อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การนอนหลับในช่วงกลางวัน




การนอนหลับด้วยระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงกลางวันจะทำให้ให้เราแตกต่างจากชัยฏอน เพราะว่าชัยฏอนจะไม่หลับนอนในช่วงกลางวัน

รายงานจากท่านอนัส ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“พวกท่านจงนอนในช่วงกลางวันเถิด (เพราะ) แท้จริงเหล่า(มายร้าย)ชัยฏอนไม่นอนกลางวัน” (บันทึกหะดิษโดยอัฎเฎาะบะรอนีย์ เป็นหะดิษฮะซัน)

ดังนั้นผู้ที่ทำงาน ช่วงเวลาพักเที่ยง หากอยู่ที่บ้านก็ตามภายหลังละหมาดซุฮฺริเสร็จหาที่งีบหลับในช่วงเวลาสั้นๆ หรือหากอยู่ที่ จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงมิให้มีพฤติกรรมเยี่ยงพฤติกรรมชัยฏอนทีปรากฏอยู่ในที่ทำงานหรือในบ้านของเรา
และนอกจากการงีบหลับในช่วงกลางวันเป็นการไม่ให้มีพฤติกรรมอย่างชัยฏอนแล้ว ปัจจุบันทางการแพทย์ได้พิสูจย์แล้วว่าเป็นการดูแลสุขภาพที่ลึกล้ำ

การนอนหลับในช่วงกลางวันสำคัญอย่างไร

 1.แพทย์แผนจีนกล่าวถึงการนอนหลับในช่วงแปรเปลี่ยนของพลังหยินหยาง คือ ช่วง 23.00-01.00 น. และช่วง 11.00-13.00 น. ว่า จื่อหวู่เจี้ยว

         

           การนอนหลับสั้น ๆ ประมาณ 15 นาที 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ตามสภาพเงื่อนไขของแต่ละบุคคล และสภาพการงาน ถ้าไม่มีโอกาสนอนงีบก็ขอให้นั่งเอนงีบหรือปิดตาปล่อยวางจิต ลดการใช้เลือดและพลังหยางของร่างกาย ก็ยังได้ผลดีกว่าไม่พักสงบจิตเลย

การนอนหลับในช่วงเที่ยง

          ลดภาระการทำงานหนักของหัวใจ ลดอัตราการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันเฉียบพลันได้ร้อยละ 30 และเสริมการทำงานที่มีประสิทธิภาพในช่วงตอนบ่าย (http://health.kapook.com/view27886.html)


والله أعلم بالصواب
..........................

การทำความสะอาดกรณีถูกน้ำลายสุนัข




มุสลิมได้รายงานฮะดีษลำดับที่ (279) จากอบี ฮุรอยเราะห์ ร่อดิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า : ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า : ( การทำความสะอาดภาชนะของคนใดในหมู่พวกเจ้า เมื่อสุนัขเลียในมัน คือการล้างมันเจ็ดครั้ง โดยครั้งแรกด้วยดินฝุ่น )
มุสลิมได้รายงานฮะดีษลำดับที่ (280) เช่นเดียวกัน : จากอับดุลลอฮ์ อิบนิ อัลมุฆ็อฟฟัล กล่าวว่า : ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า : ( เมื่อสุนัขเลียในภาชนะ ดังนั้นจงล้างมันเจ็ดครั้ง และขจัดมันเป็นครั้งที่แปดด้วยดินฝุ่น )
ในฮะดีษทั้งสองนี้ ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้แจ้งถึงวิธีการทำความสะอาดความสกปรกของสุนัข คือการล้างภาชนะเจ็ดครั้ง หนึ่งในเจ็ดนั้นด้วยดินฝุ่น และทั้งสองนี้บ่งถึงความจำเป็น

อิบนุกุดามะห์ รอฮิมะฮุ้ลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ใน "อัลมุฆนีย์" (1/73)
ไม่ได้มีความเข้าใจที่แตกต่างกันว่า ความสกปรกของสุนัขนั้นจำเป็นต้องล้างมันเจ็ดครั้ง ซึ่งคือคำพูดของ อิหม่ามชาฟีอี "สิ้นสุด"

และอิหม่าม นะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ในอัลมัจญ์มัวอ์ (2/598) ว่า :
และบรรดานักวิชาการได้มีความเห็นที่แตกต่างกันในการเลียของสุนัข แต่ในมัซฮับของเรา ( ชาฟีอี ) ถือว่าเป็นนะยิสสิ่งที่สุนัขได้เลีย และจำเป็นต้องล้างภาชนะของเขาเจ็ดครั้ง โดยหนึ่งในเจ็ดด้วยดินฝุน ประเด็นนี้คือคำพูดของนักวิชาการโดยส่วนใหญ่ และอิบนุ อัลมุนซิร ได้รายงานถึงความจำเป็นต้องล้าง จากอบี ฮุรอยเราะห์, อิบนิอับบาส, อุรวะห์ อิบนุลซุบัยร์, ตอวูส, อัมร์ บินดีนาร, มาลิก, เอาซาอีย์, อะห์หมัด, อิสหาก, อบีอุบัยด์ และอบี เซาร์ อิบนุลมุนซิร ได้กล่าวว่า : เรื่องนี้มีหลายทัศนะ "สิ้นสุด"

เชค อิบนุ อัซัยมีน กล่าวว่า :
หากมีความสกปรกเกิดขึ้นนอกจากพิ้นดิน มันก็คือความสกปรกของสุนัขเช่นเดียวกัน ดังนั้นจำเป็นต้องทำความสะอาดมันเจ็ดครั้ง โดยหนึ่งในเจ็ดด้วยดินฝุ่น "สิ้นสุด"

"มัจมัวอ์ ฟะตาวา อิบนุ อุซัยมีน" (11/245)
และดีที่สุดคือการล้างครั้งแรกด้วยดินฝุ่น แต่หากล้างด้วยดินฝุ่นในครั้งอื่นๆก็ถือว่าตรงตามเป้าประสงค์ และได้ทำความสะอาดสถานที่แล้ว

อิหม่ามนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลมัจญ์มัวอ์ (2/598) ว่า :
บทสรุปก็คือ สมควรที่จะทำความสะอาดด้วยดินฝุ่นเป็นครั้งแรก แต่ถ้าไม่เช่นนั้นก็ทำนอกเหนือจากครั้งที่เจ็ดจะดีกว่า และถ้าทำเป็นครั้งที่เจ็ดก็ถือว่าอนุญาต ได้มีคำรายงานหลากหลายในบันทึกศอเฮียะห์ว่า ( เจ็ดครั้ง ) รายงานหนึ่งระบุว่า : ( เจ็ดครั้งโดยครั้งแรกของมันด้วยดินฝุ่น ) และในอีกรายงานหนึ่งระบุว่า : ( ในครั้งอื่นๆ แทนคำว่า ครั้งแรก ) แต่อีกรายงานหนึ่งระบุว่า : ( เจ็ดครั้ง โดยครั้งที่เจ็ดด้วยดินฝุ่น ) และในอีกรายงานหนึ่งระบุว่า : ( เจ็ดครั้ง และขจัดมันด้วยดินฝุ่นในครั้งที่แปด ) ซึ่งอัลบัยฮะกีย์และคนอื่นๆ ได้รายงานเรื่องนี้ไว้ทั้งหมด และเป็นหลักฐานเจาะจงว่า ครั้งแรกและครั้งอื่นๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นเงื่อนไข หากแต่ว่าเป้าหมายคือหนึ่งในเจ็ด "สิ้นสุด"

และการล้างด้วยดินฝุ่นนั้นมีหลายแนวทางคือ

1 - ล้างด้วยน้ำหลังจากนั้นขจัดด้วยดินฝุ่น
2 - ขจัดด้วยดินฝุ่นหลังจากนั้นก็ล้างด้วยน้ำ
3 - ผสมดินฝุ่นกับน้ำแล้วนำไปชำระล้างภาชนะ ซึ่งเชค อิบนุ อุซัยมีน กล่าวไว้ใน "การอธิบายบุลูฆุ้ลมะรอม" ฮะดีษเลขที่ (14)

........................
อ.ฟารีด เฟ็นดี

บิดอะฮฺคือสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าการทำบาป




บิดอะฮฺคือสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าการทำบาป ฉะนั้นพวกมุบตะดิอ์ หรือพวกบิดอะฮฺหัวโจก คือผู้ที่ต้องประสบกับการลงโทษอันหนักหน่วง เพราะบิดอะฮฺเป็นสิ่งที่ชัยฏอนชอบมากกว่าการทำบาปของมนุษย์

รายงานจากอนัส บินมาลิก ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าว่า
"แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ทรงยอมรับการกลับตัวของผู้ทำบิดอะฮฺทุกคนจนกว่าเขาจะยุติการทำบิดอะฮฺของเขาเสียก่อน" (หะดิษเศาะเฮียะฮฺ , มุอฺญัมอัลกะบีรของท่านอัฏเฏาะบะรอนีย์ : อิมามอัลบานีย์รับรองว่าเป็นหะดิษเศะเฮียะฮฺ)

ท่านอิมามซุฟยาน อัษเษรีย์ รอหิมาฮุลลอฮฺ นักหะดิษยุคสลัฟ กล่าวว่า
"บิดอะฮฺเป็นที่รักใคร่ของอิบลีส มากกว่าการทำบาป เพราะการทำบาปจะถูกอภัยโทษหาผู้ทำสำนึกผิด แต่การทำบิดอะฮฺไม่ถูกอภัยโทษให้ หมายความว่า โดยพื้นฐานแล้วคนที่ทำบิดอะฮฺ มักคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำ คือเรื่องดีและถุกต้อง แตกต่างจากคนทำบาปที่รู้ตัวดีว่าตนทำผิดเพราะอารมณ์ใฝ่ต่ำ โอกาสที่เขาจะสำนึกผิดจึงเกิดขึ้นได้ ในขณะที่คนที่ทำบิดอะฮฺมักไม่ค่อยสำนึกผิด หรือกลับตัวเพราะเขาไม่เคยคิดว่าบิดอะฮฺที่เขาทำคือความผิดบาป ชาวสลัฟจึงสั่งตักเตือนมิให้ทำการยุ่งเกี่ยวหรือนั่งคุยกับพวกบิดอะฮฺ เพราะจะทำให้ผู้ศรัทธาเกิดความสับสนเนื่องจากการล้างสมองของพวกเขา" ( อัลอัจวิบะฮฺอัลมุฟีดะฮฺอัซอิละติลมะนาฮิจอัลญะดีดะฮฺ หน้า 26-27)



والله أعلم بالصواب

.......................



วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วันนี้วันศุกร์

มุสลิมอินเดียร่วมกันละหมาดวันศุกร์ในระหว่างเดือนรอมฎอน 1434

วันนี้วันศุกร์!! ดีใจ แต่ไม่ใช่เพราะพรุ่งนี้วันหยุดนะ
มาเพิ่มตราชั่งแห่งความดีกัน

** การละหมาดวันศุกร์ วาญิบ สำหรับ มุสลิมชาย **
1. อาบน้ำญานาบะห์ เพื่อไปละหมาดวันศุกร์
2. ตัดเล็บ ขลิบหนวด
3. แต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุดไปละหมาด
4. ประพรมน้ำหอม สำหรับชาย ก่อนไปละหมาด
5. รีบไปละหมาดวันศุกร์ตั้งแต่เนิ่นๆ
6. เข้ามัสยิดแล้วละหมาดก่อนนั่งในมัสยิด 2 รอกอะห์
หากยังไม่เริ่มคุตบะห์ ก็ละหมาดซุนนะห์ทั่วไปทีละ 2 รอกอะห์ไปเรื่อย
จนกว่าจะคุตบะห์
7. อย่าลืมรับสลามคนคุตบะห์ รับอะซาน และกล่าวดุอาอ์หลังอะซาน
8. หากไปถึงมัสยิดแล้วกำลังอะซาน ให้รีบละหมาดก่อนนั่งในมัสยิด
แบบกระชับเลย ไม่ต้องรอให้อะซานจบก่อน
เพราะการรับอะซานเป็นซุนนะห์ แต่การฟังคุตบะห์เป็นวาญิบ
9. ตั้งใจฟังคุตบะห์ อย่าหลับ!! อย่าคุย!! อย่านั่งกอดเข่า!! อย่านั่งนิ้วประสานกัน!!
อย่าเดินแหวก หรือ นั่ง แทรกคนอื่น!!
10. ละหมาดวันศุกร์เสร็จ กล่าวดุอาอ์หลังละหมาด(วิริด)
เหมือนตอนละหมาดฟัรดูปกติอย่างเดียว โดยกล่าวใครกล่าวมัน!!
ไม่ต้องฟาติฮะห์ 10 จบหรืออื่นใด!!
11. ละหมาดซุนนะห์หลังละหมาดวันศุกร์
ถ้าละหมาดที่มัสยิดก็ 4 รอกอะห์(ทำทีละสอง)
ถ้ากลับมาละหมาดที่บ้านก็ 2 รอกอะห์
12. อ่านซูเราะห์ อัลกะห์ฟิ (ซูเราะห์ที่ 18 ญุซที่ 15)
13. ซอลาวาตท่านนบีมากๆ เช่น อัลลอฮ์ฮุมมะซอลลิอะลามุฮัดหมัด
หรือยาวกว่านี้ (แต่!! ไม่ต้องมี ซัยยิดินา)
14. วิงวอน ขอพร ขอดุอาอ์ที่ดีมากๆ ตั้งแต่เข้าเวลาอัศริ
จนกระทั่ง เข้าเวลามักริบ อินชาอัลลอฮ์พระองค์จะทรงตอบรับ
15. ไม่ต้อง เจาะจง ไปเยี่ยมใครที่กุโบรหล่ะ วันนี้เป็นวันอีดประจำสัปดาห์
16. นอกจากไม่เจาะจงไปกุโบรแล้ว ก็ไม่ต้องไปอ่านอัลกุรอานในนั้นด้วย
** การละหมาดวันศุกร์ วาญิบ สำหรับ มุสลิมชาย **



* มาลองดูกัน ทำอะไรได้บ้างตามความสามารถ
เพื่อถ่วงตราชั่งความดีให้หนักขึ้น!!

อินชาอัลลอฮ์.

..............................
Pyaempark Yaempark

ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองพี่น้องของฉันที่โดนอธรรมทุกแห่งหน



- ในขณะที่ หลายๆคน.
รู้ฟ้าสูง..แผ่นดินต่ำ
แต่ ณ ตอนนี้ คนที่อยู่สูง
ชอบดึงฟ้าต่ำ..
คิดจะทำหินแตก..
และอยากแยกแผ่นดิน !!

ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า

” แท้จริงอัลลอฮฺทรงประทานวะฮียังฉัน
ให้มีความถ่อมตนซึ่งกันและกัน ไม่มีอหังการต่อกัน
และไม่มีการละเมิดอธิปไตยของกันและกัน “

( รายงานโดย มุสลิม)

และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ชี้ให้เห็นว่า
ผลตอบสนองของผู้อหังการนั้น คือ ขุมนรก
ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บอกไว้ว่า

“พึงรู้ว่า ฉันขอบอกกับท่านทั้งหลาย ถึงชาวนรกว่า ชาวนรก
คือ บรรดาผู้ที่ชอบวิวาท ชอบความประพฤติทราม
ไม่มีมารยาท เป็นผู้อหังการ”

(รายงานโดย บุคอรี)

จะสูงศักดิ์เพียงใด กุมอำนาจไว้เท่าไหร่
ทำร้ายพี่น้องของเราไปมากสักเท่าใด

สุดท้าย ความอธรรม การกระทำของคนเหล่านี้
ย่อมได้รับ ผลตอบแทนที่สาสมอย่างแน่นอน
ด้วยความยุติธรรม จากอัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา
ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก

ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองพี่น้องของฉันที่โดนอธรรมทุกแห่งหน ด้วยเถิด

อามีนนนนนนนนนน

............................
(จากภาพ -ประชาชนหลายพันคนเรียกร้องให้โค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย เมื่อเดือน เม.ย 56)


เสรีภาพและความยุติธรรม



อคตินี้มาจากไหน ส่วนหนึ่งคงนอนก้นในใจฝรั่งซึ่งทำสงครามกับมุสลิมมายาวนานในประวิติศาสตร์ ซ้ำยังยกเอามุสลิมเป็นศัตรูในจินตนาการของตัวมานาน (ศัตรูกับศาสนาและศัตรูกับอำนาจการเมืองของตัวในยุโรปตะวันออก) แต่อีกส่วนหนึ่งของอคติฝรั่งคงมาจากการที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้อพยพชาวมุสลิมในสังคมตัวเองด้วย ในฐานะประชากรที่ยังอยู่ในบนไดขั้นต่ำสุดของสังคม

ชาวมุสลิมทั้งจากตะวันออกกลาง, แอฟริกา และเอเชียใต้ จึงตกเป็นเหยื่อของความล้มเหลวทั้งหลาย คนตกงานก็โทษมุสลิม รัฐบาลปราบโจรผู้ร้ายไม่ได้ก็โทษมุสลิม เทศบาลเก็บขยะไม่หมดก็โทษมุสลิม โรงเรียนสอบแข่งกับใครไม่ได้เลยก็โทษมุสลิม สรุปคือไม่ว่าความล้มเหลวของบุคคลหรือความล้มเหลวของสังคม ก็มี “อ้ายพวกนี้” แหละที่ช่วยทำให้คนผิวขาวสามารถอธิบายความล้มเหลวของตัวหรือสถาบันของตัวได้ โดยไม่ต้องสูญเสียความนับถือตัวเอง

อีกส่วนหนึ่งของอคติคงมาจากอเมริกัน แม้ว่าประชาชนในยุโรปจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับสงครามรุกรานอิรัก แต่ในโลกแห่งข่าวสารทุกวันนี้ ใครคือผู้ผลิตข่าวสารรายใหญ่ที่สุด ผมคิดว่าคือรัฐบาลและสื่อภายใต้อาณัติของรัฐบาลอเมริกัน

ภาพของมุสลิมที่อเมริกันเสนอให้แก่โลก คือภาพของความรุนแรง ไร้ระเบียบ ยึดถือค่านิยมผิดฝาผิดตัวกัลชาวโลกทั่วไป และทั้งหมดนี้มาจากคำสอนทางศาสนา

ข่าวสารทำนองนี้ อเมริกันไม่ได้ป้อนให้แก่โลกอย่างตรงไปตรงมา แต่ละเมียดเอามากๆ โดยผู้รับสารไม่ทันได้คิดวิเคราะห์อะไรได้ทัน ก็รับมายึดไว้โดยไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว ดูหนังจารกรรมของฮอลลีวู้ดเรื่องเดียว ก็เริ่มรู้สึกกับ “แขก” ว่าไม่ใช่มนุษย์เต็มคนไปเสียแล้ว

....................................
: นิธิ เอียวศรีวงศ์
http://dokamikado.wordpress.com/2006/02/13/เสรีภาพและความยุติธรรม/

หากเราเจอบททดสอบอย่างที่พี่น้องในซีเรียประสบบ้าง



"ทั้งๆที่ัอัลลอฮ สามารถฝากเราไว้ ในครรภ์ใครก็ได้.
.
แต่เราโชคดีแค่ไหน ? .. ที่อัลลอฮ ฝากเราไว้ ในครรภ์ของคนที่เป็นมุสลิม..."

by::: คุณครู ขนมปัง

และต้องชูโกรมากน้อยแค่ไหน ที่พระองค์ไม่ทรงให้เราเิกิดในแผ่นดินที่เต็มไปด้วย บททดสอบมากมายและหนักหน่วงนะ

เราลืมไปแล้วจริงๆ เราสบายมากไปไหม เราถึงลืมชูโกรต่อพระองค์

ระวังเฮอะ++ วันนึงเราเจอบททดสอบอย่างที่พี่น้องในซีเรียประสบบ้าง

เราคงจะรู้สึกกกกก !! และ ณ วันนั้นเราและท่านทั้งหลาย คงมัวแต่ยกมือขอหรอกใช่ไหมมม

by:::ชะบ๊าบ

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อย่าขอความช่วยเหลือจากกาเฟรฺ


               ศาสนาไม่อนุญาตให้ขอความช่วยเหลือจากผู้ปฏิเสธศรัทธา ไม่ว่าเรื่องใดๆ เกี่ยวกับศาสนา โดยเฉพาะเรื่องออกศึกสงคราม ถึงแม้พวกกาเฟรฺจะสมัครใจเข้าร่วมหรือสนับสนุนอาวุธยุทธโธปกรณ์ก็ตาม พวกเขาไม่ได้กระทำไปเพื่อความศรัทธามั่นต่ออิสลาม แต่มันแอบแฝงด้วยผลประโยชน์มากมายสำหรับพวกเขา สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือพี่น้องผู้ร่วมศรัทธา กี่ครั้งแล้วที่พวกเขาได้เข้ามายิบยื่นมือช่วยเหลือ แต่สุดท้ายจบลงด้วยความสูญเสีย แต่ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์กลับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา

ครั้งหนึ่งในยุคท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มีชายผู้ปฏิเสธศรัทธาคนหนึ่งมาขอเข้าร่วมรบกับฝ่ายมุสลิม แต่ท่านนบีก็ปฏิเสธ โดยท่านนบีกล่าวว่า "ฉันไม่ประสงค์รับความช่วยเหลือจากมุชริกเลยแม้แต่น้อย" จนกว่าเขาจะศรัทธามั่นต่ออัลลอฮฺและรสูลของพระองค์

รายงานจากท่านหยิงอาอิชะฮฺ ร่อฎียัลลอฮุอันฮา ผู้เป็นภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เล่าว่า
"เมื่อคราวที่ท่านรสูล เดินทางไปบะดัร เมื่อไปถึงหัรระตุลวะบะเราะฮฺ ท่านได้พบกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนมีพลังและมีความกล้าหาญมาก บระดาเศาะหาบะฮฺต่างดีใจที่เขามาหาท่านรสูล เขากล่าวกับท่านรสูลว่า : ฉันตั้งใจตามท่านมา เพื่อร่วมทำศึกโดยอยู่ฝ่ายท่าน ท่านรสูลถามว่า : ท่านศรัทธามั่นต่อพระองค์อัลลอฮฺและรสูลของพระองค์หรือยัง ชายคนนั้นตอบว่า : ยัง ท่านนบีจึงกล่าวว่า : ท่านจงกลับไปเถิด ฉันไม่ประสงค์รับความช่วยเหลือจากมุชริกเลยแม้แต่น้อย
ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าต่อไปว่า : ชายคนนั้นก็เดินออกไป แต่เมื่อพวกเราเดินทางไปถึงต้นไม้ต้นหนึ่ง ชายคนเดิมนั้นได้มาหาท่านรสูลอีก แล้วเขาพูดเช่นเดิม และท่านรสูลก็ได้ถามเขาเช่นเดิม ที่สุดท่านรสูลก็กล่าวว่า ; จงกลับไปเถิด ฉันไม่ประสงค์รับความช่วยเหลือจากมุชริกเลยแม้แต่น้อย ชายคนนั้นก็ออกไป 
เมื่อพวกเราเดินทางไปถึงบัยดาอฺ ชายคนนั้นก้มาพบอีก ท่านรสูลได้ถามเขาอีกเช่นเดิมว่า ; ท่านศรัทธาต่ออัลลอฮฺและรสูลของพระองค์หรือยัง ชายคนนั้นตอบว่า : ใช่ ฉันศรัทธามั่นแล้ว ท่านรสูลจึงกล่าวว่า ; จงมาและเดินทางกับเรา" (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม หะดิษเลขที่ 1786)
والله أعلم بالصواب

ความมหัศจรรย์ของกุรอานในเชิงตัวเลขและธาตุเหล็ก








ธาตุเหล็ก


เหล็กเป็นธาตุที่กำเนิดจากนอกโลก พลังงานในระบบสุริยะมีไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดเหล็กได้ เหล็กเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของ ลูกอุกกบาต และในกุรอานได้กล่าวถึงเหล็กเช่นกัน

ในซูเราะฮฺอัลฮาดีด(เหล็ก )ที่ 57:25 ความว่า

"ขอยืนยันแท้จริงเราได้แต่งตั้งบรรดาศาสนฑูต ของเรา ให้นำมาซึ่งสัญลักษณ์ต่างๆอันชัดแจ้ง และเราได้ส่งคัมภีร์ลงมาพร้อมพวกเขา และตราชู เพื่อมนุษย์จะได้ดำรงอยู่ด้วยความยุติธรรม และ เราได้บันดาล(ส่ง)เหล็กขึ้นมา ในนั้นมีพลังอันแข็งแกร่งและมีประโยชน์ต่างๆ สำหรับมวลมนุษย์ และเพื่ออัลลอฮฺ จะได้จำแนกได้ว่า ผู้ใดมุ่งช่วย (สนับสนุน)พระองค์และศาสนฑูตของพระองค์ ทั้งๆที่เป็นสิ่งเร้นลับ แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพ ทรงอำนาจที่สุด "

หมายเลขซูเราะฮฺนี้คือ 57 ซึ่งเป็นเลข "น้ำหนักอะตอมของเหล็ก(Atomic weight)" เหล็กมีไอโซโทปที่เสถึยรคือ Fe-54,
Fe-56,Fe-57,Fe-58
ซูเราะฮฺนี้มีทั้งหมด 29 อายะฮฺ อายะฮฺ ที่กล่าวถึงเหล็กนี้เป็นอายะฮฺ ที่ 25 ตัวเลขต่างกัน 29 - 25 = 4
เหล็กมีจำนวนนิวทรอน 30 ตัว ดังนั้น 30 - 4 = 26 เลข 26 คือ เลขอะตอม(Atomic Number) ของเหล็ก


Mathematical Miracle of Qur'an


ความมหัศจรรย์ของกุรอานในเชิงตัวเลขนั้น ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยของ ดร.ราซิด คาลิฟา ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์กุรอานในเชิงตัวเลข ปรากฏในผลงานของ ดร.ราซิด คาลีฟา 6 เล่ม (ดร.ราซิด คาลีฟา เสียชีวิต 31 มค. 1990 โดยถูกฆาตกรรม ด้วยบุคคลมากกว่า 1 คน
ในช่วงเช้า ที่สำนักงาน ของท่าน ที่ Tuscon, Arizona ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด แต่เข้าใจว่าเป็นกลุ่ม
ที่ต่อต้านอิสลาม เพราะท่านเป็นนักคิดที่เก่งกาจ และมองโลกกว้างมาก ดร.ราซิด คาลีฟา เป็นนักเคมี โดยอาชีพ




1.MIRACLE OF QURAN,Significance of the Mysterious Alphabets, Islamic Production,St. Louis, Missouri, 1973

2.THE COMPUTER SPEAKS,God's Message to the World, Renassance Production, Tuscon, Arizona, 1981

3.QUR'AN,The Final Scripture, Islamic Production, Tuiscon, Arizona, 1981

4. QUR'AN,VISUAL PRESENTATION OF THE MIRACLE,Ibid, 1982

5.QUR'AN,HADITH AND ISLAM, Ibid, 1982

6.QUR'AN,The Final Testament,Ibid, 1989

ความอัศจรรย์ของตัวเลขในกุรอานมีทั้งในระดับง่ายๆและในระดับที่ต้องวิเคาระห์อย่างซับซ้อน ในที่นี่จะสรุปอย่างสั้นๆ ดังนี้
1.เลข 19 เป็นเลขพื้นฐานที่พบในกุรอาน(และพบในคัมภีร์ โตราฮฺ ของยิว) ดังนี้

1.1 ในกุรอานมีทั้งหมด 114 ซูเราะหรือบท เลข 114 คือ 19 x 6

1.2 ในกุรอานมีอายัต(Verses) รวมทั้งหมด 6,346 คือ 19 x 334 และ 6,346 คือ 6+3+4+6 = 19

1.3 อายัตแรกของกุรอานคือ "บิศมิลลาฮฺฮิรเราะมาน นิรรอฮีม" ด้วยนามของอัลลอฮฺผู้เมตตายิ่ง ปราณียิ่ง จะประกอบด้วยอักษรอาหรับ 19 ตัว

1.4 ซูเราะที่ 9 ไม่ได้เริ่มด้วย บิศมิลลาฮฺ แต่มีบิศมิลลาฮฺ 2 ครั้งในซูเราะที่ 27 เลขซูเราะตั้งแต่ 9 ถึง 27 บวกกันคือ
9+10+11+12+....27 = 342 เลข 342 คือ 19 x 18

1.5 เลข 342 = 19 x 18 นี้มีค่าเท่ากับจำนวนคำระหว่างบิศมิลลาฮฺ ทั้งสองในซูเราะที่ 27

1.6 วะฮฺยูแรกๆ คือซูเราะฮฺที่ 96 อายัตที่ 1-5 มีจำนวนคำ 19 คำ ใน 19 คำนี้ ประกอบด้วยตัวอัษร 76 ตัว เลข 76 คือ 19 x 4

1.7 ซูเราะที่ 96 เรียงตามเหตุการมีทั้งหมด 19 อายะฮฺ

1.8 ซูเราะที่ 96 ประกอบด้วยตัวอักษรอาหรับ 304 ตัว คือ 19 x 16

1.9 วะฮ์ยูสุดท้ายคือซูเราะที่ 110 มีทั้งหมด 19 คำ และอายะฮฺแรกในซูเระที่ 110 นี้มี 19 ตัวอักษร

1.10 คำว่า พระเจ้า หรือ อัลลอฮฺ ปรากฏตลอดกุรอ่าน 2,698 ครั้ง 2,698 = 19 x 142

1.11 จำนวนครั้งของคำว่า "พระเจ้า" ที่ปรากฏในซูเราะต่างๆ หากนำเอาเลขซูเราะมาบวกกันจะได้ค่า 118,123 = 19 x 6217

1.12 จุดเด่นของกุรอานจะกล่าวถึง "พระเจ้าหนึ่งเดียว" ตัวเลข "หนึ่ง" ที่อ้างถึงอัลลอฮฺมีทั้งหมด 19 ครั้ง

1.13 คำว่า กุรอาน ปรากฏทั้งมดใน 38 ซูเราะ 38 = 19 x 2

1.14 จำนวนครั้งที่กล่าวคำว่า กุรอาน ทั้งหมด 57 ครั้ง เลข 57 = 19 x 3

1.15 ตลอดเล่มของกุรอานกล่าวถึงตัวเลข เหล่านี้ 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12,19,20,30,40,50,60,70,80,99,100,200,300,1000,
2000,3000,5000,50000,100000 ตัวเลขเหล่านี้บวกกันได้ 162146 =19 x 8534

อัศจรรย์เลข 19

wahed ที่หมายถึง "หนึ่ง" ในภาษาอาหรับ คือ วาว(6),อาลีฟ(1),ฮา(8),ดา(4) ตัวเลขหลังอักษรนั้นคือค่า gematrical value
ที่ถูกกำหนดให้กับ อักษรภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักภาษาศาสตร์(ค่าเหล่านี้มีในอักษร อาหรับ,ฮิบรู,อรามิอิก,กรีก)
6+1+8+4 = 19
19 เป็นเลขเฉพาะ(Prime:เลขที่ไม่มีตัวประกอบ)ที่ไม่ธรรมดา
19 คือ ผลบวกของยกกำลังแรกของ 9 และ 10 คือ 9+10 = 19
19 คือ ผลต่างของกำลังสองของ 9 และ 10 คือ 100-81 = 19



อ้างอิง ที่มา : fathoni.com

มหัศจรรย์อัลกุรอานกับการสร้างมนุษย์



บทนำ
คัมภีร์อัลกุรอานเป็นวจนะของเอกองค์อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยต่อศาสนทูตมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยผ่านทางมลาอีกะฮฺ (เทวทูต) ญิบรีล (Gabriel) กว่า 14 ศตวรรษมาแล้วที่เอกองค์อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานคัมภีร์อัลกุรอาน ลงมายังมนุษย์เพื่อให้เป็นคัมภีร์แห่งทางนำ พระองค์ทรงเรียกร้องให้มนุษย์รับการชี้นำสู่สัจธรรมด้วยการยึดมั่นต่อคัมภีร์อัลกุรอาน นับตั้งแต่วาระแรกแห่งการประกาศโองการจวบจนกระทั่งถึงวันแห่งการตัดสิน คัมภีร์อัลกุรอานจะยังคงเป็นทางนำหนทางเดียวสำหรับมวลมนุษยชาติ
อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานว่า
﴿ سَنُرِيهِمۡ ءَايَٰتِنَا فِي ٱلۡأٓفَاقِ وَفِيٓ أَنفُسِهِمۡ حَتَّىٰ يَتَبَيَّنَ لَهُمۡ أَنَّهُ ٱلۡحَقُّۗ أَوَ لَمۡ يَكۡفِ بِرَبِّكَ أَنَّهُۥ عَلَىٰ كُلِّ شَيۡءٖ شَهِيدٌ ٥٣ ﴾ [فصلت: ٥٣]
ความว่า “เราจะให้พวกเขาได้เห็นสัญญาณทั้งหลายของเราในขอบเขตอันไกลโพ้น และในตัวของพวกเขาเอง จนกระทั่งจะเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาว่า อัลกุรอานนั้นเป็นความจริง ยังไม่พอเพียงอีกหรือที่พระเจ้าของเจ้านั้นทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์ฟุศศิลัต : อายะฮ์ที่ 53)
คัมภีร์อัลกุรอานที่นำมาเปิดเผยเมื่อ 14 ศตวรรษที่ผ่านมาได้แจ้งถึงเหตุการณ์ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ เอาไว้อย่างมากมาย รวมทั้งความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์เราเพิ่งค้นพบหรือได้รับการพิสูจน์จากนักวิทยาศาสตร์และด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคศตวรรษที่ 20 นั้น มีกล่าวอ้างอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานเมื่อ 1,400 ปีมาแล้ว ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าคัมภีร์อัลกุรอาน คือคัมภีร์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานลงมาโดยแท้ แน่นอนคัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์ แต่คัมภีร์อัลกุรอานก็ได้ระบุถึงข้อเท็จจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบด้วยเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ 20 เอาไว้อย่างลึกซึ้งและรัดกุม
ชีววิทยา (Biology) ถือเป็นแขนงวิชาหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต เรื่องราวต่างๆ ทางชีววิทยามีการกล่าวเอาไว้อย่างมากมายในคัมภีร์อัลกุรอานเมื่อ 1,400 ปีมาแล้ว ซึ่งมนุษย์เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ เช่น วิวัฒนาการของมนุษย์ การกำเนิดมนุษย์ การพัฒนาตัวอ่อนของมนุษย์ และการสร้างสรรค์เป็นคู่ เป็นต้น ทีนี้เรามาลองดูตัวอย่างปรากฏการณ์ต่างๆ ทางชีววิทยาที่มีการกล่าวเอาไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน

ความขัดแย้งของทฤษฏีวิวัฒนาการ
- การกำเนิดชีวิต
นับตั้งแต่ที่ทฤษฏีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน ได้ถือกำเนิดขึ้นมา สิ่งสำคัญที่ทำให้ทฤษฎีนี้กลายเป็นประเด็นหลักในโลกวิทยาศาสตร์ก็คือตำราของ ชาลส์ ดาร์วิน ที่เขียนถึงเรื่อง “จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต” (The Original of Species) ในหนังสือเล่มนี้ ชาลส์ ดาร์วิน ได้ปฏิเสธว่า สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลกมิได้เกิดจากการสร้างสรรค์โดยเอกเทศของพระเจ้า เขาเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีกำเนิดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน แต่วิวัฒนาการไปตามกาลเวลาจนมีลักษณะที่ต่างกัน
ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน เป็นแนวความคิดวัตถุนิยมที่ยึดถือเป็นพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในการอธิบายหลักการของตน ทฤษฎีนี้อ้างว่าสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างบังเอิญ แต่ข้ออ้างนั้นก็ตกไปอย่างสิ้นเชิงโดยข้อเท็จจริงที่หนักแน่นกว่าคือจักรวาลถูกสร้างสรรค์โดยพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสรรค์จักรวาล และทรงออกแบบแม้รายละเอียดที่เล็กที่สุด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทฤษฎีวิวัฒนาการจะอธิบายว่า       การกำเนิดของสิ่งมีชีวิตไม่ได้มาจากการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าแต่เกิดขึ้นจากเหตุบังเอิญ
ทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วิน ไม่ได้มีพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมทางวิทยาศาสตร์ และเขาก็ยอมรับว่ายังคงเป็นแค่เพียง “สมมติฐาน” ยิ่งไปกว่านั้น ตัวดาร์วินเอง ได้สารภาพไว้ในตำราของเขาในบทที่ชื่อ “ความยากลำบากแห่งทฤษฎี” ว่าทฤษฎีของเขาไม่สามารถตอบคำถามสำคัญๆ ได้
  ดาร์วิน ฝากความหวังของเขาทั้งหมดไว้กับการค้นพบของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเขาคาดว่าจะเป็นผู้เฉลย “ความยากลำบากแห่งทฤษฎี” แต่ทว่าการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ขยายมิติต่างๆ ได้กลับกลายเป็นข้อโต้แย้งสำหรับดาร์วินไป
ข้อบกพร่องของดาร์วินในทางวิทยาศาสตร์ อาจจำแนกได้เป็น 3 ประเด็นดังนี้
1. ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร
2. ไม่มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถแสดงให้เห็นว่า “กลไกแห่งการวิวัฒนาการ” ที่เสนอโดยทฤษฎีนี้จะเป็นไปได้
3. การพิสูจน์ซากฟอสซิลพบข้อเท็จจริงที่แย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการ
ประเด็นสำคัญที่แย้งทฤษฎีของดาร์วินคือดาร์วินได้อิงทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาเข้ากับกลไก “การเลือกสรรของธรรมชาติ (Natural Selection)” ดังปรากฏเป็นชื่อในหนังสือของเขาว่า “จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต, โดยวิธีการเลือกสรรของธรรมชาติ” ตามแนวคิดเรื่องการเลือกสรรของธรรมชาตินั้น สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมของธรรมชาติจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในภาวะการต่อสู้แย่งชิง
การค้นพบของเกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel) ที่ได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์ เกี่ยวกับกฎการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ได้รับการพิสูจน์โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรมในศตวรรรษที่ 20 ได้ลบล้างตำนานความเชื่อนี้ไปโดยสิ้นเชิง การเลือกสรรของธรรมชาติจึงไม่อาจเป็นกระบวนการของทฤษฎีวิวัฒนาการได้ ดังนั้นกลไกการเลือกสรรของธรรมชาติ จึงไม่มีพลังใดๆ ที่สามารถทำให้เกิดวิวัฒนาการได้ ดาร์วินเองก็ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างดีดังได้กล่าวไว้ในหนังสือ จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ของเขาว่า: “การเลือกสรรของธรรมชาติจะไม่มีผลใดๆ จนกว่าลักษณะความผันแปรที่เหมาะสมจะบังเอิญเกิดขึ้น”
จากหลายๆ การพิสูจน์จากนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะหาข้อสรุปของทฤษฏีวิวัฒนาการ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปใดที่มีความชัดเจนหรือบ่งบอกถึงความถูกต้องของทฤษฏีวิวัฒนาการได้ ซึ่งความเห็นโดยส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการนั้นยังมีข้อบกพร่องและไม่ถูกต้อง ดังเช่นคำพูดของนักชีววิทยาหลายๆ ท่าน ที่ได้ทำการพิสูจน์ในเรื่องวิวัฒนาการ
อเล็กซานเดอร์ โอพาริน (Alexander Oparin) นักชีววิทยาผู้มีชื่อเสียงชาวรัสเซีย ผู้ที่เริ่มต้นศึกษาเรื่องกำเนิดชีวิตตามทฤษฎีวิวัฒนาการ เขาได้พยายามที่จะพิสูจน์ว่าเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเองได้ แต่ทว่าการศึกษาของเขาก็ดูเหมือนจะล้มเหลว โดยที่โอพารินจำต้องกล่าวสารภาพว่า “น่าเสียดายที่ต้นกำเนิดของเซลล์นั้น ดูเหมือนจะยังคงเป็นคำถามที่เป็นส่วนที่มืดมนที่สุดจริงๆ ในทฤษฎีวิวัฒนาการ”
ดีเรค วี เอเกอร์ (Derek V. Ager) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ เป็นนักวิวัฒนาการคนหนึ่ง เขากล่าวว่า “สิ่งที่ประจักษ์ก็คือ เมื่อเราตรวจสอบซากฟอสซิลโดยละเอียดไม่ว่าจะในระดับชั้นหรือชนิด เราจะพบซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่ได้มีวิวัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งพร้อมกับการสิ้นสุดของสิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มหนึ่ง”
ดักลาส ฟูตูยาม่า (Douglas J. Futuyma) นักชีววิทยาด้านการวิวัฒนาการ ยอมรับความจริงข้อนี้ว่า “ข้อโต้แย้งระหว่างการกำเนิดกับการวิวัฒนาการนั้นพูดกันมามากแล้วในการอธิบายการกำเนิดสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่อุบัติขึ้นในโลกมีพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบหรือยังบกพร่องอยู่ หากยังบกพร่องอยู่ก็จะต้องมีกระบวนการพัฒนาจากรุ่นก่อนโดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่หากสมบูรณ์แบบแล้วก็แสดงถึงว่า การกำเนิดดังกล่าวต้องมีผู้สร้างที่ทรงอำนาจอย่างแน่นอน”

- วิวัฒนาการของมนุษย์
ประเด็นที่หยิบยกมากล่าวอ้างกันมากที่สุดตามทฤษฎีวิวัฒนาการคือ เรื่องการกำเนิดมนุษย์ นักทฤษฎี  ดาร์วิน อ้างว่า มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีกำเนิดมาจากสัตว์คล้ายลิงตามกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเมื่อ 4-5 ล้านปีมาแล้ว และจากบรรพบุรุษของมนุษย์มาถึงมนุษย์ปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะบางอย่าง
เรื่องของการวิวัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งปรากฏเป็นภาพ “ครึ่งคนครึ่งลิง” ตามสื่อและตำราเรียนนั้นอันที่จริงก็คือเรื่องราวโฆษณาชวนเชื่อโดยไร้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง ไม่มีหลักฐานฟอสซิลชิ้นใดๆ ที่จะสามารถสนับสนุนเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษย์ได้ ในทางตรงกันข้าม ซากฟอสซิล กลับแสดงให้เห็นว่า ระหว่างลิงกับมนุษย์มีสิ่งขวางกั้นที่ไม่สามารถฝ่าข้ามถึงกัน
ลอร์ด ซอลลี่ ซักเคอร์แมน (Solly Zuckerman) หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นนักวิวัฒนาการที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ได้ทำการวิจัยเรื่องนี้เป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะได้ศึกษาซากฟอสซิลออสเตรโลพิเทคัสเป็นเวลาถึง 15 ปี ข้อสรุปของเขาเองก็คือ “ไม่มีสาขาของการวิวัฒนาการของมนุษย์มาจากลิงแต่อย่างใด”
จากข้อมูลที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับ แนวความคิดเรื่องการกำเนิดชีวิต นอกจากนี้ ลำดับขั้นตอนของวิวัฒนาการดูไม่น่าเชื่อถือ ซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนของวิวัฒนาการตามที่ทฤษฎีอ้างถึงก็ไม่เคยมีจริง ดังนั้น แน่นอนว่าทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ควรจะถูกลบล้างเนื่องจากไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ
อาจจะกล่าวได้ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความเชื่อที่จำเป็นสำหรับคนบางกลุ่มที่เชื่อมั่นในแนวความคิดวัตถุนิยมและทฤษฎีดาร์วินอย่างไม่ลืมหูลืมตา เนื่องจากแนวความคิดวัตถุนิยมเป็นสิ่งเดียวที่สามารถนำมาใช้อธิบายสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามกลไกของธรรมชาติได้ และผู้ที่นิยมทฤษฎีดาร์วินกลับยังคงยึดมั่นในความเชื่อนี้เพียงเพราะว่า “ไม่อาจเชื่อในพลังอำนาจเหนือธรรมชาติใดๆ ทั้งสิ้น”
ใครก็ตามที่พิจารณาต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตโดยไม่ลำเอียงไปในทางวัตถุนิยมย่อมจะมองเห็นสัจธรรมต่อไปนี้ได้ชัดเจน กล่าวคือ สิ่งมีชีวิตและทุกสรรพสิ่งทั้งมวลล้วนเป็นสิ่งสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ และผู้ทรงรอบรู้ คือพระองค์อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงสร้างจักรวาลและสิ่งมีชีวิตทั้งมวลจากความว่างเปล่าให้เป็นรูปแบบที่งดงามสมบูรณ์ที่สุด

การกำเนิดของมนุษย์
ในคัมภีร์อัลกุรอานพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ ในการกำเนิดมนุษย์ไว้ว่า
﴿ وَلَقَدۡ خَلَقۡنَا ٱلۡإِنسَٰنَ مِن سُلَٰلَةٖ مِّن طِينٖ ١٢ ثُمَّ جَعَلۡنَٰهُ نُطۡفَةٗ فِي قَرَارٖ مَّكِينٖ ١٣ ثُمَّ خَلَقۡنَا ٱلنُّطۡفَةَ عَلَقَةٗ فَخَلَقۡنَا ٱلۡعَلَقَةَ مُضۡغَةٗ فَخَلَقۡنَا ٱلۡمُضۡغَةَ عِظَٰمٗا فَكَسَوۡنَا ٱلۡعِظَٰمَ لَحۡمٗا ثُمَّ أَنشَأۡنَٰهُ خَلۡقًا ءَاخَرَۚ فَتَبَارَكَ ٱللَّهُ أَحۡسَنُ ٱلۡخَٰلِقِينَ ١٤ ﴾ [المؤمنون: ١٢-١٤]
ความว่า “และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน แล้วเราทำให้เขาเป็น  เชื้ออสุจิ อยู่ในที่พักอันมั่นคง (คือมดลูก) แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือด แล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อ แล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์ อัลมุมินูน : อายะฮ์ที่ 12-14)
การสร้างมนุษย์และความมหัศจรรย์ในเรื่องนี้ได้กล่าวย้ำในอายะฮ์อื่นๆ อีกหลายอายะฮ์ด้วยกัน บางหัวข้อของเรื่องราวในอายะฮ์ดังกล่าว มีรายละเอียดมากและลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครก็ตามที่มีชีวิตในช่วงเวลาเมื่อ 1,400 กว่าปีที่ผ่านมา จะมีความรู้และเข้าใจได้ บรรดาผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่อัลกรุอานได้ถูกประทานลงมานั้น รู้ว่าองค์ประกอบพื้นฐานของการกำเนิดของมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับน้ำอสุจิที่หลั่งออกมาเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และความเป็นจริงที่ว่า ทารกจะคลอดออกมาหลังจากอยู่ในครรภ์มารดาเป็นระยะเวลาเก้าเดือนนั้น เป็นที่รู้กันอย่างชัดแจ้ง โดยไม่ต้องมีการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ แต่ทว่าเรื่องต่างๆ ตามขั้นตอนที่ได้กล่าวมาในอายะฮ์ข้างต้นนั้น เป็นความรู้ซึ่งเกินกว่าที่ผู้คนในสมัยนั้นจะเข้าใจได้ และเพิ่งจะค้นพบด้วยวิชาการทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 นี้เอง
กระบวนการและขั้นตอนในการกำเนิดมนุษย์ มีรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนดังนี้
1. การสร้างมนุษย์คนแรกของโลก (ศาสดาอาดัม) จากดิน
2. การสร้างมนุษย์เพศหญิง (พระนางฮาวา) จากมนุษย์เพศชาย (ศาสดาอาดัม)
3. การสร้างมนุษย์จากหยดน้ำอสุจิ

- มนุษย์คนแรกถูกสร้างมาจากดิน
จากอายะฮ์ที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานต่อไปนี้ เป็นการให้เราได้ศึกษาไตร่ตรองและตระหนักถึงความเป็นมาของมนุษย์ เริ่มแรกนั้นมนุษย์ถูกสร้างมาอย่างไรและสร้างมาจากสิ่งใด
มนุษย์คนแรกนั้น (ศาสดาอาดัม) ถูกสร้างมาจากดิน (طين)
อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสถึงการสร้างท่านศาสดาอาดัมและเผ่าพันธุ์มนุษย์ว่า
﴿ ٱلَّذِيٓ أَحۡسَنَ كُلَّ شَيۡءٍ خَلَقَهُۥۖ وَبَدَأَ خَلۡقَ ٱلۡإِنسَٰنِ مِن طِينٖ ٧ ثُمَّ جَعَلَ نَسۡلَهُۥ مِن سُلَٰلَةٖ مِّن مَّآءٖ مَّهِينٖ ٨ ثُمَّ سَوَّىٰهُ وَنَفَخَ فِيهِ مِن رُّوحِهِۦۖ وَجَعَلَ لَكُمُ ٱلسَّمۡعَ وَٱلۡأَبۡصَٰرَ وَٱلۡأَفۡ‍ِٔدَةَۚ قَلِيلٗا مَّا تَشۡكُرُونَ ٩ ﴾ [السجدة: ٧- ٩]
ความว่า “พระองค์ทรงประทานความงามแก่ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้ และทรงเริ่มสร้างมนุษย์จากดินโคลน หลังจากนั้น ทรงสร้างเผ่าพันธุ์ของเขามาจากเชื้อจากน้ำอันไร้เกียรติ หลังจากนั้น พระองค์ทำให้เขามีรูปร่างสมบูรณ์ และเป่าลงไปในเขา จากวิญญาณของพระองค์ และพระองค์ทรงสร้างให้พวกเจ้าได้ยินและได้เห็นและให้มีจิตใจ (สติปัญญา) เป็นส่วนน้อยเหลือเกินที่พวกเจ้าจะขอบคุณ” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัสสัจญ์ดะฮฺ : อายะฮ์ที่ 7-9)
อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
﴿ وَمِنۡ ءَايَٰتِهِۦٓ أَنۡ خَلَقَكُم مِّن تُرَابٖ ثُمَّ إِذَآ أَنتُم بَشَرٞ تَنتَشِرُونَ ٢٠ ﴾ [الروم: ٢٠]
ความว่า “และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ ทรงสร้างพวกเจ้าจากดินทราย แล้วพวกเจ้าเป็นมนุษย์แพร่กระจายออกไป” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัร-รูม : อายะฮ์ที่ 20)


ภาพแสดงองค์ประกอบของดิน จะประกอบด้วย หิน อากาศ น้ำ ดินเหนียว และสารอินทรีย์

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ดินจะประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากกว่า 100 ชนิด และร่างกายของมนุษย์จะประกอบด้วยธาตุหลักๆ ประมาณ 23 ชนิด ซึ่งทุกธาตุที่พบในตัวมนุษย์ จะมีอยู่เป็นองค์ประกอบของดิน เช่น
ธาตุหลัก ได้แก่ ไฮโดรเจน (H), ออกซิเจน (O)
สองธาตุนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของน้ำ (H2O) ซึ่งน้ำจะมีอยู่ในตัวมนุษย์มากถึง 70 %
        คาร์บอน (C), ไนโตรเจน (N)
ซึ่งธาตุทั้งสี่นี้จะพบในสารประกอบหลักที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ เช่น น้ำตาล ( C6H12O6)  ไขมันโปรตีน  วิตามิน เป็นต้น
ธาตุรอง ได้แก่ Cl , S , P , Mu , Ca , K
      ธาตุที่เป็นของแห้ง ได้แก่ I , Mg , Co , Zn , Mo
    ธาตุหายาก ได้แก่ F , Al , B , Se , Cd
มนุษย์ที่หนัก 65 กิโลกรัม จะมีน้ำประมาณ 40 กิโลกรัม(61.6%) โปรตีน 11 กิโลกรัม(17.0%) ไขมัน 9 กิโลกรัม(13.8%) เกลือแร่ 4 กิโลกรม(6.1%) คาร์โบไฮเดรต 1 กิโลกรัม(1.5%)
จากหลักฐานดังกล่าว เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามนุษย์นั้นไม่ได้ถูกบังเกิดมาด้วยความบังเอิญ    หากเกิดจากพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมา และหลายๆ อายะฮ์ที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า มนุษย์นั้น เริ่มแรกถูกสร้างมาจากดิน ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ที่ว่าธาตุหลักๆ ที่พบอยู่ในตัวของมนุษย์นั้น เป็นธาตุองค์ประกอบของดิน

- มนุษย์เพศหญิงถูกสร้างมาจากเพศชาย
มนุษย์คนแรกคืออาดัม ที่อัลลอฮฺได้สร้างมาจากดินตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น และเป็นต้นตระกูลของมนุษย์ทุกคน อาดัมเป็นมนุษย์เพศชายที่เป็นเพศพ่อ ในการที่มนุษย์จะแพร่ขยายจำนวนมหาศาลจนถึงทุกวันนี้จะต้องมีทั้งเพศพ่อและเพศแม่
        มนุษย์เพศพ่อคนแรก คือ อาดัม มนุษย์เพศแม่ คือใคร และมาจากไหน อัลลอฮได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلنَّاسُ ٱتَّقُواْ رَبَّكُمُ ٱلَّذِي خَلَقَكُم مِّن نَّفۡسٖ وَٰحِدَةٖ وَخَلَقَ مِنۡهَا زَوۡجَهَا وَبَثَّ مِنۡهُمَا ٗا كَثِيرٗا وَنِسَآءٗۚ ﴾ [النساء: ١]
ความว่า “มนุษยชาติทั้งหลาย ! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่งและได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครองของเขา และได้ทรงให้แพร่สะพัดไปจากทั้งสองนั้น ซึ่งบรรดาชายและบรรดาหญิงอันมากมาย” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัน-นิซาอ์: อายะฮ์ที่ 1)
จากอายะฮ์ดังกล่าวทำให้เข้าใจว่า แท้จริงมนุษย์มาจากชีวิตเดียวเท่านั้น คือ อาดัม และจากชีวิตของอาดัม มีการสร้างชีวิตใหม่อีกชีวิตหนึ่งเป็นคู่ครองของอาดัม คือ ฮาวา และจากทั้งอาดัมที่เป็นชายและฮาวาที่เป็นหญิง ก็ได้แพร่ลูกหลานทั้งชายและหญิงมากมายเกินที่จะนับได้
มีรายงานจากท่านอบี ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
عَنْ ‏ ‏أَبِي هُرَيْرَةَ ‏ ‏رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ ‏ ‏قَالَ : ‏قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ‏ ‏«اسْتَوْصُوا بِالنِّسَاءِ، فَإِنَّ الْمَرْأَةَ خُلِقَتْ مِنْ ضِلَعٍ، وَإِنَّ أَعْوَجَ شَيْءٍ فِي الضِّلَعِ أَعْلَاهُ، فَإِنْ ذَهَبْتَ تُقِيمُهُ كَسَرْتَهُ، وَإِنْ تَرَكْتَهُ لَمْ يَزَلْ أَعْوَجَ، فَاسْتَوْصُوا بِالنِّسَاءِ» [البخاري برقم 3331]
ความว่า : รายงานจากอบี ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  ได้กล่าวว่า “พวกเจ้าจงตักเตือนสตรี(ด้วยดี) แท้จริงสตรีถูกบังเกิดขึ้นจากกระดูกซี่โครง ถ้าเจ้างอซี่โครงก็จะยิ่งงอ ถ้าเจ้าทำให้มันตรงก็จะหัก ถ้าเจ้าทิ้งไว้ก็จะงอ ดังนั้นจงตักเตือนสตรี (ด้วยดี)” (รายงานโดย อัล-บุคอรีย์/3331)
มุฮำหมัด อิบนุ อิสฮาก กล่าวว่า มีรายงานจากอิบนุอับบาส ว่า ฮาวาถูกสร้างขึ้นจากซี่โครงที่สั้นที่สุดข้างซ้าย มันอ่อน และถูกทดแทนด้วยเนื้อ
  นักอรรถาธิบายบางท่านให้ความเห็นว่า ฮาวาถูกสร้างมาจากซี่โครงของอาดัม ทำให้ซี่โครงของอาดัมมีน้อยกว่าซี่โครงของฮาวา เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นจริง อิมาม ฟัครุดดีน อัร-รอซี ได้กล่าวในหนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอาน (ตัฟซีร)  ของท่าน  (مفايتح الغيب) ว่า  “คนที่ว่าซี่โครงด้านซ้ายมีน้อยกว่าซี่โครงด้านขวาเพราะถูกเอาไป (สร้างฮาวา) เป็นสิ่งที่ผิดจากความจริงทั้งจากการสัมผัสและการศึกษาโดยการผ่าตัด”

ดังนั้น ซี่โครงคนเราไม่ว่าชายหรือหญิงจะมีจำนวนเท่ากัน ทั้งซ้ายและขวาก็จะเท่ากัน
    จากหลักฐานที่มาจากอัลกุรอานและหะดีษ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า
ทำไมต้องสร้างผู้หญิงจากผู้ชาย ทำไมไม่เป็นชายมาจากหญิง ?
  ทำไมต้องสร้างมาจากกระดูกซี่โครง ?
คำถามลักษณะนี้เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะหาคำตอบได้ นอกจากคำตอบนั้นมีบันทึกไว้ในอัลกุรอานหรือหะดีษของท่านนบี หรือสัญญาณบ่งบอกสู่การค้นหาคำตอบเหล่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการสมัยใหม่ หรือหลังที่ได้มีการค้นพบกล้องที่สามารถขยายอนุภาคเล็กๆ ให้มองเห็นรายละเอียดได้ ทำให้มนุษย์มีความรู้ใหม่ๆ และความรู้นั้นก็สามารถที่จะอธิบายสิ่งเร้นลับบางอย่าง ที่เกิดกับตัวมนุษย์เองได้
    สำหรับตอบคำถามแรก ทำไมต้องสร้างผู้หญิงจากผู้ชาย ทำไมไม่เป็นชายมาจากหญิง !!!?
      เมื่อร้อยกว่าปีนักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายมากๆ และได้ค้นพบแถบที่อยู่ในนิวเคลียสของเซลล์มนุษย์ จำนวน 46 แถบ เรียกว่า โครโมโซม (Chromosome)

โครโมโซมมีโครงสร้างแบบง่ายๆ คือ ประกอบด้วยโมเลกุลของ DNA ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นวงกลมยืดยาวออกคล้ายเส้นใยเล็กสานกันคล้ายร่างแหอยู่ในนิวเคลียสซึ่งเรียกว่า โครมาทิน (chromatin) โครโมโซมประกอบด้วย 2 โครมาทินที่เหมือนกัน โครมาทินทั้งสองมีส่วนที่ติดกัน

โครโมโซมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ออโตโซม (autosome) คือ โครโมโซมที่ควบคุมลักษณะต่างๆ ของร่างกาย มี 22 คู่ 44 แถบ
2. โครโมโซมเพศ (sex chromosome) เป็นโครโมโซมที่ทำหน้า กำหนดเพศ ได้แก่โครโมโซม X  และโครโมโซม Y ถ้าเพศหญิงจะเป็นโครโมโซมคือ XX เพศชายคือ XY โครโมโซม X จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าโครโมโซม Y มาก กล่าว คือ
เพศชาย มีออโตโซม 44 แถบ กับโครโมโซม x และโครโมโซม y คือ 22 + x กับ 22 + y
เพศหญิง มีออโตโซม 44 แถบ กับโครโมโซม x อีกคู่หนึ่ง คือ 22 + x
 
โครโมโซมที่จัดเรียง เป็น ออโตโซม 22 คู่ และ เป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ (ในกรณีนี้ เป็น XY แสดงถึงเพศชาย)

ดังนั้น ผู้ที่สามารถให้กำเนิดเพศหญิงหรือชายได้นั้น คือ ฝ่ายชาย ส่วนฝ่ายหญิงนั้นไม่สามารถที่จะกำเนิดเพศชายได้นอกจากเพศหญิงเท่านั้น ฮาวาจึงมาจากอาดัม และ ฮาวาเองไม่สามารถที่ที่กำเนิดเพศชายได้โดยขาดฝ่ายชาย
ไข่ของฝ่ายหญิงจะมีโครโมโซมเพศ ที่เป็น  X เท่านั้นแต่อสุจิของฝ่ายชายจะมีโครโมโซมเพศที่เป็น X หรือ Y ก็ได้

- การสร้างมนุษย์จากหยดน้ำ
อาดัมเป็นบรรพบุรุษคนแรกของมนุษย์ที่อัลลอฮฺได้สร้างขึ้นมาจากดิน ตามที่ได้กล่าวมาในตอนต้น ในการแพร่ขยายมนุษย์ให้สืบสกุลรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนถึงทุกวันนี้ อัลลอฮฺได้กำหนดกระบวนการสืบสกุลของมนุษย์จากน้ำที่ไร้ค่า หรือเรารู้จักกันดีคือน้ำอสุจิที่เต็มไปด้วยตัวอสุจินับล้านๆ ตัว และในการจะก่อกำเนิดเป็นมนุษย์นั้นมีอสุจิตัวเดียว (หรือหลายตัวในกรณีเป็นแฝดเทียม) เป็นตัวที่แข็งแรงที่สุด สามารถวิ่งได้ไกลและเร็วผ่านมดลูกและท่อนำไข่ เพื่อไปปฏิสนธิกับไข่ที่ตกจากรังไข่ โดยการใช้หัวเจาะเข้าไปไข่ และไข่ก็จะสร้างสารมาเคลือบรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิตัวอื่นๆ เจาะเข้าไปได้อีก ไข่ใบเดียว อสุจิตัวเดียว และมีการป้องกันไม่ให้ตัวอื่นเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยในการกำเนิดมนุษย์นี้
อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานว่า
﴿ خُلِقَ مِن مَّآءٖ دَافِقٖ ٦ ﴾ [الطارق: ٦]
ความว่า “เขาถูกบังเกิดมาจากน้ำที่พุ่งออกมา” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัฏฏอริก: อายะฮ์ที่ 6)
อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
﴿ إِنَّا خَلَقۡنَا ٱلۡإِنسَٰنَ مِن نُّطۡفَةٍ أَمۡشَاجٖ نَّبۡتَلِيهِ فَجَعَلۡنَٰهُ سَمِيعَۢا بَصِيرًا ٢ ﴾ [الإنسان: ٢]
ความว่า “แท้จริงเราได้สร้างมนุษย์จาก น้ำเชื้อผสมหยดหนึ่ง เพื่อเราจะได้ทดสอบเขาดังนั้นเราจึงทำให้เขาเป็นผู้ได้ยิน เป็นผู้ได้เห็น” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อันอินซาน: อายะฮ์ที่ 2)
อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
﴿ وَبَدَأَ خَلۡقَ ٱلۡإِنسَٰنِ مِن طِينٖ ٧ ثُمَّ جَعَلَ نَسۡلَهُۥ مِن سُلَٰلَةٖ مِّن مَّآءٖ مَّهِينٖ ٨ ﴾ [السجدة: ٧-٨]
ความว่า “ และพระองค์ (อัลลอฮฺ) ทรงเริ่มการสร้างมนุษย์จากดิน แล้วทรงให้การสืบตระกูลของมนุษย์ จากสิ่งที่คัดจากน้ำ(อสุจิ)อันไร้ค่า” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัซซะญะดะห์ : อายะฮ์ที่ 7-8)
คำว่า سُلاَلَةٍ (สูลาละฮฺ) หมายถึง สิ่งที่ถูกเลือกจากน้ำ และคำว่า مَّاء مَّهِينٍ   หมายถึงน้ำที่อ่อนแอ ไม่สามารถที่ทำร้ายหรือให้โทษแก่ใครได้ อิบนุ หะญัรฺ อัล-อัลอัสกอลานี ได้กล่าวว่า سُلاَلَةٍ หมายถึง สิ่งหนึ่งที่ถูกนำออกจากอีกสิ่งหนึ่ง ในอัลกุรอานเรียกว่า  سُلاَلَةٍซึ่งสามารถแปลได้ว่า สิ่งที่ถูกคัดสรรมาจากน้ำอสุจินั่นเอง

ภาพขยายของเซลล์อสุจิ และภาพจำลองที่ให้เห็นลักษณะที่ประกอบด้วยส่วนหัวและหาง สามารถแหวกว่ายในน้ำได้คล้ายกับปลา และคำว่า سُلاَلَة  บางครั้งหมายถึงปลาตัวยาว

ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้ง ฝ่ายชายจะหลั่งอสุจิออกมาประมาณ 250 ล้านตัว ตัวอสุจิต้องเดินทางแหวกว่ายอยู่ในร่างของฝ่ายหญิง เพื่อให้ถึงไข่ของฝ่ายหญิง ซึ่งจากจำนวนตัวอสุจิทั้งหมด 250 ล้านตัว จะเหลือเพียง 1,000 ตัวเท่านั้น ที่จะสามารถมาถึงไข่ได้ และหลังจากการแข่งขันกันกว่า 5 นาที จะมีตัวอสุจิเพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่สามารถเจาะเข้าไปในผนังของไข่ซึ่งมีขนาดเล็กเท่ากับครึ่งหนึ่งของเม็ดเกลือ

ภาพด้านบนคือภาพน้ำอสุจิที่หลั่งเข้าสู่มดลูก ตัวอสุจิเพียงจำนวนไม่มากนัก

จากทั้งหมด 250 ล้านตัวที่หลั่งจากฝ่ายชาย จะสามารถไปถึงไข่ที่อยู่ในมดลูกได้ ตัวอสุจิที่จะปฏิสนธิกับไข่นั้น เป็นเพียงตัวเดียวเท่านั้นจากจำนวนประมาณหนึ่งพันตัวที่รอดมาถึงไข่ได้ ความจริงที่ว่ามนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำอสุจิทั้งหมด หากแต่เกิดจากส่วนเล็กๆ ของมันเท่านั้น มีความสัมพันธ์กับข้อความในอัลกุรอานที่กล่าวถึง “หยดหนึ่งจากน้ำอสุจิที่พุ่งออกมา”
เซลล์อสุจิจะวิ่งผ่านสารที่เป็นกรดอ่อนๆ ที่คอยสกัดกั้นตัวที่อ่อนแอในบริเวณช่องคลอดและมดลูก คงไว้ตัวที่แข็งแรงที่ถูกคัดสรรแล้ววิ่งไปปฏิสนธิกับไข่บริเวณปีกมดลูก
 
ในแต่ละครั้งเซลล์สุจิจะถูกปล่อยออกมานับร้อยๆ ล้านตัวแต่จะมีตัวที่แข็งแรงไม่กี่ร้อยตัวที่สามารถวิ่งผ่านอุปสรรคจนถึงเซลล์ไข่บริเวณมดลูกได้และจะมีเพียงตัวเดียวที่ที่สามารถผ่านเข้าไปผสมกับไข่เฉพาะส่วนหัวของตัวเซลล์อสุจิจะผ่านผนังเซลล์ไข่เข้าไปในไข่โดยสลัดหางไว้ภายนอก เยื้อหุ้มเซลล์ไข่จะเปลี่ยนแปลงโดยไม่ให้เซลล์อสุจิตัวอื่นเจาะเข้าไปในไข่ได้อีก ดังนั้นในไข่ 1 ใบจะมีอสุจิ (ทีถูกเลือก) เพียงตัวเดียวเท่านั้นเข้าไปผสมกับไข่และพัฒนาเป็นทารกต่อไป
﴿ أَيَحۡسَبُ ٱلۡإِنسَٰنُ أَن يُتۡرَكَ سُدًى ٣٦ أَلَمۡ يَكُ نُطۡفَةٗ مِّن مَّنِيّٖ يُمۡنَىٰ ٣٧ ﴾ [القيامة: ٣٦-٣٧]
ความว่า “ มนุษย์คิดหรือว่า เขาจะถูกปล่อยไว้โดยไร้จุดหมายกระนั้นหรือ เขามิได้เป็นน้ำกามหยดหนึ่งจากน้ำอสุจิที่ถูกพุ่งออกมากระนั้นหรือ” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัลกิยามะฮ์ : อายะฮ์ที่ 36-37)

การพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์
ถ้อยคำในคัมภีร์อัลกุรอานเกี่ยวกับการกำเนิดและพัฒนาการของมนุษย์มีกล่าวไว้หลายอายะฮ์ด้วยกันวิทยาเอมบริโอ (Embryology) ซึ่งเป็นสาขาวิชาหนึ่งของชีววิทยา ที่ศึกษาเกี่ยวกับขั้นตอนการเจริญเติบโตและการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์ นับตั้งแต่วิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ในศตวรรษที่ 20 ได้มีการทำวิจัยโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ที่มีความสามารถสูง จนในที่สุดพัฒนาการของตัวอ่อนมนุษย์ถูกอธิบายโดย Streeter (1941) เป็นครั้งแรกและ O’Rahilly (1972) จากผลศึกษาดังกล่าวทำให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำมากขึ้น และจากผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นแล้วว่า กระบวนการและขั้นตอนการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์ที่ได้กล่าวเอาไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานเมื่อ 1,400 ปีมาแล้วนั้น ถูกต้องและแม่นยำทุกประการ และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์อันชัดแจ้งว่า คัมภีร์อัลกุรอานคือพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง
อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า
﴿ ثُمَّ خَلَقۡنَا ٱلنُّطۡفَةَ عَلَقَةٗ فَخَلَقۡنَا ٱلۡعَلَقَةَ مُضۡغَةٗ فَخَلَقۡنَا ٱلۡمُضۡغَةَ عِظَٰمٗا فَكَسَوۡنَا ٱلۡعِظَٰمَ لَحۡمٗا ثُمَّ أَنشَأۡنَٰهُ خَلۡقًا ءَاخَرَۚ فَتَبَارَكَ ٱللَّهُ أَحۡسَنُ ٱلۡخَٰلِقِينَ ١٤﴾ [المؤمنون: ١٤]
ความว่า  “แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือด แล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อ แล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮ์ ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัลมุมินูน : อายะฮ์ที่ 14)
เมื่อพิจารณาจากอายะฮ์ข้างต้นแล้ว แสดงให้เห็นว่าพัฒนาการของตัวอ่อนมนุษย์ที่เกิดขึ้นในครรภ์มารดานั้น เหมือนกับเรื่องราวที่ได้อธิบายไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานทุกประการ จากหลักฐานในอายะฮ์ดังกล่าว ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนยอมรับกับสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน หนึ่งในนั้นคือ ศาตราจารย์กิตติมศักดิ์ Emeritus Keith L. Moore หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขากายวิภาควิทยาและวิชาว่าด้วยการศึกษาตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต ข้อมูลที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้ศาสตราจารย์ท่านนี้ทำการศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าวเพิ่มเติมจนในที่สุดท่านได้แต่งตำราที่ชื่อว่า “The Developing Human” ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ใช้สำหรับอ้างอิงงานทางวิทยาศาสตร์ และยังได้รับเลือกจากคณะกรรมการพิเศษของสหรัฐอเมริกาให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุด
จากอายะฮ์ที่ได้กล่าวมาข้างต้น ระยะแรกที่ได้กล่าวคือ (النُّطْفَة) ระยะนุฏฟะฮ์ (NUTFAH)
ขั้นแรกของการเจริญเติบโตของทารกที่อัลกุรอานได้กล่าวเอาไว้คือ “นุฏฟะฮ์” ซึ่งเป็นสำนวนอาหรับที่ให้ความหมายว่า “น้ำที่น้อยนิด” หรือ “หยดหนึ่งของน้ำ” และแล้วการเกิดของมนุษย์ได้เริ่มมาจากส่วนน้อยของน้ำอสุจิจากพ่อและไข่ของแม่ เมื่อได้รับการปฏิสนธิแล้วยังคงมีลักษณะรูปร่างกลมเหมือนหยดน้ำ เรียกระยะนี้ว่า “ระยะไซโกต” (Zygote) การเจริญเติบโตในขั้นนี้จะดำเนินอย่างต่อเนื่องและมีการแบ่งเซลล์ภายในไข่ทั้งใบ เซลล์ที่ได้จะมีขนาดเท่าๆ กันที่เรียกว่า บลาสโตเมีย (Blastomere) แต่ขนาดของไข่ (เอ็มบริโอ) จะเท่าเดิม  หลังจากการปฏิสนธิ 4 วัน เซลล์ของเอ็มบริโอจะรวมตัวกันเป็นก้อนกลมในรูปที่อุดตันภายใน เรียกว่า มอรูลา (Morula) จากการเรียงตัวของเซลล์ใหม่ทำให้เกิดกลุ่มเซลล์ที่มีช่องว่างภายในเรียกกลุ่มเซลล์ระยะนี้ว่า บลาสโตซิสต์ (ฺBlastocyst) ซึ่งเอ็มบริโอจะมีอายุประมาณ 5 วัน

ลำดับขั้นการพัฒนาการของทารกในครรภ์มารดา

(1) เมื่อมีการปฏิสนธิระหว่างเซลล์อสุจิและเซลล์ไข่ เป็นเซลร่างกาย 1 เซลล์เรียกว่า  Zygote และเริ่มมีการแบ่งเซลล์
(2) เมื่อผ่านไป  2 วัน จะมีการแบ่งเซลล์เป็น 4 เซลล์
(3) เมื่อผ่านไป  3 วัน จำนวนเซลล์ถูกแบ่งมากขึ้นเป็นกลุ่มเซลล์เรียกว่า  Morula
(4) เมื่อผ่านไป  4 วัน เป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า บลาสโตซีสต์ (Blastocyst)
(5) เมื่อผ่านไป  6 วัน บลาสโตซีสต์ จะพัฒนาเป็นอวัยวะต่อไป เช่น เป็น รก สายสะดือ
ระยะที่สองที่มีกล่าวในอัลกุรอานคือ (الْعَلَقَة) ระยะอะลัก (ALAQAH)
เมื่อพิจารณา ตามตัวอักษรแล้ว ในภาษาอารบิก คำว่า الْعَلَقَة (Alaqah) นั้น มีอยู่ 3 ความหมาย ได้แก่ (1) ตัวดูดเลือด ปลิง  (2) สิ่งแขวนลอย และ (3) ก้อนเลือด ลิ่มเลือด
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเมื่อนำไปเทียบกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องเอมบริโอแล้ว จะเห็นว่าเป็นคำที่ตรงกับรูปร่างของตัวอ่อนในตอนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เอมบริโอของมนุษย์นั้น ช่วงที่มีอายุจาก 7 – 24 วัน เมื่อมันจะทำการเกาะไปที่ผนังมดลูกแล้ว มันจะมีวิธีการเกาะเหมือนเวลาปลิงเกาะผิวหนังคน ปลิงนั้นจะลำเลียงเลือดจากสิ่งที่มันเกาะ ส่วนเอมบริโอมนุษย์ในช่วงนั้นจะทำการลำเลียงเลือดจากผนังมดลูกของมารดาในทำนองเดียวกันกับปลิง
ในช่วงแรก ของการพัฒนา ทารกในครรภ์มารดาจะอยู่ในรูปของ “ไซโกต” ซึ่งเกาะติดอยู่กับผนังมดลูก ของมารดา เพื่อดูดสารอาหารต่างๆจากเลือดของมารดา

ภาพนี้ แสดงให้เห็นไซโกต ซึ่งดูเหมือนก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง ข้อมูลซึ่งเพิ่งจะค้นพบโดยนักวิทยาเอมบริโอในสมัยนี้ ได้กล่าวไว้แล้วในอัลกุรอาน เมื่อ 1400 ปีกว่าด้วยคำว่า “อะลัก” ซึ่งหมายถึง “สิ่งที่เกาะติดอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง” คำดังกล่าวใช้เพื่ออธิบายลักษณะของการที่ปลิงเกาะติดกับร่างกายคนหรือสัตว์อื่นเพื่อดูดเลือด
ในการเปรียบเทียบปลิงกับตัวอ่อนในระยะที่เป็น Alaqah นั้น เราได้พบความคล้ายกันระหว่างสองสิ่งนี้ (ดู The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 8) ดังรูปข้างล่าง

ภาพวาดดังกล่าวอธิบายให้เห็นความคล้ายกันของรูปร่างระหว่างปลิงกับตัวอ่อนมนุษย์ในระยะที่เป็น alaqah (รูปวาดปลิงมาจากหนังสือเรื่อง Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของ Moore และคณะ หน้า 37 ดัดแปลงมาจาก Integrated Principles of Zoology ของ Hickman และคณะ ภาพตัวอ่อนวาดมาจากหนังสือเรื่อง  The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 73)

นอกจากนี้ ตัวอ่อนที่อยู่ในระยะดังกล่าวจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากเลือดของมารดา ซึ่งคล้ายกับปลิงซึ่งได้รับอาหารจากเลือดที่มาจากผู้อื่น (ดู Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของ Moore และคณะ หน้า 36)
ความหมายที่สองของคำว่า alaqah คือ “สิ่งแขวนลอย” ซึ่งเราสามารถดูได้จากรูปด้านล่าง เป็นสิ่งแขวนลอยของตัวอ่อน ในช่วงระยะ alaqah ในมดลูกของมารดา

ในภาพนี้ เราจะเห็นภาพของตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งแขวนลอยในช่วงระยะที่เป็น alaqah อยู่ในมดลูก (ครรภ์) ของมารดา (มาจากเรื่อง The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 22)


ในภาพที่ถ่ายด้วยระบบโฟโตไมโครกราฟ (Photomicrograph) นี้ เราจะเห็นตัวอ่อนซึ่งเป็นสิ่งแขวนลอยได้ (ตรงเครื่องหมายอักษร B) ซึ่งอยู่ในช่วงระยะของ Alaqah (อายุประมาณ 15 วัน) ในครรภ์มารดา ขนาดที่แท้จริงของตัวอ่อนนั้นจะมีขนาดประมาณ 0.6 มิลลิเมตร (มาจากเรื่อง  The Developing Human ของ Moore ปรับปรุงครั้งที่ 3 หน้า 66  จากเรื่อง  Histology ของ Leeson และ Leeson.)

ความหมายที่สามของคำว่า alaqah คือ “ลิ่มเลือด” เราพบว่าลักษณะภายนอกของตัวอ่อนและส่วนที่เป็นถุงในช่วงระยะ alaqah นั้น จะดูคล้ายกับลิ่มเลือด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า มีเลือดอยู่ในตัวอ่อนค่อนข้างมากในช่วงระยะดังกล่าว (Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของมัวร์และคณะ หน้า 37-38) อีกทั้งในช่วงระยะดังกล่าว เลือดที่มีอยู่ในตัวอ่อนจะไม่หมุนเวียนจนกว่าจะถึงปลายสัปดาห์ที่สาม (The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 65) ดังนั้น ตัวอ่อนในระยะนี้จึงดูเหมือนลิ่มเลือดนั่นเอง

รูปแสดงแผนภูมิระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจพอสังเขปในตัวอ่อนในช่วง ระยะ alaqah ซึ่งลักษณะภายนอกของตัวอ่อนและส่วนที่เป็นถุงของตัวอ่อนจะดูคล้ายกับลิ่มเลือด เนื่องจากมีเลือดอยู่ค่อนข้างมากในตัวอ่อน (The Developing Human ของ Moore ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 65)

ดังนั้น ทั้งสามความหมายของคำว่า alaqah นั้น ตรงกับลักษณะของตัวอ่อนในระยะ alaqah เป็นอย่างยิ่ง
ระยะต่อมาที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน ซึ่งเป็นระยะที่สาม คือ (الْمُضْغَة) ระยะมุฏเฆาะห์ (Mudghah)
ในภาษาอาหรับคำว่า (الْمُضْغَة) มุฏเฆาะห์ หมายความว่า “สสารที่ถูกขบเคี้ยว” ซึ่งหากพิจารณา   ตัวอ่อนในช่วงระยะ มุฏเฆาะห์ (mudghah) จะมีลักษณะเหมือนสสารที่ถูกขบเคี้ยว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า   ไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังของตัวอ่อนมีลักษณะ “ค่อนข้างคล้ายกับร่องรอยของฟันบนสสารที่ถูกขบเคี้ยว” (The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 8)

ภาพถ่ายของตัวอ่อนในช่วงระยะ มุฏเฆาะห์ (อายุ 28 วัน) ตัวอ่อนในระยะนี้จะมีลักษณะเหมือนสสารที่ถูกขบเคี้ยว เนื่องจากไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังของตัวอ่อนมีลักษณะค่อนข้างคล้ายกับร่อง รอยของฟันบนสสารที่ถูกขบเคี้ยว ขนาดที่แท้จริงของตัวอ่อนจะมีขนาด 4 มิลลิเมตร (จากเรื่อง The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 82 ของศาสตราจารย์ Hideo Nishimura มหาวิทยาลัยเกียวโต ในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น)

กระบวนการในครรภ์ของมารดา
อัลลอฮ์ได้กล่าวในคัมภีร์อัลกุรอาน ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นในครรภ์มารดาตามกระบวนการ 3 ขั้นตอน
﴿ خَلَقَكُم مِّن نَّفۡسٖ وَٰحِدَةٖ ثُمَّ جَعَلَ مِنۡهَا زَوۡجَهَا وَأَنزَلَ لَكُم مِّنَ ٱلۡأَنۡعَٰمِ ثَمَٰنِيَةَ أَزۡوَٰجٖۚ يَخۡلُقُكُمۡ فِي بُطُونِ أُمَّهَٰتِكُمۡ خَلۡقٗا مِّنۢ بَعۡدِ خَلۡقٖ فِي ظُلُمَٰتٖ ثَلَٰثٖۚ ذَٰلِكُمُ ٱللَّهُ رَبُّكُمۡ لَهُ ٱلۡمُلۡكُۖ لَآ إِلَٰهَ إِلَّا هُوَۖ فَأَنَّىٰ تُصۡرَفُونَ ٦ ﴾ [الزمر: ٦]
ความว่า “พระองค์ทรงสร้างพวกเจ้าในครรภ์ของมารดาพวกเจ้า เป็นการบังเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในความมืดสามชั้น นั่นคืออัลลอฮฺ พระเจ้าของพวกเจ้า พระอำนาจเป็นสิทธิของพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ แล้วทำไมพวกเจ้าจึงผินหน้าไปทางอื่น!” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัซซุมัร : อายะฮ์ที่ 6)
ข้อความในอายะฮ์ข้างต้น กล่าวว่ามนุษย์จะถูกสร้างขึ้นภายในครรภ์มารดาจาก 3 ขั้นตอนที่แตกต่างกัน ในความเป็นจริง ชีววิทยาสมัยใหม่ก็ได้ยืนยันแล้วว่า การเจริญเติบโตของตัวอ่อนของทารกในครรภ์มารดานั้น แบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน ปัจจุบันวิชานี้เป็นพื้นฐานของความรู้เบื้องต้นในหนังสืออ้างอิงทุกเล่มที่ใช้ในการเรียนในคณะแพทยศาสตร์ ตัวอย่างเช่น หนังสือ Basic Human Embryology ซึ่งเป็นหนังสืออ้างอิงเบื้องต้นของการศึกษาวิชาวิทยาเอมบริโอ ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ว่า “ชีวิตในมดลูกนั้น มี 3 ระยะ คือ 1.Pre-Embryonic (ระยะก่อนเป็นตัวอ่อน) ในช่วงแรกใช้เวลาสองสัปดาห์ครึ่ง  2. Embryonic (ระยะที่เป็นตัวอ่อน) คือเวลาหลังจากช่วงแรกไปจนสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 8 และ  3. Fetal )ระยะทารกในครรภ์) นับตั้งแต่หลังสัปดาห์ที่ 8 ไปจนถึงช่วงที่มีการเจ็บท้องเพื่อคลอดบุตร”
ทั้ง 3 ระยะนี้ได้บอกถึงขั้นตอนการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันของทารกในครรภ์ ลักษณะพัฒนาการใน แต่ละขั้นตอนดังกล่าวนั้นสามารถอธิบายโดยย่อได้ดังนี้
1. Pre-Embryonic Stage )ระยะก่อนเป็นตัวอ่อน) ในช่วงแรกนี้ ไซโกต (เซลล์เดี่ยวที่เกิดจากไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว) จะเติบโตโดยการแบ่งตัว จนกลายเป็นกลุ่มของเซลล์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งจะฝังตัวติดกับผนังของมดลูก เซลล์เหล่านี้ได้จัดเรียงตัวเองเป็น 3 ชั้นพร้อมๆ กับการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่อง
2. Embryonic Stage (ระยะที่เป็นตัวอ่อน) ช่วงที่ 2 ใช้เวลาประมาณ 5 สัปดาห์ครึ่ง ทารกซึ่งเรียกว่า ตัวอ่อน (Embryo) ในช่วงนี้ อวัยวะต่างๆ และระบบพื้นฐานของร่างกายเริ่มที่จะปรากฏให้เห็นชัดขึ้นในระหว่างชั้นของเซลล์
3. Fetal Stage (ระยะทารกในครรภ์) จากช่วงเวลานี้เป็นต้นไป ตัวอ่อน (Embryo) เรียกว่า Fetus (ทารกในครรภ์) ช่วงนี้เริ่มจากหลังสัปดาห์ที่ 8 ของการตั้งครรภ์ ไปจนถึงนาทีที่คลอดออกมา ลักษณะเด่นของการเจริญเติบโตในระยะนี้คือ ลักษณะของทารกในครรภ์ (Fetus) นั้นจะดูเหมือนกับร่างกายที่สมบูรณ์ทุกอย่างทั้ง ใบหน้า มือ และเท้า แม้ว่าจะมีขนาดแค่ 3 เซนติเมตรในตอนแรก แต่อวัยวะต่างๆก็ได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ช่วงระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 30 สัปดาห์ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปจนกระทั่งคลอดออกมา
ในอายะฮ์ที่ 6 ของซูเราะฮ์ อัซซุมัร ได้ระบุว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นภายในครรภ์มารดาโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ และในความเป็นจริง วิทยาเอมบริโอได้ยืนยันในเรื่องนี้ว่าพัฒนาการของทารกเกิดขึ้นใน  3 ขั้นตอนภายในครรภ์มารดา
ข้อมูลของการเจริญเติบโตภายในครรภ์มารดานั้น เพิ่งจะเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางจากการเฝ้าสังเกต ด้วยกล้องจุลทรรศน์ขนาดเล็ก ที่มีความสามารถสูงเท่านั้น จึงเหมือนกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์อีกมากมาย ที่ได้กล่าวไว้อย่างน่าอัศจรรย์ก่อนหน้านี้แล้วในอัลกุรอาน และความเป็นจริงที่ว่าข้อมูลต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดลึกซึ้งและมีความถูกต้องแม่นยำเหล่านี้ ได้กล่าวไว้แล้วในอัลกุรอาน ตั้งแต่ในยุคที่ผู้คนแทบจะไม่มีความรู้ในเรื่องแพทยศาสตร์เลยนั้น เป็นหลักฐานชัดเจนที่พิสูจน์ได้ว่าอัลกุรอานนั้น ไม่ได้เป็นคำกล่าวของมนุษย์ หากแต่เป็นวจนะของอัลลอฮ์สุบหานะฮูวะตะอาลา เท่านั้น

น้ำคือชีวิตของสิ่งมีชีวิต
น้ำ (Water) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ พืช และสัตว์ นอกจากนั้นน้ำยังมีคุณสมบัติที่จำเป็นต่อชีวิตอีกมากจนนับไม่ถ้วน โลกของเราประกอบขึ้นด้วยพื้นดินและพื้นน้ำ โดยแบ่งออกเป็นส่วนที่เป็นฝืนน้ำประมาณ 3 ส่วน (หรือประมาณ  75  %) และส่วนที่ป็นพื้นดิน 1 ส่วน  (หรือ 25%)  ดังนั้นน้ำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับชีวิตของคน  พืช  และสัตว์บนโลก น้ำมีอยู่ในรูปของก๊าซ  (ไอน้ำ) ของเหลว (น้ำ) และของแข็ง (น้ำแข็ง) ซึ่งล้วนแต่เกิดขึ้นในช่วงอุณหภูมิของโลก นอกจากนั้น วัตถุดิบนับพันๆ ชนิดซึ่งจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืช จะต้องถูกลำเลียงในของเหลว เช่น เลือด หรือน้ำเลี้ยงต้นพืช น้ำคือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดเพราะมันเป็นตัวละลายสารต่าง ๆ ได้มากชนิดกว่าของเหลวอื่น ๆ แม้กระทั่งตัวอสุจิ (Sperm) ของมนุษย์และสัตว์ก็ต้องอยู่ในน้ำ ถ้าปราศจากน้ำ การบำรุงเลี้ยงและการสืบพันธ์จะต้องหยุดชะงัก เพราะสิ่งมีชีวิตต้องใช้น้ำเพื่อละลายสารประกอบต่างๆ ที่เป็นอาหารและใช้น้ำเป็นสื่อกลางในระบบการสืบพันธุ์
อัลลอฮ์ ได้ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานไว้ว่า
﴿ وَجَعَلۡنَا مِنَ ٱلۡمَآءِ كُلَّ شَيۡءٍ حَيٍّۚ أَفَلَا يُؤۡمِنُونَ ٣٠ ﴾ [الأنبياء: ٣٠]
ความว่า “และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตมาจากน้ำ ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่ศรัทธาอีกหรือ” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ : อายะฮ์ที่ 30)

วัฏจักรแห่งน้ำ
น้ำเป็นทรัพยากรอีกประเภทหนึ่งที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหมดสิ้น กล่าวคือ  เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรจะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำมีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนจะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็กๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเฆม  เมื่อจับตัวกันมากขึ้นแล้วกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่พื้นโลกหรือเรียกว่า ฝน น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ กระบวนการแบบนี้เป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลาเรียกว่า วัฏจักรแห่งน้ำ  อัลกุรอานระบุว่า
﴿ ٱللَّهُ ٱلَّذِي يُرۡسِلُ ٱلرِّيَٰحَ فَتُثِيرُ سَحَابٗا فَيَبۡسُطُهُۥ فِي ٱلسَّمَآءِ كَيۡفَ يَشَآءُ وَيَجۡعَلُهُۥ كِسَفٗا فَتَرَى ٱلۡوَدۡقَ يَخۡرُجُ مِنۡ خِلَٰلِهِۦۖ فَإِذَآ أَصَابَ بِهِۦ مَن يَشَآءُ مِنۡ عِبَادِهِۦٓ إِذَا هُمۡ يَسۡتَبۡشِرُونَ ٤٨ ﴾ [الروم: ٤٨]
ความว่า “ อัลลอฮฺทรงเป็นผู้ส่งลมทั้งหลาย แล้วมันได้รวมตัวกันขึ้นเป็นเมฆ แล้วพระองค์ทรงให้มันแผ่กระจายไปตามท้องฟ้า (คือแผ่กระจายเป็นเมฆก้อนบาง ๆ และกลุ่มเมฆ) เท่าที่พระองค์ทรงประสงค์และพระองค์ทรงทำให้มันเป็นกลุ่มก้อน แล้วเจ้าจะเห็นฝนตกลงมาจากท่ามกลางมันเมื่อมันได้ตกลงมายังผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ เมื่อนั้นพวกเขาก็ดีใจ” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อัรรูม: อายะฮ์ที่ 48)

วัฏจักรแห่งน้ำ
อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า
﴿ هُوَ ٱلَّذِيٓ أَنزَلَ مِنَ ٱلسَّمَآءِ مَآءٗۖ لَّكُم مِّنۡهُ شَرَابٞ وَمِنۡهُ شَجَرٞ فِيهِ تُسِيمُونَ ١٠ ﴾ [النحل: ١٠]
ความว่า “ พระองค์คือ ผู้ทรงหลั่งน้ำลงมาจากฟากฟ้าสำหรับพวกเจ้า ส่วนหนึ่ง เป็นเครื่องดื่มและ  อีกส่วนหนึ่ง (ทำให้) พฤกษชาติ (เจริญเติบโต) เพื่อพวกเจ้าใช้เลี้ยงสัตว์ ” (คัมภีร์อัลกุรอาน, ซูเราะห์อันนะห์ลฺ: อายะฮ์ที่ 10)
ดังนั้นหากไม่มีน้ำแล้ว ชีวิตก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น น้ำจึงเปรียบเสมือนชีวิตของสิ่งมีชีวิต


อ้างอิง
คัมภีร์อัลกุรอาน
ฮารูน ยะห์ยา (ปัญญากร - ผู้แปล). ความมหัศจรรย์ของอัล-
กุรอาน
islam-guide.com.2555. ความมหัศจรรย์ในทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน. แหล่งที่มา : http://www.islamhouse.com/p/191660.
20 มิถุนายน 2555
อิบรอเฮม มุสตอฟา หะยีสาอิ. 2555. วิทยาศาสตร์อิสลาม. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.gotoknow .org/blogs/books/view/ibm401.  20 มิถุนายน 2555

.........................................
ซารีฟ บินอับดุลลาฏีฟ เจ๊ะแม
 
ตรวจทานโดย : ทีมงานภาษาไทยเว็บอิสลามเฮ้าส์
 ที่มา : islamhouse.com

บัรรฺซัคคฺ แนวกันระหว่างน้ำ 2 ชนิด



พระคัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้ว่า
มีสิ่งขวางกั้นระหว่างทะเลทั้งสองที่มาบรรจบกัน และทะเลทั้งสองจะไม่สามารถรุกล้ำผ่านไปได้

พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า:
พระองค์ทรงทำให้น่านน้ำทั้งสองไหลมาบรรจบกันระหว่างมันทั้งสองมีที่กั้นกีดขวาง มันจะไม่ล้ำเขตต่อกัน. (พระคัมภีร์กุรอาน, 55:19-20)


แต่เมื่อพระคัมภีร์กุรอานกล่าวถึงเรื่องราวระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็ม พระคัมภีร์มักจะกล่าวว่าจะมี “เขตหวงห้าม” โดยมีสิ่งขวางกั้นไม่ให้น้ำทั้งสองรวมกันได้

พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:

และพระองค์คือผู้ทรงทำให้ทะเลทั้งสองบรรจบติดกัน อันนี้จืดสนิทและอันนี้เค็มจัดและทรงทำที่คั่นระหว่างมันทั้งสอง และที่กั้นขวางอันแน่นหนา. (พระคัมภีร์กุรอาน, 25:53)

วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ โดยการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการวัดอุณหภูมิ ความเค็ม ความหนาแน่น

(แต่ในพระมภีร์กุรอานได้บัญญัติเอาไว้แล้วเป็นเวลากว่า 1433 ปี)

อัลฮัมดุลิ้ลลา….

...............................
ที่มา : islammajestic.wordpress.com

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การญิฮาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด



ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า การญิฮาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการพูดความจริงต่อหน้าผู้ปกครองที่อธรรม ในอีกรายงานหนึ่ง ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ถูกถามว่า “ญิฮาดอะไรที่ประเสริฐที่สุด” ท่านนบีตอบว่า “การพูดความจริงต่อหน้าผู้ปกครองที่อธรรม”

และมีรายงานอีกว่าท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า “หัวหน้าของบรรดาผู้สละชีพที่เป็นชะฮีดคือ ท่านฮัมซะฮ์ รดิยัลลอฮุ อันฮุและผู้ที่ติดตามเขาคือบุคคลที่สิ้นชีพเนื่องจากพูดความจริงต่อหน้าผู้ปกครองที่อธรรม”

จะมีความอธรรมใดที่มีต่อประชาชาตินี้ และความอยุติธรรมใดที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์จะยิ่งใหญ่ไปกว่าสิ่งที่พวกก่อรัฐประหารที่กระหายเลือดเหล่านี้กระทำไว้ เพราะฉะนั้นการแตกหักด้วยสัจธรรมในการเผชิญหน้ากับ(ผู้อธรรม)ของพวกเขานั้นถือว่าเป็นการญิฮาดที่ประเสริฐที่สุดดังที่ปรากฏในหะดีษของท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัมและดังกล่าวนี้คือสิ่งที่ประชาชนชาวอียิปต์ที่มีเสรีภาพได้กระทำ ด้วยการออกไปตามท้องถนนและตามพื้นที่ต่างๆที่จะกล่าวกับผู้อธรรมว่า “ท่านจงออกไป... เพราะท่านคือผู้อธรรม”

และหากว่าประชาชาตินี้ละทิ้งเรื่องดังกล่าวนี้และไม่ออกไปเรียกร้องความเป็นธรรมและคัดค้านกับการสังหารหมู่ด้วยสาเหตุของการหลบซ่อนและความอ่อนแอ ดังนั้นแน่นอนท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า "เมื่อใดก็ตามที่พวกท่านเห็นประชาชาติของฉันมีความหวาดกลัวต่อผู้อธรรมที่จะกล่าวว่า ท่านคือผู้อธรรม(ซอลิม) เมื่อนั้นเขาได้เห็นพ้องกับการกดขี่ของพวกเขาแล้ว" รายงานโดย อิหม่าม อะหฺมัด นั่นหมายความว่า พวกเขากลายเป็นคนที่ไม่มีจุดยืนใดๆเลย

..................................................
ดาบแห่งอัลเลาะห์ แอนตี้ ไซออนิสต์

ทำไม ทำไม และทำไม



ทำไมเงิน 100 บาท ดูมากเกินไปสำหรับการบริจาคให้กับมัสยิด แต่ทำไมมันดูน้อยเกินไป เมื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้า
ทำไม การละหมาดตอรอวียฺที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนั้นดูยาวนาน แต่
ทำไมการแข่งขันของนักฟุตบอลในสนามที่ใช้เวลา 90 นาทีมันดูรวดเร็วเหลือเกิน

ทำไมการใช้เวลาเพียงไม่ กี่ชั่วโมงในการอยู่ใน มัสยิดมันช่างยาวนานสำหรับเรา แต่ทำไมการใช้เวลาไปกับการดูหนังในโรงหนังมันดูผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทำไม เราจึงไม่สามารถคิดถึง “ดุอาอฺ” ที่จะกล่าวในยามละหมาด แต่กลับพบว่ามันไม่เป็นเรื่องยากในการที่จะคิดถึงหัวข้อ เรื่องราว ที่จะนำไปพูดคุยกับเพื่อนๆ

ทำไมคนส่วนใหญ่ถึง รู้สึกตื่นเต้นดีใจ เมื่อมีการทดเวลาในการแข่งขันฟุตบอล หากแต่พร่ำบ่นเมื่อ “การคุฎบะต์” นั้นยาวนานกว่าปกติ

ทำไมมัน ดูยากเย็นในการที่จะอ่าน “อายะห์” ในอัลกุรอาน หากแต่มันช่างง่ายดายที่จะอ่านนวนิยายขายดีซึ่งมีจำนวนมากกว่า 100 หน้า
ทำไม คนส่วนใหญ่ต่างต้องการที่จะนั่งอยู่แถวหน้าในการดูการแข่งขันกีฬา หรือคอนเสิร์ต หากแต่แย่งกันนั่งอยู่ด้านหลังเมื่อเข้าไปในมัสยิด

ทำไม มันดูยากเย็นที่จะเรียนชารีอะฮฺง่ายๆ เพื่อที่จะนำไปบอกกล่าวต่อผู้อื่น หากแต่ทำไมมันดูง่ายดายที่จะฟังการนินทา ใส่ร้ายและนำไปบอกต่อผู้อื่น
ทำไม ผู้คนเชื่อในสิ่งที่หนังสือพิมพ์นำเสนอ หากแต่มีคำถามมากมายกับสิ่งที่อยู่ใน “ฮะดีษ”
ทำไมหลายคนต่างต้องการที่จะเข้าสวรรค์โดยที่พวกเขาคิดว่า พวกเขาไม่ต้องมีความเชื่อ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพูด หรือไม่ต้องทำอะไรเลย
ทำไม เราสามารถส่งเรื่องตลก เรื่องไร้สาระ ผ่านอีเมลให้ผู้คนมากมาย หากแต่เมื่อเราต้องการส่งข้อความเกี่ยวกับอัลลอฮฺ และอิสลาม เราต่างกลับใช้เวลาคิดแล้วคิดอีก

...........................
อดทน เพื่อชัยชนะ

สิ่งซึ่งอยู่เบื้องหลังหัจญ์


 

                             การประกอบพิธีหัญจ์เป็นบทบัญญัติหนึ่งซึ่งมุสลิมต้องปฏิบัติตามที่ตนมีความสามารถ อัลลอฮ์ อัซซะวะญัล กล่าวไว้ในเรื่องการประกอบพิธีหัจญ์ว่า

และจงประกาศแก่มนุษย์ทั่วไปเพื่อการทำหัจญ์ พวกเขาจะมาหาเจ้าโดยทางเท้า และโดยทางอูฐเพรียวทุกตัว จะมาจากทางไกลทุกทิศทาง
(อัลหัจญ์ : 27)

      และพวกเจ้าจงให้สมบูรณ์ ซึ่งการทำหัจญ์ และการทำอุมเราะฮ์เพื่ออัลลอฮ์เถิด แล้วถ้าพวกเจ้าถูกสกัดกั้นก็ให้เชือดสัตว์พลีที่หาได้ง่าย และจงอย่าโกนศีรษะของพวกเจ้า จนกว่าสัตว์พลีนั้นจะถึงที่ของมัน แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าป่วยลง หรือที่เขามีสิ่งก่อความเดือดร้อนจากศรีษะของเขาก็ให้มีการชดเชย อันได้แก่การถือศีลอด หรือการทำทาน หรือการเชือดสัตว์ ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ผู้ใดที่แสวงหาประโยชน์จนกระทั่งถึงฮัจญ์ด้วยการทำอุมเราะฮ์แล้ว ก็ให้เชือดสัตว์พลีที่หาได้ง่าย ผู้ใดที่หาไม่ได้ ก็ให้ถือศีลอดสามวันในระหว่างการทำหัจญ์ และอีกเจ็ดวันเมื่อพวกเจ้ากลับบ้านนั่นคือครบสิบวัน ดังกล่าวนั้น สำหรับที่ครอบครัวของเขามิได้ประจำอยู่ที่อัล-มัสยิดิลฮะรอม และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และพึงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง (บากอเราะฮ์ : 196)
     จากท่านอิบนุอุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า : ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :
 
      อิสลามนั้นวางอยู่บนพื้นฐานหลักห้าประการ คือ การปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากองค์อัลลอฮฺ และมุหัมมัดคือศาสนทูตของพระองค์ การดำรงไว้ซึ่งการละหมาด การจ่ายซะกาต การประกอบพิธีหัจญ์ และการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน” (บันทึกโดย อิมามบุคอรีย์  อิมามมุสลิม)
     นอกจากหัจญ์จะเป็นหลักการซึ่งถูกกำหนดไว้เพื่อให้มุสลิมที่มีความสามารถพร้อมในทุกๆด้านปฏิบัติแล้ว หัจญ์ยังมีวิทยาปัญญา(หรือภาษาอรับว่า ฮิกมะ) ซึ่งอยู่เบื้องหลักศาสนกิจอันยิ่งใหญ่อันนี้ ได้แก่
           
              -หัจญ์สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพ ภราดรภาพ ความเป็นพี่น้องหนึ่งเดียวของประชาคมมุสลิม กล่าวคือ ศาสนาอิสลามมีคำสอนว่ามุสลิมคือพี่น้องกัน ในอดีตของอิสลามภาพความเป็นพี่นอ้งระหว่างมุสลิมฉายภาพออกมาอย่างชัดเจนผ่านการต่อสู้ร่มกันของมุสลิมในนามของนครรัฐมดีนะฮ์ซึ่งมีท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเป็นผู้นำรัฐ แต่สภาพแวดล้อมของโลกปัจจุบันซึ่งกว้างใหญ่และมีประเทศมากมายที่มุสลิมอาศัยอยู่ซึ่งทำให้ภาพของความเป็นพี่น้องของมุสลิมพร่ามัวลงไปมาก อย่างไรก็ตามหัจญ์ยังคงฉายภาพความเป็นพี่น้องของมุสลิมอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ กล่าวคือ มุสลิมทุกเชื้อชาติ ทุกสีผิว มารวมตัวกันด้วยสายเชือกแห่งอิสลาม

     หากจะกล่าวในเชิงปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ซึ่งประเทศต่างๆโลกปัจจุบันถูกจำกัดอธิปไตยของตนเองเหนือเส้นเขตแดน (territory) หรือระบบรัฐชาตินั้นเอง (Nation State) แต่สำหรับปรัชญาการเมืองอิสลามซึ่งก็คือระบอบคอลีฟะฮ์แห่งอุมมะฮ์อิสลามียะฮ์(ประชาชาติอิสลามทั้งปวง) ระบอบดังกล่าวนี้มีปรัชญาอธิปไตยเหนืออุมอะฮ์(Ummah) กล่าวคือ อิสลามมองว่าอธิปไตยแห่งรัฐอิสลามจะไม่ถูกจำกัดด้วยความเป็นรัฐสมัยใหม่แต่อำนาจอธิปไตยแห่งรับอิสลามจะต้องเหนืออุมมะฮ์ทั้งปวง
     ในปัจจุบันหลังยุคเวสฟาเลีย[1]มุสลิมถูกแบ่งออกเป็นหลากหลายกลุ่มในหลายๆประเทศ ประกอบกับอิสลามปราศจากคอลีฟะฮ์หลังจากอาณาจักรอุษมานียะฮ์(ออตโตมัน)ล่มสลายกลายเป็ยสาธารณรัฐตุรกีและรัฐเล็กๆต่างๆ ส่งผลให้ภาพแห่งอธิปไตยเหนืออุมมะฮ์ถูกแทนที่ด้วยอธิปไตยเหนือดินแดนของความเป็นรัฐสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง
     อย่างไรก็ตามในการประกอบพิธีหัจญ์ ณ มหานครศักดิ์สิทธิ์มักกะฮ์และมดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย (ขออัลลอฮ์ประทานความจำเริญแก่ฮารอมัยน์และดินแดนอารเบีย) สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพี่น้องซึ่งมารวมตัวกันจากทั่วทุกสารทิศทอย่างปราศจากการถูกจำกัดจากระบอบรัฐสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง

    อัลลอฮ์ อัซซะวะญัล กล่าวว่า
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน (หุญรอต : 10)
               -หัจญ์แสดงให้เห็นถึงความเสมอภาคของมุสลิมทุกคนเพราะอิสลามปฏิเสธระบบที่วางอยู่บนความ ไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ อันได้แก่ ระบบวรรณะ ศักดินา ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์หรือสีผิว ปราศจากเหลื่อมล้ำระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ชนผิวขาวกับชนผิวดำ นายหรือบ่าวไพร่ เจ้าหน้าที่   หรือประชาราษฎร์ ทุกคนจะอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันหมด เมื่อผู้ประกอบพิธีหัจญ์เริ่มตั้งใจ
อิหฺรอมที่มิก็อต[2] โดยการนุ่ง1ผืน ห่มกาย 1ผืน ด้วยผ้าขาวสองผืนนี้ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตามซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด ภาพที่ผู้อ่านมเห็นเป็นประจำคือการที่มุสลิมทุกเชื้อชาติ ทุกสีผิวภายใต้ผ้าขาวของผืนมารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน ณ มีกอตเพื่อหลอมรวมเข้าสู่การประกอบพิธีหัจญ์อย่างพร้อมเพรียงกันและเท่าเทียมกัน
 
  รายงานจากอบีฮุรอยเราะฮฺ  เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า ท่านร่อซูลลุลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า แท้จริง อัลลอฮไม่ทรงพิจารณาที่รูปโฉมของพวกท่าน และทรัพย์สินของพวกท่าน แต่พระองค์จะทรงพิจารณาที่หัวใจของพวกท่าน และการกระทำของพวกท่าน   ( บันทึกโดยอิมามมุสลิม )

                 -หัจญ์เป็นการแสดงออกซึ่งรูปธรรมและนัยยะแห่งสันติภาพอย่างมีเหตุผลของศาสนาอิสลาม อันได้แก่ ดินแดนที่ใช้ประกอบพิธีหัจญ์ คือ มหานครศักดิ์สิทธิ์มักกะฮ์และมดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย (ขออัลลอฮ์ประทานความจำเริญแก่ฮารอมัยน์และดินแดนอารเบีย) หรือเรียกว่า ฮารอมัยน์ ซึ่งมีความหมายว่า ดินแดนต้องห้ามทั้งสอง เพราะอัลลอฮ์ห้ามหลั่งเลือด(สงคราม)และการทำลายต่างๆในดินแดนแห่งสันติภาพทั้งสองนี้ นอกจากนี้ในช่วงเวลาของการทำหัจญ์ห้ามกระทำในสิ่งซึ่งเป็นการทำลายต่างๆ
     อัลลอฮ์อัซซะวะญัล กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า

        ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินจากเดือนเหล่านั้นมีสี่เดือน ซึ่งเป็นเดือนที่ต้องห้าม[3]นั่นคือบัญญัติอันเที่ยงตรง ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าอธรรมแก่ตัวของพวกเจ้าเองในเดือนเหล่านั้น (อัตเตาบะ : 36)

                -หัจญ์เป็นการกระตุ้นให้อุมมะฮ์ในยุคปัจจุบันได้ระลึกถึงเรื่องราวของสลัฟ อัศศอและห์ (กัลยาชนมุสลิมรุนแรก) ในการต่อสู้ ความพร้อมเพรียงกัน และความสำคัญในการก่อสร้างรัฐอิสลามแห่งมดีนะฮ์ผ่านซอฮิฟาตุลมดีนะฮ์(Madinah Charter ) ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญร่วมกันในการปกครอง นอกจากนี้ในอดีตคอลีฟะฮ์ อัรรอชิดีน (ผู้ปกครองอิสลามอันทรงธรรม)และคอลีฟะฮ์แห่งยุคที่อิสลามยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น 12 ท่าน[4]   ยังใช้โอกาสที่มุสลิมจากทุกดินแดนที่อิสลามปกครองมาประกอบพิธีหัจญ์ กล่าวคุตบะ (เทศนาใหญ่ ถ้าเปรียบเปรียบปัจจุบันได้แก่การที่ผู้ปกครองกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าประชาชนกับแสนนั้นเอง) นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนในดินแดนห่างไกลต่างๆถือโอกาสหลังเสร็จสิ้นเทศกาลหัจญ์โดยมีข้าหลวงทุกคนที่ถูกส่งไปปกครองแต่ละดินแดนเข้าร่วมรับฟังด้วย เพราะในอดีตคอลีฟะฮ์ได้ออกกฏให้ข้าหลวงทุกคนมาประกอบพิธีหัจญ์ร่วมกันทุกปีเพื่อสอบถามในเรื่องการปกครองดินแดนห่างไกลต่างๆ

     นอกจากประเด็นซึ่งผู้เขียนได้กล่าวข้างต้นแล้ว การประกอบพิธีหัจญ์ยังมีวิทยปัญญาที่อยู่เบื้องหลังอีกหลายประการซึ่งผู้เขียนมาอาจกล่าวได้ทั้งหมดเนื่องจากข้อจำกัดของหน้ากระดาษ อันได้แก่ การทำหัจญ์เป็นการขัดเกลาจิตวิญญาณแห่งความเป็นมุสลิม การขัดเกลามาทยาทอันดีงามต่อพี่น้องมุสลิมและผู้คนทั่วไป นอกจากนี้เป็นการเสียสละความสะดวกสบายและทรัพย์สินแห่งดุนยา(โลกนี้) เพื่อเป็นเสบียงไปสู่โลกอาคิเราะฮ์ (โลกหน้าอันนิรันดร์)

 จากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า :
         ฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบพิธีหัจญ์ โดยที่เขาไม่พูดจาหยาบโลน (หรือมีเพศสัมพันธ์) และไม่กระทำบาปความผิดใดๆ เขาจะกลับไปโดยที่เขา (ปราศจากบาป) ประดุจวันที่มารดาของเขาคลอดเขาออกมา” (บันทึกโดย อิมามบุคอรีย์และอิมามมุสลิม )

จากท่านอิบนุ มัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า : ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :

     พวกท่านจงประกอบพิธีหัจญ์และอุมเราะฮฺอย่างต่อเนื่อง แท้จริงแล้วทั้งสองสิ่งนี้จะทำให้ปราศจากซึ่งความยากจนและบาปความผิด ประดุจดั่งการหลอมไฟที่ปัดเป่าส่วนที่ไม่ดีของเหล็ก ทองคำ และเงิน ซึ่งหัจญ์มับรูรฺ[5]ที่ถูกตอบรับนั้นจะมีผลบุญอื่นไปไม่ได้นอกเหนือจากสรวงสวรรค์“(บันทึกโดยอิมามอะหฺมัดและอิมามตัรมิซีย์)

ขออัลลอฮ์ตอบรับการประกอบพิธีหัจญ์ของพี่น้องมุสลิมทั้งปวง อามีน

[1] ยุคแห่งการเกิดรัฐสมัยใหม่
[2] จุดพรมแดนที่ผู้ประกอบพิธีหัจญ์ต้องตั้งใจและปฏิบัติตาม
เงื่อนไขของหัจญ์
[3] คือต้องห้ามในการต่อสู้กัน ทั้งนี้เพื่อให้เป็นเดือนที่ปลอดภัยแก่ผู้ประกอบพิธีอุมเราะฮ์ และพิธีหัจญ์ อันเป็นบัญญัติที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้โดยผ่านท่านนะบีอิบรอฮีม และนะบีอิสมาอีล ซึ่งเดือนเหล่านั้นได้แก่เดือน ซุลเกาะดะฮ์ ซุลฮิจญะฮ์ อัล-มุฮัรรอม และเดือนร่อญับ
[4] ได้แก่  อบูบักร, อุมัร, อุษมาน, อะลี, มุอาวิยะ, ยะซีด,  อับดุลมาลิก, วะลีด, สุลัยมาน, อุมัร บินอับดุลอะซีซ,  ยะซีด บินอับดุลมาลิก, ฮิซาม บินอับดุลมาลิก
[5] หัจญ์ที่ถูกต้องซึ่งถูกตอบรับจากอัลลอฮ์            

............................................
   เขียนโดย ซาเล็ม  บุญมาศ

http://www.arabstudy.org/

เปลี่ยนรอยร้าวเป็นรอยรักด้วยการ "ให้อภัย"



ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า :
“เมื่อท่านมีชัยชนะเหนือศัตรู จงทำให้การให้อภัยต่อศัตรูเป็นรางวัลสำหรับชัยชนะของท่านเถิด”

ในมุมมองของศาสนาอิสลาม ทุกความโปรดปรานที่เราได้รับจากพระเจ้าจะมีค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไป เช่นค่าตอบแทนของความรู้ที่เราได้รับ ค่าตอบแทนของมันก็คือการต้องเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้อื่น และค่าตอบแทนของการได้รับอำนาจและการมีชัยชนะเหนือศัตรูคือการให้อภัย

ชัยชนะหรืออำนาจที่เราได้รับจะมีคุณค่าและคงอยู่ตลอดไปก็ต่อเมื่อเราได้ชำระล้างความเคียดแค้นและความพยาบาทที่มีอยู่ในหัวใจของศัตรูให้หมดสิ้นไปอีกทั้งต้องประสานร้อยร้าวที่เกิดขี้นให้ได้เสียก่อน และการจะไปถึงเป้าหมายนี้ได้ก็คงไม่มีทางอื่นนอกเสียจากการให้อภัย การให้อภัยนี้เองจะเป็นตัวประสานร้อยร้าวที่เกิดขึ้น ทำให้คนที่เมื่อวานเป็นศัตรูวันนี้อาจกลับกลายเป็นมิตรได้

ในทางตรงกันข้ามหากใครก็ตามเมื่อได้รับชัยชนะและอำนาจมาครอบครองแล้ว ใช้อำนาจไปกับแก้แค้นและทำลายศัตรู บุคคลเช่นนี้นอกจากจะเป็นคนไร้มนุษยธรรมแล้วเขายังทำให้อำนาจที่ได้รับมาตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย

ดังนั้นขอให้เราทั้งหลายใช้การให้อภัยเป็นเครื่องประสานรอยร้าวและเป็นตัวแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเถิด

เปลี่ยนรอยร้าวเป็นรอยรักด้วยอภัย……….ขอเพียงใจมอบให้กันในวันนี้
ความขัดแย้งรอยหม่นหมองที่เคยมี……….หยุดไว้ที่เมื่อวันวานผ่านเลยไป

..............................................
อดทน เพื่อชัยชนะ

จงให้ความสมดุลในคำพูดของท่าน



ท่านอย่าได้พูดถึง..ทรัพย์สิน..ของท่านต่อหน้า..คนจน
 ✿
ท่านอย่าได้พูดถึง..สุขภาพดี..ของท่านต่อหน้า..คนป่วย
 ✿
ท่านอย่าได้พูดถึง..ความสุข..ของท่านต่อหน้า..อนาถา

ท่านอย่าได้พูดถึง..การมีอิสระ..ของท่านต่อหน้า..คนติดคุก

ท่านอย่าได้พูดถึง..บิดา..ของท่านต่อหน้า..เด็กกำพร้า

เมื่อท่านสร้างบาดแผลให้กับพวก..ท่านไม่สามารถรับแบกผลของมันได้เลย

จงให้ความสมดุลในคำพูดของท่าน...

กับทุกสิ่งในชีวิตท่าน และจงทำให้(การใส่ใจต่อความรู้สึกของคนอื่น)เป็นส่วนหนึ่งของบุ
คลิกภาพท่าน...

จนกว่าท่านจะไม่พบว่า วันหนึ่งท่านจะอยู่โดดเดียวกับการสร้างความเจ็บปวดของท่านเอง...

..............................
Ahmad Ibnu Idaris

ภาพที่แอบอ้างว่าเป็นภาพของท่านชัยคฺอับดุลวะฮาบ



จอม “มั่วนิ่ม” ที่เว็บไซต์ของพวกใจคดบางกลุ่มได้นำเอาภาพถ่ายของใครก็ไม่ทราบมาแอบอ้างว่านี่เป็นภาพของท่านชัยคฺอับดุลวะฮาบ

ภาพถ่ายที่ถูกโกหกว่าเป็นภาพของท่านชัยคฺ    
        ทั้งที่กล้องเริ่มมีใช้ในปี ค.ศ 1826 หากกล้องมีใช้ในปี ค.ศ.1826  (1826+543 )  = พ.ศ.2369 มุฮัมมัด บินอับดิลวะฮาบ (อาหรับ: محمد بن عبد الوهاب التميمي‎) มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ฮ.ศ.1115-1206 (พ.ศ. 2246-พ.ศ. 2335) แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่กล้องถ่ายภาพซึ่งยังไม่มีอยู่ในโลกสมัยนั้นจะถูกนำมาถ่ายภาพท่านชัยคฺได้
       
         ..........................

คำกล่าวของชัยคฺอับดุลอะซิ้ส บินบาซเกี่ยวกับการโค้นล้มผู้นำ




ท่านชัยคฺอับดุลอะซิ้ส บินบาซ ได้กล่าวถึงการโค้นผู้นำไว้ว่า

“ความต้อการที่จะทำลายความชั่ว

 แต่ด้วยวิธีการที่นำความชั่วอันร้ายแรงกว่าเข้าแทนที่

 ย่อมเป็นสิ่งต้องห้ามตามมติเอกฉันท์ของปวงนักปราชญ์

 หากว่ากลุ่มที่ต้องการรัฐประหารผู้ปกครอง

โดยอ้างเงื่อนไขว่าผู้ปกครองดังกล่าวได้เปิดเผยอย่างชัดเจนถึงการปฏิเสธศาสนา(กุฟรฺ)แล้ว

 ก็ถือว่ากรณีเช่นนี้(ผู้นำกลายเป็นการเฟรฺ) เท่านั้นที่ถูกอนุญาต

 และยังสามารถที่จะนำเอาผู้นำใหม่ที่ดีและมีศิลธรรมเข้าแทนที่

 แต่ต้องปราศจากปัญหาบานปลายที่นำไปสู่ความวุ่นวายที่ใหญ่หลวงกว่าแก่สังคมมุสลิม

 ทั้งยังต้องปราศจากซึ่งความชั่วร้ายที่ใหญ่หลวงกว่าการมีผู้ปกครองคนเก่า

 เช่นนี้มันก็เป็นที่อนุมัติ

แต่หากการต่อต้านผู้นำจะนำพาไปสู่ความชั่วร้ายที่ใหญ่กว่า

และนำพาไปสู่ความเสียหาย การกดขี่ และการฆ่าล้างประชาชนที่ไม่สมควรจะได้รับการเข่นฆ่าเลย

 และรวมถึงรูปแบบการต่อสู้อื่นๆ ที่ชั่วร้ายอย่างใหญ่หลวง

ดังนั้นก็ไม่เป็นที่อนุญาตในการทำเช่นนั้น”

(มัจมูอุฟะตาวาย์วะมะกอลาตมุตะเนาวิอะฮฺ เล่ม 8 หน้า 202)


Picture