อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อิหม่ามขี้เมา


โดย อ.อับดุลเลาะฮ์ หนูรักษ์

.. สองหนุ่มเกเรจากเมืองมะดีนะฮฺเดินทางไปตุรกี โดยตั้งใจเพื่อไปดื่มเหล้าที่นั่นอย่างไม่ต้องกังวลกับการรับรู้ของคนรู้จัก
.. ทันทีที่ถึงอิสตันบูล ทั้งสองคนรีบตรงไปซื้อเหล้ามาหนึ่งขวด และขึ้นแท๊กซี่ไปนอกเมือง เพื่อหาที่สงบๆมิดชิดๆลับตาคน
.. เมื่อถึงที่หมาย ทั้งสองคนเช็คอินที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านชนบทของตุรกี เจ้าหน้าที่โรงแรมถามว่า "คุณทั้งสองมาจากไหนหรือครับ"
.. ทั้งสองตอบว่า "พวกเรามาจากเมืองมะดีนะฮฺ ซาอุดิอารเบีย"
.. เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับคนนั้นดีใจมากที่มีแขกจากเมืองมะดีนะฮฺ เมืองของท่านนบีมุฮัมมัดซ.ล.มาเข้าพัก ด้วยความรักในตัวท่านนบีซ.ล.และเพื่อให้เกียรติแก่ชาวเมืองของท่านนบีซ.ล. เขาจึงจัดห้องสวีทห้องพิเศษต้อนรับทั้งสองคนนั้น
.. และเมื่อทั้งสองเข้าห้องพัก ก็เริ่มดื่มเหล้ากันจนดึกดื่น จนกระทั่งเวลาตีสี่ครึ่ง เจ้าหน้าที่คนนั้นมาเคาะประตู และแจ้งบอกทั้งสองว่า "อิหม่ามของพวกเราละอายที่จะทำหน้าที่อิหม่ามละหมาดซุบหฺเมื่อรู้ว่าท่านทั้งสองมาจากเมืองมะดีนะฮฺ ขอเชิญท่านทั้งสองลงไปเป็นอิหม่ามนำละหมาดพวกเรา พวกเราคอยอยู่ที่มัสยิดนะครับ"
.. ทั้งสองตกใจมาก เพราะพวกเขาไม่จำอัลกุรอานต้นใดเลยนอกจาก... พวกเขาจึงคิดเบี้ยวไม่ลงไป แล้วนอนต่อ แต่..ไม่นานนัก
.. เจ้าหน้าที่คนนั้นมาเคาะประตูอีก บอกทั้งสองว่า "ขอให้รีบๆหน่อยนะครับ เพราะไม่นานก็จะหมดเวลาซุบหฺแล้ว พวกเราคอยอยู่ครับ"
.. ทั้งสองจึงรีบอาบน้ำดับกลิ่นตัวและกลิ่นเหล้า เสร็จสรรพแล้วก็รีบลงไปที่มัสยิด เมื่อถึงมัสยิด ทั้งสองคนตกใจมากๆเพราะมีคนมาร่วมละหมาดซุบหฺที่นั่นมากมายเหมือนละหมาดวันศุกร์
.. แล้วคนหนึ่งจากสองคนนั้นก็ต้องเป็นอิหม่ามนำละหมาด เพียงเขาเริ่มอ่านซูเราะฮฺอ้ลฟาติหะฮฺ มะมูมในมัสยิดก็ร้องไห้กันระงมด้วยความคิดถึงท่านนบีมุฮัมมัดซ.ล.และคิดถึงมัสยิดนบีที่เมืองมะดีนะฮฺ
.. อิหม่ามวันนั้น อ่านอัลฟาติหะฮฺกับกุ้ลฮู่วั้ลเลาะฮฺทั้งสองรอกาอัต เมื่อละหมาดเสร็จผู้คนต่างเข้ามาสลามทั้งสองคน แสดงความรักและให้เกียรติแก่ทั้งสองอย่างมากมาย
.. และสิ่งนี้ คือสาเหตุที่อัลเลาะฮฺซ.บ.ทรงประทานทางนำแก่ทั้งสอง และปัจจุบันทั้งสองคนนี้ กลายเป็นผู้เผยแผ่อิสลามคนสำคัญ
(การดื่มเหล้า เบียร์และน้ำเมาทุกชนิด เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างรุนแรงในอิสลาม)
.........................................
..." อดีตที่เลวร้ายคือบทเรียนสอนใจให้เราสำนึกผิดกลับตัว และจะทำให้วันนี้ของเราทุกคนงดงามขึ้น "...
..." การชี้แนะทางนำคือโอกาส และจะเป็นผลสำเร็จเมื่ออัลเลาะฮฺซ.บ.ทรงอนุมัติ "...
... โอ้อัลเลาะฮฺ โปรดทรงประทานทางนำแก่เราทุกๆคนด้วยเทอญ อามีน อามีน อามีน ...



วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ญิน หรือ ภูต ผี ปีศาจ ในอิสลาม มีจริงหรือไม่ ?

 ชีวิตมนุษย์จะต้องผ่านโลกแห่งครรภ์มารดา โลกดุนยา เมื่อตายไปจะเข้าสู่ โลกในหลุมฝังศพ(อาลัมบัรซัค) โลกอาคิเราะห์ นี่คือสัจธรรมที่ทุกชีวิตจะต้องผ่านพบอย่างแน่นอน แต่ประการสำคัญที่ทุกคนจะต้องยึดมั่น และใคร่ครวญ เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลานั่นคือ “ความตาย” ดังที่อัลลอฮฺ ตรัสไว้ความว่า "ทุก ๆ ชีวิตเป็นผู้ลิ้มรสความตาย แล้วพวกเจ้าจะถูกนำกลับยังเรา" นั่นหมายรวมว่า ทุกชีวิตที่กลับคืนสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์ตะอาลาแล้วนั้น เขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งวิญญาณ คือ โลกอาลัมบัรซัค หรือโลกในหลุมฝังศพ ดังที่อัลลอฮฺ ตรัสไว้ความว่า "จนกระทั่งเมื่อความตายได้มาหาคนใดในพวกเขา เขาก็จะกล่าวขึ้นว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กลับไปมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเถิด เพื่อข้าพระองค์จะได้กระทำความดีในสิ่งที่ข้าพระองค์ปล่อยทิ้งไว้” "เปล่าเลย! มันเป็นเพียงถ้อยคำที่เขากล่าวมันไว้เท่านั้น และเบื้องหน้าของพวกเขานั้นมีโลกบัรซัคจนกระทั่งถึงวันที่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา
" حَتَّى إِذا جاءَ أَحَدَهُمُ الْمَوْتُ قالَ رَبِّ ارْجِعُونِ (99) لَعَلِّي أَعْمَلُ صالِحًا فِيما تَرَكْتُ كَلاَّ إِنَّها كَلِمَةٌ هُوَ قائِلُها وَمِنْ وَرائِهِمْ بَرْزَخٌ إِلى يَوْمِ يُبْعَثُونَ (100)
(المؤمنون 99-100) จากอายะห์"และเบื้องหน้าของพวกเขานั้นมีโลกบัรซัค จนกระทั่งถึงวันที่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา" นี้คำว่า " برزخ " บรรดานักวิชาการให้ความหมายไว้ดังนี้ - ในหนังสือตัฟซีร อัลกุรฏุบีย์ได้บันทึกเอาไว้ว่า : บัรซัค คือ ที่กั้นระหว่างความตายกับการฟื้นคืนชีพ ซึ่งเป็นทรรศนะของ เฏาะห์ฮาก และมุญาฮิด - อิบนุซัยด์ และจากท่านมุญาฮิดเช่นกัน ท่านได้กล่าวไว้ว่า : แท้จริงแล้ว บัรซัค คือ ที่กั้นระหว่างความตายกับการกลับคืนสู่ดุนยา - จากท่านเฏาะห์ฮาก กล่าวว่า : บัรซัค คือ สิ่งที่อยู่ระหว่างโลกดุนยา และอาคิเราะห์ - ท่านอิบนุอับบาส กล่าวว่า มันคือ ม่านกั้น ประโยชน์ที่ได้รับจากการอรรถาธิบาย คำว่า "บัรซัค" บรรดานักวิชาการให้ความหมายว่า คือ สิ่งที่ปิดกั้นที่อยู่ระหว่างโลกดุนยา กับ โลกอาคิเราะห์ และปิดกั้นระหว่างความตาย กับการกลับมาสู่โลกดุนยา ผีในทัศนะอิสลาม มีจริงหรือไม่ ?
ประเด็นต่อมาคือ : มีผู้ถามว่าเมื่อชีวิตหนึ่งชีวิตใดกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺตะอาลา วิญญาณของเขาจะกลับมาโลกดุนยาอีกได้หรือไม่ ? ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความเชื่อความศรัทธา เป็นหลักอะกีดะห์ของมุสลิม เพราะมีมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่า วิญญาณของผู้ตายจะกลับมาเข้าฝัน วิญญาณของผู้ตายกลับมาเยี่ยมบ้าน และมาบอกสิ่งต่างๆ ที่ทำให้คนหลงเชื่อ จนทำให้ผู้ที่มีความศรัทธาอ่อนแอตกหลุมพรางของชัยฏอนที่คอยยุแหย่ให้ผู้คนออกห่างจากหลักความเชื่อที่ถูกต้อง และในเรื่องนี้คงไม่มีคำตอบใดดีไปกว่า พระดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลา และวัจจนะของท่านนบีมุฮัมมัด ดังที่อัลลอฮฺ ตรัสไว้ความว่า "และเป็นที่ห้ามแก่ชาวเมือง ที่เราได้ทำลายเมืองนั้นแล้วว่า แน่นอนพวกเขาจะไม่กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก"
الأنبياء:95 ถูกบันทึกไว้หนังสือตัฟซิรอิบนุกะซีรว่า: อัลลอฮฺ ตรัสไว้ความว่า "และเป็นที่ห้ามแก่ชาวเมือง" ท่านอิบนุอับบาสให้ความหมายว่า "จำเป็นแล้วแก่ชาวเมือง" หมายความว่า เมื่ออัลลอฮฺทรงกำหนดสิ่งใดให้เกิดความพินาศ(ความตาย) แก่ชาวเมืองนั้นแล้ว แท้จริงพวกเขาก็จะไม่ได้กลับมาในโลกดุนยานี้อีกก่อนวันกิยามะห์จะเกิดขึ้น เช่นนี้แหละที่ท่านอิบนุอับบาส ท่านอบูญะอ์ฟัร อัลบากิร และท่านก่อตาดะห์ และคนอื่นๆ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน จากอายะห์นี้และผนวกเข้ากับอายะห์ข้างต้นที่ผ่านมาทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ชีวิตใดที่ถึงอะญัลแล้ว และเมื่อวิญญาณของเขากลับคืนไปสู่อัลลอฮฺ พระองค์ก็จะให้วิญญาณนั้นอาศัยอยู่ในโลกอาลัมบัรซัค (โลกแห่งวิญญาณ) คือ ชีวิตในหลุมฝังศพ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เร้นลับที่ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น และบางเรื่องราวในโลกแห่งหลุมฝังศพ อัลลอฮฺ ได้ทรงเผยให้ท่านนบี มุฮัมหมัด ได้ล่วงรู้ วิญญาณต่างๆ ที่ตายไปเมื่อกลับคืนสู่โลกแห่งวิญญาณจะไม่สามารถกลับคืนสู่โลกดุนยาได้อีก และนี่คือทรรศนะที่ชัดเจนที่ท่านอิบนุอับบาสได้กล่าวไว้จากอายะห์หนึ่งที่อัลลอฮฺ ตรัสไว้ความว่า "หลังจากนั้น แท้จริงพวกเจ้าต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว แท้จริงพวกเจ้าจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้น ในวันกิมามะฮ์" ในหนังสือตัฟซีรอิบนุกะซีรบันทึกเอาไว้ว่า จากที่ อัลลอฮฺ ตรัสไว้ความว่า "หลังจากนั้น แท้จริงพวกเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน" หมายความว่า หลังจากที่ได้มีการสร้างขึ้นมาจากความไม่มี และจากนั้นพวกท่านก็จะกลับคืนสู่ความตาย และอายะห์ "แล้ว แท้จริงพวกเจ้าจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้น ในวันกิมามะฮ์" หมายความว่า การสร้างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งยืนยันจากอายะห์ที่ 20 ในซูเราะห์ อัลอังกะบูตว่า "แล้วอัลลอฮฺทรงให้ฟื้นคืนชีพในปรโลก" หมายความว่า ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งในวันกิยามะห์ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ซึ่งอัลลอฮฺจะทรงสอบสวนบ่าวทั้งหลาย และตอบแทนผู้ประกอบการงานทุกคน หากเป็นความดีจะได้รับความดี หากเป็นความชั่วก็จะได้รับการลงโทษ ซึ่งอายะห์นี้ทำให้เราได้เข้าใจว่า ทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมาทั้งหมดต้องดับสูญและกลับคืนสู่อัลลอฮฺ ตะอาลา ดวงวิญญาณทั้งหลายก็ต้องกลับไปสู่โลกแห่งวิญญาณ และอยู่ในนั้นจนกว่าจะถึงวันแห่งการสอบสวน สายรายงานหนึ่ง จากญาบิร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮู่ กล่าวว่า ครั้นเมื่อ ท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของ อัมรฺ บุตรของ ฮะรอม ถูกสังหารในสงครามอุฮุด ท่านร่อซูลก็ได้กล่าวกับ ท่านญาบิรว่า เอาใหมฉันจะบอกกับเจ้า ว่าอัลลอฮ์ทรงตรัสอะไรกับพ่อของเจ้า ? ฉันกล่าวว่า เอาสิครับ ท่านร่อซูล กล่าวต่อว่า อัลลอฮฺไม่ทรงตรัสกับใครคนใด (ในดุนยา) เว้นแต่จะมีสิ่งปิดกั้น และอัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสกับพ่อของเจ้า (ในโลกแห่งวิญญาณ) ต่อหน้า (โดยไม่มีสิ่งปิดกั้น) พระองค์ทรงตรัสว่า โอ้ อับดุลลอฮฺเอ๋ย เจ้าหวังสิ่งใดจากข้า ข้าจะให้กับเข้า ท่านอับดุลลอฮ์ ตอบว่า โอ้ องค์ผู้อภิบาล พระองค์หวังที่จะมีชีวิต เพื่อที่จะตายชะฮีดอีกครั้ง
พระองค์ อัลลอฮฺตรัสว่า แท้จริงแล้วบรรดาผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วได้ถูกบันทึกไม่ให้กลับไปโลกดุนยาอีก ท่านอับดุลลอฮฺจึงกล่าวขออีกว่า โอ้องค์ผู้อภิบาล โปรดแจ้งสิ่งเหล่านี้ให้กับผู้ที่เบื้องหลังฉันเถิด อัลลอฮฺตะอาลาจึงประทานอายะห์นี้ลงมา "และเจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในทางของอัลลอฮฺนั้นตาย
มิได้ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของพวกเขาในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ" (บันทึกโดยอิหม่าม ติรมิซีย์ และคนอื่นๆ ท่านเช็คอัลบานีย์กล่าวว่า สถานะห์ฮะดิษ อยู่ในระดับ ซอเฮียะห์) จากอายะห์อัลกุรอานและจากฮะดิษของท่านนบี ต่างยืนยันอย่างชัดเจนว่า วิญญาณทั้งหลายไม่มีความสามารถที่จะกลับมาในดุนยานี้ได้อีก ไม่สามารถที่จะกลับมาเข้าฝันและบอกว่า พวกเขาอยากกินอะไร ? หรือจะกลับมาบอกไม่ได้ว่าพวกเขาถูกทดสอบอย่างไรในหลุมฝังศพ ? หรือถูกลงโทษอย่างไร ? เพราะสิ่งเหล่านั้นท่านนบี ได้ชี้แจงไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว และการงานของพวกเขาได้ถูกตัดขาดแล้วตั้งแต่วันที่พวกเขาได้สิ้นชีวิตลง ที่เหลือก็คือหน้าที่ของบุตรหลานที่ดีว่าจะขอดุอาให้พวกเขาหรือไม่ ? จะอุทิศส่วนกุศลทำความดีตามแบบฉบับที่ท่านนบี ได้วางรูปแบบไว้หรือไม่ ? อิสลามมีความเชื่อเรื่องญิน แต่ไม่ได้สอนให้กลัวญิน หรือกลัวผี และอิสลามไม่มีความเชื่อเรื่องผีสาง ไม่เชื่อเรื่องการหลอกหลอนของวิญญาณจากคนตาย ส่วนที่หลายคนถามว่า สิ่งที่เห็น เรื่องเล่าที่เล่าสืบทอดกันมานั้นมาจากไหน ? ตอบได้เลยว่า นั่นคือ ชัยฏอนมารร้าย ที่คอยยุแหย่ และหลอกล่อให้มนุษย์งมงาย สร้างความหวาดกลัว เพื่อให้ออกจากสัจธรรมในท้ายที่สุด ดังที่อัลลอฮฺ ตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องราวของอิบลิสหัวหน้าชัยฏอนมารร้ายว่า "มันกล่าวว่า (อิบลีส) “โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์โดยที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์หลงผิดไปแล้ว แน่นอนข้าพระองค์ก็จะทำให้เป็นที่เพริศแพร้วแก่พวกเขาในแผ่นดินนี้ และแน่นอนข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด"
ท่านนบี กล่าวยืนยันไว้อีกว่า ما منكم من أحد إلا ومعه قرينه من الجن وقرينه من الملائكة، قالوا: وأنت يا رسول الله؟ قال: وأنا، إلا أن الله أعانني عليه فأسلم)) "ไม่มีคนใดในหมู่ของพวกเจ้าเว้นแต่ว่าจะมี ก่อรีนของเขาจากญินอยู่ร่วมกับเขา และก่อรีน จากมะลาอิกะห์อยู่ร่วมกับเขา บรรดาซอฮาบะห์จึงถามว่า แล้วท่านละ รอซูลุลลอฮ์ ท่านนบี ตอบว่า ฉันก็เช่นกัน ทว่าอัลลอฮ์ทรงช่วยเหลือฉันให้มันนั้นเข้ารับอิสลาม" رواه أحمد في مسند المكثرين من الصحابة برقم 3591، والدارمي في الرقائق برقم 2618. ท่านอิหม่ามบุคอรีย์ได้อธิบายคำว่า ก่อรีน ไว้ในซ่อเฮียะห์บุคอรีย์ ในบทที่เกี่ยวกับการตัฟซีร ซูเราะห์ ก๊อฟ ก่อรีน คือ ญินที่ได้รับมอบหมายให้อยู่กับมนุษย์ทุกคน และก่อรีนนั้น ถูกยืนยันไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะห ของท่านนบี ศ็อลลัลลอุอะลัยฮิวะซัลลัม อัลลอฮ์ ตรัสเกี่ยวกับก่อรีนไว้ว่า "สหายของเขา (ชัยฏอน หรือ กอรีน) กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา ข้าพระองค์มิได้ทำให้เขาหลงผิดดอกแต่ทว่าเขาได้อยู่ในการหลงผิดมาก่อนแล้ว" สรุปว่า ชัยฏอน มีหน้าที่ ล่อลวงมนุษย์ให้ลงนรกมากที่สุด ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการล่อลวงในภาพรวมหรือ ที่จากตัวที่ประจำอยู่ในแต่ละบุคคลล เป้าหมายของพวกมัน คือ หลอกล่อลูกหลานของนบีอาดัม อะลัยฮิสลาม ให้ลงนรกมากที่สุด ซึ่งมันจึงทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้มนุษย์นั้นหลงทางออกจากหนทางที่เที่ยงตรง และมาหลอกหลอนให้ผู้ที่มีอิหม่ามอ่อนหลงเชื่อว่า นั่นคือ วิญญาณของญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไป พี่น้องอย่าลืมนะครับว่า ก่อรีน คือ ญิน หรือ ชัยฏอนที่อาศัยอยู่ร่วมกับเรา นั่นหมายความว่า มันเห็นพฤติกรรมของเราทุกอิริยาบถ และรู้จักผู้ที่อยู่ใกล้เคียงเราทุกคน และสามารถซึมซับเลียนแบบได้ทุกประการ มันจึงฉวยโอกาสนี้หลอกลวง และทำให้เข้าใจผิด คิดว่า นี่คือ วิญญาณของญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วได้กลับมาหาอีกครั้ง กลับมาหาและมาร้องขอให้ทำในสิ่งที่มันต้องการ เพื่อให้เราเชื่อฟังในคำสั่งของพวกมัน หวังว่าจากอายะห์กุรอาน และฮะดิษที่ได้นำเสนอ จะทำให้พี่น้องไม่หลงกลเชื่อกลอุบายของเหล่าชัยฏอนในร่างของญินและในร่างมนุษย์ ทุกวันนี้สื่อต่างๆ ได้นำเสนอเรื่องราวของสิ่งเล้นลับ เกี่ยวกับ ภูติ ผี ปีศาจ อิทธิฤิทธิ์ ปฏิหารย์ จนทำให้สังคมมุสลิมถูกมอมเมาจากสื่อละครทั้งหลาย จนมีอิทธิพลเข้ามาทำลายหลักความเชื่อความศรัทธาในหมู่มุสลิมที่คลั่งไคล้ละคร และดารา จนทำให้มีความเชื่อเรื่อง ภูติ ผี ปีศาจ ประกอบกับสังคมมุสลิมได้อยู่ท่ามกลางความหลากหลายทางด้านศาสนา หลากหลายความเชื่อ จนก่อให้เกิดความกลัวในเรื่องต่างๆ และในท้ายที่สุดคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นคือ ความเชื่อที่ผิดเพี้ยนอาจจะการนำพาไปสู่การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และทำให้บุคคลนั้นอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุน



วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ประเทศนี้ ซาอุดิอารเบีย แผ่นดินแห่งการดำรงไว้ซึ่งเตาฮีด



(ภาพ)กษัตริย์ ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาลุซะอูด กับมุฟตีสูงสุดแห่งซาอุดิอารเบีย ชัยคฺ อับดุลอะซีซ บิน อับดุลลอฮฺ อาลุชชัยคฺ หะฟิซอฮุมัลลอฮฺ

"อาลุซะอูด" , "อาลุชชัยคฺ" คือใคร ?

ราชวงศ์ซะอูด(อาลุซะอูด)คือราชวงศ์ที่ปกครองราชอาณาจักรซาอุดิอารเบียในปัจจุบัน ซึ่งกษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน พระราชาธิบดี ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาลุซะอูด เป็นกษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์ซะอูด และราชวงศ์ซะอูดเป็นราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจาก อิหม่ามมุฮัมมัด บิน ซะอูด รอหิมาฮุลลอฮฺ ผู้ปกครองเมืองดัรอียะฮฺ(ซาอุดิอารเบียปัจจุบัน)

ตระกูลชัยคฺ(อาลุชชัยคฺ) คือตระกูลของบรรดาอุลามาอฺผู้สร้างคุณประโยชน์ให้เเก่ศาสนาที่เลื่องลือในปัจจุบันนี้ ซึ่งตระกูลอาลุชชัยคฺ สืบเชื้อสายมาจากอิหม่าม มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ รอหิมาฮุลลอฮฺ ผู้ฟื้นฟูศาสนาอิสลามในคาบสมุทรอาหรับ เเละได้ทำการขจัดชิริก เเละบิดอะฮฺจนหมดสิ้นจากคาบสมุทรอาหรับ เเละมุฟตีสูงสุดของซาอุดิอารเบียปัจจุบัน ก็มาจากตระกูลอาลุชชัยคฺ

ท่าน ชัยคฺ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ เป็นนักฟื้นฟูศาสนาอิสลามที่ทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อประชาติอิสลาม ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วง (1115 - 1206 ฮ.ศ.) ตรงกับ (1703 - 1791 ค.ศ.) ที่เมืองนัจดฺ ในประทศซาอุดิอาระเบีย

เเละเป็นที่ทราบกันดีว่าคาบสมุทรอาหรับในยุคของท่านชัยคฺ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ เป็นยุคที่ศาสนาในจิตสำนึกของมุสลิมเสื่อมโทรมอย่างมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม ชิริก(การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ) เเละบรรดาพิธีกรรมที่เป็นอุตริกรรม(บิดอะฮฺ)เกิดขึ้นอย่างดาษดื่นบนหน้าแผ่นดิน ผู้คนได้ทำการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การขอดุอาอฺ วิงวอนขอต่อหลุมฝังศพของบรรดาศอหาบะฮฺเเละบรรดาอิหม่ามต่างๆ หรือแม้กระทั่งต้นไม้ที่บรรดาศอหาบะฮฺได้ปลูกเอาไว้ก็ไม่พ้นที่จะถูกขอความช่วยเหลือ โดยสิ่งต่างๆเหล่านี้ถูกยึดเอาเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮฺในการขอความช่วยเหลือ(การตะวัซซุล) ซึ่งเป็นมติของปวงปราชญ์อะฮฺลุซซุนนะฮฺว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ

ท่ามกลางความเสื่อมทรามของสังคมที่ดาษดื่นด้วยกับชิริก และบิดอะฮฺ และมีทีท่าว่าจะทวีความรุนเเรงขึ้นทุกที ท่านชัยคฺ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ซึ่งท่านเป็นบุคคลที่เติบโตมาท่ามกลางอุลามาอฺ ถูกเลี้ยงดูด้วยกับหลักการของศาสนาอย่างเคร่งครัด ท่านได้ลุกขึ้นเพื่อทำการขจัดสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ให้หมดจากสังคมอาหรับ ด้วยเหตุนี้จึงสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาผู้คน รวมถึงบรรดาผู้ปกครองในบ้านเมืองของท่าน ท้ายที่สุดท่านก็โดนเนรเทศออกจากบ้านเมืองของท่าน เเต่ท่านก็ยังยืนหยัดในอุดมการณ์ของท่านอย่างไม่ถดถอย

และด้วยพระกำหนดของอัลลอฮฺ ท่านชัยคฺ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ได้พบเจอกับ ท่านอิหม่ามมุฮัมมัด บิน ซะอูด ผู้ปกครองเมือง"ดัรอียะฮฺ"(ซาอุดิอารเบียปัจจุบัน) เเละได้นำเสนออุดมการณ์ที่มุ่งมั่นที่จะทำการขจัดสิ่งชั่วร้ายให้ท่านเจ้าเมืองได้รับทราบ และด้วยกับความเชื่อมั่นที่มีต่ออัลลอฮฺของอิหม่าม มุฮัมมัด บิน ซะอูด ท่านจึงเห็นด้วยกับอุดมการณ์ของท่านชัยคฺ พร้อมกับให้การสนับสนุนด้านการทหารเพื่อปราบปรามบรรดาเครื่องหมายของการตั้งภาคี อุตริกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบรรดากุบูรฺที่ถูกเคารพบูชา เเละมะกอมโต๊ะวะลียฺต่างๆ สิ่งเหล่านี้ถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก เเละท่านชัยคฺ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ก็ได้เรียกร้องผู้คนกลับมาสู่หลักการของศาสนาที่เเท้จริง โดยให้ผู้คนได้ยึดหลักการที่มาจากอัล-กุรอาน เเละซุนนะฮฺ เเละเเนวทางของชาวสะลัฟ ทำให้คาบสมุทรอาหรับกลับมาเป็นเเผ่นดินที่เปี่ยมด้วยหลักการของศาสนาอีกครั้งหนึ่ง เเต่ถึงกระนั้นก็ตาม การที่ได้มีการร่วมมือกันปราบปรามสิ่งชั้วร้ายของ นักการปกครอง เเละนักการศาสนาในครั้งนี้ ส่งผลให้บรรดาผู้ที่เคยจมปลักอยู่ในความมืดมนแห่งชิริกเเละบิดอะฮฺต่างไม่พอใจเเละโกรธเเค้นท่าน อิหม่าม มุฮัมมัด บิน ซะอูด เเละ ชัยคฺ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ เป็นอย่างมาก จึงเป็นเหตุให้เกิดคำที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อทำลายการฟื้นฟูอิสลาม เเละสร้างภาพให้ผู้คนรังเกียจเเละหวาดกลัวต่อกระบวนการฟื้นฟูอิสลามในครั้งนี้ เเละสาเหตุเหล่านี้แหละทำให้เกิดคำว่า"วะฮาบียฺ"ขึ้นมาหลอกลวงสังคม ซึ่งมีเเกนนำโดยพวกชีอะฮฺ พวกศูฟียฺ เเละพวกอุตริกรรมนิยม

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ คือจุดกำเนิดของประเทศแห่งเตาฮีด ที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยกับเตาฮีด" ซาอุดิอารเบีย " ที่สำเร็จด้วยกับน้ำมือของนักปกครองผู้เเน่วเเน่ เเละนักศาสนาที่ยืนหยัด เป็นความสำเร็จที่มาจากอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ จนกระทั่งทุกวันนี้ซาอุดิอารเบียยังคงดำรงไว้ซึ่งหลักเตาฮีดที่ถูกต้อง เเละเป็นประเทศที่ประกาศใช้กฏหมายอิสลามหนึ่งเดียวในโลก นอกจากนั้นซาอุดิอารเบียยังได้ทำการรับใช้ศาสนาอิสลามอย่างชนิดที่ไม่สามารถคำนวณได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับใช้แผ่นดินหะรอมทั้งสอง สนับสนุนกิจการศาสนาอย่างมากมายมหาศาล เเละให้การช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่ถูกอธรรมทั่วทุกมุมโลก เเละนอกจากนี้ ซาอุดิอารเบียยังมีบทบาทในการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายต่างๆในโลก ณ ปัจจุบันอีกด้วย

ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่ประเทศนี้จะได้รับการขอดุอาอฺจากพี่น้องมุสลิม ให้พระองค์ทรงปกปักษ์รักษาประเทศนี้ให้ได้รับความปลอดภัยจากบรรดาศัตรูทั้งหลาย ที่มาในรูปแบบต่างๆ

อิสลามตามแบบฉบับ