อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

ซุนนะแท้ใช่ว่าใบปริญญาเป็นเครื่องการันตี



ยุคนี้ เป็นยุคที่มีการหาความชอบธรรมในการสอนกิตาบุลลอฮ และอัสสุนนะฮ ด้วยการเอาใบปริญญามาเป็นเครื่องชี้วัดว่า "เป็นผู้มีคุณสมบัติชี้นำสังคมได้ สอนศาสนาได้ คนที่ไม่มีปริญาก็จะถูกถีบและผลักใสไม่ให้มีที่ยืนบนเวทีการทำงานเผยแพร่ศาสนา

มีบทกลอนอยู่บทหนึ่ง น่าเอามาคิดใคร่ครวญ

ปริญญา นั้นหรือ คือกระดาษ
มันมิอาจ เปลี่ยนแปลง สันดานได้
คุณความดี นั้นยาก ลำบากไซร้
มีเกียรติยศ ยิ่งใหญ่ กว่าปริญญา

ปริญญา นั้นหรือ คือสมมติ
มิใช่สิ่ง สูงสุด ในแหล่งหล้า
แม้แต่องค์ จอมปราชญ์ พระศาสดา
ก็ไม่มี ปริญญา สักหนึ่งใบ

....
อิบนุกะษีร(ร.ฮ) ได้กล่าวว่า
وقد قال يونس بن عبد الأعلى الصدفي : قلت للشافعي : كان الليث بن سعد يقول : إذا رأيتم الرجل يمشي على الماء فلا تغتروا به حتى تعرضوا أمره على الكتاب والسنة ، فقال الشافعي : قصر الليث رحمه الله ، بل إذا رأيتم الرجل يمشي على الماء ويطير في الهواء فلا تغتروا به حتى تعرضوا أمره على الكتاب والسنة
" ..
และแท้จริง ยูนูส บิน อับดิลอะลาอัศเศาะดะฟีย์ กล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ ชาฟิอีว่า อัลลัยษฺ บิน สะอีด กล่าวว่า เมื่อพวกท่านเห็นคนหนึ่งคนใด สามารถเดินบนน้ำได้ ท่านอย่าได้หลงเชื่อกับเขาผู้นั้น จนกว่าท่านจะนำพฤติกรรมและการปฏิบัติของเขา มาเทียบเคียงกับอัลกุรอานและสุนนะฮฺก่อน
แล้วชาฟิอี กล่าวว่า ท่านอัลลัยษฺ (ร.ฮ) ยังกล่าวไม่ครบถ้วน แต่ทว่า เมื่อพวกท่านเห็นคนหนึ่งคนใด สามารถเดินบนน้ำได้และเหาะเหิน บน อากาศได้ ท่านอย่าได้หลงเชื่อกับเขาผู้นั้น จนกว่าท่านจะนำพฤติกรรมและการปฏิบัติของเขา มาเทียบเคียงกับอัลกุรอานและสุนนะฮฺก่อน - ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 1 หน้า 362
.......
คนบางกลุ่มที่หลงงมงาย และเลยเถิดกับปริญญาซึ่งเป็นสิ่งสมมุติ ถึงขนาดดูหมิ่นดูแคลนผู้ที่ไม่มีใบปริญญา ไม่มีใบรับรองจากอุลามาอฺ มาการันตีความรู้ความเข้าใจศาสนา แล้วพยายามโฆษณาชวนเชื่อให้สังคมพลักใสไม่ให้มีที่ยืนบนโลกของนักดาอีย์

คนที่คู่ควรชี้นำสังคมนำสังคมให้ดำเนินตามแนวทางของอัลลอฮ ตาอาลา คือสอนและเผยแพร่ศาสนาตามกิตาบุลลอฮ และสุนนะฮนบี ยืนหยัด ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกิตาบุลลอฮและสุนนะฮนบี ไม่ใช่คนที่มีใบปริญญา แต่วาจาและพฤติกรรมสถุล ไร้ซึ่งคุณธรรมจริยธรรม อย่าว่าจะมีใบปริญญาเลย ต่อให้มี อิทธิฤทธิ์ เหาะเหินในอากาศหรือเดินบนน้้ำได้ ก็ไม่คู่ควรที่จะนำพาสังคม ในนามศาสนาของอัลลอฮแม้แต่น้อย
والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม
26/3/61

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561

อายะฮฺอัลกุรซีย์






1. เป็นอายะฮฺที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และประเสริฐที่สุดในอัลกุรอาน

2. อายะฮฺอัลกุรซีย์มีทั้งหมด 10 ประโยค

3. ในอายะฮฺอัลกุรซีย์มีพระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวไว้ทั้งหมด 5 พระนาม

4. มีคุณลักษณะของอัลลอฮฺถูกกล่าวไว้ในอายะฮฺอัลกุรซีย์มากกว่า 20 คุณลักษณะ

***เนื้อหาและสาระสำคัญต่างๆในอายะฮฺอัลกุรซีย์***

1. เป็นอายะฮฺที่ประมวลไว้ด้วยหลักการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ (เตาฮีด) ทั้งสามประเภทโดยเฉพาะในเรื่องพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ

2. ในอายะฮฺนี้บอกคุณลักษณะของพระเจ้าที่คู่ควรเคารพบูชาอย่างแท้จริงควบคู่ไปกับการปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมเอาไว้ (พื้นฐานของเตาฮีดอุลูฮียะฮฺ)

3. หนึ่งในคุณลักษณะของพระเจ้าที่แท้จริงก็คือการมีชีวิตนิรันดร์ไม่มีวันตายหรือดับสูญและดูแลทุกสรรพสิ่งได้อย่างสะดวกง่ายดายตลอดกาลโดยไม่เหน็ดเหนื่อยหรือพักผ่อน (พื้นฐานของเตาฮีดรุบูบียะฮฺรวมถึงพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ)

4. บ่งบอกถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่และกรรมสิทธิ์ของพระองค์ต่อทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (อัลมุลกฺ)

5. บ่งบอกว่าการให้ความช่วยเหลือ (ชะฟาอะฮฺ) ต่อบ่าวของพระองค์ทั้งหมดนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว

6. บ่งบอกถึงความรอบรู้ของพระองค์อันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ (อัลอิลมฺ) และไม่มีสิ่งใดที่จะเล็ดรอดไปจากความรอบรู้ของพระองค์ (อัลอิฮาเฏาะฮฺ)

7. บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของสิ่งถูกสร้างบางอย่างของพระองค์ ก็คือ อัลกุรซีย์ หมายถึง แท่นที่วางเท้าของอัลลอฮฺ โดยกุรซีย์ของอัลลอฮฺนั้นมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลสุดขอบฟ้าและแผ่นดิน แต่กุรซีย์ก็ยังไม่ใช้สิ่งถูกสร้างที่ใหญ่ที่สุดของอัลลอฮฺ เพราะสิ่งถูกสร้างที่ใหญ่ที่สุดของอัลลอฮฺก็คืออัลอัรชฺ(บัลลังก์)ของพระองค์นั่นเอง ฉะนั้นตรงนี้จึงเป็นการยืนยันว่าความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺนั้นสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติและไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดจะเทียบเทียมพระองค์ได้เลย

8. บ่งบอกถึงพลานุภาพและอำนาจของอัลลอฮฺที่ไร้ขีดจำกัดและสมบูรณ์แบบในการดูแลชั้นฟ้าและแผ่นดินอันกว้างใหญ่ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

9. บ่งบอกถึงความสูงส่ง (อัลอุลูว์) และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติและคู่ควรกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์

***เกร็ดความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอายะฮฺ อัลกุรซีย์***

อัลกุรซีย์ ตามหลักภาษาเดิมๆแปลว่า เก้าอี้  แต่เมื่อพาดพิงไปหาอัลลอฮฺ นักอรรถาธิบายอัลกุรอานในยุคสลัฟระบุไว้ว่ามีหลายความหมาย แต่ความหมายที่มีน้ำหนักมากที่สุดคือ แท่นที่วางพระบาท(เท้า)ทั้งสองข้างของพระองค์

มุสลิมควรจะอ่านอายะฮฺอัลกุรซีย์วันละ 8 ครั้ง
ในวาระและเวลาดังต่อไปนี้

หลังละหมาดฟัรฎูห้าเวลา เวลาละหนึ่งครั้ง = รวมเป็น 5 ครั้ง
ประโยชน์ที่ได้รับคือ เป็นสาเหตุที่ทำให้ได้เข้าสวรรค์

ตอนเช้าและตอนค่ำอย่างละครั้ง = 2 ครั้ง
ประโยชน์ที่ได้รับคือ ได้รับความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้รอดพ้นจากการคุกคามของชัยฏอน

ก่อนเข้านอน = 1 ครั้ง
ประโยชน์ที่ได้รับคือ ได้รับความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้รอดพ้นจากการคุกคามของชัยฏอน

รวมเป็นทั้งหมดวันละ = 8 ครั้ง

วัลลอฮฺ อะอฺลัม

ผู้หญิงที่รับนับถืออิสลามเป็นคนแรก




▪คนแรกที่ได้ทราบข่าวนี้จากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลฯ คือ..
ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ-ภริยาของท่านเอง
เวลานั้นนางมีอายุได้ 55 ปี นางมีความเชื่อมั่นว่าเรื่องที่ท่านนบีฯ
ศ็อลฯ นำมาแจ้งนั้นเป็นความจริง นางได้ร่วมทุกข์สุขอยู่กับท่านมาแล้ว15 ปี เป็นที่รักแก่ท่านอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีวัยต่างกันก็ตาม

▪ท่านอับดุลลอฮ์ บินญอฺฟัร รายงานว่า
"ฉันได้ยินท่านอะลีย์พูดที่
เมืองกูฟะฮฺ
"ฉันได้ยินท่าน
รสูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า
☆ผู้หญิงที่ประเสริฐในสมัยของเธอคือมัรฺยัม บินตุ อิมรอน
☆และที่ประเสริฐอีกในสมัยของ
เธอคือ เคาะดียะฮฺ บินตุ คุวัยลิด'"
(มุสลิม บทที่44
กิตาบุฟะฏออิลิสเศาะหาบะฮฺ
บาบที่11)
ท่านหญิงอาอิชะฮฺกล่าวว่า "ฉันไม่หึงภริยาคนใดของท่านนบีฯ ศ็อลฯ เว้นแต่ในกรณีของท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ แม้ฉันไม่เคยพบเธอ"
เธอกล่าวต่อไปว่า
"เมื่อท่านรสูลุลลอฮฺ
ศ็อลฯ เชือดแกะ ท่านก็บอกว่า ให้เอาเนื้อไปให้เพื่อนๆของเคาะดียะฮฺ'
เธอกล่าวอีกว่า"วันหนึ่งฉันรู้สึก
รำคาญฉันจึงพูดว่า
เคาะดียะฮฺ!! (เท่านั้นที่ท่านคิดถึงตลอดเวลา)'
ท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวว่า"ความรักของเธอนั้น(คือของเคาะดียะฮฺ) ได้ถูกมอบแก่ฉัน"
(มุสลิม บทที่44บาบที่11)
ท่านหญิงอาอิชะฮฺรายงานแล้ว นางฮาละฮฺ บินตุ คุวัยลิด
(น้องสาวของท่านหญิงเคาะดียะฮฺ)
ขออนุญาตเข้ามาพบท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ
ท่านก็นึกถึงการขออนุญาตของท่านหญิงเคาะดียะฮฺได้ ท่านดีใจ
ท่านพูดว่า 'โอ้ อัลลอฮฺ! นี่ฮาละ บินตุ คุวัยลิด นี่'
ฉันจึงหึงและพูดว่า
'ทำไมท่านยังนึกถึงหญิงแก่คนหนึ่งในบรรดาหญิงแก่ของพวกกุร็อยชฺที่มีเหงือกแดงเถือกและตายไปนานแล้ว ทั้งๆที่อัลลอฮฺทรงให้หญิงที่ดีกว่านางแก่ท่าน' "
(มุสลิม บทที่44 บาบที่11)
ทำไมท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลฯ จึงอยู่ร่วมครองเรือนกับท่านหญิงเคาะดียะฮฺนานถึง25ปี โดยที่ท่านไม่ได้แต่งงานอีกทั้งๆที่นางเองก็มีอายุมากกว่าท่านถึง 25 ปี?
▪หะดิษ ข้างต้นนั้นเป็นคำตอบในตัวที่ดีอยู่แล้ว




ความพอเพียง

قال النبي صلى الله عليه وسلم ((ليس الغنى عن كثرة العَرَض، ولكن الغنى غنى النفس)) متفق عليه.

ท่านนบีได้กล่าวว่า "ความพอเพียง(ที่แท้จริง)นั้นมิใช่ด้วยการมีทรัพย์สมบัติ แต่ทว่าความพอเพียง(ที่แท้จริง)นั้นคือความพอเพียงที่จิตใจ"
บันทึกโดยอิมามบุคอรีย์และอิมามมุสลิม

ทีนี้เราลองมาพิจารณากันดูว่า...

กี่มากน้อยที่คนร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่เขาไม่สามารถกินอาหารที่เขาชอบได้ เพราะโรคประจำตัว ถึงจะมีเงินมากหรืออยากกินแค่ไหนก็กินไม่ได้

กี่มากน้อยที่คนยากจนไร้สมบัติ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่สามารถกินอาหารที่เขาชอบได้ เพราะไม่มีเงินซื้อ ถึงจะอยากกินแค่ไหนก็กินไม่ได้

ดังนั้นเราจะเห็นว่าไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ผลลัพธ์เหมือนกันถึงแม้จะต่างสาเหตุก็ตาม

ฉะนั้นตรงนี้บ่งบอกให้เรารู้ว่าความรวยความจนไม่สามารถชี้วัดความสุขหรือดับความปรารถนาได้อย่างแท้จริง แต่ทว่าความพอเพียงต่างหากที่ก่อให้เกิดความสุขและดับความปรารถนาอันไร้ขอบเขตอย่างไม่สิ้นสุดได้อย่างแท้จริง

قال النبي صلى الله عليه وسلم ((وَمَنْ يَسْتَعْفِفْ يُعِفَّهُ اللَّهُ ، وَمَنْ يَسْتَغْنِ يُغْنِهِ اللَّهُ...)) متفق عليه.
ท่านนบีกล่าวว่า "ผู้ใดแสวงหาความเรียบง่าย อัลลอฮฺจะทรงให้เขามีความเรียบง่าย และผู้ใดแสวงหาความพอเพียง อัลลอฮฺจะทรงให้เขามีความพอเพียง"
บันทึกโดยอิมามบุคอรีย์และอิมามมุสลิม

วัลลอฮฺ อะอฺลัม



اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ الْهُدَى، وَالتُّقَى، وَالْعَفَافَ، وَالْغِنَى





เลือกคบเพื่อนดี



              
*อัลลอฮ์มิได้ทรงห้ามสูเจ้า
(ที่จะคบค้าสมาคม/เป็นมิตร)

*กับบรรดาผู้ที่ มิได้รุกราน
(ต่อต้าน)สูเจ้า ในเรื่องศาสนา

*และมิได้ขับไล่สูเจ้า ออกจาก
แหล่งอาศัยของสูเจ้า

*ที่สูเจ้าจะทำความดีต่อพวกเขา
*และเที่ยงธรรมต่อพวกเขา

*แท้จริง อัลลอฮ์ทรงรัก
*ผู้มีความยุติธรรม
................
     *วจนะศาสดา*
-รู้ไหมหน้าที่ต่อเพื่อนบ้านนั้นมีอะไร?
..จงช่วยเหลือ เมื่อเขาต้องการ
..จงให้ เมื่อเขาขอ
..จงค้ำจุน เมื่อเขายากจน
..จงคิดถึง เมื่อเขาหายหน้าไป
..จงช่วยรักษา เมื่อเขาป่วยไข้
..จงตามไปส่งศพ เมื่อเขาตาย
..จงแสดงความเห็นใจ&ช่วยเหลือ
  เมื่อเขาประสบกับความวิบัติ
..จงอย่าสร้างสิ่งปลูกสร้างให้สูง
จนปิดทางลมบ้านผู้อื่นโดยเขาไม่อนุญาต
..อย่าสร้างความเดือดร้อนใดๆให้แก่เพื่อนบ้าน(เผาขยะรมควัน,จอดรถขวางประตู,ทำเสียงดังรบกวน!..ฯลฯ)
..ถ้าท่านซื้อผลไม้มา ก็จงแจกให้แก่เพื่อนบ้านด้วย แต่หากมีไม่พอ ก็อย่าปล่อยให้ลูกนำออกไปกินนอกบ้านให้ลูกเพื่อนเห็น จนเกิดความอยาก! (อบูซัยดฺ-บียฮะกีย์)

- ผู้ใดกินจนอิ่มท้องแล้วปล่อยให้เพื่อนบ้านอดอยากหิวโหยเขาคนนั้นไม่ใช่มุสลิม(ฏ็อบรอนีย์ บัยฮะกี)

-บุคคล2ประเภทที่จะไม่ได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์ในวันปรโลกคือ..ผู้ที่ตัดญาติมิตร &..ผู้ที่เป็นเพื่อนบ้านที่เลวร้าย(ดาเราะมีย์)