อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

บุญคุณของชาวนรก


การช่วยเหลือผู้อื่นเพียงเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าด้วยการให้น้ำดื่ม ให้น้ำผู้ที่จะละหมาดอาบน้ำละหมาด ก็สงผลดีต่อเขาอย่างมากมาย

ดั่งหะดิษที่รายงานถึงชาวนรกได้ทวงบุญคุณที่ตนเคยกระทำความดีแก่คนที่เป็นชาวสวรรค์ ชาวสวรรค์ผู้นั้นก็จะขอภัยโทษต่ออัลลอฮฺ พระองค์ก็อภัยโทษให้แก่เขา และนำเขาเข้าสวนสวรรค์


รายงานจากท่านอนัส บินมาลิก ร่อฎียัลลออุอันฮุ) เล่าว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
"ชาวนรกจะถูกลากเป็นแถว และเมื่อชาวสวรรค์ผ่านมา
หนึ่งในชาวนรกจะกล่าวว่า : คนนั้นคนนี้ ท่านจำฉันไม่ได้หรือ? ฉันเคยเป็นที่เคยให้น้ำท่านดื่ม
อีกคนหนึ่งกล่าวว่า ; ฉันเป็นผู้ให้น้ำท่านอาบน้ำละหมาด
ดังนั้น ชาวสวรรค์จะขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺให้พวกเขา และนำพวกเขาเข้าไปสู่สวรรค์ (บันทึกหะดิษโดยอิมามอิบนุมาญะฮฺ)

والله أعلم بالصواب


โปรดจงทำให้หัวใจของเราสงบนิ่ง



#อย่าได้หมกมุ่น
#อย่าได้ระส่ำระสาย
#อย่าได้เสียใจ

ก็เพราะว่าอัลลอฮฺไม่ได้ทรงสร้างเรา เพื่อให้เราต้องหมกมุ่น ระส่ำระสายและเสียใจ

#แต่มันเป็นสิ่งที่จะสอนเรา เพื่อให้เราได้ย้อนกลับไปหาพระองค์ เมื่อดวงหัวใจของเราเริ่มแตกร้าว


.................................................................................................................................
ข้อความดี ๆ จากเพจ : شاركنا كل يوم بدعاء وأيه من كتاب الله وحديث من احاديث الرسول ( ص )
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ


ชื่นชมลูกและหยุดดูถูกลูกของคุณ




หากว่าเราพูดจาดูถูก ดูแคลนลูกๆ ของเราบ่อยๆไม่วันใดก็วันหนึ่งพวกเขาก็เริ่มเชื่อในสิ่งที่เราพูดออกไปเกี่ยวกับตัวของพวกเขาซึ่งการกระทำดังกล่าวของผู้เป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองย่อมส่งผลให้เด็กมี ‘ความเคารพต่อตัวเองต่ำ’ ‘ความผิดปกติทางจิตใจ’ หรือ เกิด ‘ความซับซ้อนทางจิตใจ’

จากนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือพวกเขาจะหาทางออกให้กับตัวเองด้วยการแสดงพฤติกรรมและมีอุปนิสัยที่ขาดความรับผิดชอบ

อย่างไรก็ตาม หากว่าเราพูดชื่นชมลูกๆ ของเราอยู่อย่างสม่ำเสมอบอกให้พวกเขารับรู้ว่าพวกเขามีความสำคัญกับเรามากเพียงใด เรารักพวกเขามากเพียงใด พวกเขาน่ารักและมีความพิเศษมากเพียงใดเราภูมิใจในตัวของพวกเขามากเพียงใด

การกระทำนี้จะส่งผลให้ ‘ความเคารพต่อตัวเองของพวกเขาเพิ่มขึ้น’ ‘ระดับความเชื่อมั่นในตัวเองก็จะสูงมากขึ้น’
พวกเขาจะสามารถมุ่งความสนใจไปกับการบรรลุเป้าหมายของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้นและมีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะปลอดภัยจากอันตราย และปลอดภัยจากการมีพฤติกรรมและอุปนิสัยที่ขาดความรับผิดชอบอีกด้วย

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารกับพวกเขาด้วยการใช้ข้อความที่แสดงออกถึงความรัก ความห่วงใยต่อพวกเขาอยู่เป็นประจำและสม่ำเสมอ
และที่สำคัญเราต้องไม่ลืมที่จะปฏิบัติต่อลูกๆทุกๆคนของเราอย่างเท่าเทียม

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โดยมุฟตี อิสมาอีลเมง
แปล บินติ อัลอิสลาม
แวนิต้า โรส โพส

สุญุดเพียงครั้งเดียว ก็ได้เข้าสวรรค์





โอ้ ผู้ที่ทำละหมาด จงปฏิบัติเช่นเดียวกับที่อิมามทำละหมาด จงรุกั๊วะอฺเมื่อ
อิมามอยู่ในอิริยาบถรุกั๊วะอฺ จงสุญูดเมื่ออิมามสุญูด และจงเป็นหนึ่งใน
บรรดาผู้ที่สุญูดต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ) และเข้าใกล้พระองค์ ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าแห่ง
ผืนฟ้าและแผ่นดิน อย่าได้เห็นว่าการสุญูดต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ) เป็นเรื่องลำบาก
สำหรับเราเลย จงขวนขวาย พยายามปฏิบัติและอย่าได้เกียจคร้านเลย
เพราะท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) กล่าวว่า :

حفت الجنة بالمكار٥ و حفت النار بالشهوات

" สวรรค์นั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยความลำบากและสิ่งที่ไม่พึงประสงค์
และไฟนรกนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยสิ่งที่ปรารถนา "
(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์และมุสลิม)

จงสุยูดต่ออัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) และใกล้ชิดกับพระองค์เถิด
และจงกล่าวขณะที่เราสุญูดว่า

((((( اللهم اغفر لي )))))

" ข้าแด่อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด "

ดังที่มีฮะดีษได้รายงานไว้ โดยหวังให้คำกล่าวของเรานั้นตรงกับช่วงเวลาของการตอบรับดุอาอฺ แล้วอัลลอฮฺ(ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) จะทรงอภัยโทษให้แก่เรา
ก่อนที่เราจะยกศีรษะขึ้นจากการสุญูดเสียอีก

หลักฐาน ท่านร่อซูล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า

" เมื่อลูกหลานของอาดัม (มนุษย์) อ่านอายะฮฺที่มีสัจญดะฮฺ(การสุญูด)
ชัยฏอนจะปลีกตัวออกไปร้องไห้ และกล่าวว่า ข้าพินาศแล้ว! ลูกหลานของ
อาดัมถูกบัญชาให้สุญูด (ต่ออัลลอฮฺ) แล้วเขาก็สุญูด เขาจึงได้เข้าสวรรค์
และข้าถูกบัญชาให้สุญูด แต่ข้ากลับปฏิเสธ ข้าจึงต้องตกนรก "
( บันทึกโดย อิมามมุสลิม )

....................................................................................................
( จากหนังสือ สายสัมพันธ์ ' เพียงไม่กี่นาทีกับความดีเท่าภูเขา ')
Namah Buranapong


อัลกุรอานจะช่วยทำความสะอาดสนิมของหัวใจ



คนที่ในหัวใจของเขาไม่มีสิ่งใดจากอัลกุรอาน ท่านนบีเปรียบเสมือนหัวใจผู้นั้นดั่งบ้านทีหักพังไร้รอยต่อ มีแต่สนิมที่คอยกัดกร่อนหัวใจของเขา อัลกุรอานคือตัวยาบำบัดที่มาคอยทำความสะอาดหัวใจให้สนิมที่เกาะติดนั้นหลุดไป และผู้ที่ในหัวใจของเขามีอะไรบางอย่างจากคัมภีร์กุรอานนั้น ถือมีทรัพยากรที่หาค่าไม่ได้ ซึ่งเขาสามารถใช้ประโยชน์จากมัน ไม่ว่าทั้งโลกนี้ และโลกหน้า

รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินอับบาส (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า“ใครที่ในหัวใจของเขาไม่มีสิ่งใดจากอัลกุรอาน ก็เหมือนบ้านที่เป็นซากปรักหักพัง” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัตติรมีซีย์)

รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินอุมัร (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
“หัวใจเหล่านี้กลายเป็นสนิมเหมือนกับเหล็กที่ถูกน้ำ” เมื่อถูกถามว่าอะไรจะช่วยทำความสะอาดหัวใจเหล่านั้นได้ ท่านตอบว่า : การระลึกถึงความตายอย่างมากๆ และการท่องจำอัลกุรอาน” (บันทึกหะดิษโดยอิมามบัยฮะกี))

และเมื่อท่องจำอัลกุรอานแล้ว ก็พยายามทบทวนมัน เพราะผู้ที่ลืมอัลกุรอาน คือการเสียแขนขา หรือมาในสภาพมือเปล่าในวันกิยามะฮฺ

รายงานจากท่านซอฺด์ บินอุบาดะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า
“ไม่มีใครที่อ่านคัมภีร์กุรอาน และหลังจากนั้นเขาลืมมัน นอกไปจากเขาผู้นั้นจะพบอัลลอฮฺในวันพิพากษาในสภาพเสียแขนเสียขา” (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 8.1469)
والله أعلم بالصواب


สามีคอยแบ่งเบาภาระภรรยา


เราในฐานะสามี ผู้ได้รับมอบการปกครองจากบิดามารดาของฝ่ายภรรยา และถูกมอบความไว้วางใจจากผู้เป็นภรรยาและบิดามารดาของนาง ที่จะคอยดูแลเอาใจใส่แก่นาง ไม่ว่าในความเป็นอยู่ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ค่าเลี้ยงดู อาหารการกิน ตลอดการสร้างความอบอุ่นให้แก่ครอบครัว เป็นผู้คอยให้คำปรึกษาและช่วยแก่ปัญหาต่างๆ คอยแนะนำอบรมให้อยู่ในร่องรอยศาสนา จึงถือว่าเป็นอามานะฮฺหน้าที่อันยิ่งใหญ่สำหรับสามีอันพึงมีต่อภรรยาของเขา

และถึงแม้ว่างานบางอย่างจะเป็นหน้าที่ของภรรยา แต่เราในฐานะสามีก็คอยแบ่งเบาภาระตรงนี้บ้าง โดยเฉพาะปัจจุบันภรรยาต้องออกไปทำงานนอกบ้าน กลับมาก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของนางในบ้าน ไม่ว่าต้องดูแลลูกๆ ทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า หน้าที่ของนางเหล่านี้ นางอาจทำไม่ทัน หรือไม่เป็นที่พอใจสามี สามีก็ควรช่วยเหลือให้การปลอบใจนางบ้าง ไม่ใช่ปฏิเสธให้ภรรยาทำเพียงลำพัง อย่างน้อยก็คอยช่วยเหลือนางในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่สามารถช่วยเหลือนางได้


ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«أَكْمَلُ الْمُؤْمِنِينَ إِيمَانًا أَحْسَنُهُمْ خُلُقًا وَخِيَارُكُمْ خِيَارُكُمْ لِنِسَائِهِمْ خُلُقًا» (الترمذي برقم 1162، وقال حديث حسن صحيح)

ความหมาย “ผู้ศรัทธาที่มีความสมบูรณ์ยิ่งในการศรัทธาคือ ผู้ที่มีลักษณะนิสัยที่ดีงามยิ่ง และผู้ที่ดีเลิศในกลุ่มพวกท่านคือ ผู้ที่มีนิสัยดีต่อภรรยาของพวกเขา” 
(สุนันอัต-ติรมิซีย์ 3/466 หมายเลขหะดีษ 1162 ท่านบอกว่าเป็นหะดีษ หะซัน เศาะฮีหฺ)

والله أعلم بالصواب



วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

มุสลิมผูกหัวรถ





การผูกหัวรถของคนต่างศาสนิก ด้วยเส้นด้ายหลากสี ประมาณ 7 สี ด้วยความเชื่อว่าสัปดาห์หนึ่งมี เจ็ดวัน และทุกวันจะมีเทวดาประจำอยู่ ซึ่งเทวดามีสีต่างกัน รวมถึงพิธีเซนไหว้แม่ย่านางรถ พิธีการผูกขวัญแม่ย่านางรถ และมีความเชื่อว่าพิธีเหล่านี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองให้ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวปลอดภัยจากการขับขี่พ้นจากการประสพอุบัติเหตุ นัั้นก็เป็นเรื่องของเขาที่จะเชื่อเช่นนั้น

แต่สำหรับอิสลามนั้น มีบทบัญญัติศาสนาวางแนวทางไว้ครบถ้วนแล้ว เราจะยิบยืมเอาพิธีคนต่างศาสนิกมาเป็นพิธีของเราโดยเปลี่ยนจากบทคาถามาเป็นบทดุอาอ์ไม่ได้เด็ดขาด

จากการเปรียบเทียบการผูกคอรถของชาวต่างศาสนิกกับของมุสลิมคนหนึ่ง มันไม่ต่างอะไรกันเลย ไม่ว่าลักษณะของเส้นด้วยที่นำมาผูก และวิธีการผูกก็ตามที ของต่างศาสนิกเขาอาจจะให้พระ ครูหมอ หรือชาวบ้านผู้รู้ทางวิาชาคาถาอาคม เป็นผู้ทำพิธีเสกและผูกให้ แต่ของมุสลิมคนนี้ ตอนแรกเข้าใจว่าโต๊ะหมอแขก หรือชาวบ้านทั่วไป เป็นผู้ผูกให้ แต่เมื่อได้สอบถามจากเจ้าของรถ ปรากฏว่า ผู้ที่ทำพิธีผูกรถให้ คือ โต๊ะบาบอ ครูผู้มีความรู้ศาสนา เมื่อโต๊ะครูผู้มีความรู้กระทำเสียเอง มันจะหลงเหลืออะไรกับความบริสุทธิ์ของหลักการอิสลามที่สืบทอดมายังลูกศิษย์ ถึงแม้เอาหลักฐานอัลกุรอาน หรือหะดิษมายืนยันพวกเขาก็ตาม คำปฏิเสธของพวกเขาก็คือ  คุณเป็นใคร นำหลักฐานเหล่านั้น มาค้านกับคำสอนของโต๊ะครูที่พวกเขานับถือได้อย่างไร

ซึ่งการผูกคอรถ หรือการทำพิธีอื่นๆ เช่นพิธีเจิมรถ เป็นพิธีทางพราหมณ์ มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มันเป็นเรื่องความเชื่อเรื่องโชคราง การนำเอาสิ่งอื่นมาคุ้มครองตน อันเข้าข่ายในการทำชิริกต่อพระองค์อัลลอฮฺ

ท่านนบมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวไว้ว่า

" من علق تميمة فقد أشرك "

ความว่า "บุคคลใดที่แขวนเครื่องรางของขลัง แน่นอนยิ่ง เขาได้ทำชิริกแล้ว" (หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยอะหฺมัด)

หะดีษข้างต้นระบุชัดเจนแล้ว มุสลิมห้ามสวมใส่เครื่องรางของขลังใดๆ โดยเด็ดขาด เพราะถ้าแขวยจะถือว่าเป็นชิริก

ส่วนกรณีมุสลิมผูกข้อมือ, ผูกรถ โดยเชือดเหล่านั้นผ่านการทำพิธีกรรมด้วยการขอดุอาอ์ หรืออ่านอัลกุรฺอานก็ตาม เช่นนี้ หากเขาเชื่อว่าเชือดที่ผ่านพิธีกรรมดังกล่าวป้องกัน และคุ้มครองเขาให้พ้นจากสิ่งอันตรายต่างๆ ได้ เช่นนี้ ถือว่ามุสลิมผู้นั้นได้ทำชิริก

แต่ถ้าเราเชื่อว่าเชือดที่ผ่านพิธีกรรมนั้นทำให้มีความจำเริญ (บะเราะกะฮฺ) อย่างเดียว แต่ไม่เชื่อว่าคุ้มครองป้องกันสิ่งอันตายต่างๆ ได้ เช่นนี้ ถือว่าเขาผู้นั้นทำบิดอะฮฺ

والله أعلى وأعلم


พิธีผูกขวัญแม่ย่านางรถของต่างศาสนิก



บรรดาภรรยาของท่านนบีมุหัมมัด



1.ท่านหญิงเคาะดีเญะฮฺ บิน คุวัยลิด (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงเคาดีญะฮฺเกิดในปี ค.ศ. 556 ในตระกูลกุเรช พ่อของนางชื่อคุวัยลิด บุตรของอะซัด บินอับดุลอุซซา บินกุซ็อย กุซ็อยเป็นบรรพบุรุษของนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ ขณะที่ท่าน อายุ 25 ปี ท่านหญิงเคาะดียะฮฺ ซึ่งเป็นหญิงม่าย อายุ 40 ปี ด้วยมะฮัรฺ เป็นทอง 500 ดิรฺฮัม และมีบุตรด้วยกัน 6 คน บุตรชาย 2 คน บุตรหญิง 4 คน ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ ได้ใช้ชีวิตกับท่านของนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) 25 ปี นางก็เสียชีวิต โดยใช้ชีวิตสมรสอยู่ร่วมกับสามีของนาง ก่อนที่จะเป็นนบีมาก่อน 15 ปี และอีก 10 ปี หลังจากนั้น ในขณะที่นางอายุ 65 ปี ประมาณ 3 ปี ก่อนการอพยพ
ชีวิตของท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)กับนางเคาะดีญะฮฺกับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ เป็นชีวิตที่มีความสุข และไม่เคยมีการกระทบกระทั่งกันถึงแม้ทั้งสองคนจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินแตกต่างกัน

2.ท่านหญิงเซ๊าด๊ะฮฺ บินติ ซุมอา (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

หลังจากที่ท่านหยิงเคาะดีญะฮฺเสียชีวิต ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก้มีชีวิตที่เศร้าโศก และกังวลถึงเรื่องลูก ท่านต้องทำงานทุกอย่าง มีเซด บินฮาริวะฮฺเป็นผู้ช่วยเหลือ
ขณะที่ท่านหญิงเซาด๊ะฮฺ แต่งงานกับท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นางมีอายุ 55 ปี ด้วยมะฮัร 400 ดิรฺฮัม นางเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 22

3.ท่านหญิงอาอิชะฮฺ บินติ อบูบักรฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เป็นบุตรสาวของท่านอบูบักรฺ อัศ-ศิดดีก เพื่อสนิทของท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นางได้ฉายาว่า “ศิดดีเก๊าะฮฺ” และ “ฮูมัยเราะฮฺ” นางเป็ฯชาวกุเรช ตระกูลตัยมียะฮฺ นางเกิดในตอนต้นปีที่ 4 หลังจากการเป็นของท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
 นางได้แต่งงานก่อนการฮิจญเราะฮฺ 3 ปี ขณะอายุ 6 ขวบ และนางถูกส่งไปอยู่กับสามีของนาง ในเดือนเชาวาลของปี ฮ.ศ.9 ด้วยอายุของนาง 9 ขวบ นางเป็นม่ายเมื่ออายุ 18 ปี นางได้เสียชีวิต ในวันที่ 17 เดือนเราะมะฎอน ฮ.ศ. 58 ด้วยอายุ 73 ปี

4. ท่านหญิงฮัฟเซาะฮฺ บินติ อุมัร (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงฮัฟเซาะฮ์ เป็นบุตรสาวของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ บินนุฟัยลื บินอับดุลอุซซา ก่อนที่นางจะ แต่งงานกับท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นางครองตนเป็นม่าย ซึ่งท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ต้องการแต่งงานกับนาง ก็เพื่อที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของท่านอุมัรและเผ่าอันทรงอิทธิพลของท่านเข้มแข็งขึ้น นางเสียชีวิตในเดือนชะอ์บาน ฮ.ศ.45

5. ท่านหญิงซัยหนับ บินติ คุซัยมะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงซัยหนับ แต่งงานครั้งแรกกับตุฟัยล์ บินฮาริส แต่หลังจากนั้นตุฟัยล์ก็หย่านาง ต่อมานางได้แต่งงานใหม่กับอุบัยดะฮฺน้องชายของสามีคนแรก แต่อุบัยดะฮฺก็เสียชีวิตในสงครามอุฮุด ในปีที่ 3 หลังจการการอพยพ ภายหลังจากที่นางตกเป็ยม่าย นางก็มีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากยากจน ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เข้ามาในชีวิตของนางก็เพราะเห็นว่านางมีชีวิตลำบาก จึงได้มาขอนางแต่งงาน ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แต่งงานกับท่านหญิงซัยหนับ ในเดือนเราะมะฎอน ฮ.ศ. 3 ด้วยมะฮัร 400 ดิรฺฮัม นางเสียชีวิตในเดือนเราะบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. 3 ภายหลังจากแต่งงานกับท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ 3 เดือน

6. ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺ มีชื่อจริงว่า “ฮินดฺ” คำว่า อุมมุสะละมะฮฺ (แม่ของสะละมะฮฺ) เป็นฉายาที่ได้มาจากลูกของนาง นางมาจากครอบครัวของมัคซูม ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของเผ่ากุเรซ
อุมมุสะละมะฮฺแต่งงานครั้งแรกกับอับดุลลออฺ บิน อับดุลอะซัด ซึ่งเป็นญาติฝ่ายพ่อของนาง และเป็นพี่บุญธรรมของนบี ทั้งสองได้อพยพไปยังอบิสสิ้นีย  หลังจากนั้นทั้งสองก้เดินทางกลับมายังมะดีนะฮฺ
ต่อมาสามีของท่านหญิงอุมมุสะละมะฮฺได้เสียชีวิตในสงครามอุฮุด ในปี ฮ.ศ. 4 ในขณะที่สามีของนางเสียชีวิต นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ นางได้ใช้ชีวิตที่ค่อนข้างอัตคัดขีดสน นางไม่สามารถกลับไปหาพ่อแม่ของนางและไม่มีปัจจัยยังชีพ เมื่อท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ทราบท่านรู้สึกสงสารนางเป็นอย่างมาก หลังนางคลอดบุตร และพ้นระยะห้ามแต่งงานหลังสามีเสียชีวิตแล้ว ท่านนบีด้สู่ขอนางแต่งงาน ในปลายเดือนเชาวาล ของปี ฮ.ศ.4 นางได้มีชีวิตยืนยาวกว่าภรรยาทุกคนของท่านนบี นางเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 63 ขณะอายุ 84 ปี

7. ท่านหญิงซัยหนับ บินติ ฮาริส (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงซัยหนับเป็นคนครอบครัวของอะซัด บินคุซัยมะฮฺ แห่งเผ่กุเรซ การแต่งงานครั้งแรก ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้แต่งงานให้นางซัยหนับ กับเซด บินฮาริวะฮฺ ซึ่งเป็นทาสที่ท่านนบีปล่อยให้เป็นอิสระ หลังจากนางได้หย่ากับเซด ท่านนบีก็แต่งงานกับนางเพื่อการปลอบใจ
นางได้เสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 20 ซึ่งนางอายุ 53 ปี

8. ท่านหญิงญุวัยรียะฮฺ บินติ ฮาริส (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงญุวัยรียะฮเป็นคนในตระกูลมุสละลิกในเผ่าคุซาอะฮฺ นางแต่งงานครั้งแรกกับมุซาฟีอฺ บินซ็อฟวาน ทั้งพ่อและแม่ของนางเป็นศัตรูของอิสลาม และนางถูกจับเป็นเชลย นางได้ถูกไถ่ตัว โดยท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้จ่ายเงินค่าไถ่ตัวให้แก่นางและแต่งงานกับนาง นางเสียชีวิตด้วยอายุ 65 ปี ในปี ฮ.ศ.56

9. ท่านหญิงอุมมุฮะบีบ๊ะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงอุมมุฮะบีบ๊ะฮฺ มีชื่อจริงว่า ร็อมละฮฺ นางได้แต่งงานครั้งแรกกับอุบัยดุลลอฮฺ บินญะฮัซ นางได้เข้ารับอิสลามพร้อมกับสามี ต่อมาทั้งสองได้อพยพไปยังอบิสสิเนีย และได้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่งชื่อฮะบีบะฮฺ  หลังจากนั้น อุบัยดะฮฺก็ประพฤติตัวเลวทราม โดยการดื่มเหล้าเมามาย จนทิ้งอิสลามไปนับถือศาสนาคริสต์ พยามยามชักจูงนางเปลี่ยนศาสนา แต่นางไม่ยอม อุบัยดะฮฺเริ่มใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี กินเหล้าอย่างหนัก จนเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน หลังจากนั้นนางก็ถุกทิ้งไว้ให้ใช้ชีวิตม่ายตามลำพังในต่างแดน เมื่อระยะเวลาแห่งการห้ามแต่งงานใหม่หลังสามีเสียชีวิตสิ้นสุดลง ท่านนบีได้ส่งอัมรฺ บินอุมัยยะฮฺ ซุมารีไปยังเนกุสกษัตริย์แห่งอบิสสิเนียเพื่อขอนางแต่งงาน การแต่งงานมีขึ้นในปีที่ 6 หรือ 7 ด้วยมะฮัร 400 ดินาร์ นางเสียชีวิต ใน ฮ.ศ. 44

10. ท่านหญิงเศาะฟียะฮฺ บินติ ฮุตัย (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

เดิมท่านหญิงเศาะฟียะฮฺมีชื่อจริงว่า “ซัยหนับ” พ่อแม่ของนางเป็นคนในครอบครัวชาวยิวชั้นผู้นำ ซึ่งเป็นศัตรูตัวกาจของอิสลาม หลังจากสงครามค็อยบัรฺ ซึ่งพวกยิวต้องประสบความพ่ายแพ้ นางได้ตกเป็นเชลยสงคราม ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ปล่อยนางให้เป็นอิสระและแต่งงานกับนาง นางได้เสียชีวิตด้วยอายุ 60 ปี ในปี ฮ.ศ. 50

11. ท่านหญิงมัยมุนะฮฺ บินติ ฮาริส (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงมัยมุนะฮฺ เดิมชื่อ “บัรฺรอ” เป็นบุตรสาวของฮาริส บินฮาซาน ซึ่งเป็นคนในเผ่ากุเรซ นางได้แต่งงานครั้งแรกกับมัสอูด บินอัมร์ บินอุมัยร์ สะกอฟี แต่ก็ได้ถุกหย่า และหลังจากนั้นได้แต่งงานใหม่กับอบูรอฮัม บิน อับดุลอุซซา ซึ่งเสียชีวิตใน ฮ.ศ. 7  ในขณะที่นางอายุ 51 ปี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนาง อับบาสลุงของท่านนบีจึงได้แนะนำให้ท่านแต่งงานกับนางซึ่งท่านก็ยอมรับ ด้วยมะฮัร 500 ดิรฺฮัม นางเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 51

12. ท่านหญิงร็อยฮานา บินติ ชัมอูน (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงร็อยฮานา เป็นคนในเผ่าบนูนะซีร์ ซึ่งเป็นเผ่ายิวที่มีชื่อเสียง นางได้แต่งงานครั้งแรกกับฮะกัม แห่งตระกูลบนีกุร็อยเซาะฮฺ เมื่อมุสลิมได้ชัยชนะเหนือพวกบนีกุร็อยเซาะฮฺในเดือนมุฮัรรอม ฮ.ศ. 6 นางก็ตกเป็นเชลยสงคราม ท่านนบีได้ขอนางแต่งงาน ถ้าหากนางยอมรับอิสลาม นางตกลงข้อเสนอของท่าน ท่านนบีจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ และแต่งงานกับนางในเดือนมุฮัรร็อม ฮ.ศ. 6 และให้เงินมะฮัรแก่นางตามจำนวนที่ท่านเคยให้แก่ภรรยาคนอื่นๆของท่าน

13. ท่านหญิงมารียา (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา)

ท่านหญิงมารียา พร้อมกับน้องสาวของนางเป็นของกำนัลจากผู้ปกครองชาวอิยิปต์ หลังจากที่ได้ฟังคำสอนจากฮาบีบทูตของท่านนบี นางก็ได้เข้ารับอิสลามก่อนที่เข้ามาถึงมะดีนะฮฺ ท่านนบีได้รับตัวนางไว้เป็นสาวใช้ ท่านนบีได้แต่งานกับนาง ส่วนน้องสาวของนางท่านนบีได้ยกให้แต่งงานกับฮัซซาบ บินซาบิต และนได้ลูกชายแก่เขาคนหนึ่งชื่ออับดุรฺเราะฮฺมาน

ท่านหญิงมารียา ได้บุตรชายกับท่านนบีคนหนึ่ง ชื่อ อิบรอฮีม” และได้เสียชีวิตขณะเป็นทารก
นางได้เสียชีวิตหลังลูกของนางเสียชิวตไปได้ 5 ปี




วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

ลูกของท่านนบีกับท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ


ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา) นั้น นางได้มีลูก 2 คน กับอบูฮาลา สามีคนแรก คือ

1.ฮาลา และ

2.ฮินด์

และท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา) นั้น นางได้มีลูกสาวอีกคนหนึ่ง กับอะตีกสามีคนที่สอง ชื่อ ฮินด์

และท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา) นั้น นางได้มีลูก 6 คน กับท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นบุตรชาย 2 คน และบุตรหญิงอีก 4 คน  คือ

1.กอซิม เป็นบุตรชายคนแรก และบุตรคนนี้ทำให้ท่านนบีถูกเรียกด้วยฉายาว่า อบุลกอซิม (พ่อของกอซิม) กอซิมได้เสียชีวิตตั้งแต่เป็นทารก

2.ซัยนับ เป็นบุตรสาวคนโตของท่านนบี

3.อับดุลลอฮฺ เกิดในระหว่างการเป็นนบี จึงถูกเรียกว่าฏอฮิรฺ และฏ็อยยิบ และเสียชีวิตในขณะที่ยังเป็นทารก

4.รุก็อยยะฮฺ บุตรสาวของท่านบีคนนี้ได้แต่งงานกับท่านอุษมาน เคาะลีฟะฮฺคนที่ 3

5.อุมมุกัลซูม ลูกสาวคนนี้ได้แต่งงานกับท่านอุสมาน เคาะลีฟะฮฺคนที่สาม หลังจากนางรุก็อยยะฮฺเสียชีวิต และ

6.ฟาฏิมะฮฺ เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของท่านนบี

ซึ่งแต่ละคนมีอายุห่างกันคนละ 1 ปี




วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

สิ่งที่อัลลอฮ์ให้ มันมาพร้อมกับการทดสอบ



บางคนผ่านความยากลำบากสุดๆ แต่แล้ววินาทีสุดท้าย
จนตรอกไม่มีทางออก เราเคยสังเกต ใหมชีวิตเราพอมันมาถึงทางตัน
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แล้วพระองค์ทรงช่วยเหลือเรา

สิ่งที่อัลลอฮ์ให้ในวินาทีสุดท้าย มันก็มาพร้อมกับการทดสอบ
ทุกครั้งที่อัลลอฮ์ให้มา ไม่ว่าจะเป็นการยากลำบาก หรือความสบาย
มากับการทดสอบ และทุกๆครั้งที่เราผ่านการทดสอบ

เราจะได้บทเรียนอันหอมหวน และก็บทเรียนอันมีค่ามากๆ
ไม่ว่าเราจะลำบากหรือสบาย มีอย่างเดียวคือความเชื่อมั่น
เวลาที่เชื่อมั่นต่อพระองค์ ไม่ไช่ว่าเชื่อมั่นว่าพระองค์
จะให้ในสิ่งที่เราอยากได้ แต่เราต้องเชื่อมั่นว่าพระองค์ จะให้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา

>>และตรงนั้น เกินการคาดคะเนของเรา
มันจะออกมาในรูปไหนเราไม่รู้จริงๆ ด้วยความสามารถของเรา
เราจัดการไม่ได้ ด้วยความรู้ของเราๆ จัดการไม่ได้
อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราต่อไปอยู่ที่พระองค์

จะทรงจัดการและทำให้เราได้มีประสบการณ์
เพราะฉะนั้น เมื่อเชื่อมั่น อย่าไปฟูมฟาย อย่าไปตีโพยตีพาย
เวลาที่มันไม่ได้อย่างที่เราคาดไว้ เพราะสิ่งที่เราคาดไว้

>>บางครั้งเราอาจจะคาดไว้แบบ โง่ ๆ สมองเราได้แค่นี้
พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่เราจะเชื่อมั่นได้
และสิ่งที่ดีที่สุดก็จะมาหาเรา

>>และถ้าไม่ได้ในดุนยานี้ ก็ในอาคีเราะห์
บางคนบอกขอในดุนยาได้ใหม ?
คุณเลือกเอาละกันว่า ดุนยากับอาคีเราะห์
คุณจะเอาอะไร

อัลฮำดุลิลลาฮ์ อินชาอัลลอฮ์

.....................................................
สายลมแห่งความห่วงใย รู่กอยยะห์



วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความอดทด คือกุญแจสู่การให้อภัย


จงอดทน โอ้พี่น้องผู้ศรัทธาในสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺทรงทดสอบ จงอดทนในสิ่งที่เราต้องสูญเสียไป  จงอดทนในความทุกข์ทรมานที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะความอดทนนั้น เป็นกุญแจสู่การให้อภัยจากพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา มันเป็นความพึงพอพระทัยของพระองค์ เป็นการก่อให้เกิดรางวัลและการตอบแทนมากมายจากพระองค์

รายงานจากท่านอนัส บินมาลิก (ร่อฎียัลลออุอันฮุ) เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ถ้าฉันไม่ให้บ่าวของฉันได้รับ 2 สิ่งที่เขารัก (กล่าวคือ ดวงตาทั้งสองของเขา) และเขายังอดทน ฉันจะให้เขาได้เข้าสวรรค์เป็นการทดแทนสำหรับ 2 สิ่งนั้น"

รายงานจากท่านอบูมูซา อัลอัชอะรี (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"เมื่อลูกของชายคนหนึ่งเสียชีวิต อัลลอฮฺจะทรงถามมลาอิกะฮฺ ว่า : พวกเขาได้เอาลูกของบ่าวของพระองค์มาใช่ไหม? 
และมลาอิกะฮฺตอบว่า : พวกเขาเอาชีวิตของพวกเด็กมา 
หลังจากนั้นพระองค์จะทรงถามมลาอิกะฮฺว่า : พวกเขาเอาผลไม้แห่งหัวใจของเขามาหรือไม่? 
เมื่อมลาอิกะฮฺตอบว่า : พวกเขาเอามาด้วย 
พระองค์ทรงถามว่า : บ่าวของพระองค์พูดว่าอะไร? 
เมื่อมลาอิกะฮฺตอบว่า : เขาสรรเสริญอัลลอฮฺฺ และกล่าว่า : เราเป็นของอัลลอฮฺ และยังพระองค์ที่เราจะต้องกลับไป 
อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า : จงสร้างบ้านหลังหนึ่งในสวรรค์ให้บ่าวของฉัน และเรียกมันว่า "บ้านแห่งการสรรเสริญ" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด)

รายงานจากท่านอิบนุมัสอู๊ด (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า
"ฉันได้ไปเยี่ยมท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในขณะที่ท่านกำลังไข้สูงฉันได้แตะตัวท่านและกล่าวว่า : ท่านมีไข้สูงมาก 
ท่านกล่าวว่า : ใช่ มีไข้มากเหมือนกับที่คนสองคนมี (คือฉันและท่าน) 
ฉันกล่าว่า : ท่านจะได้รับรางวัลตอบแทนสองเท่าไหม? 
ท่านตอบว่า : ได้สิ ไม่มีมุสลิมคนใดที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือความยากลำบากอื่นๆ เว้นเสียแต่ว่าอัลลอฮฺจะทรงขจัดบาปของเขาเหมือนกับต้นไม้ผลัดใบของมัน" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 7.571)

รายงานจากท่านญาบิร บินอับดุลลอฮฺ เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เมื่อคนที่ทุกข์ทรมานได้รับรางวัลตอบแทนของพวกเขา คนที่สุขภาพดีจึงอยากที่จะให้ผิวของพวกเขาถูกตัดออกเป็นชิ้นด้วยกรรไกร เมื่อพวกเขาอยู่โลกนี้" (บันทึกหะดิษโดยอิมามติิรฺมีซีย์)

รายงานจากท่านอัลฮุเซน บินอะลี (ร่อฎียัลยัลลอฮุอันฮุ)เล่าว่า
"ถ้ามุสลิมคนใดไม่ว่าชายหรือหญิงประสบเคราะห์กรรมและยังคงจดจำมัน ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ เขาจะกล่าวว่า " إنا لله وإنا إليه راجعون" "อินนาลิลลาฮฺ วะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน" (เราเป็นของอัลลออฺ และยังพระองค์ที่เราจะต้องกลับไป) อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งจะให้รางวัลตอบแทนเขาคนนั้นใหม่ทุกครั้งที่เขากล่าวเช่นนั้น ซึ่งเท่ากับรางวัลตอบแทนเมื่อเคราะห์กรรมเกิดขึ้นกับเขา" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอะหฺมัด)

والله أعلم بالصواب






สุภาพบุรุษที่แท้จริง



- เมื่อมีผู้หญิงที่ไม่ใช่มุหฺริม มานั่งอยู่เก้าอี้เดียวกัน เขาจะพยายามตีห่างออกจากเธอ เพื่อที่จะไม่ให้สัมผัสกับตัวเธอ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
- บุรุษที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเมล์ เมื่อเห็นผู้หญิงกำลังยืนอยู่ เขาจะรีบลุกทันที เพื่อที่จะให้เธอได้มานั่งแทน
- บุรุษที่ไม่ตามจีบผู้หญิงทั่วไป เพื่อเป็นการปกป้องความเป็นบุรุษของตัวเอง และปกป้องจากการที่จะมีบรรดาชายรุมเข้ามาจีบพี่สาว/น้องสาว หรือภรรยาตัวเอง
- เมื่อมีผู้หญิงกำลังเดินอยู่ข้างหน้าเขา เขาจะรีบเดินแซง (เดินข้างหน้าเธอ) เพื่อให้เธอได้มั่นใจว่า เขาเป็นบุรุษที่รักษาเกียรติของเขา ในการไม่มองเรือนร่างของเธอ

................................................................................................................................
บทความดี ๆ จากเพจ : شاركنا كل يوم بدعاء وأيه من كتاب الله وحديث من احاديث الرسول ( ص )
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ


อาณาจักรแห่งดุอาอิฟติตาห์


 

ถอดความจากดุอาอิฟติตาห์

โอ้ อัลลอฮ์ ข้าพระองค์ขอเริ่มต้นการเทิดไท้ ด้วยการสรรเสริญพระองค์

เพราะพระองค์ทรงผลักดัน(ข้าฯ)สู่ความถูกต้อง ด้วยกรุณาธิคุณที่พระองค์มี

และข้าฯก็เชื่อมั่นมิเสื่อมคลายว่า พระองค์คือผู้มีความเมตตาเหนือผู้ใดในห้วงแห่งอภัยทานและความเอื้ออารีย์

แต่พระองค์ก็เป็นผู้สำเร็จโทษที่เด็ดขาดยิ่งกว่าผู้ใด ในห้วงแห่งการลงทัณฑ์และความพิโรธ

และพระองค์เป็นจอมราชันย์ที่ยิ่งใหญ่ ในห้วงแห่งความเกรียงไกรและเกริกเกียรติ



โอ้ อัลลอฮ์ พระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์วิงวอนขอดุอาจากพระองค์

ฉะนั้น ขอพระองค์ทรงสดับฟัง โอ้ ผู้ทรงสดับฟังคำสรรเสริญของข้าฯ

และขอทรงตอบรับ โอ้ผู้เอื้ออาทรต่อคำขอของข้าฯ

และขอทรงลดหย่อน (การลงทัณฑ์) โอ้ ผู้อภัยความพลาดพลั้งของข้าฯ



โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ ความทุกข์เข็ญตั้งมากมายเท่าใดแล้ว ที่พระองค์ทรงแก้ไข

และความโศกเศร้าครั้งแล้วครั้งเล่า ที่พระองค์ทรงขจัดสิ้น

และความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วน ที่พระองค์ทรงไม่ถือโทษ

และความเอื้ออารีย์อันมหาศาล ที่พระองค์ทรงแผ่ขจรไกล

และบ่วงโซ่แห่งภัยพิบัติ (บะลา) มากมายเพียงใด ที่พระองค์ทรงบั่นออก



มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ผู้ทรงไม่มีคู่ครอง และไม่มีบุตรธิดา

และไร้ซึ่งภาคีหุ้นส่วนในอำนาจปกครองของพระองค์

และไม่ต้องพึ่งพาผู้ใดเพื่อกู้สถานภาพ

และ(เพราะเหตุนี้ มวลมนุษย์)จึงควรเทิดไท้อย่างสมเกียรติ



มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ อันเป็นการสรรเสริญทุกวิธี แด่ทุกความโปรดปรานจากพระองค์

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์

ผู้ทรงไม่มีผู้ใดบังอาจทัดทานอำนาจของพระองค์ และไม่มีผู้ใดบังอาจโต้แย้งในกิจการของพระองค์

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ผู้ทรงไร้ภาคีในการสรรสร้างสรรพสิ่งต่างๆ

และไม่มีผู้ใดเปรียบปานในความยิ่งใหญ่ของพระองค์

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ องค์ผู้ซึ่งกิจและการสรรเสริญพระองค์เป็นที่ประจักษ์เหนือปวงบ่าว

และเกียรติภูมิของพระองค์เป็นที่ปรากฎเนื่องด้วยความเอื้ออารีย์

พระองค์คือผู้ทรงแผ่หัตถาแห่งเมตตาธรรมด้วยความเอื้ออาทร

ในลักษณะที่ไม่มีวันที่ขุมคลังอันไร้ขอบเขตของพระองค์จะพร่องลง



และการมอบรางวัล(แด่ปวงบ่าว)ก็มิได้เพิ่มพูนสิ่งใดแก่พระองค์นอกจากความจุนเจือเกื้อกูล (ต่อบ่าวของพระองค์)

แท้จริงพระองค์ทรงเกริกเกียรติและทรงเป็นผู้ประทานอย่างยิ่งยวด



โอ้ อัลลอฮ์ ข้าพระองค์ขอในสิ่งอันเล็กน้อยจากขุมคลังอันมหาศาล ซึ่งข้าฯมีความต้องการอย่างยิ่งยวด(ต่อสิ่งเล็กน้อยนั้น)

โดยที่พระองค์มิได้ทรงต้องการมันแต่กาลใดทั้งสิ้น

ในขณะที่ความโปรดปรานนี้เป็นสิ่งมีค่ามหาศาลสำหรับข้าฯ

แต่เป็นสิ่งง่ายดายและมิได้สลักสำคัญใดๆต่อพระองค์



โอ้ อัลลอฮ์ แท้จริงการอภัยโทษของพระองค์ที่มีต่อบาปกรรมของข้าฯ

และการไม่ถือโทษเอาความต่อความผิดพลาดและการละเมิดครั้งแล้วครั้งเล่าของข้าฯ

และการที่พระองค์ช่วยปกปิดพฤติกรรมต่ำทรามของข้าฯ

และการที่พระองค์อดทนต่ออาชญากรรมทางกิเลสของข้าฯ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทั้งที่พฤติกรรมเหล่านี้เป็นความผิดที่ข้าฯกระทำโดยตั้งใจ

(ความเมตตาเหล่านี้ของพระองค์) ได้ทำให้ข้าฯ ลืมตัวและบังอาจขอพระองค์ในสิ่งที่ข้าฯมิได้คู่ควรเลยแม้แต่น้อย

(แต่) พระองค์ก็ประทานให้ข้าฯด้วยความเมตตา และแสดงเดชานุภาพของพระองค์ให้ข้าฯประจักษ์

และแจ้งให้ข้าฯทราบถึง(ความเป็นไปได้ใน)การที่พระองค์จะตอบรับ(คำขอ)

(ด้วยเหตุนี้) ข้าฯจึงไม่หวั่นเกรงที่จะวิงวอนอ้อนขอจากพระองค์

และสามารถเอ่ยขอพระองค์ด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยโดยไม่หวาดระแวง

และไม่รู้สึกละอายใดๆ ที่ข้าฯสามารถออดอ้อนฉอเลาะพระองค์ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ



(และในการนี้) หากเกิดความล่าช้าในการตอบสนองความต้องการของข้าฯ ข้าฯกลับบังอาจตำหนิพระองค์ด้วยความเขลาของข้าฯเอง

ซึ่งการล่าช้าดังกล่าวอาจเป็นผลดีต่อตัวข้าฯเองก็เป็นได้

ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงทราบดีถึงต้นสายปลายเหตุของสิ่งต่างๆ



ข้าฯมิเคยเห็นเจ้านายผู้เอื้ออารีย์ผู้ใดจะอดทนต่อบ่าวผู้ต่ำทรามดังตัวข้าฯได้อย่างพระองค์เลย

โอ้ องค์อภิบาลของข้าฯ พระองค์เคยเชื้อเชิญข้าฯแต่ข้าบังอาจผินหลังให้พระองค์

และพระองค์เคยมอบความรักให้ข้าฯ แต่ข้าฯกลับแสดงท่าทีเป็นศัตรูต่อพระองค์

พระองค์เคยแสดงความเอ็นดูต่อข้าฯ แต่ข้าฯปฎิเสธความเอ็นดูของพระองค์

ราวกับว่าข้าฯมีบุญคุญต่อพระองค์เสียกระนั้น

แต่(พฤติกรรม) เหล่านี้ทั้งหมดของข้าฯ ก็ไม่สามารถทัดทานความเมตตาและความโปรดปรานของพระองค์ที่โปรยปรายสู่ข้าฯ ด้วยความเอื้ออาทรที่พระองค์มี



ดังนั้น ขอพระองค์ทรงเมตตาแก่บ่าวผู้โง่เขลาของพระองค์

และโปรดทรงเอื้อเฟื้อแก่เขาด้วยศักดิและสิทธิแห่งความเกื้อกูลของพระองค์

เพราะแท้จริงพระองค์คือผู้เอื้อเฟื้อเกื้อกูล



มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของพระองค์ ผู้เป็นจ้าวแห่งการปกครองทั้งผอง

ผู้อำนวยให้เรือล่องในทะเลไกล

ผู้คงไว้ซึ่งอำนาจการควบคุมสายลมที่พัดพา

ผู้บัญชาการผลิดอกของรุ่งอรุณ

ผู้เป็นธรรมนูญใน(วันแห่ง)การพิพากษา

ผู้อภิบาลสากลโลก



มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของพระองค์ในการที่พระองค์ทรงอดทน
แม้พระองค์จะทรงทราบดี(เกี่ยวกับพฤติกรรมของข้าฯ) ก็ตาม


มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่พระองค์ในการที่พระองค์ทรงอภัยโทษ
แม้พระองค์จะทรงมีเดชานุภาพ(ในการลงทัณฑ์ข้าฯ) ก็ตาม


และขอสรรเสริญแด่พระองค์ในความอดกลั้นอันยาวนานของพระองค์แม้ทรงพิโรธ
ทั้งที่พระองค์ทรงสามารถสำเร็จโทษได้ทุกเมื่อตามที่พระองค์ทรงประสงค์

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่พระองค์

ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวล ผู้แผ่กระจายปัจจัยยังชีพ(ริซกี)

ผู้ผ่าราตรีให้เกิดรุ่งอรุณ

ผู้คงไว้ซึ่งบารมีและความโอบอ้อมอารีย์และการโปรยปรายความโปรดปราน

ผู้ทรงห่างไกลแสนไกลในแง่ที่ไม่อาจมองเห็นพระองค์

แต่ใกล้เหลือคณาในแง่ที่พระองค์ทรงได้ยินแม้เสียงกระซิบกระซาบ

เกริกเกียรติแด่พระองค์

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่พระองค์

ผู้ทรงปราศจากซึ่งผู้ชิงอำนาจที่ทัดเทียมพระองค์

และไร้ซึ่งผู้เปรียบปานที่มีความคล้ายคลึงกับพระองค์

และไร้ผู้หนุนหลังที่สามารถผลักดันและให้การช่วยเหลือพระองค์

พระองค์ทรงมีชัยเหนือเหล่าผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายด้วยบารมีของพระองค์

และเหล่าผู้ทรงอำนาจต่างยอมสยบต่อความยิ่งใหญ่ของพระองค์

และพระองค์ทรงพิชิตทุกสถานะได้ด้วยพลานุภาพของพระองค์เอง



มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของพระองค์

ผู้ทรงตอบคำอ้อนวอนของข้าฯยามที่ข้าฯอ้อนวอนพระองค์

และทรงสงวนไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของข้าฯแม้ยามที่ข้าฯกำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝ่าฝืนพระองค์

และทรงเพิ่มพูนเนียะอ์มัต (ความโปรดปราน) แก่ข้าฯ ทว่าข้าฯกลับไม่สำนึกในบุญคุณของพระองค์



ของกำนัลอันเลอค่าที่พระองค์ประทานแก่ข้าฯ ช่างมากมายเสียนี่กระไร

และวิกฤติการณ์วิปโยคกี่ครั้งแล้วที่พระองค์ทรงปกปักษ์ข้าให้ปลอดภัย

และความรื่นรมย์อันหวานชื่นมากมายเท่าใดที่พระองค์ทรงบันดาลแก่ข้าฯ

ด้วยการนี้ ข้าฯขอสดุดีแด่พระองค์โดยดุษฏี

และขอรำลึกถึงพระองค์ด้วยการสรรเสริญว่า มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่พระองค์

ผู้ทรงมิถูกเพิกถอนบารมี และประตู(การติดต่อ) ของพระองค์มิถูกปิดลง

และผู้วอนขอพระองค์จะไม่มีวันถูกขับไล่

และผู้คาดหวังในพระองค์จะไม่มีวันสิ้นหวัง

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่พระองค์

ผู้ทรงประโลมความปลอดภัยแด่ผู้หวาดกลัว

และทรงกู้ภัยแก่ผู้บำเพ็ญความดี (ศอลิฮีน)

และทรงเชิดชูผู้ถูกกดขี่

และจะทรงลดสถานะของเหล่าผู้คลั่งอิทธิพล

และทรงทำลายเหล่าราชันย์ และจะทรงแทนที่ด้วยกลุ่มบุคคลอื่น

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์

ผู้ทรงบดขยี้ผู้ผงาดตน

ผู้ทรงทำลายล้างเหล่าอธรรม

ผู้ทรงจับกุมผู้หลบหนี

และทรงลงทัณฑ์เหล่าผู้กดขี่

ทรงเป็นผู้ตอบคำโอดครวญของผู้แสวงหาการช่วยเหลือ

และทรงเป็นศูนย์รวมคำร้องของเหล่าผู้แสวงหา

และทรงเป็นที่พึ่งพาอันอุ่นใจของผู้ศรัทธา



มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่พระองค์

พระองค์เป็นผู้ที่ฟากฟ้าและองคาพยัพของพสุธาลั่นเสียงอสุนิบาตด้วยความเกรงกลัวพระองค์

และผืนพิภพตลอดจนผู้พัฒนาแผ่นดินต่างสั่นสะท้าน

และท้องทะเลโหมเกลียวคลื่นพร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัย ณ ความลึกของมัน



มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่อัลลอฮ์

ผู้ทรงนำทางเราสู่ทางนำนี้ (ศาสนาอันถูกต้อง)

และหากพระองค์ไม่นำทางเราไซร้ เราย่อมไม่ได้รับการเอื้อเฟื้อทางนำอย่างแน่นอน



มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่อัลลอฮ์

ผู้ทรงสร้าง แต่มิทรงถูกสร้าง

และเป็นผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ แต่มิทรงรับปัจจัยใดๆ

ผู้ทรงเอื้อเฟื้ออาหาร แต่มิทรงรับมอบอาหารจากผู้ใด

ผู้ทรงบันดาลความตายแก่ผู้มีชีวิต และทรงชุบชีวิตผู้ตาย

และพระองค์ทรงดำรงชีพอยู่โดยปราศจากมรณภาพ

สิ่งดีงามทั้งมวลอยู่ใต้อาณัติของพระองค์

และพระองค์เท่านั้นที่ทรงมีพลานุภาพเหนือทุกสิ่ง



โอ้ อัลลอฮ์

ขอทรงประสาทพรแด่มุฮัมมัด ผู้เป็นบ่าวและศาสดาของพระองค์

ผู้เป็นได้รับความไว้วางพระทัยและความชื่นชมโดยพระองค์

ผู้เป็นที่รักและได้รับการเลือกสรรโดยพระองค์ในหมู่สิ่งถูกสร้างทั้งหมดของพระองค์

ผู้ปกปักษ์อารักขาความเร้นลับของพระองค์และเผยแผ่สาส์นของพระองค์

ขอทรงประสาทพรด้วยพรอันประเสริฐสุด และดีที่สุด และวิจิตรที่สุด และสมบูรณ์ที่สุด

และบริสุทธิที่สุด และงอกงามที่สุด และรื่นรมย์ที่สุด และสะอาดที่สุด

และยั่งยืนที่สุด และมากมายที่สุดที่พระองค์เคยประสาทพร

และเคยอำนวยความจำเริญ และเคยหลั่งเมตตา

และเคยมอบความอาทร และเคยยกย่องผู้ใดในปวงบ่าวของพระองค์

และในหมู่ศาสดาและศาสนทูตของพระองค์

และในหมู่ผู้ได้รับการเลือกสรร และมวลผู้เทิดเกียรติพระองค์ในจำนวนสิ่งถูกสร้างของพระองค์



โอ้ อัลลอฮ์ ขอทรงประสาทพรแด่อลี

ผู้บัญชาการศรัทธาชนทั้งผอ

ง และเป็นผู้รับคำสั่งเสียจากศาสนทูตแห่งพระผู้อภิบาล

อลีผู้เป็นบ่าวและเป็นกัลญาณมิตรของพระองค์

และเปรียบดังน้องของศาสดาของพระองค์

และเป็นข้อพิสูจน์ของพระองค์เหนือสิ่งถูกสร้างทั้งมวลของพระองค์

และเป็นสัญลักษณ์ที่ใหญ่ยิ่งของพระองค์ และเป็นข่าวคราวอันยิ่งใหญ่จากพระองค์



และขอทรงประสาทพรแด่สตรีผู้ยืนยันถึงสัจธรรม

สตรีผู้สะอาดบริสุทธิ ฟาฎิมะฮ์ ประมุขหญิงแห่งอิสตรีทั้งมวล



และขอทรงประสาทพรแด่ผู้สืบสานเมตตาธรรมทั้งสองท่าน

และผู้นำสู่ทางนำทั้งสองท่าน ฮะซัน และ ฮุเซน

ผู้เป็นประมุขยุวชนแห่งสรวงสวรรค์



และขอทรงประสาทพรแด่เหล่าผู้นำมวลมุสลิม

อลี บุตร ฮุเซน และมุฮัมมัด บุตร อลี และญะฟัร บุตร มุฮัมมัด

และมูซา บุตร ญะฟัร และอลี บุตร มูซา และมุฮัมมัด บุตร อลี

และอลี บุตร มุฮัมมัด และฮะซัน บุตร อลี

และผู้สืบสานที่ชี้นำทาง อัลมะฮ์ดี (บุคคลเหล่านี้)

ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ของพระองค์เหนือปวงบ่าวและเหล่าผู้ธำรงสัตย์ของพระองค์ในแว่นแคว้นต่างๆ

ขอให้การประสาทพรทั้งหมดนี้เป็นการประสาทพรที่มหาศาลและยั่งยืนนาน



โอ้ อัลลอฮ์ ขอทรงประสาทพรแด่ผู้ดำรงภารกิจที่พระองค์มอบหมาย

ผู้ที่จะยืนหยัดขึ้นเป็นความหวัง(ของมนุษยชาติ) และความยุติธรรมที่(มนุษยชาติ) เฝ้ารอคอย

ขอพระองค์ทรงห้อมล้อมเขาไว้ในในวงอารักขาของมวลมลาอิกะฮ์ผู้ใกล้ชิด(พระองค์)

และขอทรงอุปถัมป์เขาไว้ด้วยดวงวิญญาณศักดิสิทธิ (รูฮุลกุดุส) เถิด โอ้พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก

โอ้ อัลลอฮ์ ขอทรงลิขิตเขาให้เป็นผู้เชิญชวนสู่คัมภีร์ศักดิสิทธิของพระองค์

และให้ดำรงตำแหน่งผู้ลุกขึ้นต่อสู้ด้วยศาสนาของพระองค์

ขอทรงอำนวยให้เขาได้สืบทอด(อำนาจปกครอง)เหนือแผ่นดิน

ดังที่พระองค์เคยอำนวยให้บรรพชนก่อนหน้าเขาได้รับการสืบทอดแล้ว

ขอทรงอำนวยให้ศาสนาของเขา(อันเป็นศาสนาที่พระองค์พอใจ) ยืนหยัดรองรับเขา

และขอทรงสลับเปลี่ยนความเกรงภัยให้กลายเป็นความปลอดภัยแก่เขา

(เพื่อ) เขาจะได้สักการะภักดีต่อพระองค์(อย่างสมบูรณ์) และไม่เว้นใจไฝ่ภาคีอื่นใด

โอ้ อัลลอฮ์ ขอทรงเทิดเกียรติภูมิแด่เขา

และขอทรงให้การเชิดชู(ผู้อื่น) ด้วยเกียรติของเขา

และขอทรงให้การช่วยเหลือเขา และมอบชัยชนะด้วย(สองมือของ)เขา

ขอทรงช่วยเหลือเขาด้วยการช่วยเหลืออันเกริกเกียรติ

และขอทรงพิชิตแก่เขา ด้วยชัยชนะที่ง่ายดาย และขอทรงมอบตำแหน่งการปกครองแห่งผู้มีชัยชนะแก่เขา



โอ้ อัลลอฮ์ ขอทรงอำนวยให้เขาเป็นผู้เผยศาสนธรรมของพระองค์และวัตรปฎิบัติของศาสนทูตของพระองค์

เพื่อมิให้ถ้อยสัจธรรมใดถูกบดบังเพียงเพราะความหวาดระแวงมนุษย์คนใด



โอ้ อัลลอฮ์ แท้จริงเราทุกคนถวิลหาพระองค์(เพื่อทรงประทาน) รัฐบาลที่เอื้ออารีย์

เพื่อพระองค์จะทรงเชิดชูอิสลามและมวลมุสลิมโดยรัฐบาลดังกล่าว

และทรงให้ความต่ำต้อยบังเกิดแก่ความไม่ซื่อสัตย์ (นิฟาก) และเหล่าบุคคลหน้าไหว้หลังหลอกทั้งหลายโดยผ่าน(การบังคับใช้กฏหมายของ)รัฐบาลดังกล่าว



และขอทรงบันดาลให้เราทุกคนเป็นผู้เชิญชวนสู่การภักดีต่อพระองค์

และให้เราเป็นผู้นำสู่แนวทางของพระองค์

และขอทรงประทานเกียรติยศทั้งในโลกนี้และโลกหน้าแก่เราโดยรัฐบาลดังกล่าว



โอ้ อัลลอฮ์ ขอทรงประทานศักยภาพแก่เราในอันที่จะสามารถปฎิบัติตามสัจธรรมที่พระองค์ทรงสอนแก่เรา

และขอทรงนำเราสู่การแก้ไขข้อบกพร่องที่เราเคยปล่อยปละละเลย



โอ้ อัลลอฮ ขอทรงรวบรวมเราให้เป็นปึกแผ่นด้วยศักยภาพของเขา (อิมามมะฮ์ดี)

และขอทรงประสานความแตกแยกในหมู่เราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงเชื่อมต่อความกระจัดกระจายของเราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงเพิ่มพูนจำนวนอันน้อยนิดของเราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงเชิดชูพวกเราให้พ้นจากความต่ำต้อยด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงใช้ความมั่งมีบำบัดความยากไร้ของเราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงให้เราสามารถชดใช้หนี้สินด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงปิดกั้นความยากจนของเราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงเชื่อมรอยร้าวระหว่างเราด้วยศักยภาพของเขา



และขอทรงอำนวยความสะดวกในสิ่งที่ยากยิ่งแก่เราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงบันดาลดวงหน้าเราให้นวลผ่องด้วยศักยภาพของเขา (ประทานศักดิ์ศรี)

และขอทรงปลดปล่อยผู้ถูกจองจำของพวกเราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงพิจารณาคำร้องต่างๆของเราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของพระองค์ด้วยศักยภาพของเขา

และด้วยศักยภาพของเขา ขอทรงตอบรับดุอาของเรา

และขอทรงนำพาสู่ความไฝ่ฝันของเราในโลกนี้และโลกหน้าด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงโปรดประทาน(ความดีงาม)แก่เราให้มากกว่าคำร้องขอของเราด้วยศักยภาพของเขา

โอ้ ผู้ทรงประเสริฐยิ่งเหนือผู้ตอบรับคำวิงวอนอื่นใด

และทรงมีพลานุภาพกว้างขวางยิ่งกว่าผู้มีจิตเอื้อเฟื้อใดๆ

ขอทรงเยียวยาดวงใจของเราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงแก้ปมหัวใจของเราด้วยศักยภาพของเขา

และขอทรงนำทางเราสู่สัจธรรมที่เป็นที่ขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆด้วยศักยภาพของเขาโดยผ่านความเห็นชอบจากพระองค์



แท้จริงพระองค์ทรงนำทางผู้ที่พระองค์ประสงค์สู่แนวทางอันเที่ยงตรง

และขอทรงช่วยเหลือเราให้สามารถมีชัยเหนือเหล่าศัตรูของพระองค์(อันเป็น) ศัตรูของเราด้วยศักยภาพของเขา

โอ้ จ้าวแห่งสัจธรรม ขอทรงตอบรับเทอญ



โอ้ อัลลอฮ์

แท้จริงเราขอโอดครวญต่อพระองค์เนื่องจากสภาพการณ์อันไร้ซึ่งศาสดา

และประมุขของเราก็จำต้องเร้นกาย

และเหล่าศัตรูของเราก็มีกำลังพลมหาศาล

ทว่าฝ่ายของเรากลับมีจำนวนอันน้อยนิด

และโอดครวญต่อพระองค์เนื่องด้วยการทดสอบและวิกฤติการณ์อันหนักหน่วงที่เราประสบ

ทว่ากาลเวลากลับเมินเฉยต่อเรา



ฉะนั้น จึงขอพระองค์ทรงประสาทพรแด่มุฮัมมัด และวงศ์วานของมุฮัมมัด

และขอทรงช่วยเหลือเราให้พ้นจากภัยพิบัติดังกล่าวด้วยชัยชนะที่พระองค์จะทรงประทานให้ในเร็ววัน

และด้วยการขจัดความทุกข์เข็ญต่างๆโดยพระองค์

และด้วยอำนาจปกครองแห่งสัจธรรมที่พระองค์จะทรงสำแดงให้เป็นที่ประจักษ์

และด้วยความเมตตาจากพระองค์ซึ่งจะทำให้เราได้รับการยกย่อง

และด้วยการชโลมไล้สุขภาพของเราด้วยพลานามัยอันสมบูรณ์ที่พระองค์ประทานให้


ด้วยพระเมตตาของพระองค์

โอ้ ผู้ทรงเมตตาเหนือกว่าผู้เมตตาอื่นใด


...........................................
http://www.alhassanain.com/

การเป็นพระเจ้าองค์เดียวของอัลลอฮฺ




คำถาม
เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านจะบอกแก่บรรดาพวกมุชริกีน(ผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ) ถึงหลักฐานการเป็นพระเจ้าองค์เดียวของอัลลอฮฺ ?

คำตอบ
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...
แท้จริงทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ที่ถูกสร้างขึ้นมาและถูกบริหารจัดการล้วนเป็นหลักฐานที่ชี้ถึงการเป็นพระเจ้าองค์เดียวของอัลลอฮฺ...
﴿أَلاَ لَهُ الْخَلْقُ وَالأَمْرُ تَبَارَكَ اللّهُ رَبُّ الْعَالَمِينَ﴾ (الأعراف : 54 )
ความว่า “พึงรู้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์ยิ่งองค์อัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก” (อัลอะอฺรอฟ 54)

พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าและผืนแผ่นดิน ปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกลางวันและกลางคืน...สร้างวัตถุ พืชพันธุ์ธัญญาหาร และผลไม้หลากหลายชนิด สร้างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์และสัตว์ ทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างล้วนเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงพระผู้สร้างผู้ทรงยิ่งใหญ่แต่เพียงองค์เดียวโดยปราศจากภาคีหุ้นส่วนใดๆ
﴿ذَلِكُمُ اللهُ رَبُّكُمْ خَالِقُ كُلِّ شَيْءٍ لَّا إِلٰـهَ إِلَّا هُوَ فَأَنّٰى تُؤْفَكُونَ﴾ (غافر : 62 )
ความว่า “นั่นคืออัลลอฮฺ พระเจ้าของพวกเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ดังนั้นทำไมพวกเจ้าจึงถูกหันเหออกจากพระองค์เล่า” (ฆอฟิร 62)

สรรพสิ่งที่ถูกสร้างที่หลากหลายนานาชนิดนี้ ตลอดจนความยิ่งใหญ่อลังการของงานสร้าง ความปราณีตและความละเอียดสวยงาม การปกปักษ์รักษาและการบริหารจัดการที่ดีเลิศทั้งหมดล้วนแล้วเป็นหลักฐานที่ชี้ถึงว่าผู้สร้างมีเพียงผู้เดียว พระองค์จะทำตามความประสงค์ จะพิพากษาตามที่พระองค์มีความประสงค์
﴿اللهُ خَالِقُ كُلِّ شَيْءٍ وَهُوَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ وَكِيلٌ﴾ (الزمر : 62 )
ความว่า “อัลลอฮฺ คือผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง และพระองค์เป็นผู้ทรงดูแลและคุ้มครองทุกสิ่ง” (อัซซุมัร 62)

ทั้งหมดที่ได้กล่าวผ่านมาระบุว่าสิ่งถูกสร้างนั้นย่อมต้องมีผู้สร้าง กรรมสิทธิ์ต่างๆ ย่อมมีผู้ถือกรรมสิทธิ์ และเบื้องหลังของรูปภาพย่อมต้องมีผู้สร้างภาพนั้น
﴿هُوَ اللهُ الْخَالِقُ الْبَارِئُ الْمُصَوِّرُ لَهُ الْأَسْمَاء﴾ (الحشر : 24 )
ความว่า “พระองค์คืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงให้บังเกิด ผู้ทรงทำให้เป็นรูปร่างสำหรับพระองค์คือพระนามทั้งหลายอันสวยงามไพเราะ” (อัลหัชรฺ 24)

คุณประโยชน์จากชั้นฟ้าและผืนแผ่นดิน ความเป็นระเบียบของระบบสุริยะจักรวาล การสอดประสานระหว่างสิ่งที่ถูกสร้างด้วยกัน เป็นสิ่งที่ชี้ถึงผู้สร้างมีเพียงองค์เดียวโดยไม่มีภาคีหุ้นส่วนใดๆ
﴿لَوْ كَانَ فِيهِمَا آلِهَةٌ إِلَّا اللهُ لَفَسَدَتَا فَسُبْحَانَ اللهِ رَبِّ الْعَرْشِ عَمَّا يَصِفُونَ﴾ (الأنبياء : 22 )
ความว่า “หากในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าอื่นๆ หลายองค์นอกจากอัลลอฮฺแล้ว ทั้งสองก็ย่อมจะต้องเสียหายอย่างแน่นอน(อันเนื่องด้วยความไม่ลงรอยกันของพระเจ้าหลายองค์) อัลลอฮฺพระเจ้าแห่งบัลลังก์นั้นทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง” (อัลอัมบิยาอฺ 22)

บรรดาสิ่งที่ถูกสร้างที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ การที่มันเกิดขึ้นมาโดยตัวของมันเองเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือมนุษย์เกิดขึ้นมาด้วยกับตัวของเขาเองต่อจากนั้นเขาไปสร้างสิ่งอื่น ลักษณะเช่นนี้มันก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน
﴿أَمْ خُلِقُوا مِنْ غَيْرِ شَيْءٍ أَمْ هُمُ الْخَالِقُونَ ، أَمْ خَلَقُوا السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ بَل لَّا يُوقِنُونَ﴾ (الطور : 35 - 36 )
ความว่า “หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดมาโดยไม่มีผู้ให้บังเกิด หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตนเอง หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินนี้ เปล่าเลย เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นต่างหาก” (อัฏฏูร 35-36)

แน่นอนสติปัญญา วะฮฺยู (วิวรณ์) และธรรมชาติ ย่อมชี้ว่าการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องมีผู้ให้บังเกิด สิ่งถูกสร้างต่างๆ ทั้งหลายต้องมีผู้สร้าง พระองค์คือผู้ทรงมีชีวิตตลอดกาล ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลาย ผู้ทรงรู้เห็นและรอบรู้อย่างละเอียด ผู้ทรงอำนาจและทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงเมตตาปรานี พระองค์มีพระนามอันสวยงามวิจิตรและคุณลักษณะอันสูงส่ง ทรงรอบรู้เหนือทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดมาทำให้พระองค์อ่อนแอและไม่มีสิ่งใดที่เสมอเหมือน หรือไม่มีสิ่งใดที่อาจเทียบเคียงต่อพระองค์
﴿وَإِلٰـهُكُمْ إِلٰـهٌ وَاحِدٌ لاَّ إِلٰـهَ إِلاَّ هُوَ الرَّحْمَنُ الرَّحِيمُ﴾ (البقرة : 163 )
ความว่า “และพระผู้เป็นเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะของพวกเจ้านั้น มีเพียงองค์เดียว ไม่มีผู้ควรแก่การเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอเท่านั้น” (อัลบะเกาะเราะฮฺ 163)

การมีอยู่ของพระองค์อัลลอฮฺเป็นที่รู้ได้ด้วยสันดานดั้งเดิมและปัญญาในตัวมนุษย์
(قَالَتْ رُسُلُهُمْ أَفِي اللهِ شَكٌّ فَاطِرِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ) (إبراهيم : 10 )
ความว่า “บรรดาศาสนทูตของพวกเขาได้กล่าวว่า มีการสงสัยในอัลลอฮฺ พระองค์ผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินกระนั้นหรือ?” (อิบรอฮีม 10)

อัลลอฮฺได้สร้างให้มนุษย์มีสำนึกดั้งเดิมโดยชาติกำเนิดในการยอมรับการมีผู้สร้าง ผู้ให้มีชีวิต ผู้ให้เสียชีวิต ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ (เรียกว่า รุบูบียะฮฺ ของพระเจ้า) และการยอมรับในด้านความเป็นเอกะ หรือการเป็นพระเจ้าองค์เดียวของพระองค์ แต่ทว่าบรรดาชัยฏอนมารร้ายได้มายังมนุษย์ แล้วพยายามชักจูงพวกเขาให้หันเหออกจากศาสนา มีปรากฏในหะดีษอัลกุดสียฺว่า
«إني خلقت عبادي حنفاء كلهم وإنهم أتتهم الشياطين فاجتالتهم عن دينهم وحرمت عليهم ما أحللت لهم» رواه مسلم برقم 2865
ความหมาย “แท้จริงข้าได้สร้างปวงบ่าวของข้าให้พวกเขาทั้งหมดอยู่บนแนวทางที่บริสุทธิ์เที่ยงตรง และแท้จริงบรรดาชัยฏอนได้มาหาแล้วชักจูงพวกเขาให้ออกจากศาสนา และได้ห้ามพวกเขาในสิ่งที่ฉันได้อนุมัติต่อพวกเขา” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 2865)

บางกลุ่มของมนุษย์ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของอัลลอฮฺ บางกลุ่มเคารพภักดีต่อชัยฏอน บางกลุ่มเคารพสักการะต่อมนุษย์ บางกลุ่มบูชาเงินตรา ไฟ เซ็กส์ หรือสัตว์ บางกลุ่มตั้งภาคีต่อพระองค์โดยบูชาหินที่ถูกทำมาจากดิน หรือบูชาดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า
สิ่งที่ถูกกราบไว้อื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺต่างๆ เหล่านี้ ไม่สามารถสร้าง ไม่สามารถประทานปัจจัยยังชีพได้ ไม่สามารถรับฟัง หรือมองเห็น ไม่สามารถให้ประโยชน์หรือให้โทษ แล้วพวกเขาไปเคารพภักดีนอกเหนือจากอัลลอฮฺได้อย่างไร ?

﴿أَأَرْبَابٌ مُّتَفَرِّقُونَ خَيْرٌ أَمِ اللهُ الْوَاحِدُ الْقَهَّارُ﴾ (يوسف : 39 )
ความว่า “พระเจ้า(ที่มนุษย์ทึกทักขึ้นเอง)หลายองค์นั้นดีกว่า หรือว่าอัลลอฮฺเอกองค์ผู้ทรงอนุภาพยิ่ง” (ยูซุฟ 39)

อัลลอฮฺได้ประณามผู้ที่เคารพภักดีต่อเจว็ดรูปปั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับฟังหรือมองเห็นและไม่มีสติปัญญาแต่ประการใด โดยที่อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿إِنَّ الَّذِينَ تَدْعُونَ مِن دُونِ اللهِ عِبَادٌ أَمْثَالُكُمْ فَادْعُوهُمْ فَلْيَسْتَجِيبُواْ لَكُمْ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ ، أَلَهُمْ أَرْجُلٌ يَمْشُونَ بِهَا أَمْ لَهُمْ أَيْدٍ يَبْطِشُونَ بِهَا أَمْ لَهُمْ أَعْيُنٌ يُبْصِرُونَ بِهَا أَمْ لَهُمْ آذَانٌ يَسْمَعُونَ بِهَا قُلِ ادْعُواْ شُرَكَاءكُمْ ثُمَّ كِيدُونِ فَلاَ تُنظِرُونِ﴾ (الأعراف : 194 - 195 )
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺนั้น คือ ผู้ที่เป็นบ่าวเยี่ยงพวกเจ้านั่นเอง จงวิงวอนขอต่อพวกเขาเถิดแล้วจงให้พวกเขาตอบรับพวกเจ้าด้วยหากพวกเจ้าเป็นผู้สัจจริง พวกมันมีเท้าที่ใช้มันเดินกระนั้นหรือ ? หรือว่าพวกมันมีมือที่ใช้จัดการ หรือว่าพวกมันมีตาที่ใช้มองหรือว่าพวกมันมีหูที่ใช้ฟังได้” (อัลอะอฺรอฟ 194-195)

และอัลลอฮฺตรัสว่า
﴿قُلْ أَتَعْبُدُونَ مِن دُونِ اللهِ مَا لاَ يَمْلِكُ لَكُمْ ضَرّاً وَلاَ نَفْعاً وَاللهُ هُوَ السَّمِيعُ الْعَلِيمُ﴾ (المائدة : 76 )
ความว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจะเคารพสักการะสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ สิ่งซึ่งไม่มีอำนาจครอบครองอันตรายใด ๆ และประโยชน์อันใดไว้สำหรับพวกท่านกระนั้นหรือ? และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้” (อัลมาอิดะฮฺ 76)

พึงรู้เถิดว่า มนุษย์ช่างเป็นผู้ที่โง่เขลายิ่งต่อพระผู้อภิบาลของเขา ผู้ทรงเป็นผู้สร้างและประทานปัจจัยยังชีพให้แก่เขา ไฉนเขาปฏิเสธและหลงลืมแล้วไปเคารพภักดีต่อสิ่งอื่นได้
﴿فَإِنَّهَا لَا تَعْمَى الْأَبْصَارُ وَلَكِن تَعْمَى الْقُلُوبُ الَّتِي فِي الصُّدُورِ﴾ (الحج : 46 )
ความว่า “เพราะแท้จริงการมองของนัยตานั้นมิได้บอดดอก แต่ว่าหัวใจที่อยู่ในทรวงอกต่างหากที่บอด” (อัลฮัจญฺ 46)

ดังนั้น มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งโดยปราศจากการตั้งภาคีหุ้นส่วนใดๆ และการสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล

﴿قُلِ الْحَمْدُ لِلهِ وَسَلَامٌ عَلَى عِبَادِهِ الَّذِينَ اصْطَفَى آللهُ خَيْرٌ أَمَّا يُشْرِكُونَ (59) أَمَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ وَأَنزَلَ لَكُم مِّنَ السَّمَاءِ مَاء فَأَنبَتْنَا بِهِ حَدَائِقَ ذَاتَ بَهْجَةٍ مَّا كَانَ لَكُمْ أَن تُنبِتُوا شَجَرَهَا أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ بَلْ هُمْ قَوْمٌ يَعْدِلُونَ (60) أَمَّن جَعَلَ الْأَرْضَ قَرَاراً وَجَعَلَ خِلَالَهَا أَنْهَاراً وَجَعَلَ لَهَا رَوَاسِيَ وَجَعَلَ بَيْنَ الْبَحْرَيْنِ حَاجِزاً أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ بَلْ أَكْثَرُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ (61) أَمَّن يُجِيبُ الْمُضْطَرَّ إِذَا دَعَاهُ وَيَكْشِفُ السُّوءَ وَيَجْعَلُكُمْ خُلَفَاء الْأَرْضِ أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ قَلِيلاً مَّا تَذَكَّرُونَ (62) أَمَّن يَهْدِيكُمْ فِي ظُلُمَاتِ الْبَرِّ وَالْبَحْرِ وَمَن يُرْسِلُ الرِّيَاحَ بُشْراً بَيْنَ يَدَيْ رَحْمَتِهِ أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ تَعَالَى اللهُ عَمَّا يُشْرِكُونَ (63) أَمَّن يَبْدَأُ الْخَلْقَ ثُمَّ يُعِيدُهُ وَمَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ قُلْ هَاتُوا بُرْهَانَكُمْ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ (64) ﴾ (النمل : 59 – 64)

ความว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ และความศานติจงมีแด่ปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงคัดเลือกแล้ว อัลลอฮฺดีกว่าหรือสิ่งที่พวกเขาตั้งเป็นภาคี (เจว็ด) หรือผู้ใดเล่าที่สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงหลั่งน้ำจากฟากฟ้าแก่พวกเจ้าแล้วเราได้ให้สวนต่าง ๆ งอกเงยอย่างสวยงาม พวกเจ้าก็ไม่สามารถที่จะทำให้ต้นไม้งอกเงยขึ้นมาได้ จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ? เปล่าดอก! พวกเขาเป็นกลุ่มชนผู้ตั้งภาคี หรือผู้ใดเล่าที่ทำให้แผ่นดินเป็นที่พำนักและทรงให้มีลำน้ำหลายสายไหลระหว่างมัน และทรงทำให้ภูเขายึดตรึงมันไว้ และทรงทำให้มีที่กั้นระหว่างน่านน้ำทั้งสอง จะมีพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ? เปล่าดอก ! ส่วนมากของพวกเขาไม่รู้ หรือผู้ใดเล่าจะตอบรับผู้ร้องทุกข์ เมื่อเขาวิงวอนขอต่อพระองค์ และทรงปลดเปลื้องความชั่วร้ายนั้น และทรงทำให้พวกเจ้าเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ? ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ หรือผู้ใดเล่าจะชี้แนะทางแก่พวกเจ้าในความมืดทึบของแผ่นดินและน่านน้ำ และผู้ใดทรงส่งลมแจ้งข่าวดีก่อนที่ความเมตตาของพระองค์จะมาถึง(หมายถึงลมพัดก่อนฝนตก) จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ? อัลลอฮฺทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี หรือผู้ใดเล่าจะเริ่มในการสร้าง แล้วทรงให้มันเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และผู้ใดทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า จากฟากฟ้าและแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ? จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) จงนำหลักฐานของพวกท่านมา หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง” (อัลนัมลฺ 59-64)

.......................................................................................................................................
จากหนังสือ “อุศูลุดดีน อัลอิสลามียฺ” เขียนโดย เชคมุฮัมมัด บิน อิบรอฮีม อัตตุวัยญิรียฺ
ที่มา : www.islamqa.com ฟัตวาหมายเลข 13532

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

มีสองหู แต่ฟังหูเดียว


อัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์ให้มีสองหู
แต่มนุษย์ก็ยังมักที่จะฟังเพียงหูเดียว

ลองฟังทั้งสองหู

แล้วเอาสมองที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองหูมาไตร่ตรอง

อัลลอฮฺ สุบหาะฮุวะตะอาลา ได้ตรัสว่า:

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا إِنْ جَاءَكُمْ فَاسِقٌ بِنَبَإٍ فَـــــــتَـــــبَـــــيَّـــــنُـــوا

ความว่า: โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากคนชั่วนำข่าวสารใด ๆ มาแจ้งแก่พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็จงตรวจสอบให้แน่ชัด [อัล-หุญุร็อต : 6]

..............................
ประชาชาติ อิสลาม



ทำไมไม่นึกถึงความตาย



ความรัก ระะหว่าง ..คนสองคน.. อัลลอฮเป็นคนลิขิต
แต่ผู้คนจำนวนกลับพูดถึงกันมากเป็นอันดับแรก ๆ ..

แต่ที่จริงแล้ว .ความตาย ก้เป็นการลิขิตจากอัลลอฮเช่นกัน
ทำไม ผู้คนจึงไม่ค่อยนึกถึงความตายกันเลย.. ?

.. ? ที่จริงแล้วเราควรรำลึกถึงความตายให้มาก ๆ เพราะ
คนเราไม่สามารถรับรุ้ได้เลยว่าจะเสียชีวิต ณ เวลาใด
หรือเสียชีวิตในสภาพใด..
ฉนั้น พึงระลึกด้วยการรำลึกถึงความตายเถิด..
พร้อมกับรีบทำอามาลอิบาดะฮอยุ่เสมอ..
เพื่อที่เราจะได้เข้า สวรค อัลลอฮ ตาอาลา..

..........................
#Husnajmii_yuula
20:35/22051435/ .
[♥] คิดและใคร่ครวญตัวเราและเธอ
พี่น้อง อิสลาม. .
Bintang Di Langit

การเข้าร่วมขบวนศพ


การร่วมขบวนศพ เป็นสิทธิและหน้าที่ฟัรฎูกิฟายะฮฺสำหรับประชาคมมุสลิมทั้งหมด เป็นแบบอย่างที่ท่านบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) บรรดาสาวกของท่าน และประชาชาติหลังจากนั้นได้ปฏิบัติกัน
 และจำเป็นสำหรับผู้ที่ไม่อยู่ในขบวนศพต้องยื่นนิ่งเมื่อศพผ่านมา ไม่ว่าศพนั้นจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม


รายงานจากอบูฮุร้อยเราะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า ท่านบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"สิทธิมุสลิมเหนือมุสลิมคนอื่น (เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้) ก็คือพวกเขาต้อง1)ตอบรับการเชิญชวน2)ตอบรับการจามของเขา และ3)ร่วมขบวนศพของเขา" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 2.332)

รายงานจากท่านอะมีรฺ บินเราะบีอ๊ะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า ท่านบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ถ้าท่านเห็นขบวนศพ (และท่านไม่ได้เข้าร่วมขบวนศพ) ดังนั้น ท่านต้องยืนขึ้นและรอคอยจนกระทั่งขบวนศพผ่านทางไป..." (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 2.395)

รายงานจากญาบิรฺ บินอับดุลลอฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า
"มีขวนสพหนึ่งผ่านหน้าเราในขณะที่เราอยู่กับท่านบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และท่านได้ยืนขึ้น ดังนั้นเราจึงบอกท่านว่า"ท่านรสูลุลลอฮฺ นี้เป็นขบวนศพของยิวท่านกล่าวว่า : เมื่อใดก็ตามที่ท่านเห็นขบวนศพ ท่านต้องยืนขึ้น" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 2.398)

สำหรับผู้แบกศพในขบวนเขาผู้นั้นต้องมีน้ำละหมาดด้วย

รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอัลฮุ) เล่าว่า ท่านบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ใครที่อาบน้ำให้ศพต้องอาบน้ำตัวเองก่อน และคนที่แบกศพต้องมีน้ำละหมาด" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 20.3155)

และการเดินขบวนศพในที่นี้ คือการเดินที่เร็ว ไม่ใช่ขับขี่ยานพาหนะ เว้นแต่มีความจำเป็น ซึ่งท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) หากท่านอยู่ในขบวนศพ ท่านจะไม่ขี่พาหนะ และท่านกล่าวว่าขณะเดินขบวนศพ จะมีมลาอิกะฮ์เดินร่วมขบวนศพด้วย

รายงานจากท่านเษาบาน (ร่อฎียัลลอฮุอัลฮุ) เล่าว่า
"มีคนนำสัตว์ตัวหนึ่งมาให้ท่านรสูลุลลอฮฺ  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในขณะที่ท่านอยู่ในขบวนศพ ท่านปฏิเสธที่จะขี่มัน หลังจากขบวนศพผ่านไป มีคนนำสัตว์พาหนะมาให้ท่านอีก แต่ตอนนี้ท่านได้ขี่มัน เมื่อถุูกถามในเวลาต่อมา ท่านนบีได้อธิบายว่า :ในขณะที่มลาอิกะฮฺเดินอยู่ ฉันจะไม่ขี่มัน และเมื่อพวกเขาไปกันแล้ว ฉันจึงได้ขี่มัน" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 20.3171)


อุยัยนะฮฺ บินอับดุรฺเราะฮฺมาน รายจากพ่อของเขาว่า
"เขาได้เข้าร่วมงานศพของอุสมาน บินอบุลอาศ เขากล่าว่า : เราเดินอย่างช้าๆ หลังจากนั้น  อบูบักรฺได้เข้ามาร่วมกับเรา และกล่าวว่า : พวกท่านเห็นเราแล้ว เมื่อเราอยู่กับท่านรสูลุลลอฮฺ เราเดินเร็ว" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาซูด เลขที่ 20.3176)

ชัยคฺมุหัมมัด นาสิรุดดีน อัลอัลบานีย์ เห็นว่า "การแบกศพบนรถกระบะ หรือรถที่ถูกไว้เฉพาะศพ และการแห่ของพวกที่แห่ทั้งหลายแก่ศพขณะที่พวกเขาอยู่ในรถนั้น ภาพนี้มิได้ถูกบัญญัติไว้แต่ประการใด
และมันอยู่ในขบวนธรรมเนียมต่างๆของพวกกาเฟร มันเป็นการอุตริขึ้นใหม่ ทำให้คนแห่ศพมีจำนวนน้อยลง ไม่เป็นที่สอดคล่องกับสิ่งที่รู้จักจากบทบัญญัติที่ผุดผ่อง ที่ง่ายดาย มันจะทำให้เป้าหมายจากแบกศพ และการแห่ขบวนศพหมดไป ซึ่งมันทำให้ระลึกถึงโลกหน้า"


والله أعلم بالصواب



มุสลิมะฮ์ ควรภาคภูมิใจ



โดย... อ.มุคตาร ชนะมิตร

ในยุคญาฮิลียะฮ์นั้นนับว่าเป็นยุคมืด ผู้คนเชื่อกันว่าสตรีเป็นที่มาของความชั่วร้ายเป็นที่มาของความสกปรกโสมม

ใครก็ตามที่คลอดลูกเป็นผู้หญิง จะมีความรู้สึกว่าลูกหญิงจะมาสร้างความเสื่อมเสียให้กับครอบครัว

ในสมัยนั้นผู้หญิงจึงเป็นเหมือนสินค้า ที่ถูกแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราที่ใช้เปลี่ยนมือกันไป ดังนั้นจึงมีหลายครอบครัว เมื่อคลอดได้ลูกผู้หญิงจะนำลูกไปฝังดินทั้งเป็นถ้าโตขึ้นมาจะถูกกีดกันสิทธิที่จะได้รับมรดก และเมื่อเธอมีประจำเดือน เธอจะถูกขับไล่ออกนอกบ้าน โดยไม่ให้เข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับผู้คนในครอบครัว

เมื่อเธอได้ถูกแต่งงานไปแล้วจะถูกหย่าร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีกำหนดจำนวน เมื่อสามีไม่พอใจ จะหย่าร้างทันที เมื่อมีความต้องการเมื่อใดจะมาคืนดีใหม่ทำอย่างนี้เหมือนถูกกักขังไว้บำเรอความสุข

ผู้หญิงจะได้รับความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องสิทธิใดๆ

สภาพการรังเกียจลูกผู้หญิงได้แพร่ไปในหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน อินเดียกรีกและอื่นๆ มีบางประเทศบรรดาสตรีจำนวนไม่น้อยต้องถูกสังเวยชีวิตด้วยความเชื่อถือของคนโบราณ เช่น ถูกโยนลงในแม่น้ำเพื่อเป็นเครื่องเซ่นบวงสรวงกับแม่น้ำคงคาหรือแม่น้ำไนล์

เมื่ออิสลามได้อุบัติขึ้นท่านนะบีมุฮัมมัด ได้นำคำสอนจากพระผู้เป็นเจ้ามาเผยแผ่ทำให้ผู้คนหลุดพ้นจากความมืดไปสู่แสงสว่าง หลุดพ้นจากความโง่เขลา หลุดพ้นจากความอยุติธรรมที่สังคม

ได้สร้างขึ้นอิสลามนำไปสู่ความยุติธรรม อิสลามห้ามการกดขี่ข่มเหงทุกชนิด โดยเฉพาะการข่มเหงกีดกันสิทธิเสรีภาพของสตรี และอิสลามห้ามฝังลูกทั้งเป็น

ท่านนะบี สอนว่า“แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงห้ามท่านทั้งหลาย ซึ่งการทรยศต่อบิดามารดาห้ามการตระหนี่และงกเอาทรัพย์ผู้อื่นห้ามการฝังลูกหญิงทั้งเป็นอัลลอฮฺไม่ชอบในการที่พวกเจ้ากล่าวว่า คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนั้นว่าอย่างนี้และการซักถามมากๆ (หมายถึงมีปัญหามาก) และเกลียดการผลาญทรัพย์”

- อิสลามได้ส่งเสริมให้ผู้เป็นพ่อ เมื่อคลอดลูกออกมา ให้เชือดแกะ แพะ เมื่อครอบครัวนั้นได้ลูกหญิงเพื่อแสดงออกซึ่งความดีใจและเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ที่ให้ลูกผู้หญิง

-อิสลามได้กำหนดอัตราส่วนสำหรับ
สตรีทุกคน ในเรื่องสิทธิมรดก ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะแม่ พี่สาว น้องสาว บุตรสาวและผู้เป็นภรรยาสิ่งเหล่านี้ในยุคญาฮิลียะฮฺสตรีจะไม่มีสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งมรดกแต่อย่างใด

- อิสลามมีคำสอนให้ลูกทำดีต่อพ่อแม่ และนับว่า "แม่" เป็นคนแรกของลูกที่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแล

รายงานโดย อบูฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งมาหาท่านร่อซูล แล้วถามว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺใครที่สมควรยิ่งที่ข้าพเจ้าจะเอาเป็นเพื่อนที่ดี” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” แล้วชายผู้นั้นก็ถามอีกว่า“มีใครอีกครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” ชายผู้นั้นก็ถามอีกว่า“มีใครอีกไหมครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน” ชายผู้นั้นถามอีกว่า “มีใครอีกไหมครับ?” ท่านรอซูลตอบว่า “พ่อของท่าน”(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
จากหะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่า แม่นั้นเป็นบุคคลแรกในโลกที่ลูกจะต้องทำดีกว่าใครๆ ดังนั้นการที่ผู้ชายทำร้ายผู้หญิงนั้นขอให้เขาคิดว่าผู้ที่คลอดเขาออกมา ทำให้เจริญวัยเติบโต ลืมตากล้าแข็ง ก็คือแม่ที่เป็นเพศหญิงนั่นเอง

อิสลามสอนให้สามีทำดีต่อภรรยา ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันด้วยความดีอัลลอฮฺ ตรัสว่า“ท่านทั้งหลายจงอยู่ร่วมกับนางด้วยความดี”

หากสตรีที่อยู่ในฐานะเป็นลูกเธอก็มีสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เพราะลูกจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่เข้าสวรรค์ได้

ท่านร่อซูล กล่าวว่า“ผู้ใดที่มีลูกสาวสามคนหรือพี่สาวน้องสาวสามคนหรือมีลูกสาวสองคน หรือพี่สาวน้องสาวสองคน แล้วเขาทำดีต่อเธอและทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ตามสิทธิของเธอทีได้รับ ทำได้อย่างนี้เขาจะได้เข้าสวรรค์”
(บันทึกโดยติรมีซีย์)

ส่วนในบันทึกของอบูดาวูด ใช้สำนวนว่า“เขาได้อบรมลูกสาว ทำดีต่อลูกสาวและจัดการแต่งงานให้แก่ลูก เขาจะได้เข้าสวรรค์”

นอกจากนั้น อิสลามได้ให้เกียรติสตรี โดยที่ฝ่ายชายเมื่อจะแต่งงานกับเธอ ฝ่ายชายต้องเตรียมที่อยู่อาศัยให้เธอ และการแต่งงานจะต้องได้รับการยินยอมจากเธอ เธอมีสิทธิในมะฮัร(สินสอด) จะมากน้อยเป็นไปตามฐานะของแต่ละบุคคล มีการหมั้นหมาย มีการสู่ขอ มีสัญญามีคำเสนอคำสนองตอบด้วยวาจา ว่ายินดีรับเธอในฐานะภรรยา กระทำด้วยความจริงใจมิใช่เป็นการชั่วคราวต้องมีพยานรับรู้ อันนี้เป็นเงื่อนไขของการแต่งงานตามแบบศาสนาอิสลาม และสมควรจัดงานเฉลิมฉลองการแต่งงานซึ่งเรียกว่างาน “วะลีมะฮฺ”

ท่านนบี กล่าวว่า“ท่านทั้งหลายจงจัดงานเฉลิมฉลองการแต่งงาน ถึงแม้ว่าจะใช้แกะสักหนึ่งตัวก็ตาม” เมื่ออยู่กินกันในฐานะสามีภรรยา เกิดมีปัญหาไม่เข้าใจกันหรือหาความสุขในชีวิตคู่ไม่ได้ อิสลามมีทางออกโดยให้หย่าร้างกันด้วยความดี มีระยะการหย่าร้าง เช่น หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แล้วจึงขาดจากกัน

ส่วนในยุคญาฮิลียะฮการหย่าร้างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีระยะเวลา ในกรณีที่ฝ่ายชายไม่ยอมหย่าร้างโดยถืออำนาจกดขี่ข่มเหงเธอไว้ฝ่ายสตรีมีสิทธิ์โดยชอบธรรมทางศาสนาที่จะซื้อหย่าด้วยการคืนมะฮัรให้ฝ่ายชายไป นี่เป็นความยุติธรรมที่อิสลามกำหนดไว้เป็นสิทธิสตรี

และยังเป็นการปรามฝ่ายชายมิให้เอาเปรียบสตรีได้นอกจากนี้ในเรื่องของการเดินทางอิสลามได้กำหนดให้มีมะห์รอม
เป็นเพื่อนติดตามการเดินทาง ทั้งนี้เพื่อจะได้ปกป้องสตรีให้พ้นจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง หรือให้พ้นจากการติฉินท์นินทาสตรี

จะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสตรีระหว่างการเดินทางคนเดียวมีมาก อิสลามจึงมีระเบียบเพื่อปกป้องเป็นการให้เกียรติสตรีและป้องกันปัญหาและความเสียใจภายหลัง เหตุการณ์สตรีถูกลวนลามถูกทำอนาจารข่มขืนถูกฆ่าทิ้งเกิดขึ้นอย่างมากมายส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สตรีเดินทางไปไหนมาไหนตามลำพังนั่นเอง

ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าอิสลามได้ให้เกียรติสตรีมากที่สุดและเป็นสิ่งที่สตรีมุสลิมะฮฺควรได้ภาคภูมิใจไม่หลงไปตามกระแส ที่ใส่ร้ายโจมตีจากศัตรูของอิสลามที่พยายามป้ายสีว่าอิสลามไม่ให้สิทธิสตรี ห้ามไม่ให้ไปไหนมาไหน หรือใส่ร้ายว่าสตรีถูกบังคับให้คลุมศีรษะเมื่อออกนอกบ้าน แต่ทางตรงกันข้ามอิสลามเท่านั้นที่ให้เกียรติสตรี สอนให้สตรีมีเกียรติมีค่า

ความจริงแล้วไม่มีคำสอนใดที่จะให้เกียรติสตรีปกป้องสิทธิสตรีเทียบเท่าอิสลามไม่มีเหตุผลอันใดทีจะเชื่อคำใส่ร้ายป้านสีของศัตรูอิสลาม บุคคลเหล่านี้มีจิตใจมืดมิด ไม่มองใครอื่นดี นอกจากตัวเองหรือพวกตนเท่านั้น ดังอายะห์อัลกุรอานที่ว่า

فإنها لا تعمى الأبصار ولكن تعمى القلوب التى في الصدور

“แท้จริงสายตาของพวกเขามิได้บอด แต่ทว่าหัวใจที่มีอยู่ในทรวงอกของพวกเขาต่างหาก ที่บอดสนิท”

^^ด้วยรักและดุอาอฺ^

.....................
แวนิต้า โรส


กระทำความดี ถึงมันจะดูเล็กน้อยก็ตาม




คนเราทุกคน เคยเก็บเงินไว้ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง

แล้วเราก็วางเสื้อผ้าเรา โดยที่เราลืมหยิบเงินออกมา
แต่พอมาวันหนึ่ง เราหยิบเสื้อตัวนั้นเพื่อมาสวมใส่ แล้วได้เห็นเงิน
ที่อยู่ในนั้น ความรู้สึกนั้น ย่อมทำให้เราดีใจมาก

แต่…..

จะดีแค่ไหน ถ้าเราอยู่ในวันกียามัต จู่ ๆ ความดีงามที่เราเคยทำ
เอาไว้ โผล่ออกมาให้เราเห็น โดยที่เราลืมแล้วว่า ความดีงามอันนั้น
ยังคงอยู่ นั้นจะทำให้เราดีใจยิ่งกว่า (อ้างอิงจาก อุลุล อัลบ๊าบ)

พระองค์อัลลอฮ์ ทรงได้กล่าวไว้ว่า

فَمَن يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًا يَرَهُ

ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน

وَمَن يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّا يَرَهُ

ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าละอองธุลีเขาก็จะเห็นมัน

อัซ-ซัลซาละฮ์ อายะห์ที่7-8

>>>> จงกระทำความดี ถึงมันจะดูเล็กน้อย
เพราะเราไม่รู้ ว่าความดีงามอันใด ที่เราได้ทำลงไป
จะช่วยให้เราได้เข้าสวรรค์

.................................
อับดุลรอมาน หะระตี

มีเสียงอะไรที่ดังจากท้องของท่านร่อซูลุลลอฮ์....?





ครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์เป็นอิมามนำละหมาด บรรดาซอฮาบะฮ์ที่เป็นมะอ์มูมละหมาดตามอยู่ข้างหลังท่านร่อซูลุลลอฮ์ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีกระดูกหรือกล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหวในตัวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ หลังจากเสร็จสิ้นการละหมาดแล้ว ท่านอุมัร ก็ได้ถามท่านร่อซูลุลลอฮ์ว่า “โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ พวกเราเห็นบางสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน เหมือนกับท่านกำลังแบกรับความเจ็บปวดและทรมาน.. ท่านป่วยใช่มั๊ย โอ้ ยาร่อซูลุลลอฮ์?”

ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ก็จึงได้ตอบกับบรรดาซอฮาบะฮ์ว่า “เปล่าหรอก, ฉันสบายดี”
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่านอุมัรก็จึงได้ถามท่านร่อซูลุลลอฮ์ว่า “แล้วทำไม เวลาที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์เคลื่อนไหวร่างกาย พวกเราได้ยินเหมือนเสียงกระดูกที่เสียดสีกันในตัวของท่าน?”

เมื่อท่านร่อซูลุลลอฮ์ เห็นว่าบรรดาซอฮาบะฮ์ ต่างเคร่งเครียดด้วยความห่วงใย ต่อท่าน ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ก็จึงได้เปิดเสื้อของท่านให้ บรรดาซอฮาบะฮ์ได้ดูที่บริเวณท้องของท่านร่อซูลุลลอฮ์

จากนั้น จึงทำให้บรรดาซอฮาบะฮ์ต่างตะลึงด้วยความตกใจ เมื่อเห็น ท้องขอท่านร่อซูลุลลอฮ์ที่แฟบและแบน ได้ถูกผูกมัดด้วยผ้าที่ห่อหุ้มหินก้อนเล็กๆไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อประทังความหิว หินเหล่านั้น ก็จะมีเสียงดังเสียดสีกันเมื่อท่านร่อซูลุลลอฮ์เคลื่อนไหวร่างกาย

ท่านอุมัรจึงได้กล่าวกับท่านร่อซูลุลอฮ์ว่า “โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ เมื่อใดที่ท่านรู้สึกหิว แล้วจะให้พวกเรานิ่งดูดายได้อย่างไร โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์?”

ท่านร่อซูลุลลอฮ์ จึงได้ตอบกับอุมัรด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า
“ไม่เป็นไรหรอก โอ้บรรดาซอฮาบัตของฉัน ฉันรู้ดี ว่าท่านทั้งหลายต่างยอมเสียสละเพื่อ ร่อซูลของท่านทั้งหลาย แต่ ฉันจะตอบกับอัลลอฮ์อย่างไร ในฐานะที่ฉันเป็นผู้นำ ที่ปล่อยให้อุมัตของฉันต้องมาแบกรับภาระของฉัน?.. “

บรรดาซอฮาบะฮ์ ต่างนิ่งเงียบ จากนั้น ท่านร่อซูลุลลอฮ์จึงได้ กล่าวต่ออีกว่า
“ปล่อยให้ความหิวโหยที่ฉันได้รับ คือฮาดียะฮ์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้กับฉัน เพื่อที่อุมัตของฉันจะได้ไม่ต้องแบกรับความหิวโหยหลังจากนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อจะได้ไม่หิวโหยในวันอาคิเราะห์”

..... มาชาอัลลอฮ์.... ทั้งรักและคิดถึง ท่านร่อซูลุลลฮ์ จริงๆ ..... อัลลอฮุมม่ะซอลลิอ่ะลาซัยยิดินามูฮำมัด ว่ะอ่ะลาอาลิมูฮำมัด

.....................
จากเฟส :
معروف حاج قاسم

# คิด ใคร่ครวญ
สายลมแห่งตักวา

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

่การหอมแก้มเด็กๆคือความเมตตา


การจุมพิตหรือการหอมแก้มเด็ก ๆ นั้น สือให้เห็นถึงการมีความเมตตา โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่

แก้มและหน้าผากของลูกๆ นั้นย่อมหอมจรุงใจสำหรับพ่อแม่เสมอ ถึงแม้แก้มและหน้าผากของพวกเขาจะมอมแมมสักเพียงใด

รายงานจากท่านอบู อุรอยเราะฮฺ(ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า 
"ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้เคยจุมพิตท่านอัลหะสัน อิบนุ อะลี หลายชายของท่าน ขณะนั้นมีอัลอักเราะฮฺ อิบนุ หาบิสฺ อัตตะมีมีย์ นั่งร่วมอยู่ด้วย  อัลอักเราะฮฺ ได้กล่าวขึ้นว่า : แท้จริงฉันมีลูกถึง 10 คน ฉันไม่เคยจุมพิต(หอมแก้ม)พวกเขาสักคนเดียวท่านนบีก็ได้มองอัลอักเราะอ์ แล้วกล่าวขึ้นว่า : บุคคลใดไม่มีความเมตตา เขาย่อมไม่ได้รับความเมตตา" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์)

รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร่อำียัลลอฮุอันฮา) เล่าว่า
"มีอาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แล้วกล่าวขึ้นว่า
"พวกท่านจุมพิต(หอมแก้ม) เด็กๆของพวกท่านด้วยหรือ? พวกเรานั้นจะไม่จุมพิตพวดเขาหรอก? 
ท่านนบีจึงกล่าวว่า : ถ้าเช่นนั้นฉันก็มิอาจหักห้ามในการที่พระองค์อัลลอฮฺจะทรงถอดความเมตตาออกจากหัวใจของเจ้าได้
 (จาก ตัรบียะตุ้ลเอาลาด 1/55)


โปรดตรวจสอบการแต่งกายของเธอโอ้มุสลีมะฮฺ


โอ้บรรดามุสลิมะฮ์ทั้งหลาย โปรดตรวจสอบกายแต่งกายของพวกเธอ  อย่าเปิดเผยสิ่งที่เป็นสงวนตามบทบัญญัตศาสนา เว้นแต่ใบหน้าและฝ่ามือ อย่าได้เปลืองกาย ด้วยการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่บาง รัดรูป เห็นส่วนว้าว หรือด้วยประการใดที่เป็นขัดต่อบทบัญญัติอิสลาม

ผ้าคลุมของเธอ ต้องไม่ใช่เพื่อความสวยงาม ตามแฟชั่น แต่มันต้องเป็นฮิญาบเพื่อความยำเกลงและความนอบน้อมต่อพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา

รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา) เล่าว่า
"ครั้งหนึ่ง อัสมา ลุกสาวของอบูบักรได้เข้ามาหาท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) โดยที่เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่บาง เมื่อท่านนบีเห็น ท่านได้เบือนหน้าออกไปจากเธอ และกล่าวว่า : อัสมา เมื่อผู้หญิงถึงวัยสาว มันไม่เหมาะสมที่เธอจะเปิดเผยส่วนใดของเรือนร่างนอกจากนี่และนี่ และท่านก็ชี้ไปที่ใบหน้า และมือ" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 32.4092)

รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"สองคนคือพวกที่เป็นชาวนรก
1) คนที่มีแส้เหมือนหางวัว และใช้แส้นั้นเฆี่ยนตีประชาชน 
2) ผู้หญิงที่เปลืองกาย แม้จะใส่เสื้อผ้าก็ตาม  
และผู้หญิงที่ถูกหลอกลวง(ไปสู่หนทางที่ผิด) และล่อลวงคนอื่นด้วยผมทรงสูงเหมือนกองดิน ผู้หญิงเหล่านั้น จะไม่ได้เข้าสวรรค์ และพวกนางจะไม่ได้แม้กลิ่นหอมของสวรรค์ ถึงแม่กลิ่นหอมของสวรรค์จะเป็นที่รับรู้ได้จากที่ไกลมากก็ตาม" (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม เลขที่ 40.6840)


والله أعلم بالصواب


ผู้ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด



ไม่มีข้อแม้ใดๆสำหรับมุสลิมที่ศรัทธาว่า

ไม่มีที่ละหมาด แล้วเขาไม่ดำรงไว้การละหมาด

ละหมาดที่ไหนๆก็ได้สำหรับผู้ที่ศรัทธา

ท่านรอซูล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)กล่าวว่า
"พระผู้อภิบาลของเจ้าพอพระทัยใน
ชายคนเลี้ยงแพะที่เชิงเขา เขาอะซาน
เพื่อละหมาดแล้วเขาละหมาด อัลลอฮ
ทรงดำรัสแก่มลาอิกะฮ์ว่า พวกเจ้าจงดู
บ่าวของเรานั่นซิ เขาอะซานแล้วเขา
ดำรงละหมาดเพราะเขาเกรงกลัวต่อเรา
เราได้อภัยแก่บ่าวของเราแล้ว และเรา
จะให้เขาได้เข้าสวนสวรรค์"
                 (อบูดาวูด นาซาอี )

.................
สมาย อารี

ขอจงแบ่งปัน



ที่มันดาษเดื่อน กระจัดกระจาย

ที่ภาพบางภาพ มองแถบไม่ไหว

นั้นเป็นส่วนนึ่ง แต่มีอีกมากมาย ที่สายเชือกของเราต้องไร้

ที่อยู่อาศัย อาหารเลิศ เงินที่เดินเข้าร้านสดวกซื้อ

มันยังมากมายหนัก ที่ความสดวก ไม่ต้องพูดถึง แค่กลิ่นไอยังยาก

ถามว่าความสดวกสบาย ใครบ้างไม่ชอบ แต่กี่ชีวิตละ ที่มันจะสมบูรณ์

แล้วไอ้ที่เรียกว่าสมบูรณ์ มันก่อเกิด มากคุณค่า หรืออยู่มันไปวันๆๆ

อันนี้ ต้องดู บางครั้งความสบาย มันตามมาหลังจากสบายคือ การขาดทุน.....

ตรงจุดนี้ต้องดู ว่าเรา คุณ หรือใคร ที่สบาย จนถึงขั้น เหลือ

แบ่งปันส่วนน้อยจากเรา แต่มันมากค่าจากเค้า ไม่จำเป็นต้องมาก

แต่ขอจงแบ่งปัน

หัวใจที่ยังรับรู้ได้ ดี อย่าต้องตายด้าน ทั้งที่ยังหายใจ

น่ะคนดี

..........................
Black shadow^^
ฮาซานะ นะค่ะ


วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

จงรักษาระดับสายตาของเราให้มั่นคงอยู่ในทิศทางแห่งความดี


เวลาที่ฉันอยู่ในละหมาดของฉัน (เวลาที่ฉันกำลังละหมาดอยู่) ฉันขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ เพื่อไม่ให้พระองค์ทรงมอบการมองเห็นให้แก่ฉัน (อย่าให้ฉันได้มองเห็น)


เผื่อว่าฉันจะมีฮุจญะฮฺ (ข้ออ้าง) ต่อพระองค์ในวันกิยามะฮฺ พระองค์ก็จะทรงประทานความเบาบางให้แก่ฉันในการอะซาบ (ทรมาน)

เราได้ใช้นิอฺมัตดวงตาของเราไปในทิศทางใดบ้าง ถ้าหากว่าเป็นทิศทางที่พระองค์ทรงพอพระทัย เราก็จงรักษาระดับสายตาของเราให้มั่นคงอยู่ในทิศทางแห่งความดี แต่ถ้าหากว่าเป็นทิศทางที่พระองค์ทรงโกรธกริ้ว เราก็จงหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เราได้ใช้มันตอนที่เราไม่สามารถบังคับนัฟซูของตัวเองได้

.................................................................................................................................
บทความดี ๆ จากเพจ : شاركنا كل يوم بدعاء وأيه من كتاب الله وحديث من احاديث الرسول ( ص )
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ


อัลลอฮฺทรงทำให้ทะเลทั้งสองนั้นไม่เหมือนกัน



- และทะเลทั้งสองนั้นไม่เหมือนกัน อันนี้จืดสนิทอร่อยน่าดื่ม พอใจในเครื่องดื่มของมัน และอันนี้เค็มจัด และจากแต่ละทุกแห่งนั้น พวกเจ้าจะได้กินเนื้ออันอ่อนนุ่ม และพวกเจ้าเอาออกมาจาก (ทะเลทั้งสอง) เครื่องประดับเพื่อใช้มันเป็นอาภรณ์ และเจ้าเห็นเรือแล่นฝ่าผิวน้ำไป เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานของพระองค์ และเพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ (ซูเราะฮฺ ฟาฏฺิร : 12)

- และพระองค์คือผู้ทรงทำให้ทะเลทั้งสองบรรจบติดกัน อันนี้จืดสนิท และอันนี้เค็มจัด และทรงทำที่คั่นระหว่างมันทั้งสอง และที่กั้นขวางอันแน่นหนา (ซูเราะฮฺ อัล ฟุรกอน : 53)

- พระองค์ทรงทำให้น่านน้ำทั้งสอง (ทะเลและแม่น้ำ) ไหลมาบรรจบกัน ระหว่างมันทั้งสอง มีที่กั้นกีดขวาง มันจะไม่ล้ำเขตต่อกัน (ซูเราะฮฺ อัร เราะหฺมาน : 19-20)

ซุบหานะกะ ยา ร็อบบีย์ ซุบหานัลลอฮฺ


....................
อูลุล อัลบ๊าบ


สิ่งที่น่ารู้เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์



1.ใช้อัล-กุรอ่านและเสียงอะซานเป็นริงโทน

ถาม  “ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อการใช้เสียงอาซานหรือเสียงอัล-กุรอ่านเป็นริงโทนของโทรศัพท์แทนการเป็น เสียงดนตรี ?”

ตอบ  “นี้เป็นการดูถูกเสียงอะซาน ซิกรฺ และอัล-กุรอ่าน ฉะนั้นอย่าใช้เป็นริงโทน บางคนอาจกล่าวว่า “นี่...ดีกว่าการใช้เสียงดนตรี” เมื่อพูดถึงริงโทนเสียงดนตรี ท่านจำเป็นต้องใช้เสียงดนตรีกระนั้นหรือ? ก็อย่าใช้เสียงดนตรี ไปใช้ริงโทนอย่างอื่น มีให้เลือกมากมาย และอย่าใช้เสียงอัล-กุรอ่านเป็นริงโทน ”

(ทอดจากเทปของ ชัยคฺ อัล-อัลลามะฮฺ ศอลิหฺ บิน เฟาซาน อัล-เฟาซาน วันที่ 13/10/ฮ.ศ.1426 ) (จาก www.sahab.net/forums/showthread.php?threadid=344588)

2.พูดคำว่า “ฮัลโล” เมื่อใช้โทรศัพท์

ถาม  “ใช้คำว่า ฮัลโล เมื่อยกหูรับโทรศัพท์ได้ไหม? หลายคนกล่าวว่า นั้นเป็นการให้สลามแบบคนคริสต์หรือเป็น แบบฉบับของคนปฏิเสธอิสลาม”

ตอบ  “ในเรื่องนี้ฉันไม่รู้ มีหลักฐานห้ามมิให้ใช้คำว่า อัลโล หรือเปล่า คำกล่าวเช่นนี้เป็นสิ่งที่เคยชินและเป็นสิ่งที่ เป็นปกติแล้วในสังคม ความหมายของคำนี้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร ด้วยเหตุนี้ จึงอนุญาตให้ใช้ได้
ในสังคมปัจจุบัน บ่อยครั้งที่มีการใช้คำที่ไม่ใช่ภาษาอาหรับ ดังนั้นจึงอนุญาตให้ใช้ได้

อนึ่ง หากใช้คำว่า นะอัม (แปล ใช่ / ผู้แปล) หรือคำอื่นซึ่งเป็นการแทนคำว่าฮัลโลก็ไม่เป็นไรเช่นกัน อย่างไรก็ตามในที่นี้จะบอกเพียงว่าอนุญาต ให้ใช้คำว่าฮัลโลได้อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรอบรู้” (ตอบคำถามโดย ชัยคฺ อับดุลอาซิซ บิน บาซ คัดลอกจาก abuaaliyah.multiply.com/journal/item/25/Using_the_Word_Hello)

.........................................................................................................................
โดย ชมรมมุสลิมตาสา
ที่มา : (ตาสาสาร ฉบับวันศุกร์ ปีที่ 1 เดือนมุหัรร็อม 1431 ฮ.ศ. / มกราคม 2553)
http://www.warasatussunnah.net/


เนื้อแท้ของการแสวงหาการเป็นผู้นำและความมั่งคั่ง



ชีวิตในโลกนี้มีแต่การแสวงหาความกระหายแห่งการเป็นผู้นำ และความมั่งคั่ง เนื้อแท้ของมัน คือ ความไร้ค้า ไร้ราคาใดๆ

การแสวงหาตำแหน่งผู้นำทำให้ใครคนๆหนึ่ง ประสบกับชะตากรรมเดียวกับฟิรเอานฺเคยประสบ ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของเขา คือการที่อัลลอฮฺตะอาลา ทรงทำให้เขาจมน้ำตาย เพื่อเป็นการลงโทษเขาอย่างสาสม

และสำหรับผู้ ที่แสวงหาความมั่งมีอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะนำพาคนๆนั้น ประสบกับชะตากรรม เช่นเดียวกับกอรูน อัลลอฮฺตะอาลา ทรงทำให้แผ่นดินกลืนกินเขา และเขาก็ถุกลงโทษอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งวันแห่งการคิดบัญชี เพราะความชั่วร้ายที่เขาเคยทำใว้กับนบีมูซา

والله أعلم بالصواب





อำนาจการปกครองเป็นของอัลลอฮฺ



พระองค์อัลลอฮฺตะอาลา ทรงเป็นผู้สั่งใช้ พระองค์เท่านั้นที่เป็นเจ้าของบรรดามัคลูก(สิ่งถูกสร้าง) และอำนาจทั้งหาย พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครกระทำการเช่นนั้น นอกจากเมื่อได้ยินและเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ ไม่มีใครมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงศาวนาของพระองค์หรือประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา สำหรับหน้าที่บรรดานบีที่ได้รับมอบหมายมาคือการถ่ายทอดสารของพระองค์

เมื่อไม่มีใครสามารถสร้างสรรค์สิ่งๆต่างๆ ขึ้นมาได้แล้ว การปกครองก็ไม่ควรตกเป็นของใครนอกจากอัลลอฮฺตะอาลาเท่านั้น

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 إِنِ الْحُكْمُ إِلَّا لِلَّهِ أَمَرَ أَلَّا تَعْبُدُوا إِلَّا إِيَّاهُ ذَٰلِكَ الدِّينُ الْقَيِّمُ وَلَٰكِنَّ أَكْثَرَ النَّاسِ لَا يَعْلَمُونَ ( 40 ) ยูสุฟ - Ayaa 40

 "การตัดสินมิได้เป็นสิทธิของใครนอกจากอัลลอฮ์พระองค์ทรงใช้มิให้พวกท่านเคารพอิบาดะฮ์สิ่งใด นอกจากพระองค์เท่านั้น นั่นคือศาสนาที่เที่ยงธรรมแต่ส่วนใหญ่ของมนุษย์ไม่รู้" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺยูซุฟ 12:40)



การยันพื้นโดยกำมือหรือแบมือเพื่อลุกขึ้นละหมาดในร็อกอะฮฺถัดไป


การใช้มือยันพื้นของผู้ละหมาดพื่อลุกขึ้นในร็อกอะฮ์ถัดไปนั้น มี 2 วิธี คือ
1. ใช้มือยันพื้นโดยกำมือ

2.ใช้มือยันพื้นโดยแบมือ

จากท่านอิบนุ อับบาส กล่าวว่า
 "ท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ลุกขึ้นยืนในละหมาด ท่านรสูลจะวางมือยันพื้นเสมือนผู้นวดแป้งกำลังนวดแป้ง(กำมือ)"
(หนังสือ"ศิฟะตุเศาะลาตินนบี"หน้า155)

ผู้บันทึกคนหนึ่ง บันทึกว่า อายิน (นวดแป้ง)
รายงานหนึ่งบอกว่า ยันแบบ "นวดแป้ง" (กำมือ)
อีกรายงานหนึ่งบอก ยันแบบ "คนแก่" (แบมือ)
แต่อีกท่านบอกว่า ดังกล่าวเป็นการบักทึกที่คลาดเคลื่อน
ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ ตัว นูน แต่ต้องเป็น ตัว ซัย ซึ่งจะเป็น อายิซ (อ่อนแอ)

ดังนั้น ผู้ละหมาด จะยันพื้นโดยกำมือหรือแบมือเพื่อลุกขึ้นในร็อกอะฮ์ถัดไป ก็เป็นสิทธิที่จะเลือกมาปฏิบัติ หรือจะปฏิบัติสลับกัน แต่ที่แน่ๆการใช้มือยันพื้นถือเป็นสุนนะฮ์ของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)

 والله أعلم


วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2557

วิธีก้มสุญูดและเงยขึ้นจากสุญูด

วิธีก้มลงสุญูดด้วยเอาฝ่ามือทั้งสองลงพื้นก่อนเอาหัวเข่าทั้งสองลง

วิธีก้มสุญูด

 นักวิชาการมีความเห็นแย้งกัน ในวิธีการที่ผู้ละหมาดก้มจากท่ายืนภายหลังจากรุกัวะอฺไปยังสุญูด

1. ฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่ มีความเห็นว่า ควรวางหัวเเข่าทั้งสองลงบนพื้นก่อนวางมือทั้งสอง

ท่านอิบนุลมุนษีร ได้เล่ารายงานมาจากอุมัร อันนะค่ออีย์ มุสลิม อิบนุยะซาร ซุฟยาน อัษเษารียฺ อิสหาก ตลอดจนบรรดาผู้ให้ความเห็น อิบนุลมุนษิร กล่าวว่า เป็นทัศนะของฉันเช่นกัน

อบูฏ้อยยิบ ได้เล่ารายงานส่วนใหญ่ของนักนิติศาสตร์อิสลาม เช่นกัน

อิบนุก็อยยิม ได้กล่าวว่า : ปรากฏว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เคยเอาหัวเข่าทั้งสองของท่านลงถึงพื้นก่อนมือทั้งสอง เสร็จแล้วจึงวางมือทั้งสองที่พื้น ต่อมาก็หน้าผากของท่าน และจมูกของท่าน นี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่ชะรีกรายงานมาจากอาศิม อิบนุลัยบฺ ซึ่งรายงานมาจากบิดาของเขา

รายงานจากวาอิล อิบนุหะญัร ได้กล่าวว่า
"ฉันเห็นท่านรสูล  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เมื่อท่านสุญูด ท่านจะวางหัวเข่าทั้งสองก่อนจะวางมือลง และเมื่อท่านลุกขึ้น ท่านจะยกมือทั้งสองขึ้นก่อนยกหัวเข่าทั้งสอง ไม่มีรายงานค้านกับการกระทำของท่านดังกล่าวเลย..."

2. อีกฝ่ายหนึ่งมีทัศนะว่า สมควรวางมือทั้งสองลงบนพื้นก่อนเอาเข่าทั้งสองลง ซึ่งก็เป็นรายงานหนึ่งของอะหฺมัด

ผู้ที่เห็นด้วยกับทัศนะนี้ได้แก่ อิมามมาลิก, เอาซาอียฺ และอิบนุอัชมิน มีทัศนะ

เอาซาอียฺ กล่าวว่า
"ฉันพบกับบุคคลต่างๆ ที่เอามือทั้งสองวางลงบนพื้นก่อนเอาหัวเข่าทั้งสองลง
อิบนุอบีดาวูดกล่าวว่า อันนี้เป็นทัศนะของนักหะดิษ

มีรายงานหลายกระแสที่สนับสนุนให้วางมือลงก่อนหัวเข่าและการวางมือลงก่อนหัวเข่าทั้งสองนั้นเป็นทัศนะของนักวิชาการหะดิษ

รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮู เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าว่า
"เมื่อบุคคลหนึ่งในหมู่พวกท่านสุญูด เช่นนั้นจงอย่าลงคุกเข่าเสมือนอูฐคุกเข่า แต่ให้วางมือทั้งสอง(ลงบนพื้น)ก่อนหัวเข่าทั้งสอง"
(หะดิษเศาะเฮียะฮ์ บันทึกหะดิษโดย อบูดาวูด หะดิษเลขที่ 714 นะสาอีย์ หะดิษเลขที่ 1079)

รายงานจากอิบนุ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮู เล่าว่า
 "ปรากฏว่าท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) วางมือทั้งสองบนพื้นก่อนหัวเข่าทั้งสองของท่านรสูล"
(หะดิาเศาะเฮียะฮ์ บันทึกหะดิษโดยอิบนุ คุซัยมะฮ์ หะดิาเลขที่ 714 ท่านหากิม หะดิาเลขที่ 821)

ส่วนกรณีผู้ละหมาดประสงค์จะวางหัวเข่าก่อนมือทั้งสองนั้นถือว่าอนุญาต

ท่านวาอิล บุตรของหุจญ์ริน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮู เล่าว่า
 "ฉันเห็นท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ลงสุญูด ท่านรสูลวางหัวเข่าทั้งสองก่อนมือทั้งสองของท่านท่านรสูล "
(บันทึกโดยอบูดาวูด หะดิษเลขที่ 713 หะดิษข้างต้น ทัศนะของเชคมุหัมหมัด นาศิรุดดีน อัลบานีย์ ถือว่าเป็นหะดิษเฎาะอิฟ)

วิธีก้มลงสุญูดวางหัวเข่าลงทั้งสองลงพื้นก่อนวางมือทั้งสอง


วิธีเงยจากสุญูดไปร็อกอะฮฺถัดไป

สำหรับวิธีเงยจากสุญูดไปร็อกอะฮฺที่สองนั้น ยังมีความเห็นขัดแย้งเช่นเดียวกันคือ

1. ฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่ มีความเห็นว่า ยกมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนหัวเข่าทั้งสอง

"เมื่อท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เงยศีราะขึ้นจากการสุญูดครั้งที่สอง ท่านรสูลจะนั่ง(อิสติรอหะฮ์) และใช้มือยันพื้น จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน"
(หะดิษเศาะเฮียฮ์...บันทึกโดยอิมามบุคอรี หะดิษเลขที่ 783)

รายงานจากท่านมาลิก บุตรของอัลหุวัยริษ เล่าถึงการละหมาดของท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า
 "เมื่อท่านรสูลเงยศีรษะจากสุญูดครั้งที่สอง ท่านรสูลจะยันพื้น จากนั้นท่านรสูลก็ลุกขึ้นยืน"
(หะดิษเศาะเฮียฮ์...บันทึกโดยอิมามบุคอรี หะดิษเลขที่ 781 และนะสาอีย์ หะดิษเลขที่ 1141)


2. นักวิชาการส่วนหนึ่ง มีทัศนะว่า  ให้ยกหัวเข่าทั้งสองขึ้นก่อนยกมือทั้งสอง

จากหะดิษ
"จากนั้นท่านรสูลก็ลุกขึ้นยืนประหนึ่งลูกศร(ออกจากคันธนู)โดยท่านรสูลมิได้ใช้มือทั้งสองยันพื้น(แต่อย่างใด)"
(จาหหนังสือ "ศิฟะตุเศาะลาตินนบี" หน้า 155  แต่หะดิษข้างต้น เชคอัลบานีย์ระบุว่าเป็นหะดิษเมาฎูอ์(หะดิษเก๋)


والله أعلم بالصواب


หุก่มศาสนาว่าด้วยการบริโภคบุหรี่


สาเหตุที่นักวิชาการรุ่นก่อนได้หุก่มวินิจฉัยชี้ขาดศาสนบัญญัติต่อกรณีการบริโภคยาสูบ หรือบุหรี่ (รวมถึงใบจาก) นั้นเป็นเพียงมักรูฮฺ หรือน่ารังเกียจ นั้นก็เพราะนักวิชาการรุ่นก่อนไม่ทราบถึงโทษของมันเช่นอย่างปัจจุบัน เพียงแต่มองในกลิ่นของมัน ซึ่งมีกลิ่นหมิ่น ผู้ที่สูบมันจะมีกลิ่นปากเหม็นมาก คล้ายๆกับกลิ่นของพวกผักกลิ่นฉุน แต่กลิ่นของบุหรี่มันหนักกว่า ไม่เพียงแค่กลิ่นฉุน มันหมิ่นจนคนรอบข้างไม่อยากพูดคุยด้วย โดยเฉพาะภรรยาของเขา แม้จะมีการแปรงฟันแล้ว กลิ่นของมันก็ไม่หายขาด

แต่นักวิชาการร่วมสมัยกลับหุก่มวินิจฉัยชี้ขาดศาสนบัญญัติว่าการบริโภคมันไม่ว่าการสูบ หรือดม ก็ตามเป็นสิ่งที่หะรอมต้องห้าม อันเนื่องจากนักวิชาการปัจจุบันได้มองที่ตัวของมัน ไม่ได้เพียงมองแค่กลิ่นของมันเท่านั้น สืบเนื่องจากภายหลังที่มีการศึกษาวิจัยทางการแพทย์และการค้นพบสารพิษต่าง ๆ ในบุหรี่ ตลอดจนโทษภัยที่เกิดจากควันบุหรี่ ทั้งต่อผู้สูบมันโดยตรงและต่อผู้ที่อยู่รอบข้างด้วย


จากการค้นพบทางการแพทย์พบว่าพิษภัยที่เกิดจากควันบุหรี่ ทำให้เกิดโรค ดังนี้

. -มะเร็งปอด  เริ่มต้นที่มะเร็งส่วนหนึ่งจะอุดหลอดลม ทำให้หายใจลำบาก หอบเหนื่อย ไอเป็นโลหิต เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด เพราะปอดถูกแย่งที่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดแล้วไม่ได้รับการรักษาจะมีชีวิตอยู่น้อยกว่า 1 ปี

  -โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่เนื้อปอดค่อย ๆ เสื่อมสมรรถภาพ เพราะได้รับควันบุหรี่  สารไนโตรเจนไดออกไซด์ในควันบุหรี่จะทำลายเนื้อเยื่อในปอดและถุงลมให้ฉีกขาดทีละน้อยและรวมตัวกลายเป็น
ถุงลมที่มีขนาดใหญ่ มีผลทำให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายไม่เพียงพอ

-โรคเส้นโลหิตแดงแข็งตัวและตีบ เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจะมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง ตายอย่างเฉียบพลันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองตีบ ทำให้มึนงง ปวดศีรษะ ความจำเสื่อม สมองเสื่อมสมรรถภาพ เป็นต้น
 
-โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง มีอาการระคายคอ ไอเรื้อรัง มีเสมหะเป็นประจำ บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายไม่แข็งแรง สำหรับโรคอื่น ๆ ที่พบได้แก่ มะเร็งริมฝีปาก ลิ้น คอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร



นอกจากนี้พิษของควันบุหรี่ยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายดังนี้

-สมองเสื่อมสมรรถภาพ เห็นลมหมดสติ เส้นเลือดสมองแตก เพราะการสูบบุหรี่ ทำให้เกิดการ สะสมของคลอเรสเตอรอล และเดการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปสู่สมอง
-หน้าเหี่ยวย่น แก้เร็ว
 -โรคเหงือก ฟันดำ และกลิ่นปาก
 -ไอเป็นเลือด ไอเรื้อรัง ผอมลง ซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งปอด
 -เหนื่อยง่าย หอบ แน่นหน้าอก ซึ่งเป็นอาการของโรคถุงลมโป่งพอง
 -หัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย เกิดจาการสะสมของคลอเรสเตอรอล ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นอุปสรรคต่อการส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจ และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
  - เล็บเหลือง นิ้วเหลือง
  - นิ้วเป็นแผลเรื้อรัง นิ้วกุด เกิดจากหลอดเลือดตีบตัน ขาดเลือดไปเลี้ยง
  - ท้องแน่น อืด เบื่ออาหาร
  -เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

พิษภัยต่อคนรอบข้าง   

-เด็ก การสูบบุหรี่ของคนในครอบครัว ทำให้เด็กป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม หอบหืด หูอักเสบเพิ่มมากขึ้น

-หญิงมีครรภ์ หญิงมีครรภ์สูบบุหรี่ จะทำให้น้ำหนักตัวในขณะตั้งครรภ์เพิ่มน้อยกว่าปกติ และมีโอกาสแท้ง คลอดก่อนกำหนด ตกเลือดในระหว่างคลอด และหลังคลอดมากเป็น 2 เท่าของหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้สูบบุหรี่นอกจากนั้นยังทำให้เกิดภาวะรกเกาะต่ำ และรกลอกตัวก่อนกำหนดมากขึ้น
ลูกที่คลอดจากแม่ที่สูบบุหรี่ อาจมีน้ำหนักและความยาวตัวน้อยกว่าปกติ พัฒนาการทางด้านสมองช้ากว่าเด็กปกติ อาจมีความผิดปกติทางด้านระบบประสาท ระบบความจำ

-คู่สมรสของผู้สูบบุหรี่ มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าคู่สมรสที่ไม่สูบบุหรี่เป็น 2 เท่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ 3 ท่า และเสียชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 4 ปี

-คนทั่วๆไป บุคคลทั่วๆไปที่อยู่ในบรรยากาศที่ผู้อื่นสูบบุหรี่อยู่ ควันบุหรี่จะทำให้เกิดอาการเคืองตา ปวดศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหอบหืดอยู่แล้ว โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบ มีอาการกำเริบเพิ่มมากขึ้น

จากที่ยกมาข้างต้นนั้น ควันบุหรี่มิใช่เพียงมีกลิ่นเหม็นเท่านั้น แต่พิษภัยของมันส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของผู้สูบเอง และต่อคนรอบข้างอย่างรุนแรง ทั้งส่งผลต่อการเกิดโรคตามมามากมาย

ซึ่งถือว่าการสูบบุหรี่ เป็นการทำลายร่างกายของตัวเอง และต่อผู้คนรอบข้างอย่างไม่ต้องสงสัย และสำหรับอิสลาม พระองค์อัลลอฮฺตะอาลา ได้ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอาน ว่า ห้ามมิให้ฆ่าตัวเอง การฆ่าหรือทำลายร่างกายของตัวเอง และบุคคลอื่น จึงเป็นที่ต้องห้ามตามบทบัญญัติอิสลาม โดยไม่จำต้องระบุว่าสิ่งที่ทำลายตัวเอง หรือการฆ่าตัวเองนั้น มีอะไรบ้าง หากมันเข้าข่ายเป็นการฆ่า หรือทำลายตัวเอง มันก็เป็นที่ต้องห้ามทั้งสิ้น

พระองค์อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ตรัสว่า

﴿ وَلَا تَقۡتُلُوٓاْ أَنفُسَكُمۡۚ إِنَّ ٱللَّهَ كَانَ بِكُمۡ رَحِيمٗا ﴾ [النساء : 29]

ความว่า “และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ” 
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 29)

ดังนั้น ควันของบุหรี่ จึงเป็นพิษภัยต่อร่างกาย เป็นการเอาสารพิษเข้าไปทำลายสุขภาพของผู้สูบ และต่อผู้ที่อยู่รอบข้างที่สูดดมมันเข้าไป เหมือนอย่างการสูบกัญชา เฮโรอีน ยาพิษ เห็ดพิษต่างๆ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ก่าวมามันไม่ได้ระบุห้ามไว้อย่างชัดเจนอย่างสิ่งมึนเมา แต่มันเป็นสิ่งที่มีพิษภัยทำลายร่างกายของเราอย่างมหัน แต่สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามบทบัญญัติอิสลาม บุหรี่ก็ไม่ต่างกัน เมื่อควันของมันมีสารพิษที่เข้าไปทำลายร่างกายของเรา มันก็อยู่ในข่ายที่ว่า "จงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง" ซึ่งเป็นคำสั่งห้ามเด็ดขาดนั้นเอง


นักวิชาการร่วมสมัยที่หุก่มชี้ขาดศาสนบัญญัติว่าการบริโภคยาสูบ หรือบุหรี่เป็นที่ต้องห้าม

-ดร. ยุซุฟ อัลกอรอฎอวีย์ [الدكتور يوسف القرضاوي]  กล่าวว่า :
“เราขอยืนยันที่จะให้คำวินิจฉัยว่า บุหรี่เป็นสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ในหลักศาสนบัญญัติอิสลาม เพราะบุหรี่คือสิ่งอันตรายทั้งต่อสุขภาพ ทรัพย์สมบัติ และอารมณ์ สิ่งใดก็ตามที่เป็นอันตรายต่อร่างกายสิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งต้องห้ามในทัศนะของอิสลาม” ดังปรากฏหลักฐานมากมายทั้งจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺ

- อิมาม มุฮัมมัด อิบนุ ญะอฺฟัร อัลกุตตานีย์ [الإمام محمد بن جعفر الكتاني]
โดยอ้างหลักฐานและเหตุผลถึง 17 ประการไว้ในหนังสือของท่าน ชื่อ เอี๊ยะลานุ้ลหุจญะฮฺ วะอิกอมะตุ้ลบุรฮาน อะลา มันอิ มา อัมมะ วะฟะชา มินิสติอฺมาลิ อุชบะติดดุคอน”

 «إعلان الحجة وإقامة البرهان على منع ما عمَّ وفشا من استعمال عُشبة الدخان»

            -ชัยคฺ ญาดุลหัก อาลี ญาดุลหัก  [الشيخ جاد الحق علي جاد الحق][1] อดีตชัยคฺอัลอัซฮัร กล่าวว่า 
“ภายหลังจากข้าพเจ้าได้อ่านเอกสารทางการแพทย์หลายฉบับที่เปิดเผยถึงผลกระทบจากการสูบบุหรี่ ภยันตรายต่าง ๆ ทั้งภัยต่อสุขภาพและต่อสังคม ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่ามันเป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาดแน่นอน มุสลิมที่สูบบุหรี่จะต้องเลิกสูบ”

            -ชัยคฺ อับดุลอะซีซ อิบนุ อับดุลลอฮฺ อิบนุบาซ [الشيخ عبد العزيز بن عبد الله بن باز][2] กล่าวว่า
 “สาเหตุที่ทำให้ยาสูบเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะด้านหนึ่งมันเป็นสิ่งที่ก่อภยันตราย และอีกด้านหนึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความมึนเมา โดยพื้นฐานแล้วยาสูบจึงเป็นสิ่งที่ก่อภยันตรายอย่างกว้างขวาง...”

            -ชัยคฺ มุฮัมมัด นาศิรุดดีน อัลอัลบานีย์ [الشيخ محمد ناصر الدين الألباني] [3]  ได้กล่าวตอบคำถามถึงกรณีที่บุหรี่หรือยาสูบเป็นสิ่งต้องห้ามโดยให้เหตุผลว่า
 “ยาสูบก่อภยันตรายต่อตัวผู้สูบเองและผู้อื่นในสังคม สมมุติท่านนั่งรถประจำทางหรือรถไฟ แล้วท่านไม่สูบบุหรี่ แต่ท่านก็ได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ของคนข้างเคียง บางทีรถทั้งคันหรือทั้งห้องก็จะเต็มไปด้วยควันหรือกลิ่นบุหรี่ สร้างความเดือดร้อนให้กับทุกคนรอบข้าง ยาสูบอันน่ารังเกียจจึงกลายเป็นสิ่งที่หากจะให้พูดถึงรายละเอียดอาจต้องใช้เวลาเพื่อนำหลักฐานและเหตุผลต่าง ๆ มาประกอบยืนยันว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) โดยไม่แบ่งแยกระหว่างคนยากจนหรือมั่งมี...”[4]

            -ชัยคฺ อะฏียะห์ ศ็อกรฺ [الشيخ عطية صقر]   กล่าวว่า
“การเสพบุหรี่จะโดยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมามากมายไม่ช้าก็เร็ว ที่สำคัญ  เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ทั้งยังเป็นการใช้จ่ายทรัพย์สินไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร จึงเป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) ทั้งในทางศาสนาและในทางสติปัญญา…”[5]

            -ชัยคฺ มุฮัมมัด อัฏฏอยยิบ อัลนัจญาร [ الشيخ الدكتور محمد الطيب النجار]  มีความเห็นว่า
 “บุหรี่” เป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม) เนื่องจากอัลลอฮฺ ตรัสว่า[...وَيُحِلُّ لَهُمُ الطَّيِّبَاتِ وَيُحَرِّمُ عَلَيْهِمُ الْخَبَائِثَ... الآية]  ความว่า “และจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขาซึ่งสิ่งเลวทั้งหลาย” (บทอัลอะอฺรอฟ อายะห์ที่ 157) ประกอบกับความเห็นพ้องของบรรดานักการแพทย์ว่าบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อัลลอฮฺตรัสว่า     [...وَلَا تُلْقُوا بِأَيْدِيكُمْ إِلَى التَّهْلُكَة...]   ความว่า  “และจงอย่าโยนตัวของพวกเจ้าสู่ความพินาศ”    (บทอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะห์ที่ 195) และแท้จริงอัลลอฮฺ ทรงห้ามการ การสุรุ่ยสุร่ายหรือฟุ่มเฟือย [التبذير] หมายถึงการใช้จ่ายไปในหนทางที่ไม่สมควรคือไม่ก่อเกิดประโยชน์ พระองค์ตรัสว่า   [إِنَّ الْمُبَذِّرِينَ كَانُوا إِخْوَانَ الشَّيَاطِينِ] ۖ  ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของเหล่าชัยฏอน” (อัลอิสรออฺ : 27)

           - ชัยคฺ อับดุลญะลีล ชะละบีย์  [الشيخ عبد الجليل شلبي] กล่าวว่า
 “ศาสนบัญญัติอิสลามเกี่ยวกับบุหรี่ที่น่าจะถูกต้องที่สุด คือ การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) ทั้งนี้ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นสิ่งน่ารังเกียจ [الخبائث] เพราะมีรสขม มีกลิ่นเหม็น ก่อภัยร้ายแรง สุดท้ายคือความหายนะ จึงเป็นสิ่งต้องห้าม”[6]

           - ชัยคฺ มุศฏอฟา มุฮัมมัด อัลหะดีดีย์ อัฏฏอยรฺ  [الشيخ مصطفى محمد الحديدي الطير]  กล่าวว่า
 “โดยเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการสูบบุหรี่ และการเสพสิ่งเสพติดทั้งหลาย เป็นอันตรายต่อชีวิต สติปัญญา และทรัพย์สิน ซึ่งอาจนำไปสู่ความตายได้ หากหยุดหรือลดปริมาณการใช้ จึงต้องถือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด และต้องกำหนดโทษแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้นำเข้า ผู้ให้ ผู้ขาย และผู้เสพ หนักเบาตามปริมาณมากน้อยของการเข้าไปเกี่ยวข้อง” [7]

           - ชัยคฺ อุษัยมีน [الشيخ ابن عثيمين]
  มีความเห็นว่า : การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม) ตลอดจนการซื้อขาย การให้เช่าร้านค้าเพื่อขายบุหรี่ก็ต้องห้ามเช่นเดียวกัน เพราะเป็นการส่งเสริมในสิ่งที่เป็นความชั่ว หลักฐานที่บ่งชี้ว่าบุหรี่ต้องห้าม เช่น โองการอัลกุรอานที่ว่า     [وَلَا تُؤْتُوا السُّفَهَاءَ أَمْوَالَكُمُ الَّتِي جَعَلَ اللَّهُ لَكُمْ قِيَامًا]   ความว่า “และจงอย่าให้แก่บรรดาผู้ที่โง่เขลา ซึ่งทรัพย์(ที่อยู่ในการครอบครอง)ของพวกเจ้า ซึ่งอัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นสิ่งค้ำจุนแก่พวกเจ้า” (ซูเราะห์อัลนิซาอฺ อายะห์ที่ 5) ในโองการนี้อัลลอฮฺ ทรงห้ามมิให้มอบทรัพย์สินให้แก่ผู้โง่เขลาหรือสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ เพราะเขาจะนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ อัลลอฮฺทรงแจ้งว่าทรัพย์สินทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งค้ำจุนมวลมนุษย์ เพื่อประโยชน์ทั้งในกิจการทางศาสนาและกิจการทางโลก การนำไปใช้ในการสูบบุหรี่มิใช่หนทางที่จะก่อประโยชน์ไม่ว่าทางโลกหรือทางศาสนา จึงเป็นการใช้จ่ายในลักษณะที่ฝ่าฝืนเจตนารมณ์แห่งพระเจ้า” [8]

            -ชัยคฺ อับดุลเญาวาด อัลอาชิก [الشيخ عبد الجواد العاشق]
กล่าวถึงความเป็นมาและโทษภัยของบุหรี่ที่นักวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ค้นพบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การอนามัยโลก จนเป็นที่ทราบและยอมรับอย่างแพร่หลายในปัจจุบันว่า ควันบุหรี่ประกอบด้วยสารพิษมากมาย และเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่าง ๆ เช่น มะเร็ง และได้นำทัศนะความเห็นของนักปราชญ์มุสลิมในสมัยอดีตจากมัซฮับต่าง ๆ หลายท่านที่มีความเห็นว่าการบริโภคยาสูบเป็นสิ่งต้องห้าม เช่น ชัยคฺ อัลนัจม์ อัลเฆาะซีย์  [الشيخ النجم الغزي] ชัยคฺ อัลกอลยูบีย์ [الشيخ القليوبي] ชัยคฺ อัลบุญัยรีมีย์  [الشيخ اليجيرمي]  และท่านอื่น ๆ ซึ่งในสมัยนั้นภยันตรายยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นในปัจจุบันจึงไม่ต้องสงสัยว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาด (หะรอม)[9]        

-ชัยคฺ มะหฺมูด ชันตูต อดีตชัยคฺอัลอัซฮัร [الشيخ محمود شلتوت]
กล่าวว่า “หากแม้นว่ายาสูบไม่ทำให้เกิดความมึนเมา ไม่ทำให้เสียสติสัมปะชัญญะ แต่มันก็ส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายซึ่งผู้สูบหรือผู้ไม่สูบสามารถสัมผัสได้ กอปรกับนักการแพทย์ได้ศึกษาวิเคราะห์วิจัยถึงองค์ประกอบและประจักษ์ถึงสารพิษที่ทำลายสุขภาพของมนุษย์ จึงไม่ต้องสงสัยว่ามันเป็นโทษและเป็นภัย และโทษภัยคือสิ่งน่ารังเกียจที่ต้องห้ามในอิสลาม

              -คณะกรรมการฟัตวาแห่งอัลอัซฮัร อัชชะรีฟ   [لجنة الفتوى بالأزهر الشريف]
มีมติว่า “การสูบบุหรี่ เป็นที่ประจักษ์แน่ชัดจากผู้เชี่ยวชาญและองค์การอนามัยโลกว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นสาเหตุของการเป็นโรคมะเร็งปอด และหลอดลม ทั้งส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินเพราะเป็นการใช้จ่ายที่ไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ  การสูบบุหรี่จึงเป็นพฤติกรรมชั่วที่ต้องห้าม(หะรอม)”[15]

            -สำนักฟัตวาแห่งอียิปต์ [ دار الإفتاء المصرية] อธิบายว่า “ปัจจุบันข้อมูลทางวิชาการยืนยันชัดเจนถึงภยันตรายของการใช้ยาสูบที่มีต่อชีวิตและทรัพย์สินจึงเป็นสิ่งต้องห้ามเด็ดขาด เพราะอิสลามมุ่งพิทักษ์รักษาสิ่งทั้งสอง อัลลอฮฺตรัสว่า [وَلَا تَقْتُلُوا أَنْفُسَكُمْ ۚ إِنَّ اللَّهَ كَانَ بِكُمْ رَحِيمًا] ความว่า "และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ”    (ซูเราะห์อัลนิซาอฺ อายะห์ที่ 29)   และอัลลอฮฺตรัสว่า      [...وَلَا تُلْقُوا بِأَيْدِيكُمْ إِلَى التَّهْلُكَة...]  ความว่า “และจงอย่าโยนตัวของพวกเจ้าสู่ความพินาศ”  (บทอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะห์ที่ 195)[16]

            -คณะกรรมการถาวรเพื่อการศึกษาวิจัยและฟัตวาแห่งประเทศซาอุดิอารเบีย  [اللجنة الدائمة للبحوث العلمية والإفتاء بالمملكة العربية السعودية]
ชี้ขาดว่า การบริโภคยาสูบต้องห้ามเด็ดขาด(หะรอม) การปลูกยาสูบต้องห้ามเด็ดขาด และการค้ายาสูบก็ต้องห้ามเด็ดขาด เนื่องจากมีภยันตราย ซึ่งต้องห้ามตามนัยแห่งหะดีษของท่านนบี ที่ว่า  [لا ضرر ولا ضرار] ความว่า "ไม่มีการก่อความเสียหายต่อตนเองและผู้อื่น[17] และเนื่องจากเป็นสิ่งเลวหรือน่ารังเกียจ  [الخبائث] ตามนัยแห่งอัลกุรอานที่ว่า [...وَيُحِلُّ لَهُمُ الطَّيِّبَاتِ وَيُحَرِّمُ عَلَيْهِمُ الْخَبَائِثَ... الآية]  ความว่า “และจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขาซึ่งสิ่งเลวทั้งหลาย”[18] (บทอัลอะอฺรอฟ อายะห์ที่ 157)

               -สำนักจุฬาราชมนตรี ได้ออกคำวินิจฉัยทางศาสนา (ฟัตวา) ที่ 02/2549
เรื่อง บุหรี่ โดยระบุว่า “หลักการหนึ่งที่ศาสนาอิสลามให้การยอมรับคือ ไม่อนุญาติให้มุสลิมรับประทาน หรือ ดื่มและเสพสิ่งใด ๆ ที่จะทำให้เสียชีวิตโดยเร็วหรือช้าก็ตาม เช่น ยาพิษทุกชนิด และสิ่งที่ให้โทษหรือที่จะทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น



والله أعلم بالصواب