากไป เซด บินอะลี ได้เรียกคนพวกนี้ว่า "รอฟิดี" (ผู้ปฏิสธ)

{ประวัติศาสตร์อิสลาม เล่ม 2 หน้า 243 แปลโดย อ.บรรจง บินกาซัน}



วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การแยกของดวงจันทร์ ม๊วะญิซาดท่านนบี‬



‪#‎ม๊วะญิซาดท่านนบี‬
มุสลิมรู้มา1400กว่าปีแล้ว มนุษย์ยุคนี้เพิ่งค้นพบ...

ส่วนหนึ่งจาก ข่าว BBC world’news:
“… ‪#‎ได้สร้างความประหลาดใจ‬, พวกเขาได้ให้ข้อมูลจากนักธรณีวิทยาซึ่งก็ตื่นเต้นเช่นกันเมื่อพวกเขาสรุปว่า ‪#‎สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้เลย‬ (เว้นแต่กรณีเดียวคือครั้งหนึ่งดวงจันทร์ถูกแยกออก) และกลับมาประกบกัน รอยเข็มขัดรอบดวงจันทร์มีหินโสโครกเป็นผลมาจากการปะทะในช่วงที่สองซีกของดวง จันทร์กลับมาประกบกัน…”

Kuwait Chat News Base:
“โฆสกขององการค์อวกาศของอเมริกากล่าวว่า ความจริงถูกค้นพบเมื่อ
นัก บินอวกาศผู้ต้องการปักธงของอเมริกาบนดวงจันทร์ ไม่สามารถปักธงได้สำเร็จ เพื่อหาต้นเหตุของปัญหานี้ นักบินอวกาศได้วิจัยทางธรณีวิทยาและผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้เกิดขึ้นกับพวกเขา ว่านานมาแล้วดวงจันทร์ได้ถูกแยกออกเป็นสองซีกและทั้งสองซีก
ก็ถูกประกบกันเหมือนเดิม”

ข่าว Fars News:
“ข่าว ประกาศว่า นักบินอวกาศได้ค้นพบหลักฐานการแยกของดวงจันทร์โดยศาสดาของอิสลาม ทำให้เกิดคลื่นมหาชนที่เข้ารับอิสลามในอเมริกาและยุโรป”

บางคนตีความว่า การแยกของดวงจันทร์ เนื่องจากตอนนั้น นักบินอวกาศได้นำส่วนหนึ่งของดวงจันทร์กลับมายังโลก (1969 A.C.)

ตอนนี้เรามี 2 ข้อ
1. บางคนกล่าวว่ามันถูกแยกออกช่วงอายุของนบีมูฮัมหมัด(ซอล.) 1400ปีก่อน
2. บางคนกล่าวว่ามันถูกแยกออกในปี 1969(เมื่อมนุษย์เหยียบดวงจันทร์แล้วนำส่วนกลับมายังโลก)
ทั้ง 2 ข้อเป็นจริงและไม่ขัดแย้งกัน ตอนนี้คุณจะสงสัยว่าทำไม??

เท่า ที่พวกเรารู้ หนึ่งประโยคเก็บสัญญาณไว้มากมายและเนื่องจากมันเป็นคำของอัลลอห์ มันตีความได้ 1 ถึง 3 ความหมายและบางที 7ความหมาย(ภาษาอาหรับเป็นภาษาที่sensitive)หรือเป็นข้อความถึงมนุษย์…

“The moon has split and the hour has drawn closer”
เมื่อพูดถึง The hour มันไม่ได้มีความหมายเป็น 1 ชั่วโมงตามเวลาของมนุษย์.. มาคำนวณ”The hour”ตามความหมายของอัลลอห์ที่ว่า..

“เรา จัดการงานทั้งหมดจากสวรรค์ถึงโลก ดังนั้นอีกครั้งมันจะสืบเนื่องสู่เขาหนึ่งวันซึ่งความยาวเท่ากับสองพันปี"





มัสยิดกับบาลาย และผลบุญของการละหมาดญะมาอะฮ์ในสถานที่ทั้งสอง

ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย


คำถาม
1.มัสยิดกับสูเหร่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร? เทียบกับบาลาย(หรือบาลอตามเรียกชื่อแถวสงขลาและสามจังหวัด ส่วนแถวสตูลตรังจะเรียกมะนาซะฮ์)มันต่างกันอย่างไรบ้าง?

จะถือว่าเป็นมัสยิดต้องมีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง? ต้องจดทะเบียนตามกฎหมายไทยหรือไม่? หากสถานที่แห่งนั้นมีขนาดใหญ่จุคนมากพอ และมีผู้คนในหมู่บ้านมาละหมาดฟัรฎูมากพอ (ยกเว้นละหมาดวันศุกร์)จะถือเป็นมัสยิดได้หรือไม่? หากหมู่บ้านสองหมู่บ้านมีคนอาศัยอย่างหนาแน่น จึงมีพื้นที่ของหมู่บ้านไม่มาก ผู้คนทั้งสองหมู่บ้านไปมาหาสู่กันได้สะดวก ไม่มีลำคลอง หรือสิ่งกีดขวางกั้น และแต่ละหมู่บ้านมีสถานที่ละหมาดฟัรฎูขนาดใหญ่ เพียงแต่เมื่อละหมาดวันศุกร์จะไปรวมกันละหมาดสถานที่ละหมาดอีกหมู่บ้านหนึ่ง สถานที่ละหมาดของอีกหมู่บ้านหนึ่งจะถือว่าเป็นมัสยิดหรือไม่?

(มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า หมู่บ้านสามหมู่บ้านอยู่ติดกัน มีผู้คนหนาแน่นทั้งสามหมู่บ้าน และมีพื้นที่ไม่มาก ทุกหมู่บ้านมีสถานที่ละหมาดขนาดใหญ่ แต่สำหรับละหมาดวันศุกร์ ผู้คนทั้งสามหมู่บ้านจะมาละหมาดวันศุกร์เพียงมัสยิดเดียวที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย (รวมถึงการทำนิกะฮฺและหย่าทั้งสามหมู่บ้านต้องทำกับอีหม่ามที่นี้คนเดียว รายได้จากนิกะฮฺและหย่า หรือพิธีกรรมอื่นจะตกอยู่แก่ที่นี้แห่งเดียว) ส่วนสถานที่ละหมาดอีกสองหมู่บ้านยังไม่จดทะเบียน ปรากฎว่ารัฐบาลมีเงื่อนไขว่าหากสถานที่ละหมาดใดจะขอสนับสนุนงบจากรัฐบาลต้องมีการจดทะเบียนก่อน อีม่ามอีกสองหมู่บ้านจึงมีความประสงค์จะจดทะเบียนมัสยิด เพื่อของบจากรัฐบาลและจะทำการละหมาดวันศุกร์ในหมู่บ้านของตนแยกต่างหาก แต่อีหม่ามมัสยิดที่จดทะเบียนแล้วข้างต้นไม่ยอม โดยอ้างว่าจะเกิดความแตกแยก)

2.ผลบุญของผู้ที่ละหมาดญามาอะฮ์ที่มัสยิด 25 เท่า หรือ 27 เท่า รวมถึงการละหมาดญามาอะฮ์ที่บาลายด้วยหรือไม่? บาลายบางที่ก็ครบสมบูรณ์เหมือนมัสยิด ขาดแต่ยังไม่จดทะเบียนกฎหมายไทย และไม่ละหมาดวันศุกร์


ตอบ

1. คำว่ามัสยิดเป็นภาษาอาหรับ ส่วนสุเหร่า เป็นภาษามลายู ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน คือสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ทำละหมาด ..

ส่วนบาลายหรือที่สอนหนังสือของเด็กปอเนาะสมัยก่อน(ที่ชาวบ้านแถว 3 จังหวัดภาคใต้เรียกกันว่าบาลาเซาะฮ์) คงจะเพี้ยนมาจากภาษาอาหรับว่า มัดรอซะฮ์ ซึ่งแปลว่า โรงเรียนอันเป็นสถานที่สอนหนังสือนั่นเองครับ วัลลอฮุ อะอฺลัม ..

1.1). เรื่องของมัสยิดตามหลักการอิสลาม ไม่เกี่ยวกับการจดทะเบียนตามกฎหมายหรอกครับ
เนื่องจากตั้งแต่สมัยท่านศาสดามาแล้ว ไม่เคยปรากฏว่า จะมีมัสยิดหลังใดต้องให้จดทะเบียนก่อนถึงจะเรียกว่ามัสยิดเลย เพราะมัสยิดตามหลักศาสนาจะหมายถึง "สถานที่ซึ่งบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้สละ(บริจาคหรือวะกัฟ)โดยเจตนา (เนียต) ให้เป็นสถานที่สำหรับละหมาดของประชาชน ทั้งในชุมชนนั้นๆหรือประชาชนทั่วไป" แล้วหลังจากนั้นก็จะมีการสร้างตัวอาคารขึ้นมาบนพิ้นที่แห่งนั้น ..

ซึ่งมัสยิดจะจำแนกออกเป็น 2 ลักษณะคือ มัสยิดญาเมี๊ยะอฺหรือมัสยิดกลางที่ใช้ทำละหมาดทั้ง 5 เวลาและละหมาดวันศุกร์ประจำหมู่บ้านหรือตำบล กับมัสยิดธรรมดาที่ใช้ทำเฉพาะละหมาด 5 เวลา ไม่มีการทำละหมาดวันศุกร์ แบบเดียวกับมัสยิดประจำท้องที่รายรอบมัสยิดของท่านนบีย์ในสมัยอดีต ซึ่งจะทำเฉพาะละหมาด 5 เวลา แต่พอถึงวันศุกร์ ทั้งหมดจะต้องมาละหมาดวันศุกร์ร่วมกันที่มัสยิดกลางของท่านนบีย์ครับ ....

1.2).  ส่วนที่คุณเล่ามาว่า หมู่บ้านสามหมู่บ้านอยู่ติดกัน มีผู้คนหนาแน่นทั้งสามหมู่บ้าน และมีพื้นที่ไม่มาก ทุกหมู่บ้านมีสถานที่ละหมาดขนาดใหญ่ แต่สำหรับละหมาดวันศุกร์ ผู้คนทั้งสามหมู่บ้านจะมาละหมาดวันศุกร์เพียงมัสยิดเดียว ฯลฯ.. อันนี้คือความถูกต้องครับโดยไม่จำเป็นจะต้องไปพิจารณาว่าวันมัสยิดที่มีการรวมกันทำละหมาดวันศุกร์นั้น จะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียน ซึ่งผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นมัสยิดหลังเก่าแก่ที่สุดของทั้ง 3 หลัง

เพราะฉะนั้น การที่มัสยิดอีก 2 หลังจะแยกไปทำละหมาดวันศุกร์กันเองเป็นเอกเทศ โดยไม่มีเหตุผลสมควร (เช่นมัสยิดหลังเก่าคับแคบจนขยายไม่ได้อีกแล้ว) จึงเป็น خلاف السنة คือขัดแย้งกับซุนนะฮ์ของท่านศาสดาครับ ..

ส่วนเรื่องที่ว่ามัสยิด 2 หลังเหล่านั้นจดทะเบียนแล้วหรือยังไม่จดทะเบียน ไม่ใช่ประเด็นปัญหาเรื่องการจะแยกหรือไม่แยกละหมาดวันศุกร์หรอกครับ ยิ่งถ้าเป้าหมายในการต้องการจะจดทะเบียนก็เพื่อหวังเงินอุดหนุนจากรัฐบาลด้วย และต้องการอ้างเป็นเหตุผลเพื่อแยกละหมาดวันศุกร์ด้วย ก็ถือเป็นความผิดพลาดและความไม่เหมาะสมทั้ง 2 ประการครับ ...


2. สถานที่ ที่ดีที่สุดสำหรับการละหมาดญะมาอะฮ์ก็คือมัสยิดครับ ส่วนบาลายหรือโรงเรียนนั้น หากอยู่ห่างไกลจากมัสยิดมากจนไม่สะดวกที่จะไปละหมาดญะมาอะฮ์ที่มัสยิดดังเช่นที่มีปรากฏในปอเนาะ่บางแห่งในอดีต ก็หวังว่า การละหมาดญะมาอะฮ์ที่บาลาย คงจะได้รับผลบุญ 25 หรือ 27 เท่านดังปรากฏในหะดีษด้วยครับ อินชาอัลลอฮ์ ...







วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คำฟัตวาของเชค มุหัมมัด นาศิรุดดีน อัลบานีย์ เกี่ยวกับกลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺ



الشيخ محمد بن ناصر الدين الألباني - رحمه الله

คำถาม: ท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับกลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺ มันจะเป็นการอนุญาตไหมสำหรับนักศึกษาที่มีความรู้หรือคนทั่วๆไปที่จะออกไปกับพวกเขา โดยกล่าวอ้างว่าออกไปเรียกร้องเชิญชวนมาสู่หนทางของอัลลอฮ์

ตอบ:

กลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺไม่ได้ยึดรูปแบบ (มินฮาจ) จากกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่านศาสดาตลอดจนบรรดาคู่ลาฟาอัรรอชิดีน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่อนุญาตให้ออกไป ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่ปฎิบัติตามรูปแบบ(มินฮาจ) ในการเรียกร้องตามรูปแบบของคู่ลาฟาอุรรอชิดีนที่ได้ทำไว้ แต่สำหรับอาเล็มผู้ที่มีความรู้ดีก็สามารถออกไปเชิญชวนมาสู่อัลลอฮ์โดยออกไปกับพวกเขา

แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ดีแล้ว จำเป็นที่เขาจะต้องอยู่ในประเทศของเขาและแสวงหาความรู้ในมัสยิด จนกระทั่งเกิดมีผู้มีความรู้ในหมู่ของพวกเขาผู้ซึ่งจะสามารถ ตั้งกลุ่มที่จะเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์ แต่ตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่เช่นนี้ก็จำเป็นต่อนักศึกษาที่มีความรู้ ที่จะเรียกร้องกลุ่มญะมาอีตตับลีฆฺ ให้หันมาศึกษาคำสอนจากกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่านศาสดา (จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ) และเชิญชวนผู้คนเรียกร้องดะอวะฮฺไปสู่กิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺ

ในตอนเริ่มนั้นกลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺ ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบที่เป็นอยู่ แต่ทว่าพวกเขาถือว่า การกระทำแบบอื่นจะเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดการแตกแยก และด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขามีลักษณะคล้ายคลึงมากที่สุดกับกลุ่มญะมาอัตของกลุ่มอิควานอัลมุสลิมีน กลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺกล่าวว่างานดะอฺวะฮฺของพวกเขานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของ กิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นเพียงคำพูดที่ฟังไม่ขึ้น และไม่มีเหตุผล เพราะเป็นที่แน่นอนว่า พวกเขาไม่มีหลักอะกีดะฮฺ(หลักความเชื่อมั่น) ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในหมู่ของพวกเขา ดังนั้นเราจะพบว่าพวกเขาบางคนก็เป็นพวกมาตู่รีดีย์ บางคนก็เป็นพวกอัชอารีย์ ในขณะที่บางคนเป็นพวกซูฟีย์ จนกระทั่งบางคนไม่ยึดติดกับแนวความคิดใดๆเลย การดะอฺวะฮฺของพวกเขามีขึ้นก็เพื่อที่จะรวบรวมผู้คนไว้ด้วยกันและมีการสั่งสอนอบรมกัน

ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้สั่งสอนและให้ความรู้กันอย่างจริงๆจังๆ กว่าครึ่งศตวรรษได้ผ่านไปแต่ยังไม่ปรากฏมีอุละมาอจริงๆสักคน ที่เป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นมาจากกลุ่มนี้ จะเห็นได้ว่าการดะอฺวะฮฺของกลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺจะออกไปในแนวซูฟียะฮ์ โดยพวกเขาจะเรียกร้องไปสู่จรรยามายาทที่ดี แต่ในเรื่องของการปรับปรุงแก้ไขหลักการอะกีดะฮ์ที่ผิดเพี้ยนจากคนในกลุ่มให้ถูกต้องนั้น พวกเขาไม่ได้ใช้ความพยายามเลยแม้แต่น้อย ในการที่จะพยายามปรับปรุงแก้ไขหลักอะกีดะฮฺให้ถูกต้อง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกเขา เชื่อว่าสิ่งนี้จะไปสร้างความแตกแยกและความแตกต่างให้เกิดขึ้น

และเรื่องมีอยู่ว่า คุณสะอีด อัลฮูเซ็น ได้ติดต่อพูดคุยกันทางจดหมายกับหัวหน้าของกลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺในอินเดียและปากีสถาน และเป็นที่ปรากฏชัดว่าพวกเขายอมรับและมีความเชื่อในเรื่อง ชะฟาอะฮ์ การให้ความช่วยเหลือและการขอความช่วยเหลือต่อผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺและอีกหลายสิ่ง และเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ที่จะต้องทำการบัยอะฮ์หรือให้คำปฎิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อกลุ่ม

อาจจะมีคนถามว่าก็ในเมื่อพวกเขาได้แก้ไขข้อบกพร่องเนื่องจากความพยายามของคนหลายๆคนช่วยกัน และมีผู้คนมารับอิสลามหลายต่อหลายคน นี่ยังไม่เป็นสิ่งยืนยันที่เพียงพออีกหรือถึงการอนุญาตให้ออกไปและมีส่วนร่วมกับพวกเขาในการเรียกร้อง เราขอตอบว่า จริงๆแล้วเราได้ยินได้ฟังมามากแล้วกับคำพูดเช่นนี้ และเราก็รู้ว่าพวกเขาได้ลอกเลียนแบบมาจากซูฟียะฮ์

ยกตัวอย่างเช่น มีเชคคนหนึ่งที่มีอะกีดะฮ์ที่ผิดเพี้ยน และไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับซุนนะฮฺเลย และได้หลอกเอาทรัพย์สินของประชาชนไป พร้อมกันนั้นก็มีคนที่ทำชั่วแบบเปิดเผยหลายคนไปขอให้พวกเขาลบล้างบาปให้

ดังนั้นกลุ่มไหนก็แล้วแต่ที่เรียกร้องไปสู่ความดีจะต้องปฎิบัติและยึดถือตามกิตาบุลลอฮ์และซุนนะฮ์เพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการที่บริสุทธิ์

เพราะฉะนั้นพวกเขาเรียกร้องไปสู่อะไรกันเล่า ?

พวกเขาเรียกร้องไปสู่การยึดมั่นกับกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่านศาสดาอย่างแท้จริงหรือเปล่า ?

ตลอดจนไปสู่อะกีดะฮฺของคู่ละฟาอัรรอชิดีน โดยทิ้งการยึดถือกับมัสฮับแบบหลับหูหลับตา จนกระทั่งซุนนะฮ์ของท่านนะบี เข้ามามีอิทธิพลเหนือมัสฮับของพวกเขา พวกเขาทำเช่นนี้หรือเปล่า ?

แต่กลุ่มญะมาอัตตับลีฆฺก็ไม่มีความรู้ในรูปแบบที่ว่านี้ แต่ทว่ารูปแบบ(มินฮาจ) ของพวกเขานั้นจะเปลี่ยนไปตามแต่สถานที่ที่พวกเขาไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆเพื่อให้เหมาะสมกับตนเอง

จาก อัล ฟัตวา อัลอิมาร่อตียยะฮฺ ของ อัล อัล-บานี ข้อมูลทั้งหมดนำมาจาก al-Fataawa al-Imaaraatiyyah of al-Albaanee

http://www.fatwaonline.com/fataawa/creed/deviants/0010326_5.htm

ผู้แปล อ.มานัฟ ดีนนุ้ย

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การบิดเบือนหะดิษเพื่อใส่ร้าย มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ


มาดูโต๊ะครู อัลอัชอะรีย์ แห่งเว็บซุนนะฮสะติวเด้น โจมตีกล่าวหาว่า เช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ โกหกต่อท่านนบี โดยกล่าวข้อความต่อไปนี้

ตราบใดที่ชีอะฮ์ยึดประวัติศาสตร์มาอ้างโดยลักษณะที่ขัดแย้งกับตัวบทของอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ผม ไม่ขอเชื่ออย่างเด็ดขาดฉันท์ใด แน่นอนจากบทนำประวัติกำเนิดวะฮาบีย์นี้ผมก็ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดฉันท์นั้น เพราะประวัติบทนำกำเนิดวะฮาบีย์นี้ มันขัดแย้งกับซุนนะฮ์นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และเป็นการกล่าวมุสาต่อซุนนะฮ์นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้นหากเราเชื่อต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เราก็ห้ามเชื่อบทนำประวัติกำเหนิดวะฮาบีย์อันนี้ เพราะท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้สาบานต่ออัลเลาะฮ์ในการปฏิเสธเนื้อหาประวัติอันนี้ ไว้ตั้งแต่ 1400 ปีมาแล้ว

รายงานจากอุกบะฮ์ บิน อามีร เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

وَإِنِّي قَدْ أُعْطِيتُ خَزَائِنَ مَفَاتِيحِ الْأَرْضِ وَإِنِّي وَاللَّهِ مَا أَخَافُ بَعْدِي أَنْ تُشْرِكُوا وَلَكِنْ أَخَافُ أَنْ تَنَافَسُوا فِيهَا

"แท้จริงบรรดาคลังกุญแจแห่งแผ่นดินได้ถูกมอบให้แก่ฉัน และแท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า หลังจากที่ฉันเสียชีวิตไปแล้ว ฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะทำชิริก แต่ทว่าฉันกลัวว่าพวกท่านจะแข่งขันกันชิงดีชิงเด่นบนผืนแผ่นดิน" รายงานโดยบุคอรีย์ (3329)

รายงานจากท่านญาบิร เขากล่าวว่า

سَمِعْتُ النَّبِيَّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏يَقُولُ ‏ ‏ إِنَّ الشَّيْطَانَ قَدْ أَيِسَ أَنْ يَعْبُدَهُ الْمُصَلُّونَ فِي ‏ ‏جَزِيرَةِ الْعَرَبِ ‏ ‏وَلَكِنْ فِي ‏ ‏التَّحْرِيشِ ‏ ‏بَيْنَهُمْ

"ฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า แท้จริงชัยฏอนนั้นได้สิ้นหวังให้บรรดาผู้ทำการละหมาด(คือบรรดามุสลิมีน) ทำการกราบไหว้มัน(คือทำชิริก)ในคาบสมุทรอาหรับ แต่มันพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างพวกเขา" รายงานโดยมุสลิม (5030)

http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?PHPSESSID=21623b534eb83953844277753a872694&topic=3549.msg27440;topicseen#new
................................................

โต๊ะครูอัลอัลอัซอารีย์ อ้างหะดิษข้างต้น โดยเข้าใจว่า นบี Solallah บอกว่า หลังจากสมัยนบี Solallah คนอาหรับไม่มีการทำชิริก และกล่าวหา ดร.อับดุลลอฮ หนุ่มสุข ที่ระบุ ว่าท่านมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ทำสงครามกับการทำชิริกในคาบสมุทรอาหรับนั้นเป็นเรื่อง เท็จ ไม่จริง

อัลอัชอัชฮารี พยายามบิดเบือนหะดิษข้างต้น เพื่อโจมตี มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ทีพวกตั้งฉายาว่า “วะฮบีย อัลอัลอัซฮารี บอกว่า นบี Solallah ได้สาบานรับรองแล้วว่า คนในโลกอาหรับไม่ทำชิริก เพราะฉะนั้น การที่มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ อ้างว่า คนอาหรับในสมัยของท่าน ทำชิริก เป็นการโกหกต่อท่านนบี  Solallah นะอูซุบิลละฮ ทั้งๆหะดิษต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่า ต่อไปในอนาคต ยังมีชาวอาหรับทำชิริก บูชาเทวรูป

عن أبي هريرة-رضي الله عنه- أن رسول الله-صلى الله عليه وسلم- قال: لا تقوم الساعة حتى تضطرب أليات نساء دوس حول ذي الخلصة، وكانت صنما تعبدها دوس في الجاهلية بتبالة

รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ว่า รซูลุ้ลลอฮ กล่าวว่า “วันกิยามะฮจะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่า สะโพกของบรรดาผู้หญิงเผ่าเดาส์ จะส่ายอยู่รอบๆซิลอัลเคาะเศาะฮ และมันเป็นรูปปั้นที่เผ่าเดาส์เคยเคารพบูชามันในสมัยญาฮิลียะฮ อยู่ที่ตะบะละฮ (เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในยะมัน) – หะดิษรายงานโดย บุคอรี ,มุสลิมและอิหม่ามอะหมัด

...............
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คนที่โกหก ไม่ใช่ ท่านมุหัมหมัดบิดอับดุลวะฮับ และไม่ใช่ ดร. อับดุลลอฮ หนุ่มสุข แต่เป็น นายอัลอัซอารีย์ โต๊ะครูแห่ง เว็บ ซุนนะฮสะติวเด้น


เช็คอิบนุอุษัยมีน ขออัลลอฮเมตตาต่อท่านได้กล่าวว่า

يأس الشيطان أن يعبد في جزيرة العرب لا يدل على عدم الوقوع ؛ لأنه لما حصلت الفتوحات وقوي الإسلام ودخل الناس في دين الله أفواجاً أيس أن يعبد سوى الله في هذه الجزيرة ‏.‏ فالحديث خبر عما وقع في نفس الشيطان ذلك الوقت ولكنه لا يدل على انتفائه في الواقع ‏.‏

ชัยฏอนหมดหวัง ต่อ การที่มันจะได้รับการเคารพภักดีในคาบสมุทรอาหรับ ไม่ได้แสดงบอกว่า มัน จะไม่เกิดขึ้น เพราะ ว่า เมื่อ ได้รับชัยชนะ,อิสลามแข็งแกร่งและบรรดาผู้คนเข้ารับอิสลามเป็นพวกๆ มัน(ชัยฏอน) มันก็หมดหวัง ต่อการที่มันได้รับการเคารพภักดี อื่นจากอัลลอฮ ในคาบสมุทรนี้ เพราะหะดิษ ได้บอกเล่าเกี่ยวกับตัวของชัยฏอน ในเวลานั้น แต่ว่า มันไม่ได้เป็นหลักฐานแสดงบ่งบอกถึง การปฏิเสธว่ามันจะไม่เกิดขึ้น

http://www.al-eman.com/Islamlib/viewchp.asp?BID=353&CID=17


รายงานจากอุกบะฮ์ บิน อามีร เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

وَإِنِّي قَدْ أُعْطِيتُ خَزَائِنَ مَفَاتِيحِ الْأَرْضِ وَإِنِّي وَاللَّهِ مَا أَخَافُ بَعْدِي أَنْ تُشْرِكُوا وَلَكِنْ أَخَافُ أَنْ تَنَافَسُوا فِيهَا

"แท้จริงบรรดาคลังกุญแจแห่งแผ่นดินได้ถูกมอบให้แก่ฉัน และแท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า หลังจากที่ฉันเสียชีวิตไปแล้ว ฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะทำชิริก แต่ทว่าฉันกลัวว่าพวกท่านจะแข่งขันกันชิงดีชิงเด่นบนผืนแผ่นดิน" รายงานโดยบุคอรีย์ (3329)

http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?PHPSESSID=21623b534eb83953844277753a872694&topic=3549.msg27440;topicseen#new
.....................................

หะดิษข้างต้นท่านครู อัลอัชอารี แห่งเว็บซุนนะฮสะติวเด้น เอามาอ้างว่า นบี Solallah สาบานแล้วว่า ต่อไปชาวอาหรับจะไม่ทำชิริก เพื่อโต้แย้งและกล่าวหาว่า ดร. อับดุลลอฮ หนุ่มสุข และ ประวัติการต่อสู้ชิริกของท่านมุหัมหมัดอิบนุวะฮับ นั้น เป็นการมุสา เป็นการกล่าวเท็จต่อนบี Solallah

จึงอยากจะถามว่า เมื่อท่านนบียืนยันว่าต่อไปชาวอาหรับจะไม่ทำชิริก ทำไมท่านจึงสอนให้ระวังเรื่องชิริก เช่น

عن أبي هريرة رضي الله عنه أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: "اجتنبوا السبع الموبقات، قيل: يا رسول الله، وما هن؟ قال: "الشرك بالله، والسحر، وقتل النفس التي حرَّم الله إلا بالحق، وأكل مال اليتيم، وأكل الربا، والتولي يوم الزحف، وقذف المحصنات الغافلات المؤمنات" (متفق عليه

รายงานจากอบีฮุรัยเราะ เราะดิยัลลอฮุอันฮู ว่า แท้จริง รซูลุลลอฮ  Solallah กล่าวว่า "พวกท่านพึงห่างใกลอันตรายเจ็ดประการ ,มีผู้กล่าวว่า " โอ้รซูลุลลอฮ มันมีอะไรบ้าง? ท่านกล่าวว่า " การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ(ชิริก) ,ไสยศาสตร์ ,การฆ่าชีวิตที่อัลลอฮทรงห้าม เว้นแต่กรณีเพื่อความยุติธรรม ,การกินดอกเบี้ย, การกินทรัพย์สินเด็กกำพร้า(โดยมิชอบ) ,การหนีออกจากสนามรบ และการใส่ร้ายหญิงผู้ศรัทธาที่มีคุณธรรมว่า มีชู้ - มุตตะฟักอะลัยฮิ
..........
หะดิษบทนี้ยกเลิกแล้วหรือ เพราะโต๊ะครูอัลอัชอะรีย์ บอกว่า นบี Solallah ยืนยันว่า ต่อไปจะไม่มีชิริกอีกแล้ว เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า การเข้าใจหะดิษข้างต้นของโต๊ะครูอัลอัซอารีย์แห่งซุนนะฮสะติวเด้น ต่อหะดิษที่นำมาอ้าง คือ การไม่เข้าใจหะดิษ เพราะหากเข้าใจ ก็แสดงว่า บิดเบือนหะดิษเพื่อโจมตีพวกที่เขาตั้งฉายาว่าวะฮบีย์ เท่านั้นเอง วัลอิยาซุบิลละฮ

 อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

أَفَمَنْ زُيِّنَ لَهُ سُوءُ عَمَلِهِ فَرَآهُ حَسَنًا

ดังนั้น ผู้ที่ความชั่วแห่งการงานของเขาได้ถูกนำให้เพริศแพร้วแก่เขา แล้วเขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งดีกระนั้นหรือ

อิบนุญะรีร อธิบายว่า


الْقَوْل فِي تَأْوِيل قَوْله تَعَالَى : { أَفَمَنْ زُيِّنَ لَهُ سُوء عَمَله فَرَآهُ حَسَنًا } يَقُول تَعَالَى ذِكْره : أَفَمَنْ حَسَّنَ لَهُ الشَّيْطَان أَعْمَاله السَّيِّئَةَ مِنْ مَعَاصِي اللَّه وَالْكُفْر بِهِ , وَعِبَادَة مَا دُونَهُ مِنَ الْآلِهَة وَالْأَوْثَان , فَرَآهُ حَسَنًا , فَحَسِبَ سَيِّئَ ذَلِكَ حَسَنًا , وَظَنَّ أَنَّ قُبْحه جَمِيل , لِتَزْيِينِ الشَّيْطَان ذَلِكَ لَهُ

คำพูดในการอรรถาธิบาย คำตรัสของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า (ดังนั้น ผู้ที่ความชั่วแห่งการงานของเขาได้ถูกนำให้เพริศแพร้วแก่เขา แล้วเขาเห็นว่ามันเป็นสิ่งดีกระนั้นหรือ) อัลลอฮ ผู้ซึ่งการสดุดีพระองค์นั้นสูงส่ง ตรัสว่า “ ผู้ที่มารร้ายได้ให้เขาเห็นดีเห็นงามกับบรรดาการงานที่ชั่วของพวกเขา จากการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ ,การปฎิเสธศรัทธาต่อพระองค์ ,การอิบาดะฮสิ่งอื่นอื่นจากพระองค์ จากบรรดาพระเจ้าจอมปลอมและรูปเจว็จ แล้วเขาเห็นว่ามันดี กระนั้นหรือ ,เขาคิดว่าความชั่วดังกล่าว เป็นเรื่องดี กระนั้นหรือ และพวกเขาเข้าใจว่า ความน่าเกลียดของเขา เป็นสิ่งสวยงาม เพราะมารร้าย(ชัยฏอน) ยุยงให้เขาเห็นดีเห็นงามในเรื่องดังกล่าว - ตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย ซูเราะฮ ฟาฏิร อายะฮที่ 8

ข้างบนเป็นการตัฟสีรของนักตัฟสีรชาวสะลัฟ ผู้ทรงธรรม

.......................

ส่วนข้างล่างคือ การตัฟสีรที่ อะชาอีเราะฮอนด้า แห่งซุนนะฮสะติเด้น เอามาสัปเปลี่ยน ประโยคก่อนไว้หลัง ประโยคหลังไว้ก่อน เพื่อจะได้ยัดเยียดความชั่วให้กับท่านมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮอับ

ท่าน อิมาม อัช-ชัยค์ อัศ-ศอวีย์ กล่าวไว้ในตัฟซีร ของท่าน ว่า

وَقِيْلَ هَذِهِ الأيَةُ نَزَلَتْ فِىْ الخَوَارِجِ الَّذِيْنَ يُحَرِّفُوْنَ تَأْوِيْلَ الكِتَابِ وَالسُّنَّةِ وَيَسْتَحِلُّوْنِ بِذَلِكَ دِمَاءَ الْمُسْلِمِيْنَ وأَمْوَالَهُمْ كَمَا هُوَ مُشَاهَدٌ الآنَ فِيْ نَظَائِرِهِمْ وَهُمْ فِرْقَةٌ بِأَرْضِ الحِجَازِ يُقَالُ لَهُمُ الْوَهَّابِيَّةُ يَحْسِبُوْنَ أَنَّهُمْ عَلىَ شَيْءٍ أَلاَ إِنَّهُمْ هُمُ الْكَاذِبُوْنَ

"ถูกกล่าวว่า อายะฮ์นี้ ถูกประทาน เกี่ยวกับพวกค่อวาริจญฺ ซึ่งที่พวกเขา ได้ทำการบิดเบือนกับการตีความอัลกุรอานและซุนนะฮ์ โดยที่พวกเขาได้ทำการหะลาลเลือดและทรัพย์สินของบรรดามุสลิมมีน ด้วยกับสิ่งดังกล่าว เสมือนที่ได้ปรากฏเห็นในปัจจุบัน(คือในสมัยของท่านอัศ-ศอวีย์) โดยที่พวกเขาเหล่านั้น คือชนกลุ่มหนึ่ง ที่อยู่ ณ แผ่นดินหิญาซฺ (แถบนัจญฺดีย์ มักกะฮ์ และมะดีนะฮ์ ปัจจุบัน) ซึ่งพวกเขาถูกเรียกว่า กลุ่มวะฮาบียะฮ์ พวกเขาคิดว่าตนเองอยู่บนสิ่งหนึ่ง(ที่เป็นสัจจะธรรม) แต่พึงทราบเถิดพวกเขาคือบรรดาผู้ที่โกหกมุสา" ดู ฮาชียะห์อัศ-ศอวีย์ อธิบายซูเราะฮ์ อัล-ฟาฏิร อายะฮ์ที่ 6 ตีพิมพ์ที่ มุสตอฟา อัล-หะละบีย์ และฮาชียะฮ์ อัศศอวีย์ 3/307-308 ตีพิมพ์ ที่โรงพิมพ์อัลมัชชัดอัลฮุซัยนีย์

…..

ข้อความเดิมมีดังนี้



وقيل: هذه الآية نزلت في الخوارج الذين يحرفون تأويل الكتاب والسنة، ويستحلون بذلك دماء المسلمين وأموالهم، كما هو مشاهد الآن في نظائرهم، وهم فرقة بأرض الحجاز يقال لهم: الوهابية، يحسبون أنهم على شيء ألا إنهم هم الكاذبون

และมีผู้กล่าวว่า อายะฮนี้ ถูกประทานลงมา เกี่ยวกับพวกเคาะวาริจญ ที่พวกเขา ได้ทำการบิดเบือนกับการตีความอัลกุรอานและซุนนะฮ์ โดยที่พวกเขาได้ทำการหะลาลเลือดและทรัพย์สินของบรรดามุสลิมมีน ด้วยกับสิ่งดังกล่าว เสมือนที่ได้ปรากฏเห็นในปัจจุบันโดยที่พวกเขาเหล่านั้น คือชนกลุ่มหนึ่ง ที่อยู่ ณ แผ่นดินหิญาซฺ) ซึ่งพวกเขาถูกเรียกว่า กลุ่มวะฮาบียะฮ์ พวกเขาคิดว่าตนเองอยู่บนสิ่งหนึ่ง(ที่เป็นสัจจะธรรม) แต่พึงทราบเถิดพวกเขาคือบรรดาผู้ที่โกหกมุสา

...........

นายฮอนด้า จากเว็บซุนนะฮสะติวเด้น ได้พยายามสอดใส้วงเล็บ ให้คนเขาใจว่า เป็นความเห็นของอิหม่ามศอวีย์ ทั้งๆที่ท่านเอง ได้กล่าวว่า “มีผู้กล่าวว่า” คือ ไม่ใช่ความเห็นของท่าน แล้วท่านก็ได้นำคำพูดของอะชาอีเราะฮสุดโต่งบางคนมากล่าวอ้าง โจมตีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับพวกเขา ว่า”วะฮบีย์” ว่าเป็นพวกโกหก นี้คือความเลวระยำของโต๊ะครูอะชาอีเราะฮ ที่พยายามหาความชั่วใส่ร้ายท่านมุหัมหมัดบินอับดุลวะฮับ การบิดเบือนอายะฮอัลกุรอ่านเพื่อมาสนองตอบอารมณ์

นายฮอนด้า แห่ง ซุนนะฮสะติวเด้น นำตัฟสีรศอวีย์มาอ้าง สำหรับตัฟสีรดังกล่าวนั้น มีฟัตวาดังนี้

السؤال: ما حكم اعتماد ما في تفسير الصاوي و الخازن من شطحات وإسرائيليات؟
الجواب: الصاوي ليس له تفسير مستقل، إنما له حاشية على تفسير الجلالين، وهذه الحاشية إنما هي منطبعة بتخصصه هو، وقد كان رحمه الله موغلاً في التصوف، وفي ثقافة أهل زمانه، ولذلك أتى بشطحات كثيرة، وبأمور مخالفه، حتى رد بعض الأحاديث الصحيحة بمجرد عادات، فلذلك لا يؤخذ بما خالف الشرع مما أتى به،

ถาม : การยึดเอาสิ่งที่อยู่ในตัฟสีรอัศศอวีย์ และอัลคอซิน จากบรรดาสิ่งที่เกินความเป็นจริงและอิสรออีลียาตนั้น มีหุกุมอย่างไร

ตอบ

อัศศอวีย์ นั้น เขาไม่ได้มีตัฟสีร ที่เป็นเอกเทศของเขาเอง แต่ความจริง เขามี แค่คำอธิบายที่อยู่ขอบหนังสือตัฟสีรอัลญะลาลัยนฺ และ อัลฮาชิยะฮ(คำอธิบาย)นี้ ความจริง มันคือ สิ่งที่ถูกพิมพ์ เฉพาะเขาเองเท่านั้น และแท้จริง ปรากฏว่าเขาเป็นผู้ที่คลั่งใคล้ในวิชา ตะเศาวูฟ และ ในวัฒนธรรมของคนในยุคของเขา และเพราะเหตุดังกล่าว เขาได้ นำเอาเอาบรรดาคำพูดที่เกินความเป็นจริงมากมายและ บรรดาสิ่งที่ขัดแย้งของเขา มานำเสนอ จนกระทั่งได้คัดค้านกับบรรดาหะดิษเศาะเฮียะบางส่วน ด้วยอาศัย(หลักฐาน)แค่ประเพณีเท่านั้น เพราะดังกล่าวนั้น จึงไม่ควรนำเอาสิ่งที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติ จากสิ่งที่เขาได้นำเสนอ.....

http://www.aldoah.com/upload/showthread.php?t=11705

.............

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ท่านศอวีย์นำเสนอนั้น อาจจะด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของท่าน และท่านคงไม่ปราถนาที่จะก่อฟิตนะฮให้แก่ท่านมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ขออัลลอฮอภัยแก่ท่าน


รายงานจากนาเฟียะ จากอิบนุอุมัร ว่า

‏أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏قَالَ ‏ ‏اللَّهُمَّ بَارِكْ لَنَا فِي ‏ ‏شَامِنَا ‏ ‏اللَّهُمَّ بَارِكْ لَنَا فِي ‏ ‏يَمَنِنَا ‏ ‏قَالُوا وَفِي ‏ ‏نَجْدِنَا ‏ ‏قَالَ اللَّهُمَّ بَارِكْ لَنَا فِي ‏ ‏شَامِنَا ‏ ‏وَبَارِكْ لَنَا فِي ‏ ‏يَمَنِنَا ‏ ‏قَالُوا وَفِي ‏ ‏نَجْدِنَا ‏ ‏قَالَ هُنَاكَ الزَّلَازِلُ وَالْفِتَنُ وَبِهَا ‏ ‏أَوْ قَالَ مِنْهَا ‏ ‏يَخْرُجُ ‏ ‏قَرْنُ الشَّيْطَانِ
แท้จริงรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองชามของเราด้วยเถิด โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองเยเมนของเราด้วยเถิด" เหล่าซอฮาบะฮ์ถามว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ แล้วในเมืองนัจด์ของเราล่ะ? ท่านร่อซูลจึงกล่าวว่า "โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองชามของเราด้วยเถิด โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองเยเมนของเราด้วยเถิด" เหล่าซอฮาบะฮ์ถามว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ แล้วในเมืองนัจด์ของเราล่ะ? ท่านร่อซูลุลลอฮ์จึงกล่าวว่า "ที่นั่น(คือที่เมืองนัจด์)มีแผ่นดินไหว มีบรรดาฟิตนะฮ์ที่นั้น หรือ ท่านกล่าวว่า เขาของชัยฏอนได้ขึ้นที่นั่น - บันทึกโดย อัตติรมิซีย์

.............................

คำว่า “ นัจญด์” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง แคว้นนัจญด์ในปัจจุบัน แต่เป็น ประเทศอีรัก ดังคำอธิบายต่อไปนี้

อัลมุบาเราะกาฟูรีย์ กล่าวว่า

. قَالَ الْخَطَّابِيُّ : نَجْدٌ مِنْ جِهَةِ الْمَشْرِقِ وَمَنْ كَانَ بِالْمَدِينَةِ كَانَ نَجْدُهُ بَادِيَةَ الْعِرَاقِ نَوَاحِيَهَا وَهِيَ مَشْرِقُ أَهْلِ الْمَدِينَةِ , وَأَصْلُ النَّجْدِ مَا اِرْتَفَعَ مِنْ الْأَرْضِ وَهُوَ خِلَافُ الْغَوْرِ فَإِنَّهُ مَا اِنْخَفَضَ مِنْهَا وَتِهَامَةُ كُلُّهَا مِنْ الْغَوْرِ وَمَكَّةُ مِنْ تِهَامَةَ , اِنْتَهَى قَالَ الْحَافِظُ بَعْدَ نَقْلِ كَلَامِ الْخَطَّابِيِّ هَذَا وَعُرِفَ بِهَذَا وَهُوَ مَا قَالَهُ الدَّاوُدِيُّ إِنَّ نَجْدًا مِنْ نَاحِيَةِ الْعِرَاقِ فَإِنَّهُ تَوَهَّمَ أَنَّ نَجْدًا مَوْضِعٌ مَخْصُوصٌ وَلَيْسَ كَذَلِكَ , بَلْ كُلُّ شَيْءٍ اِرْتَفَعَ بِالنِّسْبَةِ إِلَى مَا يَلِيهِ يُسَمَّى الْمُرْتَفِعَ نَجْدًا وَالْمُنْخَفِضَ غَوْرًا اِنْتَهَى

อัลคอ็ฏฏอบีย์ กล่าวว่า “ คือ เมือง นัจญด์ ทางด้านทิศตะวันออก และ ผู้ที่อยู่ที่นครมะดีนะฮ ประกฎว่า นัจด์ ของเขาคือ พื้นที่ของอิรัก อนาเขตของอีรัก คือ ทิศตะวันออกของชาวมะดีนะฮ และที่มาของคำว่า “อัลนัจด์คือ พื้นที่สูงจากแผ่นดิน และมันตรงกันข้ามกับคำว่า “อัลเฆารุ” เพราะมันคือ พื้นที่ต่ำจากแผ่นดิน และติฮามะฮ ทั้งหมดของมัน เป็นส่วนหนึ่งของ อัลเฆารุ และนครมักะฮ เป็นส่วนหนึ่งของติฮามะฮ . อัลหาฟิซ(อิบนุหะญัร) ได้กล่าวหลังจากที่ได้รายงานคำพูดของ อัลคอฏฏฮบีย์นี้ ว่า และที่รู้กันด้วย ความหมายนี้ และมันคือ สิ่งที่ อัดเดาดีย์ ได้กล่าวมันไว้ ว่า แท้จริง คำว่า “นัจด์” เป็นส่วนหนึ่งของอณาเขตของอีรัก แท้จริงได้มีการเข้าใจว่า “นะญัจดฺ” คือสถานทีที่เฉพาะ ทั้งๆที่ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ทว่า “ ทุกพื้นที่ที่สูง เมื่อเทียบกับบริเวณใกล้เคียง พื้นที่ที่สูงนั้น ก็จะถูกเรียกว่า “นัจด์” และ พื้นที่ที่ต่ำ จะถูกเรียกว่า “เฆาะรุน” .จบคำพูด - ดู ตุหฟะตุลอะหวะซีย์ อธิบายหะดิษอัตติรมิซีย หะดิษหมายเลข 3888

............

เพราะฉะนั้น โตะครูเว็บสะติวเด้นพุ่งเป้าไปที่บ้านเกิดของท่านอิหม่ามมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ว่า เป็นตัวก่อฟิตนะฮ มันเป็นการใส่ร้ายที่น่าอดสูที่สุด

เช็คอัลบานีย์กล่าวว่า

فيستفاد من مجموع طرق الحديث أن المراد من نجد في رواية البخاري ليس هو الإقليم المعروف اليوم بهذا الاسم ، وإنما هو العراق ، وبذلك فسره الخطابي والحافظ ابن حجر العسقلاني
ผลที่ได้จากการรวมบรรดาหะดิษหลายๆกระแสนั้น แท้ จริงความหมาย คำว่า “นัจด์” ในรายงานของอัลบุคอรีนั้น ไม่ใช่ แคว้นที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน ด้วยชื่อนี้ และความจริง มันคือ อีรัก และด้วยดังกล่าว อัลคอฏฏอบีย์และ อัลหาฟิซอิบนุหะญัรอัลอัสเกาะลานี้ย์ได้อธิบายไว้ - ดู คำอธิบายของอัลบานีย์ ในหนังสือ ฟะฎออิลุชชามวะดะมัสกัส ของอบีอัลหะซัน อัรเราะบิอีย์ หน้า 26

.........

และหะดิษจากท่านอิบนุอุมัรเช่น กันว่า คำว่า "นัจดฺ" หมายถึง อีรัก คือ

عن ابن عمر رضي الله عنهما أنه سمع رسول الله صلى الله عليه وهو مستقبل المشرق يقول : ألا إن الفتنة ها هنا ، ألا إن الفتنة هاهنا ، ألا إن الفتنة هاهنا ، من حيث يطلع قرن الشيطان . رواه الشيخان
รายงานจากอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ว่า เขาได้ยินรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พร้อมกล่าวว่า “ พึงทราบไว้เถิด แท้จริง ฟิตนะฮ อยู่ที่นี่ , “ พึงทราบไว้เถิด แท้จริง ฟิตนะฮ อยู่ที่นี่, “ พึงทราบไว้เถิด แท้จริง ฟิตนะฮ อยู่ที่นี่ จากที่ที่เขาของชัยฎอน ขึ้น – รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม

.........

และหะดิษข้างต้น ก็ไม่ได้หมายความว่า "คนอีรักเลวทุกคน" อย่างที่ถูกกล่าวหาคนในบ้านเกิดของท่านมุหัมหมัดและท่านมุหัมหมัด บินอับดุลวะฮับ ว่า สร้างฟิตนะฮ

วัสสลาม

 มาดูฟัตวา เพิ่มเติม

عن ابن عمر قال صلى الله عليه وسلم اللهم بارك لنا في شأمنا اللهم بارك لنا في يمننا قالوا وفي نجدنا قال اللهم بارك لنا في شأمنا وبارك لنا في يمننا قالوا وفي نجدنا قال هناك الزلازل والفتن وبها أو قال منها يخرج قرن الشيطان)ومعنى نجد المرتفع من الأرض وفي روايةأخرى أيضا عن ابن عمر قال رأيت رسول الله صلى الله عليه وسلم يشير بيده يؤم العراق ها ان الفتنة ههنا ها ان الفتنة ههنا ثلاث مرات من حيث يطلع قرن الشيطان )فوضح المطلوب حيث أن العراق أرفع من جزيرة العرب فكانت تسميها نجدا والله اعلم

รายงานจากอุมัรว่า

แท้จริงรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองชามของเราด้วยเถิด โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองเยเมนของเราด้วยเถิด" เหล่าซอฮาบะฮ์ถามว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ แล้วในเมืองนัจด์ของเราล่ะ? ท่านร่อซูลจึงกล่าวว่า "โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองชามของเราด้วยเถิด โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองเยเมนของเราด้วยเถิด" เหล่าซอฮาบะฮ์ถามว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ แล้วในเมืองนัจด์ของเราล่ะ? ท่านร่อซูลุลลอฮ์จึงกล่าวว่า "ที่นั่น(คือที่เมืองนัจด์)มีแผ่นดินไหว มีบรรดาฟิตนะฮ์ที่นั้น หรือ ท่านกล่าวว่า เขาของชัยฏอนได้ขึ้นที่นั่น )

ความหมายคำว่า "นัจด" คือ พื้นที่สูง จากพื้นดิน(ที่ราบสูง) และมีรายงานหนึ่งจากอิบนุอุมัรกล่าวว่า

ฉันเห็นรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ชี้มือของท่านไปที่ อิรัก แล้วกล่าว่า "ฟิตนะฮเกิดขึ้นที่นี่,

ฟิตนะฮเกิดขึ้นที่นี่, ฟิตนะฮเกิดขึ้นที่นี่ กล่าวสามครั้ง จากที่ขึ้นของเขาของชัยฏอน) ดังนั้น เป้าหมายที่ต้องการ นั้นชัดเจน เพราะ อีรัก เป็นพื้นที่สูงกว่า คาบสมุทรอาหรับ ดังนั้น มันจึงถูกเรียกว่า "นัจด์"

วัลลอฮุอะลัม

https://www.ftawa.ws/fw/showthread.php?t=1995

ดูหนังสือ تخريج أحاديث فضائل الشام ودمشق للربعي หะดิษหมายเลข 8 หน้า 9

.............

เพราะฉะนั้น มันไม่ได้เจาะจงถิ่นกำเนิดของ เช็ค มุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ที่พวกอะชาอีเราะฮแห่งเว็บสะติวเด้น ต้องการทำลาย


อะชาอีเราะฮ พยายาม บิดเบือนหะดิษโดยพยายามโยงท่านอิหม่ามมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮับ ว่า เป็นต้นตอของฟิตนะฮ ว่า ถิ่นกำเนิดของวะฮบีย์ คือ ที่มาของฟิตนะฮ โดยคุณไม่สนใจว่า "คำว่า "นัจด์" ที่ว่า หมายถึง เมืองอะไร

ลองมาดูหะดิษ

وعن ابن عمر قال صلى رسول الله صلى الله عليه وسلم الفجر ثم أقبل على القوم فقال اللهم بارك لنا في مدينتنا وبارك لنا في مدنا وصاعنا اللهم بارك لنا في شامنا ويمننا فقال رجل والعراق يا رسول الله قال من ثم يطلع قرن الشيطان وتهيج الفتن رواه الطبراني في الأوسط ورجاله ثقات

รายงานจากอิบนุอุมัร ว่า รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ละหมาดฟัจญัร(ละหมาดศุบฮิ) หลังจากนั้นก็ได้หันหน้าไปทางกลุ่มคน แล้วกล่าวว่า

โอ้อัลลอฮ ได้โปรดประทานความจำเริญ แก่พวกเราในมะดีนะฮของพวกเรา และได้โปรดประทานความจำเริญแก่พวกเรา ในมุดของพวกเราและศออฺ ของพวกเรา ,โอ้อัลลอฮ ได้โปรดประทานความจำเริญแก่พวกเราในชามของพวกเราและในเยเมนของพวกเรา แล้วมีชายคนหนึ่งกล่าวว่า "ในอีรักด้วยโอ้ ท่านรซูลุลลอฮ ท่านรซูลุลลอฮจึงกล่าวว่า " ที่นั้น เขาชัยฏอน ขึ้นมาทางนั้น และฟิตนะฮ จะเกิดขึ้น(จนเกิดการปั่นป่วน) - รายงานโดยอัฏฏอ็บรอนีย์ ในอัลเอาสอ็ฏ และบรรดาผู้รายงานเชื่อถือได้ - ดู มัจญมัวะอัซซะวาอิด เล่ม 3 หน้า 305

.....

หะดิษข้างต้นและมีอีกหลายๆหะดิษที่ยืนยันว่า "นัจด์" ในหะดิษ คือ อีรัก ซึ่ง ท่านฮาฟิซ อิบนุหะญัร และอัลคอฏฏอบีย์ ก็ ได้ยืนยัน

รายงานจากสาลิม บิน อับดุลลอฮ บิน อุมัร กล่าวว่า

‏ ‏ ‏يَا أَهْلَ ‏ ‏الْعِرَاقِ ‏ ‏مَا أَسْأَلَكُمْ عَنْ الصَّغِيرَةِ وَأَرْكَبَكُمْ لِلْكَبِيرَةِ ‏ ‏سَمِعْتُ ‏ ‏أَبِي ‏ ‏عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عُمَرَ ‏ ‏يَقُولُا ‏

‏سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏يَقُولُ ‏ ‏إِنَّ الْفِتْنَةَ تَجِيءُ مِنْ هَاهُنَا وَأَوْمَأَ بِيَدِهِ نَحْوَ الْمَشْرِقِ مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنَا الشَّيْطَانِ وَأَنْتُمْ يَضْرِبُ بَعْضُكُمْ رِقَابَ بَعْضٍ
รายงานจากสาลิม บิน อับดุลลอฮ บิน อุมัร กล่าวว่า “โอ้ชาวอีรัก” คำถามพวกท่านเกี่ยวกับ เรื่องเล็กช่างมากมายเสียจริง และ ท่านกระทำผิดใหญ่โตที่พวกท่านทำ ช่างมากมายเสียจริง .. ! ฉันได้ยิน บิดาของฉัน คืออับดุลลลอฮ บิน อุมัร กล่าวว่า “ฉันได้ยิน รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ แท้จริง ฟิตนะฮ มาจากที่นี่ ท่านได้ชี้ไปทางทิศตะวันออก จากที่ที่สองเขาของชัยฎอนปรากฏขึ้นมา และพวกท่าน ก็จะบั่นคอซึ่งกันและกัน (หมายถึงการรบราฆ่าฟันกัน) – รายงานโดยมุสลิม(5172)

.........

อิบนุตัยมียะฮกล่าวว่า

هذه لغة أهل المدينة النبوية فى ذاك الزمان ، كانوا يسمون أهل نجد والعراق أهل

المشرق " انتهى

นี้คือ ภาษาของชาวอาหรับนครมะดีนะตุลมุเนาวะเราะฮ ในสมัยนั้น ปรากฏว่าพวกเขา เรียกชาวนัจด์ และชาวอิรักว่า “ชาวตะวันออก” – ดู มัจญมัวะฟะตาวา เล่ม 27 หน้า 41

...............

หวังว่า หะดิษข้างต้นย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า นัจด์ ในหะดิษหมายถึง แผ่นดินอีรัก แต่.. ไม่ได้หมายถึงพี่น้องชาวอีรักทุกคนเลว นะครับ และหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันว่า คนที่เอาหะดิษบุคอรี เรื่อง ฟิตนะฮ ไปใส่ร้ายอิหม่ามมุหัมหมัดนั้น คือ คนที่บิดเบือนหะดิษเพื่อสนองอารมณ์

อัลหาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า

" كان أهل المشرق يومئذ أهل كفر ، فأخبر صلى الله عليه وسلم أن الفتنة تكون من تلك

الناحية ، فكان كما أخبر ، وأول الفتن كان من قبل المشرق ، فكان ذلك سببا للفرقة

بين المسلمين ، وذلك مما يحبه الشيطان ويفرح به ، وكذلك البدع نشأت من تلك الجهة

ปรากฏว่า ชาวตะวันออก ในเวลานั้น เป็นชาวกุฟุร ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงได้บอก ว่า ฟิตนะฮ เกิดขึ้นจากสถานที่ดังกล่าว แล้วมันก็เกิดขึ้น ตามที่ท่านนบีได้บอกไว้ และ เริ่มแรก ฟิตนะฮ เกิดขึ้นทางด้านตะวันออก แล้ว ฟิตนะฮดังกล่าวนั้น เป็นสาเหตุให้เกิดความแตกแยกในระหว่างมุสลิม และดังกล่าวนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ชัยฏอนชอบและยินดีด้วยมัน และ ในทำนองเดียวกันนั้น บิดอะฮ ได้เกิดขึ้น จากทิศดังกล่าว - ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 47

....................

ข้างต้น เป็นการยืนยัน จาก ท่านหาฟิซอิบนุหะญัร ว่า ฟิตนะฮ เกิดขึ้นที่แผ่นดินชาวตะวันออก อันหมายถึงอีรัก ตามที่ได้ระบุมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ ทีมโต๊ะครูแห่งเว็บสุนนะฮสะติวเด้น พยายามที่จะบอกว่า “หมายถึง ดินแดนถิ่นกำเนิดวะฮบีย์ นี้คือ อคติและความอาฆาตแค้นที่ส่งผลให้คนพยายามบิดเบือนหะดิษเพื่อทำลายคนอื่น วัลอิยาซุบิลละฮ

เรียบเรียงโดย อาจารย์อะซัน หมัดอะดั้ม



เมื่อทัศนะผู้รู้ขัดแย้งกับสุนนะฮนบี เราจะเลือกทางใด




          ผู้รู้ไม่ว่าจะระดับใด ย่อมมีถูก มีผิด  และมีการผิดพลาดในการวินิจฉัย  แล้วถ้าเขามีทัศนะไม่ตรงกับสุนนะฮ  เราจะตามใคร และเลือกทางใด

و عن سالم بن عبد الله بن عمر قال: إني لجالس مع ابن عمر رضي الله عنه في المسجد، إذ جاءه رجلٌ من أهل الشام فسأله عن التمتع بالعمرة إلى الحج؟ فقال ابن عمر: حسن جميل، فقال: فإن أباك كان ينهى عن ذلك؟ فقال: ويلك، فإنْ كان أبي قد نَهَى عن ذلك، و قد فعله رسول الله صلى الله عليه وسلم و أمر به، فبقول أبي تأخذ، أم بأمرِ رسول الله صلى الله عليه وسلم؟! قال: بأمر رسول الله صلى الله عليه وسلم، فقال: فقُمْ عني (6

รายงานจาก สาลิม บุตร อับดุลลอฮ บุตร อุมัร เขากล่าวว่า " แท้จริงข้าพเจ้าได้นั่งอยู่กับ ท่านอิบนิอุมัร ในมัสยิด ปรากฏว่า มีชายคนหนึ่ง จากชาวเมืองชาม มาหาเขา แล้วถามเกียวกับการทำหัจญตะมัตตัวะ ท่านอิบนุอมัรกล่าวตอบว่า " ดีและสวยงาม" แล้วเขา(ชายผู้นั้น)กล่าวว่า " ความจริงพ่อของท่าน(หมายถึงอุมัร)ได้ห้ามเรื่องดังกล่าวไว้นะ ? ท่านอิบนุอุมัรกล่าวว่า"เสียหายแล้วละท่าน ! แล้วถ้าหากพ่อของฉันได้ห้ามเรื่องนั้น แต่ความจริง ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯได้ปฏิบัติและได้สั่งเอาไว้ แล้วท่านจะเอาคำพูดขอพ่อฉันหรือ คำสั่งของท่านรซูลุลลอฮ(สอลฯ มายึดถือล่ะ ? เขา(ชายผู้นั้น)ตอบว่า" (ข้าพเจ้า)เอาคำสั่งของรซูลุลลอฮ ศอลฯ มายึดถือ แล้วเขา(อิบนิอุมัร)กล่าวว่า "ดังนั้นจงลุกขึ้นไปเสียจากฉัน
 - 6-إسناده صحيح ، رواه الطحاوي في شرح معانى الآثار (1/272) وأبو يعلى في مسنده ، انظر مقدمة صفة الصلاة للعلامة الألباني (ص32) .
.................................................
หะดิษข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าใครก็ตามหากมีทัศนะไม่ตรงกับสุนนะฮของท่านรอซูล เขาก็ต้องเอาสุนนะฮรอซูล ศอลฯ มาปฏิบัติ ไม่ใช่ตักลิดตามผู้อื่น
อิหม่ามชาฟิอี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
أجمع المسلمون على أنَّ مَن استبان له سُنَّةٌ عن رسول الله صلى الله عليه وسلم لم يحل له أنْ يَدَعها لقول أحد
บรรดามุสลิมต่างก็มีมติเอกฉันท์ว่า ผู้ใดที่สุนนะฮจากรซูลุลลอฮ ศอลฯ ได้ปรากฏชัดเจนแก่เขาแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้เขาละทิ้งมัน(สุนนะฮ) เพื่อไปเอาคำพูดของคนหนึ่งคนใด
الفلاني ص 68
อิมามชาฟิอีย์เคยพูดไว้ว่า
إِذَا وَجَدْتُمْ فِي كِتَابِي خِلافَ سُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقُولُوا بِسُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَدَعُوا مَا قُلْتُ
ความว่า "เมื่อพวกท่านพบในตำราของฉันแตกต่างกับสุนนะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ ดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตาม สุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺเถิด และจงทิ้งสิ่งที่ฉันพูด
- มะริฟะฮ สุนันวัลอะษาร ของ อัลบัยหะกีย หะดิษ หมายเลข ๑๐๙

ท่านอิหม่ามนะวาวีย์ระบุในอัลมัจญมัวะว่า

وَكَانَ جَمَاعَةٌ مِنْ مُتَقَدِّمِي أَصْحَابِنَا إذَا رَأَوْا مَسْأَلَةً فِيهَا حَدِيثٌ ، وَمَذْهَبُ الشَّافِعِيِّ خِلَافُهُ عَمِلُوا بِالْحَدِيثِ

และ มีคณะหนึ่งจากสหายของเรายุคก่อน เมื่อพวกเขาเห็นในประเด็นใดมีหะดิษ และมัซฮับชาฟิอีย์ ขัดแย้งกับหะดิษ พวกเขาก็ปฏิบัติตามหะดิษ – ดูอัลมัจญมัวะ เล่ม 1 หน้า 105

والله أعلم بالصو

อะสัน  หมัดอะดั้ม


วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การเยี่ยมกุบูรฺตามซุนนะฺฮฺ

ตอบโดย อ.ปราโมทย์  ศรีอุทัย


คำถาม

1.การเยี่ยมกุบูรฺ (ซิยาเราะฮฺกุบูรฺ) ตามซุนนะฺฮฺ ต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง? การขอดุอาอ์ให้ชาวกุบูรฺขณะเยี่ยมต้องทำอย่างไร นั่ง หรือยืน หันหน้าไปทางไหน?

2.การเอาแป้ง หรือน้ำที่บรรจุในกาน้ำ(ที่เขาเรียกว่าน้ำดุอาอ์)รดตามหินที่ระหว่างหลุมศพ(ตาหนา) นั้น เพื่ออะไร ผลเป็นอย่างไรบ้าง?

ตอบ

ข้อแรก ซุนนะในการซิยาเราะฮ์กุบูรฺ (แปลว่า เยี่ยมกุบูรฺ) มีอยู่แค่ 2 ประการคือ ให้สล่ามแก่ชาวกุบูรฺ และอ่านดุอาอิสติฆฟารฺ(ขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์)ให้พวกเขา ซึ่งในการซิยาเราะฮ์กุบูรฺนี้การยืนน่าจะสะดวกกว่าการนั่งครับ การกระทำที่อื่นจากสล่ามและอิสติฆฟารฺเหมือนดังที่ชาวบ้านทั่วๆไปกระทำกันไม่ใช่ซุนนะฮ์ครับ ส่วนมารยาทในการขอดุอา - ไม่ว่าดุอาอะไร - ควรจะหันไปทางกิบลัตครับ ...

คำถามข้อที่สอง เรื่องการใช้ "น้ำเย็นธรรมดา" รด "บนหลุมศพ" หลังจากฝังเสร็จใหม่ๆกรณีถ้าหลุมนั้นเป็นดินทรายหรือดินร่วม นักวิชาการให้เหตุผลว่า เพื่อให้ดินนั้นจับตัวแน่น ไม่ยุบตัว แค่นั้นเอง ไม่มีเหตุผลใดมากไปกว่านี้ .. เพราะฉะนั้น ที่มีผู้กระทำกันอย่างที่เล่ามา ผมก็ไม่ทราบว่า เขากระทำกันด้วยเหตุผลอะไรและเอาข้อมูลมาจากไหน ? ...

สำหรับการทำความสะอาดกุบูรฺ เช่นการตัดต้นไม้ที่เกะกะหรือตัดกิ่งไม่หนามในกุบูรฺออก แม้ไม่มีในซุนนะฮ์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ อินชาอัลลอฮ์ เพราะเป็นการให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้ไปซิยาเราะฮ์กุบูรฺท่านอื่นและตอนนำมัยยิตไปฝัง .

ส่วนหญ้าและต้นไม้ที่ปักตรงหลุมฝังมัยยิตในกูบูรฺเขาอิสติฟาร์ให้ชาวกูบูรฺนั้น ไม่มีหลักฐานหรอกครับว่า ต้นไม้ ต้นหญ้าอะไรในกุบูรฺ จะ "อิสติฆฟารฺ" ให้คนตาย นอกจากเป็นความเข้าใจของนักวิชาการบางท่านเกี่ยวกับการที่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นำก้านอินทผลัมสองซีกปักบนหลุมศพสองหลุมที่กำลังถูกทรมานแล้วเข้าใจว่า ก้านอินทผลัมสดนั้นจะกล่าว "ตัสเบี๊ยะห์" ให้คนตาย ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวนี้ ขัดแย้งกับข้อความชัดเจนของหะดีษเดียวกันอีกกระแสหนึ่งจากการบันทึกของท่านมุสลิม จากท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮ์ ร.ฎ. ที่ระบุว่า การที่ผู้ตายในหลุมได้รับผ่อนปรนการทรมาน เกิดจากชะฟาอะฮ์และดุอาของท่านนบีย์ มิใช่เกิดจากก้านอินทผลัมสดกล่าวตัสเบี๊ยะห์ให้ ...






วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ความจริงเบื้องหลังสงคราม - ‘หากลูกชายข้าพเจ้าไม่ต้องการสงคราม ก็จะไม่มีสงคราม’



บทที่ 5 - ความจริงเบื้องหลังสงคราม - ‘หากลูกชายข้าพเจ้าไม่ต้องการสงคราม ก็จะไม่มีสงคราม’


‘หากลูกชายข้าพเจ้าไม่ต้องการสงคราม ก็จะไม่มีสงคราม’ [1] คือคำในช่วงท้ายชีวิตของ Gutle Schnaper Rothschild ภรรยา ของ Mayer Amschel Rothschild ผู้ซึ่งนิตยสาร Forbes กล่าวถึงในฐานะ ‘บิดาแห่งการธนาคารโลก’ โดยลูกชาย 5 คนของทั้งสองได้ขยายการควบคุมทางการเงินและอำนาจเหนือการเมืองยุโรป ตามที่ 1 ในลูกชายนั้น Baron Nathan Mayer Rothschild ได้แสดงไว้ ‘ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าหุ่นเชิดใดจะมานั่งบัลลังก์ของอังกฤษเพื่อปกครองราชอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ผู้ใดควบคุมเงินหมุนเวียนของอังกฤษ ผู้นั้นควบคุมราชอาณาจักรอังกฤษ และข้าพเจ้าคือผู้ควบคุมเงินหมุนเวียนของอังกฤษ’[2] หรือ ‘ผู้ใดควบคุมการพิมพ์เงินตรา ผู้นั้นควบคุมรัฐบาล’ [3] โดยตระกูล Rothschildได้รับสิทธิการพิมพ์เงินตราของอังกฤษ ได้ควบคุมการเงินของยุโรป ได้คุมโลกตะวันตก พร้อมเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสร้างสงครามต่างๆมาแต่ไหนแต่ไร โดยไม่ว่าจะสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ สงครามโลกครั้งที่ 3 ที่กำลังจะปะทุขึ้น กลุ่มทุนธนาคาร Zionist เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างชักใยทั้งสิ้น
Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกฝ่ายในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยธนาคาร Rothschild แห่งเยอรมนีเป็นผู้ปล่อยกู้ให้เยอรมัน ธนาคาร Rothschild แห่งอังกฤษเป็นผู้ปล่อยกู้ให้อังกฤษ ธนาคาร Rothschild แห่งฝรั่งเศสเป็นผู้ปล่อยกู้ให้ฝรั่งเศส [4]
จุดหมาย และ การกระทำของกลุ่มทุนธนาคาร Zionists ที่สำเร็จไปในสงครามโลกครั้งที่ 1
(1.1) ล้มพระเจ้า Tsar แห่ง Russia และเปลี่ยนให้เป็นระบบ Communist ทำลายศาสนา วัฒนธรรม
(1.2) อังกฤษยึด Palestine และ ตกลงให้เป็นดินแดนของชาวยิว
(1.3) หลอกหักหลัง ทำลายเยอรมนีครั้งที่ 1
(1.1) พระเจ้า Tsar Nicholas I แห่ง Russia ได้มองชาวยิวเป็นภัยต่อสังคม และได้สร้างกฎหมายกีดกันชาวยิวหลายข้อ ทำให้ชาวยิวต้องอพยพจำนวนมาก ซึ่ง Tsar Nicholas II ได้รักษาไว้ [5] และจากการที่ตระกูล Romanov ได้กีดกันความประสงค์ของ Rothschild และกลุ่มทุนธนาคาร Zionists ที่ต้องการจัดตั้งธนาคารในRussia Zionist ยิวได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติที่ Russia ทั้งทางด้านเงินทุน และการก่อตั้ง โดยนายธนาคาร Wall Street Jacob Schiff (Zionist) ได้นำ Leon Trotsky (ชื่อจริงยิวคือ Lev Bronstein) ไป New York ในปี 1916 และ ได้ให้ทุนเป็นทองมูลค่า $ 20 ล้าน (ปัจจุบันเป็นพันล้าน) เพื่อก่อการปฏิวัติ โดยนอกจาก Trotsky และ Lenin แล้ว ผู้นำ Bolshevik รวมถึง Grigory Zinoviev, Yakov Sverdlov, Lev Kamenev (aka Rozenfeld), Karl Radek, Leonid Krassin, Alexander Litvinov, and Lazar Kaganovich เป็นชนชาติยิวที่มีบทบาทโดดเด่นในการปฏิวัติทั้งสิ้น [6] และ กลุ่มของ Zionist ยิว อีก 6 คน Aron Solts, Yakov Rappoport, Lazar Kogan, Matvei Berman, Genrikh Yagoda, and Naftaly Frenkel ต่อมาได้ไปสร้างและคุมการฆ่าล้างชาวคริสและผู้ไม่ใช่ยิวหลายสิบล้านคน
(1.2) ตลอดสงครามจน 1917 กลุ่ม Zionist ได้สนับสนุนฝ่าย เยอรมัน เพราะอังกฤษ กับ ฝรั่งเศส อยู่ฝ่ายรัสเซีย จนหลัง Tsar Nicholas II ได้สละราชสมบัติไปแล้วโดยขณะนั้น ยังไม่มีทหารชาติอื่นได้บุกรุกเข้าไปเหยียบเยอรมนีเลยแม้คนเดียว ทางเยอรมันได้ยื่นข้อเสนอยุติสงครามแก่อังกฤษโดยไม่มีการปรับโทษใดๆ ในระหว่างที่อังกฤษพิจารณาอยู่ นายหน้าของทุน Zionist Louis Brandeis ได้ส่งคณะไปเจรจากับอังกฤษโดยสัญญาจะนำสหรัฐเข้ามาสู้ร่วมกับอังกฤษในสงคราม แลกเปลี่ยนกับการที่อังกฤษจะต้องยก Palestine ให้ Rothschild ซึ่งในวันที่ 2 พฤศจิกายนรัฐมนตรีต่างประเทศได้เขียนจดหมายถึง Lord Rothschild เรียกว่า Balfour Declaration [8] แสดงการตกลงกับ Rothschild ยก Palestine ให้เพื่อเป็นที่อยู่ของชาวยิว 1 เดือนก่อนที่อังกฤษจะยึด Palestine ทั้งหมดสำเร็จ
(1.3) ทั้งที่ก่อนหน้านี้กลุ่ม Zionist ได้สนับสนุนเยอรมันนี้ ในฐานะเป็นประเทศที่เมตตาที่สุดประเทศหนึงกับชาวยิว โดยให้ความเสมอภาคกับชาวเยอรมันเอง พร้อมได้ให้ที่พักพิงกับชาวยิวที่อพยพหนีมาจาก Russia ทันทีที่ Rothschild ได้ตกลงเกี่ยวกับ Palestine หนังสือพิมพ์ในสหรัฐที่ถูกควบคุมโดยชาวยิวก็เริ่มแต่งเรื่องประโคมข่าวใส่ร้ายเยอรมันว่า ฆ่านางพยาบาล Red Cross บ้าง ตัดมือเด็กทารกบ้าง เพื่อหลอกปลุกปั้นประชาชนอเมริกันให้ต่อต้านเยอรมัน ในที่สุดจากการหักหลังของ Rothschild เยอรมันต้องแพ้สงครามจ่ายค่าเสียหายมากมายจนเศรษฐกิจล้มสลายพินาศ

จุดหมาย และ การกระทำของกลุ่มทุนธนาคาร Zionists ที่สำเร็จไปในสงครามโลกครั้งที่ 2
(2.1) ทำลายเยอรมนี พร้อม National Socialist ระบบเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่จะกลายเป็นคู่แขนงเหนือ Capitalist และ Communist ระบบทั้ง 2 ของทุน Zionist
(2.2) ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจชาวยิว ทำให้ Zionism แข็งแกร่งเพื่อยึด Palestine สร้างเป็นรัฐ Israel
(2.3) ทำให้ Communist แข็งแกร่ง แพร่กระจาย โลกเป็น 2 ขั้ว บีบให้ชาติต่างๆต้องเลือกขั้ว
(2.1) หลังพ่ายสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีต้องจ่ายค่าเสียหายมากมายให้กับผู้ชนะ เมื่อจ่ายได้ไม่หมด ฝรั่งเศสก็ได้เข้ามายึดพื้นที่ต่างๆพร้อมทรัพยากร ทางเยอรมันเอง เมื่อไม่เหลือทองคำในคลังเลย ไม่มีหลักคํ้าเงินสกุล Mark เงิน Mark นั้นถูกทุบลงไปเรื่อยๆจนกลายเป็นเศษกระดาษที่ไม่มีค่า จากปี 1918 มีมูลค่า 5.2 Mark ต่อ 1 USD ต่อมาในปี 1921 มีมูลค่า 64.9 Mark ต่อ 1 USD และ ในที่สุดในปี 1923 มีมูลค่า เพียง 4.2 ล้านล้าน Mark ต่อ 1 USD ขนมปังหนึ่งโหลมีราคา 2 ล้านล้าน Mark เงินสะสมของประชาชนทุกคนหมดค่ากลายเป็นศูนย์ ในเวลาเดียวกันกลุ่มทุนยิวมองว่าเป็นโอกาสทองในการทำกำไรโดยการลงทุนที่ตํ่า การปล่อยกู้เก็บดอกเบี้ยสูงอันส่งผลให้เกิดบังคับขาย สูญเสียทรัพย์สินของผู้กู้ชาวเยอรมันให้กับกลุ่มทุน Zionist ที่ได้เข้ามาครอบงำทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สื่อ พร้อมทั้งการทำลายวัฒนธรรมของชาวเยอรมัน
ภายหลังการจงใจล้มตลาดทุน Wall Street ใน 1929 กระทำโดยกลุ่มของ Rockefeller JPMorgan Rothschilds ที่ได้ทำลายธนาคารเล็กๆในสหรัฐ 16,000 แห่ง โดยทุนใหญ่ของพวกตนได้ถอนตัวออกก่อนการ กว้านซื้อทุกอย่างในราคาที่ถูก สหรัฐได้เรียกหนี้คืนจากเยอรมันภายใน 90 วัน อันส่งผลให้เยอรมันเป็นประเทศที่ล้มละลายโดยสมบูรณ์ อุตสาหกรรมต่างๆล้มกัน การว่างงานจาก 650,000 คนในปี 1928 ขึ้นมาเป็น 3 ล้านคนในปี 1930 สูงสุดในปี 1933 มีการว่างงานระหว่าง 6-7 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชายทั้งสิ้น ไม่มีเงินสำหรับอาหาร เสื้อผ้า การทำความอุ่นในครัวเรือนตนเอง
เมื่อ Hitler ได้เข้ามามีอำนาจ ประเทศไม่มีเงินในคลังเลย แต่มีปัญหาคนว่างงาน 6-7 ล้านคน Hitler ได้เน้นระบบเศรษฐกิจเพื่อประชาชน และ ‘Autarky’ หรือเศรษฐกิจพึ่งพาตนเอง (Self-Sufficient) พร้อมได้สร้างความสามัคคีระหว่างแรงงานและผู้จ้างงาน โดยเมื่อผ่านไป 2 ปี ครึ่ง ปัญหาการว่างงานได้ลดลงไปมาก และภายใน 5 ปี เขาได้ขจัดปัญหาการว่างงานในเยอรมนีโดยสิ้นเชิง
การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ Hitlerได้กระทำโดยปราศจากเงินจากกลุ่มทุนธนาคาร Zionist แม้แต่น้อย เขาสร้าง Autobahn ทางหลวงเยอรมนีจากวัสดุผลิตในเยอรมันล้วนๆ เขาได้ร่วมออกแบบรถ Volkwagen แปลว่า ‘รถของประชาชน’ โดยรถเต่าทองนี้เป็นรถที่มีการสร้างมากที่สุดในโลก สำหรับการผลิตเสื้อผ้า ในเมื่อการซื้อฝ้าย (Cotton) จำเป็นต้องซื้อโดยการใช้ USD ภายใต้ Hitler จึงได้มีการคิดค้นผลิตผ้า Rayon ขึ้นมา โดยการนำขนแกะเยอรมันมาผลิต ภายใน 4 ปี Hitler ได้สร้างบ้าน 1.5 ล้านหลัง โดยให้ประชาชนสามารถผ่อนได้ 10 ปี หากมีลูก 1 คนให้ลดหนี้ลง 25% หากมีลูกถึง 4 คน ให้ยกเลิกหนี้ทั้งหมด โดยเขาเชื่อว่าครอบครัวที่ใหญ่จะมีการจับจ่ายมาก จะมีการจ่ายภาษีคุ้มกับการลดปลดหนี้ ปรากฏว่าภายในไม่กี่ปี การเก็บภาษีของรัฐเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว สำหรับแรงงานผู้เช่าอาศัย ค่าเช่าจะอยู่ไม่เกิน 1 ใน 8 ของรายได้ต่อเดือน และเป็นครั้งแรกในโลกที่แรงงานสามารถพาครอบครัวไปเที่ยวพักร้อนต่างประเทศ โดย Hitler ได้สร้างเรือ Cruise หลายลำเพื่อให้แรงงานชาวเยอรมันสามารถไปเที่ยวได้ในราคาที่ถูก โดยส่วนใหญ่เรือ Cruise จะไปตามเกาะแถบสเปน สำหรับผู้ให้แรงงานทั่วไป เปรียบเทียบกับก่อน Hitler เข้ามา มีรายได้มากกว่าเดิม 2 เท่าโดยค่าเงินยังคงเดิม
Hitler ได้ฟื้นเศรษฐกิจเยอรมนีกลับมาเป็นมหาอำนาจอย่างรวดเร็วอัศจรรย์ สร้างระบบการค้าของเยอรมันโดยไม่ใช้ USD เลย แต่จะเน้นในการ Barter แลกเปลี่ยนเป็นหลัก จากระบบนี้เองที่ กลุ่ม Anglo - American Zionist Banksters เสียผลประโยชน์ กลัวว่าเยอรมันที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นแบบอย่างเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศอื่นทั่วโลก แทนระบบที่พวกตนเองควบคุม จึงกลายเป็นระบบที่ Zionist จำเป็นต้องทำลายเสีย โดยในการประกาศสงคราม Jewish World Congress ของยิว 14 ล้านคน เป็นผู้เริ่มประกาศสงครามกับเยอรมนี พร้อมการควํ่าบาตร ไม่ใช่ Hitler อังกฤษ ที่รับใช้ Zionist เป็นผู้ประกาศสงครามกับเยอรมนี ไม่ใช่ Hitler และ อังกฤษเป็นผู้เริ่มทิ้งระเบิดใส่พลเรือน ไม่ใช่ Hitler และ เป็นผู้ไม่ยอมเจรจายุติสงครามทั้งที่ Hitler ได้เสนอหลายต่อหลายครั้ง จากคำพูดของ Churchill ที่รับใช้ Zionist เขาได้ยืนยันเจตนาอย่างชัดเจน ตามที่ได้กล่าวกับ Lord Robert Boothby ‘ความผิดอย่างให้อภัยไม่ได้ของเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ การพยายามปลีกอำนาจทางเศรษฐกิจของตนเองออกจากระบบการค้าของโลก และสร้างระบบใหม่ที่จะทำให้ระบบการเงินโลกเสียโอกาสในการทำกำไร’ [9] สาเหตุหลักในการสร้างสงครามไม่ใช่อื่นใดนอกจากนี้ คือการที่ทุนธนาคาร Zionist จะเสียประโยชน์การผูกขาดควบคุมระบบการเงินโลก ให้แก่ระบบที่ดีกว่าและไม่อยู่ภายใต้การผูกขาดนั้นเอง
(2.2) หลังได้คำสัญญาใน Palestine จากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือการสร้างรัฐ Israel ซึ่งก็ได้เกิดขึ้นตามแผนในปี 1948 โดยวิธีการก็คือการการสร้างเรื่องเท็จที่ไม่ได้เกิดขึ้น หรือ เรื่องเกินจริงต่างๆในสงคราม เพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจชาวยิว เพื่อสร้างแรงสนับสนุนใน Zionism ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อ กลบเกลื่อนการการฆ่าฟันล้างเผ่าพันธุ์ ยึดดินแดนจากชาว Palestine (บทที่ 7 - อีก 2 ตอน ผู้เขียนจะเข้าไปในรายละเอียดพร้อมเปิดโปงการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 นี้) และการรับเงินจำนวนมากทุกทุกปีที่มาสร้างประเทศใหม่ของ Rothschild ซึ่ง Walther Rothschild ได้สถานะเป็น ‘บิดาแห่ง Israel’ [10] โดยเงินค่าชดเชย Reparation จำนวนมากที่ได้จากเยอรมันนีได้สามารถเลี้ยงประชากร สร้างประเทศ ซื้ออาวุธลํ้าสมัยเหนือเพื่อนบ้านมากมาย นอกจากนี้แล้ว จากการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ หลอกลวงสร้างความสงสารอย่างต่อเนื้อง แม้ผ่านไป 70 ปี รัฐปรสิต Israel นี้ยังสามารถดูดงบประมาณปีละ $US 3 พันล้าน จากภาษีประชาชนชาวอเมริกันมาทุกปี ยังไม่รวมอาวุธที่ได้ฟรีอย่างมากมาย และกำลังจะเพิ่มเป็นปีละ $US 4.5 พันล้าน [11]
(2.3) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิด 2 ขั้วอำนาจในโลก คือ โลกของ Capitalist และ Communist ซึ่งเป็นระบบที่กลุ่มทุน Zionists ได้สร้างทั้งสอง โดย Communist เป็นระบบที่จะไม่สามารถแข่งขันได้และได้ล้มก่อน แต่ในระหว่างนั้น ก็ได้ทำหน้าที่ในการทำลายล้างศาสนา และ วัฒนธรรมตามเจตนาของ Zionists อย่างกว้างขวาง และการมี 2 ขั้ว หมายถึงการสามารถบังคับให้ต้องเลือก ให้เห็นระบบ Capitalist พร้อมแบบแผนของ Globalization เป็นสิ่งที่ควรเดินตาม โดยทุนธนาคาร Zionist ได้ใช้แพร่อิทธิพลครอบงำยึดครองประเทศเหล่านั้น
‘โลกนี้ถูกคุมโดยบุคคลซึ่งแตกต่างอย่างมาก จากที่นึกคิดกันโดยผู้ที่ไม่ได้อยู่หลังฉาก’ Benjamin Disraeli นายกรัฐมนตรีอังกฤษ 2 สมัย [12]
24/07/2558
ป.ล. การต้องการทำลายประเทศที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้ระบบการเงินของ Zionist ที่ได้เกิดขึ้นกับ Hitler ในสมัยนั้น กำลังแสดงความชัดเจนมากอย่างมาก ณ ปัจจุบัน โดยใน “National Military Strategy of the United States of America 2015” ที่ Pentagon เพิ่งประกาศ โดยแสดงถึงการที่ประเทศเช่น China และ Russia แม้สหรัฐยอมรับว่าไม่ได้จะบุกรุกสหรัฐ แต่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคง เพราะมีความเป็นเอกเทศ ไม่ยอมอยู่ภายใต้ระบบของ Zionist สามารถอ่านได้ http://news.usni.org/…/document-2015-u-s-national-military-…
อ้างอิง
[1] "If my sons did not want wars, there would be none." Gutle Schnapper Rothschild http://quotationsbywomen.com/authorq/23404/
[2] "I care not what puppet is placed upon the throne of England to rule the Empire on which the sun never sets. The man who controls Britain's money supply controls the British Empire, and I control the British money supply" Baron Nathan Mayer Rothschild http://quotes.liberty-tree.ca/…/Nathan.Mayer.Rothschild.Quo…
http://www.globalresearch.ca/who-really-controls-th…/5445239
[3] Who controls the issuance of money controls the government!
Nathan Meyer Rothschild http://www.brainyquote.com/…/authors/n/nathan_meyer_rothsch…
[4]https://thedaysofnoah.wordpress.com/…/the-rothschild-1901-…/
[5] https://www.jewishvirtuallibrary.org/…/ejud_0002_0015_0_148…
[6] London Times 1919 http://inconvenienthistory.com/…/the_jewish_hand_in_the_wor…
http://www.russianworldforums.com/viewtopic.php?f=28&t=1906
http://www.wildboar.net/…/w…/whofinancedleninandtrotsky.html
http://www.truthcontrol.com/russian-revolution
[7] Aleksandr Solzhenitsyn (Nobel Peace Prize for literature) https://thedaysofnoah.wordpress.com/…/the-rothschild-1901-…/
[8] https://en.wikipedia.org/wiki/Balfour_Declaration
[9] Germany’s unforgivable crime before the second world war was her attempt to extricate her economic power from the world’s trading system and to create her own exchange mechanism which would deny world finance its opportunity to profit. (Churchill to Lord Robert Boothby, as quoted in: Sidney Rogerson, Propaganda in the Next War (Foreword to the second edition 2001).)
http://en.metapedia.org/wiki/Winston_Churchill
[10] http://www.sweetliberty.org/issues/israel/roth-israel.html
[11] http://www.rt.com/news/262505-israel-military-aid-us/
[12] ‘ The world is governed by very different personages from what is imagined by those who are not behind the scenes’.Benjamin Disraeli http://www.brainyquote.com/q…/quotes/b/benjamindi136330.html
http://www.goodreads.com/…/74751-the-world-is-governed-by-v…


จาก ความจริงที่เขาปิดบัง ความเท็จที่เขาหลอกลวง





Winston Churchill ปีศาจอาชญากรสงคราม ที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นวีรบุรุษ



บทที่ 4 ' ประวัติศาสตร์จะเมตตาข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะเขียนเอง ' - Winston Churchill ปีศาจอาชญากรสงคราม ที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นวีรบุรุษ

Winston Churchill เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในฐานะวีรบุรุษแห่งอังกฤษ แต่ ‘ความจริงที่ไม่สะดวก’ (Inconvenient Truth) คือ เขาคือปีศาจไร้มนุษยธรรม ตัวจริงที่ผลักดันทุกวิธีให้การฆ่าฟันสงครามโลกเกิดขึ้นและไม่ยอมให้จบสิ้น เขาคือหุ่นเชิดที่รับใช้กลุ่มทุนธนาคาร Zionist เป็นสมาชิกยาวนานขององค์กร Freemason [1] ที่ได้เป็นองค์กรของ Zionist มาเนินนาน มีพฤติกรรมเหยียดชนชาติ กระหายสงครามแบบโหดเหี้ยมไร้ความอารี กระทำเพื่อประโยชน์ของทุน Zionist เป็นอันดับสูงสุด สหราชอาณาจักรเป็นรอง
‘ข้าพเจ้าเกลียดชาวอินเดีย พวกเขาเป็นคนเยี่ยงสัตว์ และมีศาสนาเยี่ยงสัตว์’ [2] Churchill ได้กล่าวกับ Leo Amery รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศประจำอินเดีย และ ในปี 1943 เมื่อเกิดการขาดแคลนอาหารในอินเดียอย่างรุนแรง เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษได้บังคับให้ชาวอินเดียเลิกปลูกข้าว ให้ไปปลูกปอกระเจาเพื่อทำกระสอบทรายแทน แม้จะมีการขอร้องขอเสบียงฉุกเฉิน Churchill ได้เมินเฉยต่อคำร้องขอครั้งแล้วครั้งเล่า จนเป็นเหตุให้ชาวอินเดียต้องเสียชีวิตไปจำนวนระหว่าง 1-3 ล้านคน แม้ทาง Australia USA เสนอจะช่วยเหลือ แต่ Churchill ได้อ้างว่าไม่มีเรือ อันไม่ได้เป็นความจริงเลย โดยหลักฐานปัจจุบันปรากฏว่ามีการเดินเรือขนธัญพืชจาก Australia ผ่านอินเดียไปแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีอาหารสมบูรณ์อยู่แล้วจำนวนมาก [3]
เมื่อทราบถึงการที่มหาตมะ คานธีได้เริ่มกระทำอริยะขัดขืน Churchill ได้กล่าว ‘ควรผูกมือเท้าไว้กับประตูเมืองกรุงเดลี และให้ผู้ว่าคนใหม่ขี่ช้างไปเหยียบเสีย’[4] เขาเกลียดคานธีมากและแสดงการดูถูกเสมอ [5]โดยหลังคานธีถูกจับขังข้อหาประนามการที่อินเดียไปเกี่ยวข้องกับสงครามกับ Hitler และเรียกร้องการอริยะขัดขืน ระหว่างที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรปล่อยคานธีออกมา หลักฐานที่มีการเปิดเผยภายหลังชี้ Churchill ไม่เห็นด้วยกับการปล่อย แต่เห็นว่าหากคานธีจะอดอาหาร ควรปล่อยให้ตายไป [6]
ตั้งแต่ก่อนมาเป็นนายกรัฐมนตรี Churchill ได้พยายามยั่วยุให้เกิดปัญหากับเยอรมนี และโจมตีบุคคลต่างๆที่พยายามจะสร้างความเข้าใจกับเธอทางบทความต่างๆของเขา เขาวางแผนที่จะสร้างสงครามกับเยอรมนีมานาน ภายใต้บัญชาของกลุ่มทุน Zionist โดยสาเหตุที่แท้จริง จากคำพูดของ Churchill เองคือ ‘ เยอรมนีกำลังจะแกร่งมากกินไป เราต้องทำลายเธอ’ [7] ที่พูดตั้งแต่ 1936 ก่อนสงคราม หรือ ที่ได้กล่าวกับสมาชิกรัฐสภา Emrys Hughes ช่วงสงครามว่า ‘ท่านต้องเข้าใจว่าสงครามนี้เราไม่ได้ต่อสู้ Hitler หรือ National Socialism แต่เรากำลังต่อสู้กับความแข็งแกร่งของประชาชนชาวเยอรมัน ที่ต้องทำลายให้จบสิ้นไป ไม่ว่าจะอยู่ในมือของ Hitler หรือ จะอยู่ในมือนักบุญก็ตาม’ [8] หรือที่ได้กล่าวกับ Lord Robert Boothby ‘ความผิดอย่างให้อภัยไม่ได้ของเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ การพยายามปลีกอำนาจทางเศรษฐกิจของตนเองออกจากระบบการค้าของโลก และสร้างระบบใหม่ที่จะทำให้ระบบการเงินโลกเสียโอกาสในการทำกำไร’ [9] สาเหตุหลักในการสร้างสงครามไม่ใช่อื่นใดนอกจากนี้ คือการที่ทุนธนาคาร Zionist จะเสียประโยชน์การผูกขาดควบคุมระบบการเงินโลก ให้แก่ระบบที่ดีกว่าและไม่อยู่ภายใต้การผูกขาดนั้นเอง
ในเรื่องของอาชญากรรมสงคราม ไม่มีผู้ใดจะเกิน Churchill ทั้งในการวางแผน สนับสนุน กระทำ และปกป้องการกระทำที่ละเมิดกฎกติกาสงครามอันได้มีการตกลงกันมาระหว่างนานาประเทศ ความจริงเป็นตรงกันข้ามกับความเชื่อที่แพร่ในวงกว้างตามที่พวกเขาต้องการให้เชื่อ คืออังกฤษต่างหาก ไม่ใช่เยอรมนี ที่เป็นฝ่ายเริ่มการทิ้งระเบิดจงใจฆาตกรรมพลเรือน อันเป็นเหตุให้เกิดการตอบโต้ ‘การโจมตีบริเวรต้องห้ามทางอากาศครั้งแรก ได้กระทำโดย 134 British Bombers ใส่เมือง Mannheim ของเยอรมันในวันที่ 16 ธันวาคม...โดยจุดเป้าหมายคือการทำลายใจกลางเมืองให้มากที่สุด’[10]
ความจริงคือ Hitler ได้ทนต่อการทิ้งระเบิดทางอากาศใส่ผลเรือนมาถึง 6 ครั้งในช่วงเวลา 3 เดือน ก่อนที่จะตอบโต้ และได้พยายามหาข้อตกลงกฎเกณฑ์การทิ้งระเบิดกับอังกฤษ รวมถึงการหาข้อตกลงการยุติสงครามโดยเยอรมันพร้อมจะยอมปลดปล่อยฝรั่งเศส โปแลนด์ และ ดินแดนที่ได้ยึดทั้งหมด ยกเว้นส่วนที่เป็นของเยอรมันมาก่อน โดย M.Spaight CB CBE หัวหน้ารัฐมนตรีทางอากาศของอังกฤษได้ยืนยันว่า ‘เราเริ่มทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายในเยอรมนี ก่อนเยอรมันจะเริ่มทิ้งระเบิดใส่บริเตน...Hitler เริ่มทิ้งระเบิดใส่ผลเมืองบริทิชอย่างไม่อยากทำ 3 เดือน หลัง RAF ได้เริ่มทิ้งระเบิดใส่ผลเรือนเยอรมัน Hitler พร้อมที่จะหยุดการฆ่าล้างเสมอ และต้องการอย่างจริงจังที่จะตกลงสัญญากำหนดขอบเขตการสู้รบทางอากาศ’ [11]
Hitler ได้แสดงการรังเกียจการจงใจตั้งเป้าหมายกับพลเรือนอย่างชัดเจน ‘การสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดจะยุติลงหากการทิ้งระเบิดในลักษณะนี้ถูกตราว่าเป็นการกระทำป่าเถื่อนที่ผิดกฎหมาย...หาก Red Cross สามารถหยุดการฆ่าผู้บาดเจ็บหรือนักโทษที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ ก็น่าจะหยุดการทิ้งระเบิดใส่ผลเมืองที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้เช่นกัน’ – Hitler Speech [12] แต่ผู้ที่นิยมในวิธีการสกปรกจงใจทำลายชีวิตประชากรผลเรือน นั้นได้แก่ Churchill ที่มองเป็นกลยุทธ์ ‘สงครามทางอากาศได้เปิดช่องทางให้สามารถนำความตายและความหวาดกลัวเข้าไปลํ้าเส้นของศัตรู สู่ผู้หญิง เด็ก ผู้ชรา ผู้ป่วย ซึ่งในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้แตะต้องเลย’[13]
ตรงกันข้ามกับคำที่โกหกในสภา หลอกลวงชาวอังกฤษและชาวโลกผ่านสื่อต่างๆ ว่าการทิ้งระเบิดนั้นเจาะจงโจมตีเฉพาะโรงงาน และฐานทัพ Arthur Harris เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ‘Harris Bomber’ หรือ ‘Butcher Harris’ ผู้บังคับบัญชากอง Bomber British RAF ผู้โด่งดัง ที่นิยมพูดความจริง ได้ยืนยันในวันที่ 25 ตุลาคม 1943 ‘การทำลายเมืองเยอรมัน การฆ่าแรงงานเยอรมัน การทำลายวิธีชีวิตสังคมเยอรมัน...การทำลายบ้านเรือน สาธารณะอุปโภค การสร้างปัญหาผู้อพยพอย่างไม่เคยมีมาก่อน การทำลายกำลังใจทั้งที่บ้านและในสนามรบโดยความกลัวในการระเบิดที่มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นที่ยอมรับและคือจุดเป้าหมายของนโยบายการทิ้งระเบิดของเรา มันไม่ใช่ผลข้างเคียงของการพยายามโจมตีโรงงาน’ [14] การกระทำป่าเถื่อนนี้ของอังกฤษ Neville Chamberlain อดีตนายกรัฐมนตรีก่อน Churchill ได้ยอมรับว่า ‘ผิดกฎกติกาสากลโดยสิ้นเชิง’ [15]
หากจะยกประโยค ‘ข้าพเจ้าสนับสนุนการใช้ก๊าซพิษ เพื่อฆ่าเผ่าชนที่ไร้วัฒนธรรม’[16] ท่านผู้อ่านที่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวง ตามการหลอกลวงพวก Zionists ไม่ทัน คงนึกว่าเป็นคำของ Adolf Hitler แต่แท้จริงแล้วนี้คือประโยดของ Churchill ปีศาจที่มีแฟนตาซีในการใช้ก๊าซพิษเพื่อฆ่าคนตัวจริง และหากจะพูดถึงการพยายามผลิต Anthrax จำนวนมากเพื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อย่าได้หลงว่าหมายถึง Saddam Hussein เช่นเดียวกัน แต่ก็คือ Churchill คนเดิม โดยหลังได้ทดลองระเบิด Anthrax ในปี 1942 บนเกาะ Guinard ที่กลายเป็นบริเวณอยู่ไม่ได้ไป 40 ปี ได้สั่งการผลิตระเบิด Anthrax 500,000 ลูกจากสหรัฐเพื่อทิ้งคลุมเยอรมนี [17] แต่ระเบิดนี้ไม่ได้มีการใช้ด้วยเหตุว่า ผลิตไม่ทัน และอาจเป็นได้ว่าสหรัฐไม่ต้องการเล่นด้วย ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้ยับยั้งปีศาจกระหายสงครามนี้ในการก่ออาชญากรรมสงคราม โดยเหตุการณ์อันได้ฆ่าผลเรือนบริสุทธิ์มากที่สุดและโหดร้ายที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการจงใจถล่มทิ้งระเบิดไฟใส่ผลเรือนทั้งเมือง Dresdenโดยจำนวนผู้เสียชีวิตในการโจมตีที่ Dresden เมืองเดียวนั้นมากกว่าระเบิด Atomic ที่ Hiroshima และ Nagasaki ทั้ง 2 รวมกัน
จริงแล้วคำว่า Holocaust มีคำแปลคือ ‘การสังเวยโดยไฟ’ และในเหตุการณ์ทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะตรงกับคำนี้มากกว่าพายุไฟที่เกิดขึ้นที่ Dresden เชิญดูภาพเหตุการณ์ link http://postimg.org/image/rhy8tdbhf
Dresden โดยปกติมีพลเมืองประมาณ 6-7 แสนคน และเนื่องจากเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่อยู่อย่างเงียบสงบมาตลอดสงคราม ประชากรจำนวนมากได้อพยพเข้ามา ทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1 ล้านคน โดยในคืนวันที่ 13 กุมพาพันธ์ 1943 ก่อนเข้าวันวาเลนไทน์ เวลา 4 ทุ่ม 9 นาที เวลาทีผู้คนส่วนใหญ่หลบอยู่ อังกฤษและสหรัฐได้โจมตีทางอากาศ โดยภายใน 23 นาทีได้ทิ้งระเบิดไฟรวมทั้งสิ้น 1,400 ตัน ทำให้ทั้งเมืองลุกเป็นไฟ เกิดพายุหมุนไฟอย่างรุนแรงทั้งเมือง พลเมืองทั่วเมืองดิ้นรนในสภาพที่ลุกเป็นไฟ ถูกเผาทั้งเป็น แม้ในอาคารที่ไม่ถูกระเบิดหรือหลุ่มหลบภัยที่น่าจะปลอดภัย การมีอากาศออกซิเจนได้ดูดพายุไฟเข้าไปเผาไหม้ผู้หลบซ่อน หลังการทิ้งระเบิดรอบแรก 3 ชั่วโมงก็ได้มีการทิ้งระบิดรอบ 2 พอเหมาะกับเวลาที่หน่วยพยาบาลที่มาช่วยผู้รอดตายที่ออกมาเพื่อหลบหนี ชิ้นส่วนผู้คนที่ไหม้เกรียมกระจัดกระจายอยู่บนถนนทั่งเมือง เป็นการสังเวยโดยไฟที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงเวลาเพียง 2 คืน ฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดทั้งหมด 7,000 ตัน ทางการเยอรมันประกาศผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 200,000คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ตํ่าดูจากสภาพที่เหลือของเมือง Dresden (บางแห่ลงระบุสูงถึง 500,000 คน) แต่ฝ่ายชนะสงครามนอกจากจะอ้างว่า 200,000 เป็นตัวเลขหลอกลวงแล้ว ยังอ้างว่าได้โจมตีเป้าหมายคือโรงงานเท่านั้น ทั้งที่ 15 ตารางไมล์ของเมืองได้ถูกทำลายไป แต่โรงงานที่อยู่นอกเมืองไม่ได้มีการแตะต้อง รวมทั้งสงครามแล้ว Churchill ได้ทิ้งระเบิดในลักษณะนี้นับแสนตัน ใส่พลเรือนบริสุทธิ์ ทั้งที่ Dresden Cologne Munich เป็นต้น รวมเสียชีวิตไปนับล้าน เจตนาของ Churchill นั้นไม่มีอะไรน่าสับสน ‘ข้าพเจ้าไม่ต้องการคำเสนอว่าจะหยุดเศรษฐกิจหรือเครื่องสงครามอย่างไร สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคำเสนอคือว่าเราจะย่างชาวผู้อพยพเยอรมันที่หลบหนีอย่างไร’[18] แล้วก็ไม่น่าจะสับสนต่อไปว่าฝ่ายใดคือฝ่ายที่ต้องการจะสงบศึก ต้องการจะหยุดการฆ่า และฝ่ายใดที่ไม่ต้องการจะสงบศึก ต้องการจะฆ่า พร้อมทำทุกอย่างเพื่อการรักษาอำนาจโลก
กฎของสงครามตาม Hague Convention II 1899 http://avalon.law.yale.edu/19th_century/hague02.asp
คำถาม:
(1) ทำไม Churchill กระทำอาชญากรรมสงคราม ไม่ถูกดำเนินคดีเป็นอาชญากรสงคราม แต่กลับเป็นวีรบุรุษ?
(2) ทำไมมีฝ่ายพันธมิตรสักรายถูกดำเนินคดี อาชญากรรมต่อมนุษยชาติเลย?
คำตอบอยู่ในคำของ Churchill เอง :
‘ประวัติศาสตร์ถูกเขียนโดยผู้ชนะ’ - Winston Churchill [19]
‘ประวัติศาสตร์จะเมตตาข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะเขียนเอง’ - Winston Churchill [20]
2558/07/05

แหล่งอ้างอิง
[1] List of Freemason (A-D) https://en.wikipedia.org/w…/List_of_Freemasons_(A%E2%80%93D)
[2] "I hate Indians. They are a beastly people with a beastly religion." https://en.wikiquote.org/wiki/Winston_Churchill
[3]http://www.telegraph.co.uk/…/Winston-Churchill-blamed-for-1…
[4] "ought to be lain bound hand and foot at the gates of Delhi, and then trampled on by an enormous elephant with the new Viceroy seated on its back."
http://www.independent.co.uk/…/not-his-finest-hour-the-dark…
[5] http://www.kamat.com/mmgandhi/churchill.htm
[6]http://www.theguardian.com/…/02/secondworldwar.conservatives
[7] "Germany is getting too strong. We've got to smash her." https://books.google.co.uk/books…
[8] You must understand that this war is not against Hitler or National Socialism, but against the strength of the German people, which is to be smashed once and for all, regardless whether it is in the hands of Hitler or a Jesuit priest. (Emrys Hughes, Winston Churchill - His Career in War and Peace, p. 145; quoted as per: Adrian Preissinger, Von Sachsenhausen bis Buchenwald, p. 23.)
https://books.google.co.uk/books…
[9] Germany’s unforgivable crime before the second world war was her attempt to extricate her economic power from the world’s trading system and to create her own exchange mechanism which would deny world finance its opportunity to profit. (Churchill to Lord Robert Boothby, as quoted in: Sidney Rogerson, Propaganda in the Next War (Foreword to the second edition 2001).)
http://en.metapedia.org/wiki/Winston_Churchill
[10] “The first ‘area’ air attack of the war was carried out by 134 British bombers on the German city of Mannheim on the 16 December 1940. The object of this attack, as Air Chief Marshall Peirse later explained, was, ‘to concentrate the maximum amount of damage in the center of the town,” – The Strategic Air Offensive Against Germany. (H. M Stationery Office, London, 1961).
http://www.amazon.co.uk/Strategic-Offensive-Ag…/…/B00627P9E2
[11] “We began to bomb objectives on the German mainland before the Germans began to bomb objectives on the British mainland.”
“Hitler only undertook the bombing of British civilian targets reluctantly three months after the RAF had commenced bombing German civilian targets. Hitler would have been willing at any time to stop the slaughter. Hitler was genuinely anxious to reach with Britain an agreement confining the action of aircraft to battle zones.” – J. M Spaight. CB. CBE. Bombing Vindicated, p.47. Principal Secretary to the Air Ministry.
http://en.metapedia.org/…/Bombing_of_Germany_during_World_W…
[12] ‘The construction of bombing airplanes would soon be abandoned as superfluous and ineffective if bombing as such were branded as an illegal barbarity. If, through the Red Cross Convention, it definitely turned out possible to prevent the killing of a defenseless wounded man or prisoner, then it ought to be equally possible, by analogous convention, and finally to stop the bombing of equally defenseless civil populations.’ - Hitler speech
http://comicism.tripod.com/350521.html
[13] “The air opened paths along which death and terror could be carried far behind the lines of the actual enemy; to women, children, the aged, the sick, who in earlier struggles would perforce have been left untouched.” – Winston Churchill, The Great War. Vol. 3 P1602.
https://books.google.co.th/books…
[14] "The destruction of German cities, the killing of German workers, and the disruption of civilized community life throughout Germany [is the goal]. ... It should be emphasized that the destruction of houses, public utilities, transport and lives; the creation of a refugee problem on an unprecedented scale; and the breakdown of morale both at home and at the battle fronts by fear of extended and intensified bombing are accepted and intended aims of our bombing policy. They are not by-products of attempts to hit factories." -- "Air Marshal Arthur Harris, Commander in Chief, Bomber Commander, British Royal Air Force, October 25, 1943 https://en.wikipedia.org/wiki/Sir_Arthur_Harris,_1st_Baronet
[15] ‘absolutely contrary to International law.’ Neville Chamberlain
https://books.google.co.th/books…
[16] "I am strongly in favour of using poisoned gas against uncivilised tribes"
Winston Churchill's shocking use of chemical weapons http://www.theguardian.com/…/winston-churchill-shocking-use…
[17] Stanford University Education http://cs.stanford.edu/…/projects/chemical-biologica…/uk.htm
Nazi Germany Was Planned Target : Creation of Anthrax Bomb Told
http://articles.latimes.com/1987-01-07/news/mn-2514_1_bombs
[18]"I do not want suggestions as to how we can disable the economy and the machinery of war;
what I want are suggestions as to how we can roast the German refugees on their escape."
- Winston Churchill
source: The Barnes Review, Volume 5. Page 30. 1999.
https://books.google.co.uk/books…
[19] “History is written by the victors.” Winston Churchill
http://www.goodreads.com/…/97949-history-is-written-by-the-…
http://thinkexist.com/…/history_is_written_by_t…/150112.html
[20] “History will be kind to me for I intend to write it.” ― Winston Churchill
http://www.brainyquote.com/q…/quotes/w/winstonchu161247.html
http://www.telegraph.co.uk/…/History-as-written-by-the-vict…


จาก  ความจริงที่เขาปิดบัง ความเท็จที่เขาหลอกลวง




ฆ่าสังหารหมู่ 22,000 คนที่ Katyn - ผู้ชนะใส่ความผู้แพ้ ในความผิดที่ตนเองทำ



บทที่ 3 ฆ่าสังหารหมู่ 22,000 คนที่ Katyn - ผู้ชนะใส่ความผู้แพ้ ในความผิดที่ตนเองทำ


เช่นเดียวกับบทที่ 2 บทที่ 3 เป็นการนำการกระทำของฝ่ายผู้ชนะ ผู้เขียนประวัติศาสตร์ ผู้ตัดสินผู้แพ้ มาแสดง โดยจุดประสงค์ ประเด็นที่ผู้เขียนนำมาเสนอในบทความทั้งสองนั้น มิใช่เพื่อชี้ว่าใครดีใครเลว หรือว่าใครเลวกว่ากัน มิใช่เพื่อโน้มน้าวให้ชอบฝ่ายใดเกลียดชังฝ่ายใด ตามที่ดูเหมือนจะมีบางท่านเข้าใจผิดไป แต่จุดประสงค์ ประเด็น คือการแสดงให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์มิได้มีเวอร์ชั่นเดียว โดยประวัติศาสตร์ที่ส่วนใหญ่ยึดถือเอาแบบฝังใจ คือเพียงประวัติศาสตร์เวอร์ชั่นที่ถูกเขียนโดยผู้ชนะ มีส่วนจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ตามที่ผู้ชนะต้องการให้เชื่อ และสามารถที่จะหลอกให้เชื่อได้ โดยหากจะเข้าใกล้ความจริงโดยแท้ ผู้ศึกษาจำเป็นต้องศึกษาข้อเท็จจริงทุกด้านให้ครบถ้วน ตรวจสอบความจริงของหลักฐาน แล้วจึงเอาไปวิเคราะห์ประมวลเอง มิใช่โดยการยึดเอาข้อมูลด้านเดียวอันเป็นข้อมูลจากผู้ให้ที่มีส่วนได้เสีย ที่ชนะสงคราม บอกให้เชื่อ และการเสนอข้อมูลข้องผู้เขียนซีรีส์นี้ คือการเสนอข้อเท็จจริง พร้อมหลักฐานและที่มา สำหรับให้ท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองและนำไปวิเคราะห์เอง มิได้ให้มาเชื่อตามผู้เขียน ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่าสิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอ คือข้อเท็จจริงที่ขัดกับประวัติศาสตร์ที่ส่วนใหญ่เชื่อกัน โดยท่านผู้อ่านใด หากยึดมั่นถือมั่นในประวัติศาสตร์เวอร์ชันที่ท่านถูกสอนให้เชื่อ ว่าเป็นความจริงโดยสมบูรณ์ไม่มีความเท็จเจือปน ชนิดไม่พร้อมแม้ที่จะรับข้อมูลข้อเท็จจริงอันใด ที่ขัดกับความเชื่อเดิม ไปพิจารณาตรวจสอบก่อนที่จะปฏิเสธ (ตามที่ผู้เขียนได้สังเกตจากการคอมเม้นต์ของบางท่าน) การอ่านบทความของผู้เขียนย่อมไม่สามารถเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านได้เลย แต่จะเป็นประโยชน์ได้เฉพาะกับท่านผู้อ่านที่พร้อมเปิดตา เปิดใจเท่านั้น โดยบทที่ 3 นี้น่าจะชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสามารถเชื่อถือผู้ชนะสงครามที่ได้เขียนประวัติศาสตร์ได้แบบไม่ลืมหูลืมตาหรือไม่ ผู้เขียนประวัติศาสตร์ที่กระทำการโกหกใส่ความผู้แพ้ ปกปิดในความผิดที่พวกตนได้กระทำเอง ดังต่อไปนี้:

Katyn Forest Massacre คือเหตุการณ์การฆ่าสังหารหมู่ที่โด่งดังที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการฆ่าอย่างเลือดเย็น ชาวโปแลนด์ ทั้งผลเรือน และ ทหาร รวม 22,000 คน ในปี 1940 (Link ภาพสภาพพื้นที่เหตุการณ์ http://postimg.org/image/hgd8evskj/)



พื้นที่ดังกล่าวในโปแลนด์ เป็นพื้นที่ที่ทั้งทางเยอรมันและโซเวียต ได้พลัดกันยึดครองตลอดช่วงสงคราม โดยในการเข้ายึดกลับมาครั้งสุดท้ายโซเวียตได้เริ่มทำลายหลักฐาน เช่นทำลายสุสานที่ฝ่าย Nazi ได้อนุญาตให้ทาง Red Cross แห่งโปแลนด์มาทำไว้ และใน 1944 ได้จัดตั้ง ‘Burdenko Commission’ นำโดย Nikolai Burdenko ประธานมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ แห่ง USSR ไปตรวจสอบ ซึ่งได้สรุปว่าเป็นการกระทำของฝ่าย Nazi ในช่วงที่ยึดพื้นที่ในปี 1941 และ หลังเยอรมันได้แพ้สงครามในปี 1945 โซเวียตได้จับทหารเยอรมันหลายนายขึ้นศาลโซเวียตซึ่งได้ตัดสินโทษด้วยการประหารชีวิต และภายหลัง เรื่องการสังหารหมู่ Katyn กลายเป็นเรื่องที่ห้ามพูดถึงในโปแลนด์ อันเป็นพื้นที่ที่โซเวียตคุมหลังสงคราม

โซเวียต สหรัฐ และอังกฤษ ได้ร่วมปกปิดความจริงเรืองนี้มาเป็นเวลาร่วม 50 ปี โดยพวกเขา พร้อมกับสื่อตะวันตกทั้งหลาย ได้โทษ Naziเป็นผู้กระทำ แต่ภายหลังการกดดันโดยนักวิชาการชาวโปแลนด์รวมถึงการประท้วงหลังการเยือนโปแลนด์ของประธานาธิบดี Gorbachev ในปี 1990 ประธานาธิบดี Gorbachev ได้ยอมรับสารภาพว่าเป็นการกระทำของ โซเวียต และในปี 1992 หลังการสลายของสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการ รัฐบาลรัสเซียได้เปิดเผยเอกสารลับ จดหมาย ‘Top Secret’ จาก Beria หัวหน้าตำรวจลับ NKVD ถึง Joseph Stalin ผู้นำโซเวียต ซึ่งพร้อมด้วยสมาชิก Politbureau อีกสามท่าน ได้ร่วมเซ็นชื่อหลังคำว่า ‘Za’ (อนุมัติ) ตามข้อเสนอให้ประหารหมู่ชาวโปแลนด์ 25,700 คน
เชิญดูภาพเอกสารลับการสั่งฆ่าสังหารหมู่โดย Stalin ที่ได้มีการเปิด พร้อมคำแปลจากภาษารัสเซียเป็นภาษาอังกฤษตามได้ link นี้ http://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/8649435.stm
ภายหลัง ในวันที่ 10 กันยายน 2012 สหรัฐเองได้เปิดเอกสารลับ 1,000 หน้า โดยส่วนที่น่าสนใจที่สุด ที่นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายไม่เคยทราบกันมาก่อน คือหลักฐานการที่รัฐบาลสหรัฐภายใต้ Roosevelt ได้รับข้อความลับส่งจากสายลับอเมริกันของตนเอง ที่ได้เคยเข้าไปสำรวจพื้นที่ Katynในปี 1941 พร้อมสายลับอังกฤษ ซึ่งทั้งสองรัฐบาลได้ร่วมปกปิดความจริงของการฆ่าล้างพันธุ์นี้มา โดยข้อความที่กัปตัน Donald B Stewart and พันเอก John Van Vliet ได้ส่งไป ได้แจ้งว่า ‘การสังหารหมู่ (ที่ Katyn) ได้เกิดขึ้นจากฝีมือของโซเวียต มิใช่ Nazi โดย Nazi ไม่ได้เข้าไปยึดพื้นที่นั้นจน 1941’ และเอกสารยังระบุต่อว่า ในการสอบสวนหลังสงครามในปี 1950 กัปตัน Donald B Stewart ยังได้ชี้แจงอีก ว่าเขาได้ประเมิน จากสภาพการย่อยสลายของศพเป็นอย่างมาก ว่าจะต้องเสียชีวิตก่อน Nazi เข้ายึดพื้นที่ในเดือนสิงหาคม 1941 และจากหลักฐานที่พบบนศพ อาทิเช่นจดหมาย และบันทึกต่างๆ ไม่มีชิ้นไหนที่ลงวันที่หลังฤดูใบไม้ผลิของปี 1940 http://www.bbc.com/news/world-europe-19552745
คำถาม:
ยังมีท่านผู้อ่านผู้ใด ที่คิดว่าประวัติศาสตร์ที่ฝ่ายพันธมิตรเขียนหลังสงคราม เขียนตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีการบิดเบือนใส่ร้ายผู้แพ้ โดยไม่มีการปกปิดกลบความผิดพวกตนเอง หรือไม่ ?
23/06/2558
แหล่งอ้างอิง
Excerpts: Beria letter to Stalin on Katyn
http://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/8649435.stm
Minutes of the Politburo of the Central Committee meeting on March 5, 1940, excerpts. http://www.warsawuprising.com/katyn.htm
New evidence appears to back the idea that the Roosevelt administration helped cover up Soviet guilt for the 1940 Katyn massacre of Polish soldiers
http://www.bbc.com/news/world-europe-19552745
New documents on Katyn: Another portion of lies from US?
http://english.pravda.ru/history/14-09-2012/122166-katyn-0/
The Katyn Controversy: Stalin's Killing Field
https://www.cia.gov/…/csi-stu…/studies/winter99-00/art6.html
Katyn Massacre
http://www.newworldencyclopedia.org/entry/Katyn_Massacre
Press Releases 2012
http://poland.usembassy.gov/documents.html


จาก ความจริงที่เขาปิดบัง ความเท็จที่เขาหลอกลวง



ความจริง การฆ่าล้าง ที่ Hiroshima Nagasaki



บทที่ 2 - ความจริง การฆ่าล้าง ที่ Hiroshima Nagasaki


ก่อนที่เราจะไปดูว่าผู้แพ้สงครามได้กระทำความเลวร้ายอะไรไว้ หรือ ไม่ได้กระทำอะไรตามที่ถูกกล่าวหาไว้ เราจะไปดูว่าฝ่ายพระเอก หรือ ผู้ชนะ ที่เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ได้กระทำความเลวร้ายอะไรไว้บ้าง และได้หลอกลวงบิดเบือนอะไร โดยการศึกษาคดีใดก็ตาม จำเป็นต้องศึกษาทั้งจำเลย และโจทย์ โดยเฉพาะในกรณีที่โจทย์เป็นผู้พิพากษาด้วย
นิทานเรื่องหนึ่ง ที่ได้กลายเป็นความเชื่อของคนส่วนใหญ่ คือเรื่องของการทิ้ง ระเบิดปรมาณู 2 ลูกที่ Hiroshima และ Nagasaki ซึ่งมีการเล่าว่ามีความจำเป็นเพื่อการยุติสงคราม โดยได้มีการเผยแพร่ทางหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ว่าหากไม่ได้มีการใช้แล้ว สงครามจะยืดเยื้อไม่ยอมจบสิ้น อันเป็นเหตุต่อการ สูญเสียชีวิตของชีวิตชีวิตของชาวอเมริกันและญี่ปุ่นจำนวนมากมาย ตามคำอ้างของประธานาธิบดี Truman
หลังได้มีการเปิดเผยเอกสารทางการเก่าๆ นิทานเรื่องนี้ได้ถูกทำลายลง นักประวัติศาสตร์จำนวนในปัจจุบันทราบกันมากขึ้นเรื่อยๆแล้วว่า สหรัฐไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ระเบิดปรมาณูเพื่อยุติสงครามกับญี่ปุ่นในปี 1945 พร้อมการยืนยันจากส่วนใหญ่ของผู้นำทางกองทัพ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่สำคัญ ตรงกันข้ามกับประวัติศาสตร์ ที่ได้บันทึกเขียนออกมาหลอกให้สหรัฐดูเหมือนจะเป็นพระเอกที่ได้กอบกู้โลก
ข้อเท็จจริง:
(1) ญี่ปุ่นต้องการยอมแพ้ โดยมีเงื่อนไขข้อเดียว คือการรักษาจักรพรรดิ์ไว้ และ ไม่ให้มีการดำเนินคดี War Crime กับจักรพรรดิ์ และ (2) โดยสถานการทางการทหาร ญี่ปุ่นเสมอแพ้ไปแล้ว (3) สหรัฐทราบทั้งหมดเป็นอย่างดี แต่ เมินต่อข้อเสนอการยอมแพ้ เดินหน้าทิ้ง ‘Atomic Bomb’ เพื่อทดลองของเล่นใหม่ โดยมองว่าจะจะได้ประโยชน์ในการข่มโซเวียตทางการเมือง
(1) จากการเปิดเผยเอกสารในช่วงท้าย Cold War หลักฐานปรากฏว่าญี่ปุ่น ได้มีการเจรจาผ่านทูตที่ Moscow ตั้งแต่เดือนเมษายนของปี 1945 แสดงถึงการที่ญี่ปุ่นต้องการจะยอมแพ้ โดยมีเงื่อนไขข้อเดียว คือการรักษาจักรพรรดิ์ไว้ และ ไม่ให้มีการดำเนินคดีอาชญากรสงครามกับจักรพรรดิ์ โดยทูตญี่ปุ่นประจำที่ Moscow ได้กล่าว ‘ข้อความที่ต้องการการยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไขหรือใกล้เคียง ข้าพเจ้าได้ยกเว้นกรณีการพิจารณาใดๆกับราชวงศ์จักรพรรดิ์’ (L1)
เรื่องความต้องการที่จะยอมแพ้ของญี่ปุ่น ประธานาธิบดี Truman ทราบเป็นอย่างดี เพราะสหรัฐได้ถอดรหัสของญี่ปุ่นมานานแล้ว โดยในวันที่ 28 พฤษภาคม 1945 อดีตประธานาธิบดี Herbert Hoover ได้เข้าพบ Truman และได้กล่าว ‘หากท่าน ในฐานะประธานาธิบดี เพียงประกาศให้ชาวญี่ปุ่นทราบว่าเขาสามารถรักษาจักรพรรดิ์ของเขาไว้ได้ ท่านจะได้ความสงบในญี่ปุ่น สงครามทั้งสองจะจบลง’ (L2) ภายหลัง Hoover ได้ตำหนิ Truman ‘ญี่ปุ่นพยายามเจรจามาตั้งแต่ กุมพาพันธ์ 1945 จนถึงมีการทิ้งระเบิดจักรพรรดิ์ หากเพียงได้สนใจ จะไม่มีเหตุต้องทิ้งระเบิดปรมาณูเลย’ (L3)
ภายหลัง John McLoy รัฐมนตรีช่วยกลาโหมได้กล่าว ‘โดยการไม่ยอมรับข้อเสนอ....เราได้ทิ้งโอกาสในการได้การยอมแพ้ที่เราพอใจ โดยไม่จำเป็นต้องทิ้งระเบิดนั้น’ (L4) ส่วนนายพล MacArthur ผู้บังคับบัญชากองทัพสหรัฐปาซิฟิก ได้กล่าว ‘สงครามอาจจบเร็วกว่านี้ 2 สัปดาห์หากสหรัฐได้ตกลง ซึ่งในที่สุดสหรัฐก็ได้ตกลงยอมอยู่ดี ที่จะให้รักษาสถาบันจักรพรรดิ์ไว้’ แต่ภายหลังการทดลองอาวุธใหม่ที่ได้ฆ่าล้างคนไปหลายแสนแล้ว (L5)
(2) นอกจากจะสามารถจบลงง่ายๆโดยการเจรจาแล้ว United States Strategic Bombing Survey of 1946 ยังสรุปอีกว่า ‘แม้ไม่ใช่ระเบิดปรมาณู ศักยภาพที่เหนือกว่าทางอากาศก็ยังทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ได้โดยไม่จำเป็นต้องบุกทางบก’ และจากการสอบสวนผู้นำทางการทหารของญี่ปุ่นที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ระบุ ‘ญี่ปุ่นจะยอมแพ้อยู่แล้ว แม้ไม่มีการทิ้งระเบิดปรมาณู’ (L6) ซึ่งตรงกับที่บุคคลสำคัญกองทัพ เช่นพลเรือเอก William Leahy ผู้มีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพสหรัฐ ประธาน Joint Chiefs of Staff ได้กล่าว ‘ญี่ปุ่นแพ้ไปแล้วและพร้อมที่จะยอมแพ้ จากการกีดกันทางทะเล และการระเบิดด้วยอาวุธธรรมดา’ (L7) และ นายพล Dwight D. Eisenhower ที่ต่อมาได้เป็นประธานาธิบดี ‘ญี่ปุ่นแพ้ไปแล้วและการทิ้งระเบิดปรมาณูนั้นไม่มีความจำเป็นเลย’ (L8)
(3) จากการมีผู้ไปถามนายพล MacArthur เกี่ยวกับการตัดสินใจทิ้งระเบิดปรากฏว่า ในการตัดสินใจนี้ ไม่ได้แม้แต่มีการปรึกษา เขา ทั้งที่เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพสหรัฐในแถบแปซิฟิก โดยผู้ที่ได้มีร่วมตัดสินใจกับ Truman นั้นคือ Henry Stimson รัฐมนตรีว่าการกลาโหม 'Top Policy Group' ที่ได้ควบคุมโปรเจคระเบิดปรมาณู. ซึ่งเคยบอก Truman ว่าเขา ‘กลัว’ ว่า ‘การโจมตีทางอากาศจะทำให้พื้นดินเละจนอาวุธใหม่ของเขาจะไม่สามารถแสดงพลังให้เห็นได้อย่างชัดเจน’(L9) และภายหลังเขาได้ยอมรับว่า ‘ไม่เคยมีความพยายาม หรือแม้แต่นำมาเรื่องการยอมแพ้มาพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อไม่ต้องทิ้งระเบิดปรมณู’ (L10) โดยนายพล Leslie Groves สหายของ Stimson ที่เป็นกรรมการของ Manhattan Project ที่สร้างระเบิดได้ให้การว่า ‘เราไม่เคยไม่ชัดเจนว่า Russia เป็นศัตรูของเรา และเราได้ดำเนินไปด้วยฐานนี้’ หนึ่งวันหลัง Hiroshima ถูกทำลายล้าง ประธานาธิบดี Truman ได้แสดงความพอใจใน ‘ในความสำเร็จ’ ในการ ‘ทดลอง’ (L11)
‘เราทำให้เขาแพ้ไปแล้ว ด้วยการล้มเรือและตัดอาหาร เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ เราก็รู้ว่าเราไม่จำเป็น เขาก็รู้ว่าเราไม่จำเป็น เราใช่พวกเขาในการทดลองระเบิดปรมาณู 2 ลูก’ (L12) คือตำของนายพล Carter W. Clarke หัวหน้าแผนกกระทำการสอบสวนหน่วย intelligence ที่ Pearl Harbour ได้กล่าว ส่วนนายพล Dwight D. Eisenhower หลังเป็นประธานาธิบดีได้ให้สัมภาษณ์ Newsweek ใน 1963 ได้พูดอีกว่า ‘มันไม่ได้มีความจำเป็นเลยที่จะต้องไปทำร้ายเขาด้วยสิ่งเลวร้ายนั้น การฆ่า การสร้างความหวาดกลัวให้ผลเมือง โดยไม่มีแม้แต่ความพยายามจะเจรจา นี้คืออาชญากรรม 2 ต่อ’ (L13)
คำถามคือ:
หากต้องการให้มีการสูญเสียชีวิตน้อยที่สุดทำไมถึงไม่ยอมเจรจา?
ท่านคิดว่าเป็นอาชญากรรมสงครามหรือไม่?
ท่านมั่นใจในตำราประวัติศาสตร์ที่ได้ปลูกฝังความเชื่อให้ท่านแค่ไหน?
2558/ 06/ 17
ป.ล. ขอแจ้งว่าภาพบนแบนเนอร์ ภาพขวาบนเป็นภาพจริง ส่วนภาพซ้ายเป็นภาพแต่งเดิม
Quote
(L1) “my earlier message calling for unconditional surrender or closely equivalent terms, I made an exception of the question of preserving [the imperial family]”. Soto https://en.wikipedia.org/wiki/Surrender_of_Japan
(L2) On May 28, 1945, Hoover visited President Truman and suggested a way to end the Pacific war quickly: "I am convinced that if you, as President, will make a shortwave broadcast to the people of Japan - tell them they can have their Emperor if they surrender, that it will not mean unconditional surrender except for the militarists - you'll get a peace in Japan - you'll have both wars over." Richard Norton Smith, An Uncommon Man: The Triumph of Herbert Hoover, pg. 347. http://www.doug-long.com/quotes.htm
(L3) ‘...the Japanese were prepared to negotiate all the way from February 1945...up to and before the time the atomic bombs were dropped; ...if such leads had been followed up, there would have been no occasion to drop the [atomic] bombs’ - quoted by Barton Bernstein in Philip Nobile, ed., Judgment at the Smithsonian, pg. 142 http://www.doug-long.com/quotes.htm
(L4) "The war might have ended weeks earlier, he said, if the United States had agreed, as it later did anyway, to the retention of the institution of the emperor." - General MacArthur
http://www.colorado.edu/AmStudies/lewis/2010/atomicdec.htm
(L5) “To reject the ultimatum, as it was presented. I believe we missed the opportunity of effecting a Japanese surrender, completely satisfactory to us, without the necessity of dropping the bombs.” – John McLoy http://www.doug-long.com/quotes.htm
(L6) "Even without the atomic bombing attacks air supremacy over Japan could have exerted sufficient pressure to bring about unconditional surrender and obviate the need for invasion.”
“Japan would have surrendered even if the atomic bombs had not been dropped even if Russia had not entered the war, and even if no invasion had been planned or contemplated”
United States Strategic Bombing Survey of 1946 https://www.trumanlibrary.org/…/bomb/…/documents/pdfs/24.pdf
(L7) The Japanese were already defeated and ready to surrender because of the effective sea blockade and the successful bombing with conventional weapons - Admiral William Leahy http://www.colorado.edu/AmStudies/lewis/2010/atomicdec.htm
(L8) “Japan was already defeated and that dropping the bomb was completely unnecessary.” ". . . it wasn't necessary to hit them with that awful thing." President Dwight D. Eisenhower http://www.colorado.edu/AmStudies/lewis/2010/atomicdec.htm
(L9) I was a little fearful that before we could get ready the Air Force might have Japan so thoroughly bombed out that the new weapon [the atomic bomb] would not have a fair background to show its strength - Henry Stimpson
http://www.doug-long.com/stimson5.htm
(L10) no effort was made, and none was seriously considered, to achieve surrender merely in order not to have to use the bomb - Henry Stimpson https://books.google.co.th/books…
(L11): "There was never any illusion on my part that Russia was our enemy, and that the project was conducted on that basis." The day after Hiroshima was obliterated, President Truman voiced his satisfaction with the "overwhelming success" of "the experiment"
http://www.theguardian.com/…/aug/06/secondworldwar.warcrimes
(L12) We brought them down to an abject surrender through the accelerated sinking of their merchant marine and hunger alone, and when we didn’t need to do it, and we knew we didn’t need to do it, and they knew that we knew we didn’t need to do it, we used them as an experiment for two atomic bombs.”
http://www.doug-long.com/guide1.htm
(L13) “It wasn’t necessary to hit them with that awful thing . . . to use the atomic bomb, to kill and terrorize civilians, without even attempting [negotiations], was a double crime.” 1963 Newsweek
http://www.globalresearch.ca/the-real-reason-americ…/5308192
บทความ
http://www.globalresearch.ca/the-hiroshima-myth-una…/5344436
http://www.globalresearch.ca/the-real-reason-americ…/5308192
http://www.colorado.edu/AmStudies/lewis/2010/atomicdec.htm
http://www.theguardian.com/…/aug/06/secondworldwar.warcrimes
https://mises.org/library/hiroshima-myth


จาก ความจริงที่เขาปิดบัง ความเท็จที่เขาหลอกลวง




อาวุธในการหลอกลวง สะกดจิต ล้างสมอง ควบคุม



บทที่ 1 - อาวุธในการหลอกลวง สะกดจิต ล้างสมอง ควบคุม


ก่อนที่จะเข้าไปในเนื้อหา รับข้อเท็จจริงต่างๆที่ไม่ค่อยมีการพูดถึงเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ควรรู้ตัวก่อน ว่าความเชื่อที่ฟังอยู่ในใจของแทบทุกคนนั้นมาจากไหน โดยหากท่านผู้อ่านไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์ ไม่เคยกระทำการค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเอง ท่านย่อมได้รับข้อมูลมาเพียงด้านเดียว คือด้านของผู้ชนะที่ได้เขียนประวัติศาสตร์ และแม้กระนั้น ส่วนน้อยที่จะมาจากตำราหนังสือ โดยความเชื่อของคนส่วนใหญ่นั้นมีการปลูกฟังลงไปในใจด้วยการประโคมสื่อต่างๆ โดยเฉพาะทางรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ Hollywood ที่มีออกมาตอกยํ้าให้เข้าไปในใจซํ้าแล้วซํ้าเล่า โดยเป็นที่สังเกตว่ามักจะได้รับรางวัลเสมอ
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสื่อเหล่านี้ ที่ผู้คนส่วนใหญ่รอบโลกเสพและรับรู้โลกผ่านคือ:
90% ของสื่อทั้งหมด นิตยสาร หนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุ รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ในสหรัฐอเมริกา อยู่ภายใต้การควบคุมของ 6 บริษัท:
GE เจ้าของ Universal Pictures, NBC เป็นต้น
Newscorp เจ้าของ Fox, Wall Street Journal, New York Post เป็นต้น
Disney เจ้าของ Miramax, Pixar, Marvel Studios, ESPN, ABC, History Channel เป็นต้น
Viacom เจ้าของ MTV, Paramount Picture เป็นต้น
Time Warner เจ้าของ CNN, HBO,Time, Warner Bros เป็นต้น
CBS เจ้าของ Smithsonian channel, 60 minutes เป็นต้น
โดยบริษัททั้งหกนี้ และสื่ออังกฤษส่วนใหญ่เช่น BBC ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่ม Zionist ทั้งสิ้น (อ้างอิง 1)
ใครคือเจ้าของผู้ควบคุม Hollywood ไม่ใช่ความลับอะไร โดยสื่อของกลุ่ม Zionist ก็ประกาศกันด้วยความภาคภูมิใจ ในบทความที่ลง Los Angeles Times ‘Is Hollywood Run by Jews? You Bet.’ Joel Stein ได้ประกาศ ‘Hollywood ถูกควบคุมโดยชาวยิวหรือไม่? แน่นอน....ในฐานะชาวยิว (Zionist) คนหนึ่ง เราต้องการให้อเมริกาทราบถึงความสำเร็จของเรา ใช่ เราควบคุม Hollywood’ (As a proud Jew, I want America to know about our accomplishment. Yes, we control Hollywood.) ในนิตยสาร Moment ของ Elie Wiesel นักเขียน Zionist ที่มีชื่อเสียงในการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความชั่วร้ายของค่ายกักกันนาซีเองเคยพาดหัวลงปก ‘ชาวยิวเป็นเจ้าของ Hollywood - แล้วยังไง?’ (Jews Run Hollywood - So What?) (อ้างอิง 2)
(คำว่า ‘Zionist’ ในวงเล็บ ข้าพเจ้าได้เติมใส่ไปเองเนื่องจากว่าไม่ต้องการให้เกิดความสับสน อันจะไม่เป็นธรรมแก่ชาวยิว โดยตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าชาวยิวทั้งหมดจะเป็น Zionist และก็ไม่ใช่ว่า Zionist ทั้งหมดจะเป็นชาวยิว )
การสามารถควบคุมสื่อหลักแบบผูกขาด ย่อมหมายถึงการควบคุมการรับรู้ของมนุษย์ส่วนใหญ่ โดยการรับรู้ความเป็นไปของโลกส่วนน้อยนักที่จะรับรู้ข้อมูลจากช่องทางอื่น จึงเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจมหาศาลในการ สะกดจิต ล้างสมอง ควบคุม ให้เชื่อตามที่ผู้ควบคุมต้องการให้เชื่อ ให้คิดตามที่ต้องการให้คิด
ความสามารถทำให้ขาวเป็นดำ ทำให้โลกกลับหัวกลับหาง อนุภาพเหล่านี้ของสื่อมีมากน้อยแค่ไหน ผู้สังเกตย่อมทราบดี ว่าโดยเพียงการสร้าง Hero เช่น John Wayne ขึ้นมา ระหว่างที่พระเอก Cowboy ยอดนิยมนี้ กำลังขี่ม้าไล่ยิงอินเดียแดง ซึ่งตกอยู่สถานภาพเป็นผู้ร้าย ทางผู้ชมที่ดูภาพยนตร์ต่างๆก็จะเอาใจเชียร์พระเอก Hero ที่ไล่ล่าผู้ร้ายผู้ถูกกาหน้าว่าเป็นพวกวัฒนธรรมป่าเถื่อน (Savage) นี้ ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้ว คือเรื่องราวของการปล้นแผ่นดินจากเจ้าของถิ่น และควรจัดเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกโดยประชากรเจ้าของถิ่นเดิมนั้นตายไปถึง 90% ตัวเลขการตายที่นักประวัติศาสตร์ประเมินอยู่ที่ระหว่าง 20 ถึง 80 ล้านคน
ในโลกปัจจุบัน ก็สามารถเห็นการประโคมหลอกลวงชาวโลก ให้ประเทศตะวันออกกลางทีมีนํ้ามันแต่ไม่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐ ว่าเป็นก่อการร้ายสะสมอาวุธที่มีอนุภาพในการทำลายล้าง (WMA) บ้าง ไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง โดยก็จะได้กองเชียร์และแรงสนับสนุนจากทั่วโลกเพื่อนำกองกำลังเข้าไปจัดการ อันโดยแท้จริงแล้วเพียงเป็นข้ออ้างในการปล้นทรัพยากรของเขา และเมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่พบสิ่งต่างๆที่ได้กระพือข่าวกันว่ามี หรือหลักฐานใดๆทั้งสิ้นที่จะบงชี้ว่าเป็นภัยต่อสังคมโลก แต่ได้ทำลายความเป็นอยู่ของชนชาตินั้นอย่างสิ้นเชิง ซึ่งความจริงที่เลวร้ายเหล่านี้จางหายไปจากหัวข่าวอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่ชาว Palestine กำลังดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากการใกล้จะสูญพันธ์ โดยบางครั้งถึงขั้นต้องเอาก้อนหินต่อสู้กับกองทัพ Israel ที่มีขีปนาวุธลํ้าหน้าทุกชนิด ทั้งภาพของความโหดร้ายที่ Israel กระทำต่างๆ หรือแม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ใดที่เป็นไปในทางลบ แทบไม่ปรากฏในสื่อเหล่านี้ โดยนักข่าวผู้ใด หากไปแตะ Israel จะไม่สามารถทำงานต่อในบริษัทเหล่านี้ได้ เป็นไปตามตามนโยบายเดียวกับคำที่อดีตนายกรัฐมนตรี Ariel Sharon เคยได้กล่าวไว้ ‘ Israel มีสิทธิที่จะสอบสวนดำเนินคดีผู้อื่น แต่ผู้อื่นไม่ไม่มีสิทธิที่จะสอบสวนดำเนินคดีกับชาวยิวหรือรัฐ Israel อย่างแน่นอน’ (อ้างอิง 3)
คำถามสำหรับท่านประจำโพสนี้คือ:
ในเมื่อแหล่งความเชื่อของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นมาจากสื่อเช่น Hollywood และรายการสารคดีที่เผยแพร่ทางช่อง History Channel และ BBC เป็นต้น ที่คนกลุ่มนี้ควบคุม และ เขามีพฤติกรรมในการใช้สื่อเหล่านี้ในการปิดบังความจริงและหลอกลวงผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างชัดเจน ท่านผู้อ่านคิดหรือ ว่าในเมื่อเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกเขามีผลประโยชน์ มีส่วนได้เสียอย่างเติมเปี่ยม เขาจะให้ความจริงโดยไม่ปิดบังสิ่งใด โดยไม่แต่งสิ่งใดมาหลอกลวงชาวโลก ?
หากท่านคิดว่าความเชื่อที่ท่านได้มาจากแหล่งเหล่านี้ คือความจริงทั้งหมดที่ไม่ควรตั้งคำถามหรือข้อสงสัย ชุดบทความที่ข้าพเจ้าเขียนไม่ใช่สำหรับท่าน แต่หากท่านคิดว่าความจริงอาจไม่ใช่ตามที่ท่านได้มาจากแหล่งเหล่านี้ เชิญติดตามอ่านชุดบทความนี้ต่อไป โดยข้าพเจ้าจะเน้นกระทำหน้าที่ในการเสนอเพียงข้อเท็จจริง พร้อมการตั้งคำถาม ส่วนในการสรุปนั้น ท่านผู้อ่านจะเป็นผู้สรุปเอง
2558/06/14

บทความโดย ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
แหล่งอ้างอิง 1
http://www.businessinsider.com/these-6-corporations-control…
https://en.wikipedia.org/w…/Concentration_of_media_ownership
http://www.gilad.co.uk/…/redress-online-bbc-executive-danny…
http://finance.yahoo.com/q/mh?s=TWX%2C+&ql=1
แหล่งอ้างอิง 2
http://newobserveronline.com/jews-boast-of-owning-hollywoo…/
http://articles.latimes.com/2008/dec/19/opinion/oe-stein19
แหล่งอ้างอิง 3
Israel may have the right to put others on trial, but certainly no one has the right to put the Jewish people and the State of Israel on trial - Ariel Sharon
http://news.bbc.co.uk/2/hi/middle_east/1241371.stm
นักข่าว BBC ต้องออกจากงาน - Proof of The Jewish-Zionist Takeover of the BBC!
http://davidduke.com/jewish-tribalism-manipulates-bbc/


จาก ความจริงที่เขาปิดบัง ความเท็จที่เขาหลอกลวง