อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

ผม รัก คุณ






เมื่อมีใครบางคนมาบอกฉันว่า

"ฉัน รัก คุณ..."

ฉันแค่อยากถามกลับไปว่า "คุณรักฉันจริงหรอ ?"

ฉันแค่อยากขอ...

"หากคุณรักฉันจริง คุณอย่าปล่อยให้ฉันหลงทางที่ผิด"

"หากคุณรักฉันจริง ช่วยนำทางที่เที่ยงตรงแก่ฉันด้วย (กิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺ)

"หากคุณรักฉันจริง ได้โปรดช่วยฉัน อย่าทำให้ความรักที่มีระหว่างเราเป็ฯแค่รักในโลกดุนยานี้ แต่อยากให้รักครั้งนี้เป็นรักที่นำไปสู่โลกอาคีเราะฮฺ"

หากมิเช่นนั้นแล้ว, คุณอย่าได้บอกคำว่า "ฉันรักเธอ..." กับฉันเลย

เพราะฉันกลัว คำว่า รัก นั้น เป็นเพียงแค่คำหวาน ๆ ที่ออกจากปากเท่านั้น และ รัก ไร้ค่า, รัก ที่ไมมีความหมายอะไร อย่าได้ทำให้ คำว่า รัก เป็ฯคำที่ฟังแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะคนที่ "รัก" ไม่ปล่อยให้คนที่ตนรัก อธรรมต่อตัวเองอย่างเด็ดขาด....


....................................
นูรีฮัน มาเลเซีย : เขียน
(จากหนังสือ : สาส์นรัก ฉบับผู้ศรัทธา 1)
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส




"มุ่อากอบะฮฺ"การลงโทษตนเองเมื่อทำความผิดที่เป็นบาป



มุ่อากอบะฮฺ คือ...การลงโทษตนเองถ้าเรากระทำความผิดที่เป็นบาป...
และนี้คือตัวอย่างของบรรดาผู้ที่แสวงหาความฌโปรดปรานจากอัลลอฮฺ...

1 ท่านมันซุร บินอิบรอฮีม ได้กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งขณะกำลังคุยกับหญิงคนหนึ่งได้เอามือของเขาไปวางที่ต้นขาอ่อนของเธอ หลังจากนั้นเขารู้สึกผิด เขาได้เอามือของเขาวางบนไฟ

2 มีรายงานว่า ฆ้อซวาน ได้เห็นหญิงคนหนึ่งเข้าร่วมทำสงคราม เขาสนใจหล่อนและได้ยื่นมือไปยังหล่อน ด้วยเหตุนี้เขาได้ตบลูกตาที่มองผู้หญิงอย่างแรงจนบวม และเขาได้พูดว่า เจ้าได้มองดูยังสิ่งซึ่งจะทำอัตรายแก่เจ้าอย่างมหันต์

3 มีรายงานว่าฮัสซัน บิน อะบีซีนาน ครั้งหนึ่งเขาได้ผ่านอาคารที่สวยงามหลังหนึ่ง และเขาได้พูดว่า อาคารหลังงามนี้ได้สร้างขึ้นมาเมื่อไร จากนั้นเขาได้ตำหนิตัวเองและพูดว่า เจ้าพูดคำเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ทั้งที่มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อเจ้าเลย ฉันจะถือศีลอดเป็นการลงโทษเจ้าหนึ่งปี แล้วเขาก็ได้ถือศีลอดตามที่เขาได้เจตนาไว้แล้วไม่ดื่มน้ำเย็นตลอดชีวิตของเขา

4 ท่านตะมีม ดารี รู้สึกง่วงนอนในคืนหนึ่ง ซึ่งทำให้ท่านไม่สามารถทำการละหมาดตะฮัดยุดได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงลงโทษตัวเองด้วยการทำละหมาดกลางคืนเป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่หลับนอนทั้งคืน

5 ได้ทีการเล่าขานว่าท่านอุมัร เคยตีเท้าทั้งสองข้างของทานทุกคืนโดยพูดว่า เจ้าได้ทำอะไรมาในวันนี้บ้าง

6 ท่านอิบนี่ซะมัก ได้ไปเยี่ยมศพของท่านดาวุด อัตตออีย์ แล้วท่านได้พูดต่อหน้าศพท่านดาวุดว่า ท่านได้จองจำนัฟซูใฝ่ต่ำของท่านก่อนที่ท่านจะถูกจองจำ ท่านได้ลงโทษตัวท่านเองก่อนที่ท่านจะถูกลงโทษ อีกไม่ช้าท่านจะได้เห็นรางวัลที่ท่านได้ทำลงไปแล้ว

{{ เรื่องราวที่เป็นตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้นการแสดงให้เห็นถึง บรรดาผู้บริสุทธิ์ชั้งสูงที่ลงโทษตัวของท่านเอง}}

......ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีสติปัญญาท่านจะต้องทราบดีว่าชีวิตในโลกหน้านั้น เป็นชีวิตแห่งความเป็นจริงและเป็นชีวิตที่มีความผาสุกชั่วนิรันด์ แต่ตัวท่านเองกลับไปกีดกันตัวท่านจากความสุขที่ถาวรชั่วนิรันดร์ของอัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮุวะตะอาลา) ดังนั้นการลงโทษต่อตัวท่านเอง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง......

..............................................................................
(จากหนังสือตายก่อนตาย.. โดย มันซูร บินยะห์ยา)
บ่าวผู้กลับตัว หาพระเจ้า โพส




จุดจบที่สวยงาม (ได้เห็นญันนะฮฺ)



" เรื่องเล่า ชวนคิด "

จุดจบที่สวยงาม (ได้เห็นญันนะฮฺ)

เรื่องราวต่อไปนี้ถูกถ่ายทอดโดยด็อกเตอร์ชัยคฺคอลิด อัลญูบัยรฺ นักวิชาการศาสนาประเทศซาอุดิอาระเบีย และนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย

ท่านบอกเล่าว่า “วันหนึ่ง เวลา 13.45 นาฬิกา ผมจำวันนั้นได้เป็นอย่างดี ขณะนั้นผมกำลังทำการผ่าตัดให้กับผู้ป่วยคนหนึ่งอยู่ ซึ่งระหว่างนั้นเองผมได้รับโทรศัพท์จากแผนกฉุกเฉิน โทรมาบอกกับผมว่า “คุณหมอคอลิดครับ เรามีคนไข้คนหนึ่งถูกยิงที่คอ และเขากำลังจะเสียชีวิต”

ผมตอบเขาไปว่า “แต่ผมกำลังทำการผ่าตัดอยู่”

ปลายสายบอกกับผมว่า “แต่เคสนี้ด่วนมากครับ เราต้องการคุณหมอ ความดันโลหิตของคนไข้ต่ำมาก และเราต้องการหมอที่เชี่ยวชาญครับ”

ผมจึงบอกว่าเขาว่า “โอเค ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ให้เลือดเขาไว้ก่อนแล้วกันนะ”

ดังนั้นผมจึงบอกหมออีกท่านที่อยู่ในห้องผ่าตัดให้ดำเนินการผ่าตัดต่อไป แล้วผมก็รีบไปที่แผนกฉุกเฉิน

เมื่อผมไปถึงที่นั่น ผมเห็นใบหน้าของคนไข้ส่องสว่างสดใส ซึ่งขณะนั้นเขาอยู่ในอาการโคม่า คอด้านขวาของเขาบวมมาก ผมจึงเริ่มตรวจสอบดูว่าบาดแผลของเขาเป็นอย่างไร ดูว่ากระสุนอยู่ที่ไหน อยู่ลึกเพียงใด และพิจารณาว่าผมควรเอากระสุนออกที่นั่นเลย หรือควรจะพาเขาไปที่ห้องผ่าตัด

ขณะที่ผมกำลังดูบาดแผลของคนไข้อยู่ เขาก็ลืมตาขึ้นมา และจ้องมองดูผมด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นบ่ายเบี่ยง พร้อมบอกกับผมว่า “คุณหมอครับ อย่าเสียเวลาเลยครับ ผมขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ผมกำลังจะตายอย่างแน่นอน และผมก็สบายดีครับ”

“ผมขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ตอนนี้ผมมองเห็นสถานที่ของผมในญันนะฮฺ ผมอยากพบพ่อและแม่ของผมครับ ผมอยากจะร่ำลาท่านทั้งสองก่อน”

(เมื่อได้ยินดังนั้น) ผม (ชัยคฺคอลิด) รู้สึกขนลุก (กับคำพูดของเขา) เส้นผมของผมตั้งชันขึ้น ผมพูดแทบไม่ออก และผมก็ก้าวถอยหลังออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วผมก็ออกไปพบพ่อและแม่ของเขา

ผมบอกพวกเขาว่า “ลูกชายของคุณต้องการพบคุณทั้งสองครับ”

พวกเขาถามผมว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง คุณหมอ เขามีชีวิตอยู่ใช่ไหม อาการของเขาดีแล้วใช่ไหม”

ผมตอบว่า “ผมขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ เขาอยู่ในสภาพที่ดีด้วยการอำนวยพรของอัลลอฮฺ เขาอยู่ในสภาพที่ดีกว่าที่เขาเคยอยู่มาก่อน”

จากนั้นพ่อของเขาก็พูดกับผมว่า “ได้โปรดบอกข่าวดีกับเราด้วยเถอะ คุณหมอ”

“ผมกำลังบอกคุณอยู่ว่า เขาสบายดี เขาสบายดีด้วยการอำนวยพรของอัลลอฮฺครับ” ผมตอบ

“จริงหรือครับ คุณหมอบอกความจริงกับผมอยู่ใช่ไหม” พ่อของเขาย้ำ

“ใช่ครับ เขาอยู่ในสภาพที่ดียิ่งกว่าที่เขาเคยเป็นมาก่อน”

พ่อของเขาถามผมต่อว่า “เขากำลังจะตายใช่มั้ยครับ คุณหมอ”

ผมตอบย้ำว่า “เขาอยู่ในสภาพที่ดียิ่งกว่าที่เคยเป็นครับ”

พวกเขาจึงรีบวิ่งไปหาลูกชายของเขา ขณะนั้นผมนั่งอยู่ห่างจากพวกเขาเล็กน้อย ผมเฝ้ามอง และฟังพวกเขาอยู่ เมื่อพวกเขาไปถึงตัวของลูกชาย ลูกชายก็จับมือของแม่เขา และจูบที่ฝ่ามือของเธอ และพูดกับเธอว่า “อุมมี ได้โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ” และจากนั้นเขาก็จับมือพ่อของเขา และจูบที่ฝ่ามือเขา และพูดกับพ่อของเขาว่า “อบี ได้โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ”

ผมรู้สึกได้ว่าผมได้ยินเสียงจูบของเขาภายในหัวใจของผม

จากนั้นเขาก็จับมือของพ่อและแม่ของเขาและดึงไปวางไว้ที่หน้าอกของเขา จากนั้นก็พูดกับทั้งสองคนว่า “อุมมี และอบีครับ ให้อภัยต่อผมด้วย และโปรดอย่าลืมผมในดุอาอฺของพ่อและแม่ด้วย อัชฮะดุ อัลลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ วะ อัชฮะดุ มุหัมมะดัรฺ เราะสูลุลลอฮฺ” จากนั้นเขาก็แน่นิ่งไป

หลังจากนั้น ผมจึงถามพ่อของเขา (ด้วยความประทับใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น) ว่า “ลูกชายของคุณเป็นคนอย่างไรหรือครับ”

ผู้เป็นพ่อตอบว่า “ลูกชายของผม ตั้งแต่เขาเติบโตมา เขามักจะอยู่ที่มัสญิดอยู่เสมอ ลูกชายของผม ตั้งแต่เขาเติบโตมา เขาคือคนที่คอยปลุกเราให้ตื่นขึ้นมาละหมาดฟัจรฺอยู่ตลอด และเขามักจะละหมาดกิยามุลลัย ลูกชายของผม ตั้งแต่เขาเติบโตขึ้นมา เขามักจะเข้าร่วมวงฮาละเกาะฮฺเพื่อท่องจำอัลกุรอาน ลูกชายของผมเรียนอยู่โรงเรียนชั้นปีสอง (เป็นระบบโรงเรียนที่ประเทศซาอุดีอารเบีย อายุประมาณ 18 ปี) สายวิทย์ และเขาก็เป็นเด็กที่เรียนได้คะแนนสูงที่สุดในโรงเรียน”

ผมจำได้ว่า.. มีหะดีษบทหนึ่งของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งรายงานโดยนาซาอียฺและอบูดาวูด ที่ท่านเราะสูลได้อธิบายให้เราทราบเกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งการเสียชีวิตว่า “หากผู้ใดก็ตามในหมู่พวกท่าน กำลังจะเดินทางไปยังอาคิเราะหฺและละทิ้งโลกดุนยานี้ไป เขาจะมองเห็นในระยะที่ไกลที่สุดที่เขาสามารถมองเห็นได้นั้นเต็มไปด้วยบรรดามลาอิกะฮฺ มลาอิกะฮฺมีใบหน้าขาวสว่าง พร้อมด้วยมารยาทและรูปร่างที่งดงาม และเขาจะได้เห็นสถานที่ของเขาในญันนะฮฺ” ซึ่งนี่คือข่าวดีจากท่านเราะสูลแก่บรรดามุสลิมที่ดีทั้งหลาย

ผมวิงวอนขออัลลอฮฺต่อผมและท่าน และคนที่เรารัก และมุสลิมทุกๆ คนให้ได้พบในสิ่งนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ (ที่ผมได้บอกเล่านี้) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ครั้งเดียวที่ผมได้เป็นพยาน ในระยะเวลา 32 ปีของการเป็นแพทย์ของผม ได้มีคนไข้ 3 คนที่บอกกับผมว่าเขาได้เห็นสวรรค์ญันนะฮฺ


..........................................................
ญะซากั้ลลอฮุ ค็อยร็อน อบู มุสฏอฟา สำหรับการถ่ายทอดจากคลิปภาษาอาหรับเป็นภาษาอังกฤษในการแปลครั้งนี้ /แปล เรียบเรียง بنت الاسلام
รัศมี แห่งดวงตา โพส


คุละฟาอ์ อัร-รอชิดีน ชะรีอะฮฺที่ถูกรับรอง


การกำหนดชะรีอะฮฺ นั้น รวมไปถึงในสมัยของคุละฟาอ์ อัร-รอชิดีน ภายหลังการสิ้นชีวิตของท่านรสูลด้วยเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาได้รับการรับรองจากท่านรสูล ให้ปฏิบัติตามในทุกๆการตัดสินใจ

ท่านรสูลลุลลอฮฬ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"พวกท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตามเคาะลีฟะฮฺสองท่านหลังจากฉันคืออบูบักร และอุมัร" (บันทึกโดยอัตติรมีซีย์

แต่ดังกล่าวนั้น มิได้หมายความว่า พวกเขาได้กำหนดชะรีอะฮฺที่อัลลอฮฺมิได้ทรงบัญญัติไว้ขึ้นเอง และแน่นอนว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขาด้วย เพราะพวกเขายึดมั่นอย่างที่สุดต่ออายะฮฺของอัลลอฮฺ และสุนนะฮฺของท่านรสูล

ท่านอบูบักร ผร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) กล่าวว่า
"แผ่นดินใดที่ฉันจะย่ำเดินได้ และฟากฟ้าแห่งไหนที่จะให้ร่มเงาแก่ฉันอีก หากฉันเอ่ยกล่าวถึงสิ่งหนึ่งในคัมภีรฺของอัลลอฮฺ โดยที่ฉันไม่มีความรุ็อะไรเลยเกี่ยวกับมัน" (บันทึกโดยอิบนุล ก็อยยิม และอิบนุ หัซมฺ)

เมื่อจำเป็รต้องกำหนดหุก่มอย่างหนึ่งพวกเขาต้องเร่งรีบค้นหาการกำหนดบัญญัติจากคัมภีร์ของอัลลอฮฺ และสุนนะฮฺของท่านรสูล หากพวกเขาไม่รู้ พวกเขาก็รีบเร่งชุมนุมผู้คน และสอบถามพวกเขาว่าใครบ้างที่รู้มาจากท่านรสูลเกี่ยวกับสิ่งดังกล่าวหรือสิ่งที่คล้ายคลึงกัน หากไม่มีใครรู้เลยพวกเขาก็พยายามทำความเข้าใจเจตนารมณ์และเป้าหมายของหลักฐานต่างๆที่มีอยู่ และทำการอิจญ์ติฮาด เพื่อกนดหุก่มให้แก่สิ่งที่พวกเขาประสบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาคมมุสลิมเอาไว้


والله أعلم بالصواب


ปรากฎการณ์แห่งความจริงที่พิชิตความเท็จ



กฎของอัลลอฮฺตะอาลา คือปรากฎการณ์แห่งความจริงที่พิชิตความเท็จ อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดสิ่งนี้ไว้โดยความรู้ของมนุษย์เอง นั้นคือ ความก้าวหน้าในความรู้และวิทยาศาสตร์ ทำให้มนุษย์สามารถพิสูจน์ถึงสัจธรรมของพระเจ้า ที่ไม่อาจมีใครทำลายได้ในที่สุด ด้วยประทานอัลกุรอาน เรื่องราวและสิ่งต่างๆที่จะถูกเปิดเผยในอนาคตได้ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

سَنُرِيهِمْ آيَاتِنَا فِي الْآفَاقِ وَفِي أَنفُسِهِمْ حَتَّىٰ يَتَبَيَّنَ لَهُمْ أَنَّهُ الْحَقُّ أَوَلَمْ يَكْفِ بِرَبِّكَ أَنَّهُ عَلَىٰ كُلِّ شَيْءٍ شَهِيدٌ ( 53 )

"เราจะให้พวกเขาได้เห็นสัญญาณทั้งหลายของเราในขอบเขตอันไกลโพ้นและ ในตัวของพวกเขาเอง จนกระทั่งจะเป็นประจักษ์แก่พวกเขาว่า อัลกุรอานนั้นเป็นความจริง ยังไม่พอเพียงอีกหรือ ที่พระเจ้าของเจ้านั้นทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺฟุศศิลัต 41:53)

อายะฮฺกุรอานนี้จะต้องถุกมองในสมัยของอนุชนคนรุ่นหลัง เพราะนี่เป็นถ้อยคำของอัลลอฮฺ ที่มิได้ถูกประทานมาเพื่อคนในยุคนั้นเท่านั้น แต่ถูกประทานลงมาเพื่อประชากรทั้งหมดที่จะตามมาในอนาคตข้างหน้า

อายะฮฺดังกล่าวประกาสว่า อะไรก็ตามที่ถูกนำมาเสนอในสมัยของมัน บนพื้นฐานของความรู้ที่ถูกประทานมานั้น ในอนาคตจะสามารถพิสูจน์ได้โดยความก้าวหน้าในความรู้ของมนุษย์ ว่าเป็นความจริงที่ถูกต้องเชื่อถือได้ สิ่งที่เป็นเรื่องของคำยืนยันในปัจจุบันจะได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงในอนาคต

ท่านอิบนุกะซีรฺ (ร่อหิมะฮุลลอฮฺ) ได้อธิบายความหมายของอายะฮฺนี้ ว่า
"ในไม่ช้า เราจะทำให้สัจธรรมของคัมภีรฺกุรอานเป็นที่ประจักษ์ชัด โดยการใช้ข้อโต้แย้งภายนอกของเหตุผล"

والله أعلم بالصواب






วิธีเอาชนะใจ (ความรัก) ภรรยา




1. ทำให้ภรรยาของคุณรู้สึกปลอดภัย อย่าขู่เธอด้วย “การหย่า”

2. กล่าวทักทาย “สลาม” ที่จริงใจต่อเธอ

3. ปฏิบัติต่อเธอด้วยความอ่อนโยน เปรียบเธอเสมือนแก้วที่เปราะบาง

4. ให้การตักเตือนเธอในที่ลับ ในเวลา
และบรรยากาศที่เหมาะสมที่สุด และ
ด้วยวิธีการที่ดีที่สุด

5. ใจกว้างต่อเธอ

6. ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ สบายใจ

7. หลีกเลี่ยงการโกรธเคือง พยายามทำให้ตัวคุณให้อยู่ในสภาพที่มีน้ำละหมาดตลอดเวลา

8.ทำตัวเองให้ดูดีและมีกลิ่นตัวที่หอมเพื่อภรรยาของคุณอยู่เสมอ

9. อย่าเข้มงวดเกินไป (ไม่ยืดหยุ่น) หรือมีจิตใจที่แข็งกร้าว (หยาบกระด้าง) ต่อภรรยาของคุณ มิเช่นนั้นคุณอาจจะเสียสูญเธอไปได้

10. เป็นผู้ฟังที่ดี

11. ชื่นชมภรรยาของคุณบ้าง และหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน

12. เรียกภรรยาของคุณด้วย "ชื่อที่ดีที่สุด" อาจจะเป็น "ชื่อน่ารักๆ" หรือ "ชื่อที่เธอชอบให้เรียก"

13.ทำเซอร์ไพรส์ภรรยาของคุณบ้างเป็นครั้งคราว

14.ระมัดระวังเรื่องการพูดจากับภรรยา

15.เผื่อใจไว้ว่าภรรยาของคุณย่อมมีข้อเสียบ้าง จากนั้นจงยอมรับ และมองข้ามข้อบกพร่องของเธอ

16. ให้คำชมที่จริงใจต่อเธอ

17.คอยสนับสนุนส่งเสริมให้ภรรยาของคุณรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของเธอ

18.พูดคุยถึงเรื่องราวที่เธอมีความสนใจ
19.ชมเชยภรรยาว่าเธอดีเพียงใดต่อญาติพี่น้องของเธอ

20. ให้ของขวัญต่อกัน

21. หาเวลาว่าง เพื่อเซอร์ไพร์เธอ

22. คิดดีต่อกัน

23. มีมรรยาทที่ดี มองข้ามความผิดเล็กๆ น้อยๆ และอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่

24.มีความอดทนต่อภรรยาของคุณให้มากโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เธอกำลังตั้งครรภ์ หรือมีรอบเดือน

25.พร้อมรับกับความหึงหวงของภรรยาของคุณและเคารพต่อความหึงหวงนั้นของเธอ

26. มีความสุภาพ ถ่อมตน

27. เสียสละความสุขส่วนตัวของคุณ เพื่อเธอ

28. ช่วยเธอทำงานบ้าน

29.ช่วยทำให้ภรรยาของคุณรักญาติพี่น้องของคุณ แต่อย่าบีบบังคับ ฝืนใจเธอ

30. บอกให้เธอทราบว่า “เธอคือภรรยาในอุดมคติของคุณ”

31. ดุอาอฺให้ภรรยาของคุณเสมอ

32.ทิ้งอดีตทุกอย่างของเธอไว้กับอัลลอฮฺ อย่าคิดถึงมัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องราว และอย่าหยิบยกเรื่องเก่าขึ้นมา

33. คุณไม่ควรทำตัวเหมือนกับว่า คุณคือผู้ที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่ภรรยาของคุณด้วยการทำงานและการให้ปัจจัยต่างๆ แก่เธอ เพราะแท้จริงแล้ว อัลลอฮฺคือผู้ทรงประทานปัจจัยทั้งหลาย และคุณในฐานะ “สามี” เป็นเพียงผู้ที่นำปัจจัยนั้นๆ ส่งต่อไปยังครอบครัวของคุณเท่านั้น

34. พึงระลึกว่า “ชัยฏอน” คือศัตรูของ
คุณ และ “ภรรยาของคุณ” ไม่ใช่ศัตรูของคุณ

35. ป้อนอาหารเธอ (ทำบ้างในบางโอกาสพิเศษๆ)

36.ปฏิบัติต่อภรรยาของคุณเสมือนว่าเธอคือ “ไข่มุกที่ล้ำค่าที่สุด” ที่คุณต้องการปกป้องรักษาไว้

37. มอบรอยยิ้มให้กับเธออยู่เสมอ

38. อย่าเพิกเฉยต่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คุณควรจัดการกับเรื่องเหล่านั้น ก่อนที่มันจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่

39.หลีกเลี่ยงการเป็นคนที่มีจิตใจแข็งกระด้าง

40.ให้เกียรติเธอและทำให้เธอรู้ว่าคุณเคารพความคิดเห็นของเธอ

41. ช่วยให้เธอได้ค้นพบและสร้าง “ศักยภาพ” และ “ความสามารถ” ในตัวเธอ

42. ควรให้เกียรติ (เคารพ) เธอ หากเธอไม่พร้อมที่จะร่วมหลับนอน คุณทั้งสองควรอยู่ในขอบเขตที่หะลาลต่อกัน

43. ช่วยเหลือเธอดูแลลูกๆ

44. ให้ของขวัญ รางวัลแก่เธอด้วยคำพูดที่ดี จงมีศิลปะในการชื่นชมเธอ

45. นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน

46. หากคุณต้องเดินทางไกล หรือกลับมาจากการเดินทาง คุณควรบอกให้ภรรยาของคุณทราบก่อนล่วงหน้า (ไม่กระชั้นชิด) เพื่อให้เธอได้เตรียมตัว

47.อย่าออกจากบ้านขณะที่มีความโกรธ
48.รักษาความลับและความเป็นส่วนตัวภายในบ้าน

49.ส่งเสริมกันและกันในการทำอิบาดะฮฺ
50. ให้เกียรติและเติมเต็มสิทธิ์ของเธอ

51. อยู่ร่วมกับเธอด้วยความเมตตา ความดีงาม ความยุติธรรม ทั้งในเวลาที่ดีและเวลาที่ไม่ดี

52. หอมเธอ หยอกล้อเธอ อย่ากระโจนเข้าหาเธอเสมือนว่าคุณเป็นวัวดุ

53. อย่าเปิดเผย “ปัญหาการโต้เถียงระหว่างคุณทั้งสอง” ให้ผู้ใดทราบ

54.แสดงความห่วงใยต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของเธอ

55. พึงระลึกเสมอว่า คุณไม่ได้เป็นฝ่ายที่ถูกต้องเสมอไป หรือว่าคุณมีความสมบูรณ์แบบแล้ว

56.แบ่งปันความสุขและความทุกข์กับภรรยาของคุณ

57.มีความเมตตาต่อความอ่อนแอของเธอ (เห็นใจเธอ)

58. เป็นหลักมั่นคงให้เธอได้พึ่งพิง (คอยสนับสนุนเธอ)

59. ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น

60. มีเจตนาที่ดีต่อเธอ

61. ทำอาหารให้เธอทาน

62. หาพื้นที่ที่ดี สะอาด กว้างขวาง ภายในบ้านสำหรับคุณและเธอเพื่อทำการละหมาดในยามค่ำคืนร่วมกัน

63. ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบดอกไม้ คุณอาจจะเซอร์ไพรส์เธอด้วยการโรยกลีบดอกไม้ที่พื้นเป็นทางให้เธอเดินตามรอย ไปจนพบกับของขวัญที่คุณเตรียมไว้ให้เธอ

64.คุณอาจจะเซอร์ไพรส์เธอด้วยการนวดให้เธอ ขณะที่เธอไม่ได้คาดหวัง

65.ส่งข้อความแสดงความรักให้เธอทางมือถือ

66.ส่งอีเมลแสดงความรู้สึกดีดีที่คุณมีต่อเธอ

67. ออกไปเที่ยวนอกบ้าน หรือออกไปเที่ยวสถานที่ดีดีในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันพักร้อนเพียงสอง คนสามีภรรยา โดยไม่ต้องเอาลูกๆ ไปด้วย (ฝากคุณพ่อคุณแม่ให้ดูแลแทน)

68. ทำอะไรพิเศษๆ ให้กับครอบครัวของภรรยา ไม่ว่าจะเป็นการให้ของขวัญ หรือการพูดคุยกับพี่ชายหรือน้องชายของเธอที่อาจต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆการกระทำเช่นนี้ย่อมเอาชนะใจเธอได้มาก

69. อย่าทวงหรือเรียกร้อง “สิทธิของคุณ” อยู่ตลอดเวลา

70.ออกไปซื้อของที่ตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตให้ภรรยา และถามเธอหากเธอต้องการสิ่งใดสำหรับบ้าน หรือสำหรับตัวเธอ หรือต้องการซื้อของขวัญให้ใครหรือไม่

71.ถามภรรยาหากเธอต้องการชวนเพื่อนมุสลิมะฮฺมาที่บ้านหรือทานอาหารที่บ้านหรือ ไม่ และให้เธอได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมุสลิมะฮฺของเธอแบบส่วนตัว (โดยที่คุณไม่อยู่ร่วมด้วย)

72.ส่งเสริมภรรยาให้ส่งของขวัญไปให้กับพ่อแม่และญาติพี่น้องของเธอ

73. ช่วยชำระหนี้ให้พ่อแม่ของภรรยา หรือส่งเงินไปช่วยเหลือญาติพี่น้องที่ยากจนของเธอ

74.เขียนข้อความหรือบทกลอนแสดงความรักวางไว้บนหนังสือที่เธอกำลังอ่าน

75.หากภรรยาของคุณบอกกับคุณถึงบางสิ่งบางอย่างที่เธอเพิ่งศึกษามาจากอัลกุรฺอาน หรือหะดีษ คุณอย่าเพิกเฉยหรือดูถูกความพยายามของเธอแต่จงรับฟังเธอและน้อมรับสิ่งที่เธอบอกกล่าว

76. ช่วยอับเดตโปรแกรมใหม่ๆ ให้กับคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุคของเธอ หรือซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้เธอ

77. หาแมวมาให้เธอเลี้ยง (หากเธอชอบ)

78. ปลูกพืชสวนครัวให้เธอ เพื่อที่เธอจะได้นำมาประกอบการทำอาหาร
79. หยอกล้อ
สร้างความสนุกสนานกับเธอ

80. อบรมสั่งสอนให้ลูกๆ ของคุณ ให้เกียรติและเคารพมารดาของพวกเขา


................................
ถอดความ بنت الاٍسلام
แหล่งที่มา Ways to win Wife's Love
แวนิต้า โรส โพส

สิ่งที่มีอิทธิพลมากกว่าลม



เล่าจากท่านอะนัส ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนะบี ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่ออัลลอฮ์ได้สร้างโลกนี้เสร็จแล้ว แต่มันสั่น มันไหว พระองค์จึงได้สร้างภูเขา แล้วได้นำไปไว้ที่ผิวโลก ซึ่งทำให้โลกไม่สั่น ไม่ไหวอีกต่อไป” ทำให้มวลมะลาอีกะฮ์แปลกใจมาก พวกเขาจึงทูลถามอัลลอฮ์ว่า

“ในบรรดาสิ่งที่พระองค์สร้างนั้น มีสิ่งใดที่มีอิทธิพลมากกว่าภูเขาไหม?”

พระองค์ทรงตอบว่า “มี! สิ่งนั้น คือ ไฟ”

มวลมะลาอีกะฮ์ได้ทูลถามต่อไปอีกว่า

ในบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้น มีสิ่งใดที่มีอิทธิลพลมากกว่าไฟไหม?

พระองค์ทรงตอบว่า “มี! สิ่งนั้น คือ ลม”

มวลมะลาอีกะฮ์ได้ทูลถามต่อไปอีกว่า

ในบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้น มีสิ่งใดที่มีอิทธิพลมากกว่าลมไหม?

พระองค์ทรงตอบว่า “มี! สิ่งนั้น คือ มนุษย์ ที่ทำการบริจาคด้วยมือขวา โดยที่มือซ้ายไม่รู้ อย่างนี้แหละที่แข็งกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมด” และนั่นต้องหมายถึง ได้ระมัดระวังห้าประการต่อไปนี้.-


1. ทำการบริจาค โดยไม่ให้ใครรู้.....(ซึ่งชาวสะลัฟสนใจในเรื่องนี้มาก ถึง กับพยายามหาคนจนที่ตาบอด เพื่อจะได้ไม่รู้ว่าใครคือผู้ให้ บางท่านเอาสิ่งที่จะทำการบิจาค ไปผูกไว้กับชายผ้าของคนนอนหลับ และ บางท่านนำไปวางไว้ข้างถนนที่คนยาก คนจนเดินผ่าน)

2. ต้องระวังเรื่องการลำเลิกบุญคุณ

3 . บริจาคของดี ๆ

4. บริจาคด้วยความยินดี ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

5. เลือกบริจาคที่มีผลบุญดี ๆ เช่น ให้แก่ผู้รู้ที่ยำเกรงอัลลอฮ์ เพื่อจะได้ให้เขามีเวลาเพื่อการตออัตต่ออัลลอฮ์มากยิ่งขึ้น.!

......................................
Cr.เรื่องเล่าจากบรรพชน
Dariyah Muslimah



บุถคลิกลักษณะของท่านนบีมุหัมมัด



บุคลิกลักษณะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม


«كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَحْسَنَ النَّاسِ وَجْهًا وَأَحْسَنَهُ خَلْقًا، لَيْسَ بِالطَّوِيلِ الْبَائِنِ وَلاَ بِالْقَصِيرِ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เป็นผู้ที่มีใบหน้างามที่สุดและเป็นคนที่มีรูปร่างดีที่สุด ร่างท่านไม่สูงโกร่งและไม่เตี้ย” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ตามสำนวนนี้ : 2549 และมุสลิม : 2337)

«وَكَانَ صلى الله عليه وسلم إِذَا تَكَلَّمَ بِكَلِمَةٍ أَعَادَهَا ثَلاَثًا حَتَّى تُفْهَمَ عَنْهُ، وَإِذَا أَتَى عَلَى قَوْمٍ فَسَلَّمَ عَلَيْهِمْ سَلَّمَ عَلَيْهِمْ ثَلاَثًا»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อท่านพูดประโยคใด ท่านจะทวนสามครั้งจนกระทั่งเป็นที่เข้าใจ และเมื่อท่านมาหากลุ่มคนใดท่านก็จะให้สลามต่อพวกเขา ท่านจะให้สลามต่อพวกเขา ถึงสามครั้งเช่นกัน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 95)

وَ «كَان صلى الله عليه وسلم إذا رَاعَهُ شَيْءٌ قال : هُوَ اللهُ رَبِّي لاَ أُشْرِكُ بِهِ شَيْئًا»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อมีสิ่งใดมาสร้างความหวาดหวั่น ท่านจะกล่าวดุอาอ์
«هُوَ اللهُ رَبِّي لاَ أُشْرِكُ بِهِ شَيْئًا»
ความว่า : อัลลอฮฺคือพระผู้อภิบาลของฉัน ฉันไม่ตั้งสิ่งใดเป็นภาคีเทียบเคียงกับพระองค์“ (เศาะฮีหฺ บันทึกโดยอัล-นะสาอีย์ ใน อะมัล อัล-เยาม์ วะ อัล-ลัยละฮฺ : 657 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2070)

وَ «كَانَ فِرَاشُ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم الَّذِى يَنَامُ عَلَيْهِ أَدَمًا حَشْوُهُ لِيفٌ»
ความว่า “ที่นอนของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ท่านใช้นอนนั้นเป็นหนังฟอกที่อัดข้างในด้วยเปลือกต้นอินทผาลัม” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 6456 และมุสลิมตามสำนวนนี้ : 2082)

وَ «كان صلى الله عليه وسلم رَحِيماً، وكان لاَ يَأْتِيْهِ أَحَدٌ إلاَّ وَعَدَهُ وأَنْجَزَ لَهُ إنْ كانَ عِنْدَهُ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เป็นคนมีเมตตา ซึ่งทุกคนที่มาหาท่าน (เพื่อขอสิ่งใด) ท่านจะให้สัญญาแก่เขา และท่านจะมอบให้แก่เขา ถ้าหากท่านมีสิ่งนั้นอยู่” (หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ ใน อัล-อะดับ อัลมุฟร็อด : 281 เศาะฮีหฺ อัล-อะดับ อัล-มุฟร็อด : 212 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2094)

وَ «كَانَ كَلاَمُ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم كَلاَمًا فَصْلاً يَفْهَمُهُ كُلُّ مَنْ سَمِعَهُ»
ความว่า “คำพูดของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เป็นคำพูดที่เป็นวรรคเป็นตอน ทุกคนที่ฟังจะเข้าใจ” (หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอบู ดาวูด : 4839 เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4051)

وَ «كان صلى الله عليه وسلم لاَ يُسْأَلُ شَيْئاً إلاَّ أَعْطاهُ أَوْ سَكَتَ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น ทุกสิ่งที่ท่านถูกร้องขอ ท่านจะให้หรือ(ถ้าท่านไม่มีให้)ท่านก็จะนิ่งเงียบ” (เศาะฮีหฺ บันทึกโดยอัล-หากิม : 2591 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2109)

وَ «كان صلى الله عليه وسلم لاَ يَنَامُ إلاَّ وَالسِّواكُ عِنْدَهُ فَإِذَا اسْتَيْقَظَ بَدَأَ بِالسِّواكِ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อท่านนอน ไม้สีฟันจะอยู่กับท่าน พอท่านตื่น ท่านจะสีฟันเป็นอันดับแรก” (หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอะห์มัด : 5979 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2111)

و «كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَتَخَلَّفُ فِى الْمَسِيرِ فَيُزْجِى الضَّعِيفَ وَيُرْدِفُ وَيَدْعُو لَهُمْ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น มักจะอยู่รั้งท้าย ในตอนเดินทาง โดยท่านจะคอยจูงคนอ่อนแอ ตามหลังเขา และจะขอดุอาอ์ให้แก่เขา” (หะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดยอบู ดาวูด : 2639, เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 2298)

وَ «كَانَُ صلى الله عليه وسلم إِذَا اشْتَدَّ الْبَرْدُ بَكَّرَ بِالصَّلاَةِ ، وَإِذَا اشْتَدَّ الْحَرُّ أَبْرَدَ بِالصَّلاَةِ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น ในยามที่หนาวเหน็บท่านจะรีบละหมาดแต่เนิ่นๆ แต่ในยามที่แดดร้อน ท่านจะชะลอการละหมาดจนบ่ายคล้อยลงหน่อย” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 906)

وَ «كان صلى الله عليه وسلم كَانَ إِذَا اشْتَكَى نَفَثَ عَلَى نَفْسِهِ بَالْمُعَوِّذَاتِ، وَمَسَحَ عَنْهُ بِيَدِهِ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อมีอาการเจ็บปวด ท่านจะเป่าลงบนตัวท่านด้วย(การอ่าน) สูเราะฮฺอัล-มุเอามิซาต(สูเราะฮฺ อัล-อิคลาศ, อัล-ฟะลัก และอัน-นาส) และใช้มือลูบส่วนที่เจ็บปวดนั้น” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 4439 และมุสลิมตามสำนวนนี้ : 2192)

وَ «كَانَ صلى الله عليه وسلم إِذَا اكْتَحَلَ اكْتَحَلَ وِتْرًا، وَإِذَا اسْتَجْمَرَ اسْتَجْمَرَ وِتْرًا»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อท่านทาตาด้วยพลวง ท่านจะทาเป็นจำนวนคี่ และเมื่อท่านชำระจากการถ่ายทุกข์ด้วยการอิสติจญ์มาร(โดยการใช้ก้อนหินหรือใบไม้)ท่านจะทำความสะอาดด้วยหินเป็นจำนวนคี่” (หะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 17562 ดู เศาะฮีหฺ อัลญามิอฺ : 4680)

«وَكَانَ صلى الله عليه وسلم تُعْجِبُهُ الرِّيحُ الطَّيِّبَةُ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น ชื่นชอบกลิ่นที่หอม” (หะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 26364 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2136, และอบูดาวูด : 4074 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3435)

و «كَانَ صلى الله عليه وسلم إِذَا أَتَاهُ أَمْرٌ يَسُرُّهُ أَوْ يُسَرُّ بِهِ خَرَّ سَاجِدًا شُكْرًا لِلَّهِ تَبَارَكَ وَتَعَالَى»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อมีสิ่งที่ทำให้ท่านสุขใจ ท่านจะน้อมตัวลงสุญูดเพื่อเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮฺผู้ทรงมหาจำเริญและสูงส่ง” (หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์ : 1578 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 1282 และบันทึกโดยอิบนุ มาญะฮฺ ตามสำนวนนี้ : 1394 ดู เศาะฮีหฺสุนันอิบนุมาญะฮฺ : 1143)

و «كانَ النَّبِىُّ صلى الله عليه وسلم إِذَا حَزَبَهُ أَمْرٌ صَلَّى»
ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อมีสิ่งใดทำให้ท่านทุกข์ร้อนใจ ท่านจะละหมาด” (หะดีษ หะสัน บันทึกโดยอะห์มัด : 23688 และบันทึกโดยอบู ดาวูด : 1319 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 1171)

وَ «كَانَ صلى الله عليه وسلم إِذَا خَطَبَ احْمَرَّتْ عَيْنَاهُ، وَعَلاَ صَوْتُهُ، وَاشْتَدَّ غَضَبُهُ، حَتَّى كَأَنَّهُ مُنْذِرُ جَيْشٍ يَقُولُ : صَبَّحَكُمْ وَمَسَّاكُمْ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อท่านแสดงปาฐกถา สองดวงตาของท่านจะแดงก่ำ เสียงท่านจะสูงดัง และความโกรธของท่านจะแรงเป็นจริงเป็นจัง กระทั่งเสมือนกับว่าท่านเป็นผู้เตือนเหล่าทหารที่คอยพูดว่า : ศัตรูของพวกเจ้าจะบุกมายามรุ่งอรุณนี่แล้ว และพวกเขาจะบุกมายามเย็นนี่แล้ว” (บันทึกโดยมุสลิม : 867)

وَ«كَانَ صلى الله عليه وسلم إِذَا دَخَلَ بَيْتَهُ بَدَأَ بِالسِّوَاكِ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อท่านเข้าบ้านของท่านแล้ว ท่านจะเริ่มด้วยการสีฟันก่อน” (บันทึกโดยมุสลิม : 253)

وَ «كَانَ رسول الله صلى الله عليه وسلم إِذَا دَعا بَدَأَ بِنَفْسِهِ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อท่านขอดุอาอ์ ท่านจะเริ่มขอให้กับตัวเองเป็นอันดับแรก” (หะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดยอบู ดาวูด : 3984 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3371)

وَ «كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم إِذَا سُرَّ اسْتَنَارَ وَجْهُهُ كَأَنَّ وَجْهَهُ قِطْعَةُ قَمَرٍ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อท่านมีความปีติยินดี ใบหน้าของท่านจะเจิดจรัส ประหนึ่งว่าใบหน้าท่านเป็นส่วนหนึ่งของดวงจันทร์” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3556 และมุสลิมตามสำนวนนี้ : 2769)

....................
Ar-tif Kenko

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

มุสลีมะฮฺพิเศษกว่าเครื่องประดับที่ดีที่สุด



มุสลีมะฮไม่เพียงแค่เป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุด
แต่มีสิ่งที่ พิเศษ อีกมากมาย ?

เด็กหนุ่มวัยรุ่น ถามพ่อ ของเขา

ลูก: "พ่อ ทำไม ผู้หญิงถึงร้องไห้ง่ายครับ ?

พ่อ : ผู้หญิงเป็นเรื่องง่าย ที่จะร้องไห้ แต่ความพิเศษคือ
อัลลอฮทรงสร้าง ไหล่ ที่แข็งแรงพอที่จะ เขย่า โลกทั้งโลกได้ยัง
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผู็หญิงก็อ่อนโยน พอที่จะให้ ความสงบสุขได้ "

ลูก "เขย่า โลกเลยหรอครับ ? "

พ่อ : " ใช่ เพราะผู้หญิงมีบทบาทสำคัญมากใน โลกนี้ "

ลูก: " พ่อ ? มีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับผู้หญิง อีกไหม "

พ่อ : อัลลอฮทรงให้ความสามารถแก่นางในการคลอดบุตร
และผู้หญิงสามารถดูแล ครอบครัวของเขาด้วยความทุกข์ทรมาน
และความเหนื่อยล้า โดยไม่ต้อง บ่น ได้. "

ลูก : " . ? พิเศษสุดแล้วหรอครับ พ่อ ?

พ่อ : " ไม่เพียงเท่านี้จ้ะ ลูก !
ผู้หญิงไม่เคยที่จะไม่รักลูก ๆ ตัวเอง แม้แต่ลูกๆประพฤติไม่ดี ก็ตาม. "

ลูก: " ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ ฮะ พ่อ "

พ่อ : "มีอีกมากมายเลยครับ ลูก "

เด็ก: "อะไรอีกเหรอ เหรอ ? "

พ่อ : " อัลลอฮทรงประทานสติปัญญาแก่ผุ้หญิงที่จะรู้ว่าสามีที่ดีจะไม่ทำให้ภรรยาเสียใจได้ และที่สำคัญผู้หญิงจะสามารถควบคุมอารมณของตนเองยามมีปากเสียงกับสามี ได้

เด็ก: " แล้วอะไรบ้างครับที่เกียวกับ ตัวสามีเขา"

พ่อ : "เขา จะทำให้ ผู้หญิงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้อยู่ด้วยกัน
และสามารถป้องกันภรรรยาจากสิ่งไม่ดีได้เช่นกัน !
ในขณะเดียวกัน สามีก็อย่าทำให้ภรรยาต้องเสียใจหรือเจ๊บปวด
ถ้าสามีเหนียต ที่จะคบ เล่น ๆๆ กับผู้หญิงคนหนึ่ง ขอให้จำไว้ว่า
อย่าได้คิดแบบนั้น เพราะผู้หญิงเป็นเพศเดียวกับ แม่ !

ลูก : มชาอัลลอฮ !. ผมสัญญาน้ะครับ วันข้างหน้าผมจะเป็นสามีที่ดี.!


..........................
Bintang Di Langit



อัลกุรอานถูกประทานลงมาในฐานะปาฏิหาริย์ตลอดกาล



คัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานลงมายังท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในฐานะเป็นปฏิหาริย์ตลอดกาลของท่านนบี

ลักษณะเป็นปาฏิหาริย์ของคัมภีร์อัลกุรอาน

-ในบรรดาคัมภีร์ของพระเจ้า คัมภีร์อักุรอานไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ในเรื่องที่ว่าตัวบทของคัมภีร์อัลกุรอานยังคงเหมือนเดิมกับต้นฉบับ

-ภาษาของคัมภีร์กุรอาน นั้นคือภาษาอาหรับ ซึ่งยังคงอยู่ในรูปแบบเดิมและยังใช้สามารถติดต่อสื่อสารได้มาทุกยุค ซึ่งไม่เหมือนภาษาสากลอื่นๆ ภาษาที่คัมภีร์โบราณต่างๆถูกประทานมาได้ถูกเก็บไว้ชั้นเอกสารของประวัติศาสตร์ไปหมดแล้ว ยกเว้นภาษาอาหรับ ภาษาของคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น ที่ยังคงมีอยู่ในโลกปัจจุบัน คัมภีร์อินญ๊ลที่ถูกเรียกในนามพันธสัญญาใหม่ของคัมภีร์ไบเบิล สำเนาที่เก่าแก่ที่สุดของคัมภีร์เป็นภาษากรีก มิใช่ภาษาอาราเมอิคซึ่งเป็นภาษาที่คิดกันว่าพระเยซูใช้พูด ซึ่งภาษากรีกโบราณก้แตกต่างไปจากภาษาสมัยใหม่ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภาษากรีกได้เปลี่ยนแปลงอย่างมากจนความหมายของคำอย่างน้อยที่สุด 550 คำหรือ 12% ในพันธสัญญาใหม่ ไม่มีใครรู้แล้วในตอนนั้น

-คัมภีรฺอัลกุรอานได้ท้าผู้สงสัยให้แต่งคัมภีร์ขึ้นมาสักเล่มหนึ่งให้เหมือนกับคัมภีร์อัลกุรอาน แต่จนทุกวันนนี้ ยังไม่มีใครสามารถรับคำท้านี้ และสร้างสิ่งใดที่เปรียบเทียบกับคัมภีร์อัลกุรอานได้

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบอานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

وَقَالُوا لَوْلَا أُنزِلَ عَلَيْهِ آيَاتٌ مِّن رَّبِّهِ قُلْ إِنَّمَا الْآيَاتُ عِندَ اللَّهِ وَإِنَّمَا أَنَا نَذِيرٌ مُّبِينٌ ( 50 )

" และพวกเขากล่าวว่า ทำไมสัญญาณ ต่าง ๆ จากพระเจ้าของเขาจึงมิถูกประทานมายังเขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงสัญญาณเหล่านั้นอยู่ที่อัลลอฮ์ และฉันเป็นผู้ตักเตือนอันกระจ่างแจ้งเท่านั้น"

أَوَلَمْ يَكْفِهِمْ أَنَّا أَنزَلْنَا عَلَيْكَ الْكِتَابَ يُتْلَىٰ عَلَيْهِمْ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَرَحْمَةً وَذِكْرَىٰ لِقَوْمٍ يُؤْمِنُونَ ( 51 )

"มิเพียงพอแก่พวกเขาดอกหรือที่เราได้ประทานคัมภีร์ให้แก่เจ้าซึ่งได้ถูกอ่านให้แก่พวกเขาฟัง แท้จริงในการนั้นแน่นอนย่อมเป็นความแมตตาและเป็นการตักเตือนแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา"
(อัลกุรอาน สูเราะฮอัล-อันกะบูต 29:50-51)

والله أعلم بالصواب







น้ำใส ๆ ของผู้ศรัทธา




ยา...อัลลอฮฺ ทำไม ? หัวใจฉันฟุ้งซ่านเพียงนี้
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"พึงทราบเถิด ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺเท่านั้นที่ทำให้หัวใจสงบ" (ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดุ : 28)

ยา...อัลลอฮฺ ได้โปรดยาทิ้งบ่าวผู้นี้เลย
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"ดังนั้นพวกเจ้าจงรำลึกหถึงข้าเถิด ข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้าและจงขอบคุณษข้าเถิด และจงอย่าเนรคุณต่อข้าเลย" (ซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ : 152)

ยา...อัลลอฮิ ผู้คนมากมายทำให้ฉันเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"ดังนั้น จงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด และจงขออภัยให้แก่พวกเขาด้วย และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย ครั้งเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใครผู้มอบหมั้งหลาย" (ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน : 159)

ยา..อัลลอฮฺ ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันกระทำผิดมากมายเหลือเกิน
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"บรรดาผู้ที่ีเมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วใด ๆ หรอือยุติธรรมแก่ตัวเองแล้ว พวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮิ แล้วขออภัยโทษในบรรดาความผิดของพวกเขา และใครเล่าที่จะอภัยโทษบรรดาความผิดทั้งหลายนอกจากอัลลอฮฺแล้ว และพวกเขามิได้ดื้อรั้นปฏิบัติในสิ่งที่เขาเคยปฏิบัติมาโดยที่พวกเขารู้กันอยู่ (ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน : 135)

ยา...อัลลอฮิ ทำไม ? ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"และโดยแน่นอน เราได้บังเกิดมนุษย์มา และเรารู้ดียิ่งที่จิตใจของเขากระซิบกระซาบแก่เขา และเรานั้นใกล้ชิดเขายิ่งกว่าเส้นเลือดชีวิจของเขาเสียอีก (ซูเราะฮฺกอฟ : 16)

ยา...อัลลอฮฺ ฉันมีความฝันหลาย ๆ อย่างที่ปรารถนาจให้มันเป็นจริง
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนต่อข้า ข้าจะตอบรับแก่พวกเจ้า (ซูเราะอัลฆอฟิรฺ : 60)

ยา....อัลลอฮฺ ฉันกำลังเผชิญความยากลำบากที่สุดในชีวิต
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขา" (ซูเราะฮฺอัฏฏอล๊าก : 2)

ยา....อัลลอฮฺ ฉันกังวลต่อสิ่งนั้นเหลือเกิน
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"จงอดทน (ต่อไปเถิดมุหัมมัด) แท้จริงสัญญาของอัลลอฮฺนั้นเป็นจริงเสมอ และอย่าให้บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อมั่นทำให้เจ้ากังวลใจ (ซูเราะอัรรูม : 60)

ยา....อัลลอฮฺ ฉันกลัวว่าสิ่งนั้นที่ฉันคิด มันจะประสบแก่ฉัน ซึ่งฉันไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่า จะไม่ประสบแก่เราเป็นอันขาด นอกจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้กำหนดไว้แก่เราเท่านั้น ซึ่งพระองค์เป็นผู้คุ้มครองเราและแด่อัลลอฮฺ มุมินทั้งหลายจงมอบหมายเถิด (ซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ : 51)

ยา....อัลลอฮฺ ฉันกลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเหลือเกิน
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"แท้จริงอัลลอฮฺจะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง" (ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดุ : 11)

ยา....อัลลอฮฺ ขอให้อัลลฮฺทรงตอบรับทุก ๆ การดุอาฺอฺของฉันด้วยเถิด
พระองค์ทรงตรัสกับบ่าวของพระองค์ว่า
"และการเอ็นดูเมตตาของข้านั้น กว้างขวางทั้งทุกสิ่ง ซึ่งข้าจะกำหนดมันให้แก่บรรดาผู้ที่ยำเกรง" (ซูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ : 156)

น้ำใส ๆ ของผู้ศรัทธาทุกหยด จะไม่มีวันขาดทุน หากเขาได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียว และไม่ว่าจะเรื่องใดที่ซ่อนอยู่ในทรวงอกของมนุษย์ อัลลอฮฺ คือ ผู้ทรงรอบรู้และผู้ทรงได้ยิน สิ่งที่อยู่ในทรวงอก

"แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในทรวงอก" (ซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ ; 7)

.....................................................
เขียนและเรียบเรียงโดย : เพียงฉัน
(จากหนังสือ : ปล่อยวาง)
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส









ปล่อยวาง ด้วย "อิสติคอเราะฮฺ"


จากท่านญาบิรเราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า ท่านเราะซุลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สอนแก่พวกเราถึงการอิสติคอเราะฮฺในการงานทั้งปวงเสมืิอนกับซูเราะฮฺหนึ่งในอัลกุรอาน ท่านเราะซูลุลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า หากเมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านตั้งใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ก็จงรูกูอฺ (ละหมาด) สองร็อกอะฮฺที่ไม่ใช้ละหมาดฟัรฎู

แล้วให้กล่าวดุอาอฺว่า

"โอ้ อัลลอฮฺ ฉันขอสิ่งที่ดีที่สุึดจากพระองค์ด้วยความรู้ของพระองค์และฉันขอวิงวอนต่อพระองค์ให้กำหนดสิ่งที่ดีที่สุดด้วยอำนาจเดชานุภาพของพระองค์ และฉันขอต่อพระองค์จากความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และแน่แท้พระองค์ทรงมีความสามารถโดยที่ฉันไม่มีความสามารถ พระองค์ทรงมีความรู้ แต่ฉันไม่มีความรู้ และพระองค์ทรงรู้ในสิ่งที่เร้นลับทั้งมวล

โอ้....อัลลอฮฺ พระองค์ทรงรู้ดีว่าแท้จริงการงานนี้จะเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวฉันทั้งในเรื่องศาสนาของฉัน การใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของฉัน และบั้นปลายชีวิตของฉัน การงานปัจจุบันของฉัน และชีวิตในอนาคตของฉัน ขอพระองค์ทรงกำหนดสิ่งนี้ให้แก่ฉันเถิด และโปรดทำให้มันเป็นเรื่องสะดวกง่ายดายแก่ฉัน และโปรดให้มีความจำเริญแก่ฉันในกิจการนั้นด้วยและพระองค์ทรงรู้ว่าแท้จริงการงานนี้จะเป็ฯสิ่งที่เลวร้ายแก่ฉัน ในเรื่องศาสนาของฉัน การใช้ชีวิตของฉัน และชีวิตในอนาคตของฉัน ก็ขอให้สิ่งนั้นออกห่างไปจากฉัน และให้ฉันออกห่างจากสิ่งนั้นด้วยเถิด และได้โปรดกำหนดให้ฉันได้กระทำความดีไม่ว่าฉันจะอยู่แห่งใดก็ตาม และให้ฉันพอใจกับความดีนั้นด้วยเถิด

และท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวอีกว่า ก็ให้ระบุถึงความต้องการของเขา (ในคำขอพรนั้น) (รายงานโดย อัลบุคอรีย์)

การละหมาดอิสติคอเราะฮฺ เป็นหนึ่งในการขอและมอบหมายต่ออัลลอฮฺ ในสิ่งที่ไม่ัมั่นใจในสองสิ่้งที่ตนจะเลือก
หัวใจที่ปล่อยวาง ณ พระองค์อย่างบริสุทธิ์ พระองค์ก็จะมอบความบริสุทธิ์และเหมาะสมให้แก่เขา

.....................................................
เขียนและเรียบเรียงโดย : เพียงฉัน
(จากหนังสือ : ปล่อยวาง)
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส




มันใจในอัลกุรอาน สาส์นจากอัลลอฮฺ




ผู้ศรัทธาจะระลึกเสมอในขณะที่อ่านอัลกุรอาน
ว่านี่คือ ดำรัสของอัลลอฮฺ เรากำลังอ่านจดหมายจากอัลลอฮฺ
ตระหนักเสมอในขณะที่อ่านอัลกุรอาน

"อัลลอฮฺกำลังจะบอกอะไรกับเรา"

เราจะเกิดความรู้สึกสะท้านในหัวใจ และอิหม่ามก็จะเพิ่มพูนเสมอ..

إِنَّمَا الْمُؤْمِنُونَ الَّذِينَ إِذَا ذُكِرَ اللَّهُ وَجِلَتْ قُلُوبُهُمْ وَإِذَا تُلِيَتْ عَلَيْهِمْ آيَاتُهُ زَادَتْهُمْ إِيمَانًا وَعَلَىٰ رَبِّهِمْ يَتَوَكَّلُونَ

“แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธานั้น คือ ผู้ที่เมื่ออัลลอฮฺถูกกล่าวขึ้นแล้ว หัวใจของพวกเขาก็หวั่นเกรง และเมื่อบรรดาโองการของพระองค์ถูกอ่านแก่พวกเขา โองการเหล่านั้นก็เพิ่มพูนความศรัทธาแก่พวกเขา และแด่พระเจ้าของพวกเขานั้น พวกเขามอบหมายกัน”
{สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล:2}

....................................................
Fityatulhaq l เยาวชนแห่งสัจธรรม



ชนิดต่างๆของบิดอะฮฺในศาสนา



บิดอะฮฺในศาสนามีหลายชนิดดังนี้

1.บิดอะฮฺที่ทำให้เป็นผู้ปฏิเสธ
ได้แก่ การวิงวอน การขอความช่วยเหลือต่อบรรดาผู้ที่ตายไปแล้ว หรือไม่ได้อยู่ด้วย เช่น การที่พวกเขากล่าวว่า "โฮ้ซัยยิดของฉัน คนนั้น คนนี้ ขอได้ให้ความช่วยเหลือด้วย"

2.บิดอะฮฺที่เป็นที่ต้องห้าม ได้แก่ การใช้พวกผู้ที่ตายแล้วเป็นสื่อกลางไปยังอัลลอฮฺ การละหมาดไปทางหลุมฝังศพต่างๆ และสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นบนหลุมฝังศพต่างๆเหล่านั้น

3.บิดอะฮฺที่ถูกเกลียดชัง ได้แก่ การละหมาดบ่ายหลังวันศุกร์ การส่งเสียงดังหลังอะซาน ด้วยการเศาะละวาต และให้สลามแก่ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)

สำหรับเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับโลกนี้ สิ่งที่ประดิษฐ์ต่างๆ และอื่นๆนั้น มันก็ไม่ได้เข้ามาอยู่ในอุตริกรรมต่างๆของศาสนา

ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด ในเรื่องราวของโลกนี้ของท่านทั้งหลาย" (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม)



والله أعلم بالصواب



วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

อิสลามเป็นศาสนาแห่งสังคม



อิสลามเป็นศาสนาแห่งสังคม ส่งเสริมให้มีการติดต่อพบปะสังสรรค์กันในรูปของหมู่คณะ ส่งเสริมให้รวมตัวผนึกกำลังกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตลอกจนสนับสนุนให้มีการอุดหนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะไม่ว่าจะในด้านการเงิน หรือด้านวิชาการความรู้ หรือการร่วมใจกันกระทำสิ่งที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม

ตัวอย่างเด่นชัด ที่ยืนยันอิสลามเป็นศาสนาแห่งสังคม คือ การละหมาดญะมาอะฮฺร่วมกัน เพราะการละหมาดญะมาอะฮฺนอกจากจะกระทำร่วมกันแล้ว ยังเปิดโอกาสให้มีการพบปะสังสรรค์กัน ถามสารทุกข์สุกดิบกัน นี้เป็นการพบปะกันระหว่างคนในหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนในด้านชุมชนพบปะกันสัปดาห์ละครั้งกำหนดให้มุสลิมในตำบลเดียวกันได้มาชุมนุมพบปะร่วมกัน หรือที่เรียกว่าละหมาดวันศุกร์ นอกจากนี้อิสลามยังบัญญัติให้มีการร่วมชุมนุมกันอย่างกว้างขวางในระหว่สงปี นั้นคือละหมาดอีดทั้งสอง และให้ทำที่แจ้งเพื่อแสดงความเป็นปึกแผ่นของมุสลิมอีกด้วย

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

لَّا تَجِدُ قَوْمًا يُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ يُوَادُّونَ مَنْ حَادَّ اللَّهَ وَرَسُولَهُ وَلَوْ كَانُوا آبَاءَهُمْ أَوْ أَبْنَاءَهُمْ أَوْ إِخْوَانَهُمْ أَوْ عَشِيرَتَهُمْ أُولَٰئِكَ كَتَبَ فِي قُلُوبِهِمُ الْإِيمَانَ وَأَيَّدَهُم بِرُوحٍ مِّنْهُ وَيُدْخِلُهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِن تَحْتِهَا الْأَنْهَارُ خَالِدِينَ فِيهَا رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا عَنْهُ أُولَٰئِكَ حِزْبُ اللَّهِ أَلَا إِنَّ حِزْبَ اللَّهِ هُمُ الْمُفْلِحُونَ ( 22 )

"เจ้าจะไม่พบหมู่ชนใดที่พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกรักใคร่ชอบพอผู้ที่ต่อต้านอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อของพวกเขา หรือลูกหลานของพวกเขา หรือพี่น้องของพวกเขา หรือเครือญาติของพวกเขาก็ตาม ชนเหล่านั้นอัลลอฮฺได้ทรงบันทึกการศรัทธาไว้ในจิตใจของพวกเขา และได้ทรงเสริมพวกเขาให้มีพลังมากขึ้นด้วยการสนับสนุนพระองค์ และจะทรงให้พวกเขาได้เข้าสวนสวรรค์หลากหลาย มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างของสวนสวรรค์ โดยเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล อัลลอฮฺทรงโปรดปรานต่อพวกเขาและพวกเขาก็ยินดีปรีดาต่อพระองค์ ชนเหล่านั้นคือพรรคของอัลลอฮฺ พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพรรคของอัลลอฮฺนั้น พวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จ"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-มุญาดะละฮฺ 58:22)


يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَاكُم مِّن ذَكَرٍ وَأُنثَىٰ وَجَعَلْنَاكُمْ شُعُوبًا وَقَبَائِلَ لِتَعَارَفُوا إِنَّ أَكْرَمَكُمْ عِندَ اللَّهِ أَتْقَاكُمْ إِنَّ اللَّهَ عَلِيمٌ خَبِيرٌ ( 13 )

"โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ.นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ.นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัอัล-หุญุรอต  49:13)

"และพวกจงช่วยเหลือกันในสิ่งที่เป็นคุณธรรม และความยำเกรง และจงอย่าช่วยกันในสิ่งที่เป็นบาป และเป็นศัตรูกันและพึงกลัวเกรงอัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัอัล-มาอิดะฮฺ  5:2)


والله أعلم بالصواب













ความฝันของท่านนบี



ท่านสะมุเราะฮ บินญุนดุบ ได้รายงานว่า
"หลังจากจากการละหมาดญะมาอะฮ ทุกครั้ง ท่านนบีจะหันกลับมายังเรา และมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านหันมาและกล่าวว่า
ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าได้ประสบกับความฝันบ้าง ? หากผู้ใดได้เห็นก็จงเล่าให้ฟัง ?พวกเราตอบว่า "ไม่"
แท้จริง เมื่อคืนฉันได้เห็นชายสองคนมาหาฉัน (มลาอิกะฮในรูปของผู้ชาย) และได้พาฉันไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นฉันได้เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ และอีกคนหนึ่งยืนโดยในมือของเขามีกัลลูบที่ทำจากเหล็ก (คล้ายเบ็ดซึ่งใช้เพื่อการล่าสัตว์) โดยชายคนที่ยืนอยู่กำลังใช้ของสิ่งนั้น
แท้งเข้าไปใต้แก้ม (บริเวณขากรรไกร)ของชายคนที่นั่งอยู่จนทะลุคอของเขา และได้ทำอย่างนั้นกับแก้มอีกข้าง จากนั้นแก้มของเขาจะกลับมาเหมือนเดิม และชายคนนั้นจะทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำ
อีกฉัน (ท่านนบี) จึงถามว่านี้คืออะไร ?มลาอีกะฮสองท่านนั้นกล่าวว่า "เดินต่อไป" จากนั้นเราเดินต่อไปจนเห็นชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ และมีชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงศีรษะใน
มือของเขาถือขวานหรือหินก้อนหนึ่ง ชายที่ยืนอยู่กำลังกระหน่ำตีศีรษะชายคนที่นั่งอยู่ และทุกครั้งที่ตีหินก้อนนั้นก็จะกลิ้งตกไป ชายคนที่ตีก็เดินตามไปเอาก้อนหินนั้น
และจะไม่กลับมาจนกว่าศีรษะของคนที่
ถูกตีจะสมานกลับเหมือนเดิม จากนั้นชายที่ตีก็จะกระทำอย่างนั้นซ้ำ
แล้วซ้ำอีกฉันจึงถามว่านี้คืออะไร? "เดินต่อไป"จากนั้นเราเดินต่อไปจนเห็นถังมีรูหนึ่ง(คล้ายเตาอบในสมัยโบราน)
ส่วนบนเป็นรูแคบส่วนล่างจะกว้างออก
และมีไฟจุดข้างใต้และมีชายหญิงกลุ่ม
หนึ่ง
เปลื้อยกายอยู่ข้างใน เมื่อถังนี้เข้าใก้ลไฟมีกลุ่มคนนี้จะขวน
ขวายขึ้นมาจากถัง และเมื่ออยู่ห่างจากไฟก็จะกลับเข้าไป
ใหม่เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันจึ่งถามว่านี้คืออะไร?
มลาอีกะฮท่านนั้นกล่าวว่า "เดินต่อไป"
จากนั้นเราเดินต่อไปจนมาถึงแม่น้ำเลือดซึ่งมีชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางเเม่น้ำโดย
ถือหินก้อนหนึ่งและได้หันหน้าเข้าหา
ชายคนแรก เมื่อชายคนที่สองทำท่าจะออกจากแม่น้ำ ชายคนแรกจะขว้างก้อนหินเข้าไปในปากของชายคนที่สองซึ่งจะคายออกมาและ
กลับไปยังที่เดิมและทุกครั้งที่ชายคนนั้นต้องการออกจากแม่น้ำ ชายคนนั้นก็กระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกฉันจึง
ถามนี้คืออะไร?มลาอีกะฮท่านนั้น
กล่าว่า "เดินต่อไป"จากนั้นเราได้เดินมาถึงสวนสีเขียวสวนหนึ่งและมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
อยู่ในสวนและใต้ต้นนั้นจะมีชายชราคน
หนึ่งพร้อมกับเด็กๆอีกกลุ่มหนึ่งทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งอยู่ใก้ลต้นไม้ต้นนั้นในมือ
ถือไฟที่กำลังถูกจุด มลาอีกะฮทั้งสองจึงได้พาฉันขึ้นไปบน
ต้นไม้ และนำฉันไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งฉันไม่
เคยเห็นที่ไหนสวยเท่า และในนั้นมีบรรดาชายหนุ่ม คนชรา เด็กหนุ่ม สตรีและเด็กเล็กหลายคน หลังจากนั้นมลาอีกะฮทั้งสองก็ได้ให้ฉันออกจากสถานที่นั้นและเดินไปยังอีก
สถานที่หนึ่งที่ดีและสวยงามกว่าสถานที่แรก ซึ่งในนั้นมีบรรดาคนชราและเด็กหนุ่มอยู่
ฉัน(ท่านนบี) ได้กล่าวแก่มลาอีกะฮสองท่านว่า "ท่านทั้งสองได้พาฉันตระเวนในคืนนี้
แล้วโปรดบอกฉันถึงสิ่งที่ฉันได้เห็นด้วย"
ทั้งสองตอบว่า "ได้"
ชายคยแรกที่แก้มถูกแทงด้วยตะแกรง
นั้นคือผู้ที่ชอบโกหกโดยที่เขาพูดเรื่อง
มดเท็จหนึ่งจนเกิดผลกระทบเสียหาย
แพร่กระจายไปทั่ว ดังนั้นเขาจึงถูกลงโทษดังที่เจ้าเห็นจน
ถึงวันกิยามะฮ ส่วนศีรษะของเขากำลังถูกตีนั้นคือผู้ที่
อัลลอฮประทานความรู้ในอัลกุรอานให้
แก่เขา แต่เขากลับนอนทับอัลกุรอานตอนกลางคืน(คือไม่สนใจ ไม่ทบทวน ไม่รักษา ความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอาน)และไม่นำมา
ปฏิบัติตอนกลางวันดังนั้น เขาจะถูกลงโทษดังที่เห็นจนถึงวัน
กิยามะฮ ส่วนบรรดาคนที่เจ้าเห็นในถัง(คล้ายเตาอบ) นั้นพวกเขาคือ คนที่ทำผิดประเวณีและคนที่เจ้าเห็นใน
แม่น้ำคือคนที่กินดอกเบี้ย ส่วนคนชราที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นคือท่านนบอิบรอฮีม(อะลัยฮิสสาลาม)และบรรดาเด็กเล็กๆที่เจ้าเห็นพร้อมกับเขานั้นคือ
บรรดาลูกๆของมนุษย์(ที่เสียชีวิตก่อน
บรรลุนิติภาวะ)และผู้ที่เจ้าเห็นว่ากำลัง
จุดไฟนั้นคือมลาอีกะฮที่มีหน้าที่เฝ้านรกและสถานที่แรกที่เจ้าเข้าไปนั้นคือสถานที่แห่งผู้ศรัทธาทั่วไป ส่วนสถานที่สอง (ซึ่งสวยงามกว่า)นั้นคือสถานที่แห่งบรรดาผู้เป็นชะฮีด(ผู้ที่เสียชีวิตในหนทางอัลลอฮ)ส่วนฉัน(มลาอีกะฮคนแรกในสอง
คนที่พาท่านนบีเดินทาง)คือญิบรีลและนี้
(มลาอีกะฮคนที่สอง)คือมิกาเอลขอท่านจงยกศีรษะ(แหงนใบหน้า)ของท่านขึ้น ทันใดนั้นข้างบนของศีรษะฉันก็มีเมฆ"
นี่คือสถานที่พำนักของเจ้า"มลาอีกะฮทั้งสองกล่าวฉันจึงกล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า
"ให้ได้เข้าไปในสถานที่พำนักของฉันซิ"
ทั้งสองจึงตอบว่า "แท้จริง ยังมีอายุขัยของท่านที่ยังเหลืออยู่ หากท่านครบอายุขัยแล้วท่านจะได้มายังสถานที่ของท่านนี้
(บันทึกโดยบุคอรี)

......................................................
อ้างอิง หนังสือโลกแห่งหลุมฝังศพ
โดย ดร.อุมัร สุลัยมาน อัลอัชก็อร
รัศมี แห่งดวงตา โพส


ความดีที่เกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ


หะดีษบทที่จะนำเสนอต่อไปนี้นั้นเป็นหะดีษประเภท “ กุดซีย์ ” ซึ่งปรากฏรายงานในบันทึกของอิหม่ามอัลบุคอรีย์ มุสลิมและผู้บันทึกหะดีษระดับแนวหน้าอีกหลายๆท่านดังนี้

มีรายยงานจากอิบนิอับบาส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยถ่ายทอด จากรับสั่งของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ว่า

إِنَّ اللَّهَ كَتَبَ الْحَسَنَاتِ وَالسَّيِّئَاتِ ثُمَّ بَيَّنَ ذَلِك فَمَنْ هَمَّ بِحَسَنَةٍ فَلَمْ يَعْمَلْهَا كَتَبَهَا اللَّهُ عِنْدَهُ حَسَنَةً كَامِلَةً وَإِنْ هَمَّ بِهَا فَعَمِلَهَا كَتَبَهَا اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ عِنْدَهُ عَشْرَ حَسَنَاتٍ إِلَى سَبْعِ مِائَةِ ضِعْفٍ إِلَى أَضْعَافٍ كَثِيرَةٍ وَإِنْ هَمَّ بِسَيِّئَةٍ فَلَمْ يَعْمَلْهَا كَتَبَهَا اللَّهُ عِنْدَهُ حَسَنَةً كَامِلَةً وَإِنْ هَمَّ بِهَا فَعَمِلَهَا كَتَبَهَا اللَّهُ سَيِّئَةً وَاحِدَةً

“แท้จริงอัลลอฮ์ทรงกำหนดความดีและความชั่ว และทรงแจกแจงไว้อย่างกระจ่างทั้งหมดแล้วดังนั้นผู้ ใดมีเจตนาทำดีประการหนึ่งแม้ยังมิได้ลงมือ กระทำจริงก็ตาม อัลลอฮ์จะทรงบันทึกให้เป็นหนึ่งความดี ที่สมบูรณ์สมนาคุณแก่เขา และหากเขามีเจตนาทำดีพร้อม ลงมือกระทำจริง อัลลอฮ์จะทรงบันทึกให้ เป็น 10 ความดีจนถึง 700 เท่า จนถึงหลายเท่าทวีคูณ และหากเขามีเจตนาทำชั่วประการหนึ่งแต่มิได้ลง มือกระทำจริง อัลลอฮ์จะทรงบันทึกให้เป็นหนึ่งความดีที่สมบูรณ์สมนาคุณแก่เขา และหากเขามีเจตนา ทำชั่วประการหนึ่งพร้อมลงมือกระทำด้วย อัลลอฮ์จะทรงบันทึกให้เป็นเพียง หนึ่งความผิด (บาป) เท่านั้น ”
รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม

คำอธิบาย

หากเราอ่านหะดีษบทนี้ให้ผ่านไปโดยมิได้พิจารณาอะไรมากมายนัก ก็คงจะรู้สึกและคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ของคนที่คิดดีทำดีต้องได้รับผลบุญและความดีตอบแทน และส่วนคนที่คิดไม่ดีและทำไม่ดีก็ต้องได้รับบาปรับ กรรมอย่างสาสมเช่นกัน แต่ถ้าเราสังเกตและพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนอีกหน่อย ก็จะเห็นความแตกต่างบางประ การจากความเข้าใจเดิม ๆ นั่นก็คือการได้รับผลบุญและความ ดีตอบแทนทั้งๆที่ไม่ได้ทำความดี ทั้งๆที่คิดไม่ดี หรือทั้ง ๆ ที่คิดจะทำบาป ก็บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า “ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ”

เราเคยรู้และเข้าใจกันมานานแสนนานแล้วว่า คนที่คิดไม่ดีก็มักจะทำไม่ดีด้วย ดังนั้นคนที่คิดไม่ดีก็ไม่น่าจะได้รับ ความดีอันใดตอบแทน แต่ในหะดีษบทนี้กับระบุไว้อย่างชัดเจนว่า แม้คนที่คิดไม่ดีก็ยังมีสิทธิ์ได้รับความดี ดังนั้น กุศลหรือความดีที่เกิดขึ้นจากการคิดไม่ดีหรือการคิดจะทำบาปจึงเป็นความดีที่เกินคาดหรือแทบ จะเหลือเชื่อ นั่นเอง ที่บอกว่าเหลือเชื่อก็เพราะว่าไม่เชื่อไม่ได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าหะดีษบทนี้ จะเปิดโอกาสหรือเปิดช่องให้เราเป็นคนคิดไม่ดีได้

จากหะดีษบทข้างต้นจะสังเกตได้ว่าศาสนาตั้งเงื่อนไขสำคัญไว้ว่า การคิดไม่ดีจะกลายเป็นความ ดีขึ้นมาได้นั้น ต้องไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริงหรือการลงมือกระทำจริง และถ้าหากถึงขั้นลงมือกระทำด้วยเมื่อใดก็จะถูกบันทึกเป็น ความผิดหรือเป็นบาปหนึ่งบาปทันที ที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็นความ ดีทีเกินคาดหรือเป็นความดีที่เหลือเชื่อ นั้น มิได้มีเพียงแค่กรณีนี้หรือหะดีษบทนี้บทเดียวเท่านั้นแต่ด้วยความโปรดปรานและกรุณาธิคุณของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อันหาที่สุดมิได้นั้น พระองค์ทรงประทานผลบุญและความดีอีกมากมายให้กับผู้ที่พระองค์ ทรงประสงค์

หลายครั้งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวถึงไว้ว่า ขนาดเจ้าตัวหรือเจ้าของบัญชีเมื่อ เห็นบัญชีของตัวเองแล้วก็ยังอดที่จะแปลกใจหรือฉงนสงสัยไม่ได้ว่า ความดีที่ถูกบันทึกไว้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ความดีเหล่านั้นมาจากที่ไหนกัน ? ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีความดีได้มากมายขนาดนั้น มันช่าง น่าอัศจรรย์เหลือเกิน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้มีวาจาสัจได้ กล่าวถึงเรื่องราวเหล่านี้ไว้

ทั้งนี้เพื่อเป็นแรงเสริมและกำลังใจให้กับคนที่คิดดีและทำดีทั้งหลาย และเพื่อเป็นบทเรียนที่สอนให้มนุษย์เราไม่ ท้อแท้และหมดความหวังในการคิดดีและทำความดี และเพิ่มความรักและศรัทธาที่แกร่งกล้าต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะ ฮูวะตะอาลา และศาสนาของพระองค์ให้มากยิ่งขึ้น ให้สมกับความกรุณาและความโปรดปรานของพระองค์ที่ทรงมี และประทานให้อย่างหาที่เปรียบมิได้

และอดไม่ได้อีกเช่นเคย ที่จะต้องหยิบยกตัวอย่างจากคำสอนของท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่กล่าวถึงความดีที่เกินคาดเหล่านี้ เพื่อให้ผู้อ่านได้สามารถมองเห็นภาพและเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจน มากยิ่งขึ้น เช่น หะดีษจากท่านอาบีฮุรอยเราะฮ์  ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

إِنَّ اللَّهَ لَيَرْفَعُ الدَّرَجَةَ لِلْعَبْدِ الصَّالِحِ فِي الْجَنَّةِ فَيَقُولُ يَا رَبِّ أَنَّى لِي هَذِهِ ؟
فَيَقُولُ بِاسْتِغْفَارِ وَلَدِكَ لَكَ

“แน่นอนยิ่งนัก อัลลอฮ์ จักทรงเลื่อนฐานานุศักดิ์ของบุรุษหนึ่งในสวรรค์ให้สูงยิ่งๆขึ้น จนเขาเอ่ยถาม ด้วยความฉงนว่า “ โอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ความดีอันอัศจรรย์เหลือเชื่อนี้เกิดขึ้น กับข้า ฯ ได้อย่างไร ? ” พระองค์จะทรงตรัสตอบว่า “ ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นผลจากการขออภัยโทษของ บุตรท่าน ให้แก่ท่าน ”

รายงานโดยอะหมัดและอิบนุมาญะห์

จากหะดีษบทข้างต้นก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวถึงความดีที่เกิด ขึ้นและถูกบันทึกลงไว้ในบัญชีโดยที่เจ้าของบัญชีเองก็ไม่รู้ตัว เป็นความดีที่เกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อและอัศจรรย์ เกินคาด เจ้าของบัญชีก็ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะได้รับความดีเหล่านี้ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยและอย่างประหลาด ใจว่า เขาจะมีความดีทั้งหมดนี้ได้อย่างไรเมื่อเขาเองไม่ได้ทำ ? และในที่ สุดความสงสัยก็คลี่คลายลงเมื่อได้รับ คำตอบว่า ความดีอันอัศจรรย์เหลือเชื่อเหล่านั้นเกิดจากความดีของผู้อื่นทั้งสิ้น เช่นความดีที่เกิดจากผู้เป็นบุตรที่ ขออภัยโทษจากพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นต้น

และอีกกรณีหนึ่งที่เป็นตัวอย่างของความดีที่เกินขาด ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

”ในวันกิยามะห์มีชายคนหนึ่งได้รับบัญชีที่เต็มไปด้วยความดีมากมายที่เขาเองไม่เคยทำ และไม่เคย รู้จักความดีเหล่านั้นมาก่อนเสียด้วยซ้ำ เขาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ ความดีมากมายเหล่านี้มาจากไหนกัน ?” แล้วเขาก็ได้รับคำตอบว่า “ นั่นคือความดีที่เจ้าได้รับจากคนที่นินทาเจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ตัว ”

รายงานโดยอัลอัสบิฮานีย์ จากหะดีษของอาบูอุมามะห์ จากอัดตัรฆีบฯของอัลมุนษิรีย์ เล่มที่ 3 หน้า 115

ตัวอย่างสุดท้ายการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นความดีได้  ด้วยความเข้าใจและ ความรู้สึกที่ว่า การหลับนอนและมีเพศสัมพันธ์กับภรรยานั้นคือการสนองความต้องการทางเพศและอารมณ์ ความใคร่ จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องบาปบุญและกุศลความดีใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะว่าอารมณ์ความใคร่ที่เป็นไปตามครรลองของศาสนา และด้วยเจตนาที่ดีจะกลายเป็นความดีที่มีกุศลตอบ แทนให้อย่างมากมายมหาศาล ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็เคยชี้แจงทำความเข้าใจกับเหล่าสาวก ที่เคยสงสัยไว้ว่า

“การมีเพศสัมพันธ์กับสตรีที่หะลาล (ภรรยา) ถือเป็นกุศล”

รายงานโดยมุสลิมและอาบูดาวู้ดจากท่านอาบีซัรรฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ

ในบางโอกาสท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็กล่าวว่า

“การป้อนอาหารใส่ปากภรรยาเป็นกุศล”

รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิมจากท่านสะอัดบินอาบีวักก็อซ

ผลบุญและความดีที่เกิดจากการคิดดีและทำดีนั้นมีอย่างมากมายและสามรถได้มาอย่างง่าย ๆ หลายความดีที่ได้ ผลบุญมาโดยเพียงแค่คิดและตั้งใจจะทำ ไม่ทันที่จะลงมือทำก็ได้ความดีแล้ว และอีกหลาย ๆ ความดีที่ไม่เคยคิด จะทำก็ยังมีโอกาสได้รับความดี ความดีที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ คนที่คิดดีและทำดีเท่านั้นจึงจะโชคดีมีโอกาสได้รับ มากกว่าผู้อื่น แต่ก็อย่าหลงดีใจไปว่าความดีเหล่านี้เกิดขึ้นง่ายและได้มาอย่างง่าย ๆ เลยมองข้ามและดูถูกความดี เล็ก ๆ น้อยอย่างอื่น คอยจ้องดักหาโอกาสทำเฉพาะความดีสำคัญๆตามวาระและเทศกาลต่างๆเท่านั้น เพราะที่ถูก ต้องและสมควรก็คือ ต้องหมั่นเก็บเล็กผสมน้อย คิดและทำความดีทุกอย่างที่สามารถทำได้โดยไม่คอยฤกษ์คอย โอกาส นานวันขึ้นความดีก็จะมีมากขึ้นเอง

ขอให้สังวรและจำไว้เสมอว่า ความดีย่อมล่วงเลยและหลุดมือเสมอสำหรับคนที่มัวแต่รอคอยฤกษ์ยาม การคิดดีมักนำไปสู่การทำดีเสมอ การได้คิดดีและทำดีคือ ความสมบูรณ์และมงคลแห่งชีวิตของมุสลิม ศาสนาอิสลามโดยพระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และศาสนทูตของพระองค์ใช้ให้มุสลิมทุกคนเป็นคน คิดดีและทำดีอยู่เสมอ และสัญญาจะตอบแทนความดีให้โดยง่ายและอย่างมากมาย เพียงแค่คิดและประสงค์ จะทำดีก็พร้อมจะตอบแทนความดีให้แล้ว  แต่ก็ไม่วายที่ยังจะมีคนที่ชอบคิดไม่ดีและทำไม่ดีอยู่ร่ำไป

สารัตถะสำคัญจากบทหะดีษโดยสรุป

สิ่งที่เป็นความดีและความชั่วทั้งหมดล้วนถูกระบุและแจกแจงไว้อย่างชัดเจนแล้ว
กิริยาคือภาษาของหัวใจ ดังนั้นมุสลิมต้องให้ความสำคัญกับจิตใจและการนึกคิด หัวใจดี,จิตใจดี กิริยาและ วาจาก็จะดีตามไปด้วย  แต่ถ้าหัวใจไม่ดี,จิตใจไม่ดีกิริยาและวาจาที่แสดงออกมาก็จะไม่ดีไปด้วยเช่นกัน
มุสลิมต้องตระหนักและสำนึกในความกรุณาและความโปรดปรานของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อันหา ที่เปรียบ มิได้นั้นอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นกำลังใจผลักดันให้เขาหมั่นคิดดีและทำดี
การตั้งใจและปรารถนาจะทำความดีถือเป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่งสำหรับมุสลิม พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงบันทึกการตั้งใจดีนั้นให้เป็นความดีหนึ่งความดีทันที แม้จะยังมิได้ลงมือกระทำ จริงก็ตาม ทั้งนี้เพื่อสมนาคุณและตอบแทนแก่การมีเจตนาดี
การตั้งใจและปรารถนาจะทำความดีพร้อมทั้งลงมือกระทำตามที่ตั้งใจไว้ อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงบัน ทึกความดีตอบแทนให้ถึง 10 ความดีและอาจถึง 700 ความดีหรือมากกว่านั้นอีกหลายๆเท่า
การตั้งใจและปรารถนาจะทำความผิดบาปโดยมิได้ลงมือกระทำตามที่ตั้งใจไว้ อัลลออ์ ซุบฮานะฮูวะตะ อาลา จะยังไม่เอาผิดจนกว่าจะลงมือกระทำจริง อีกทั้งจะบันทึกให้เป็นความดีอีกหนึ่งความดีเพื่อสมนาคุณ ตอบแทนที่เขาไม่ลงมือกระทำ สนองเจตนาชั่วๆนั้น
การประสงค์และตั้งใจทำความผิดบาปพร้อมทั้งลงมือกระทำจริงด้วยนั้น อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงเอาผิดทันที แต่จะทรงบันทึกให้เป็นเพียงแค่ 1ความผิดเท่านั้น


..........................................
ดย อ.อับดุลลอฮฺ สุไลหมัด
http://www.warasatussunnah.net/



วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

ทุกสิ่ง อัลลอฮฺให้เธอนะ






นางสวย เพราะ อัลลอฮฺให้
นางรวย เพราะ อัลลอฮฺให้
นางฉลาด เพราะ อัลลอฮฺให้
นางมีเกียรติ เพราะ อัลลอฮฺให้
เพราะฉะนั้น ทักอย่างที่นางมีอยุ่

ไม่ใช่ของนาง เป็นเพราะ อัลลอฮฺให้นาง
ไม่ว่า นางจะสวย หรือไม่ นางก็ต้องคลุมฮิญาบ
เพราะเป็นคำสั่งของอัลลอฮฺ

ไม่ว่า นางจะรวยหรือจน
นางต้องใช้เงินของนางไปในหนทางที่ฮาลาล
เพราะเป็นคำสั่งของอัลลอฮฺ

ไม่ว่า นางจะฉลาด หรือ โง่
นางต้องใช้อัลกุรอานและหะดีษเป็นแนวทางที่นางต้องตา
เพราะ เป็นคำสั่งของอัลลอฮฺ

ไม่ว่า นางจะมีเกียรติหรือไม่ ในสายตาของผู้คน
แต่นางต้องมีเกียรติใน (ศาสนา) ของนาง...

....................................
นูรีฮัน มาเลเซีย : เขียน
(จากหนังสือ : สาส์นรัก ฉบับผู้ศรัทธา 1)
อดทน เพื่อชัยชนะ




ความประหลาดใจ ที่ผู้คนได้หลงลืม



เชคอัชชะอฺรอวีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า :

ฉันรู้สึกประหลาดใจกับ 4 อย่าง ที่ผู้คนได้หลงลืมไปใน 4 อย่าง :

1. ฉันรู้สึกประหลาดใจ ที่ผู้คนถูกทดสอบด้วยความทุกข์ระทม แต่หลงลืมในคำพูดของอัลลอฮฺว่า :

ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ท่าน มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน แท้จริง ข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรมทั้งหลาย (ซูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอฺ : 87)

และพระองค์ทรงได้กล่าวต่อถัดจากอายะฮฺนี้ว่า :

ดังนั้น เราได้ตอบรับการร้องเรียนของเขา และเราได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากความทุกข์ระทม (ซูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอฺ : 88)

2. ฉันรู้สึกประหลาดใจ ที่ผู้คนถูกทดสอบด้วยความทุกข์ยาก แต่หลงลืมในคำพูดของอัลลอฮฺว่า :

แท้จริง ข้าพระองค์นั้น ความทุกข์ยากได้ประสบแก่ข้าพระองค์ และพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงเมตตายิ่ง ในหมู่ผู้เมตตาทั้งหลาย (ซูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอฺ : 83)

และพระองค์ทรงได้กล่าวต่อถัดจากอายะฮฺนี้ว่า :

ดังนั้น เราได้ตอบรับการร้องเรียนของเขา แล้วเราได้ปลดเปลื้องสิ่งที่เป็นความทุกข์ยากแก่เขา (ซูเราะฮฺ อัลอัมบิยาอฺ : 84)

3. ฉันรู้สึกประหลาดใจ ที่ผู้คนถูกทดสอบด้วยความหวาดกลัว แต่หลงลืมในคำพูดของอัลลอฮฺว่า :

อัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ที่พอเพียงแก่เราแล้ว และเป็นผู้รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม (ซูเราะฮฺ อาลิ อิมรอน : 173)

และพระองค์ทรงได้กล่าวต่อถัดจากอายะฮฺนี้ว่า :

แล้วพวกเขาได้กลับมา พร้อมด้วยความกรุณาจากอัลลอฮ์ และความโปรดปราน (จากพระองค์) โดยมิได้มีอันตรายใด ๆ ประสบแก่พวกเขา (ซูเราะฮฺ อาลิ อิมรอน : 174)

4. ฉันรู้สึกประหลาดใจ ที่ผู้คนถูกทดสอบด้วยกลลวงของมนุษย์ แต่หลงลืมในคำพูดของอัลลอฮฺว่า :

และฉันขอมอบภารกิจของฉันแด่อัลลอฮฺ แท้จริง อัลลอฮฺทรงเป็นผู้เฝ้าดูปวงบ่าวทั้งหลาย (ซูเราะฮฺ ฆอฟิร : 44)

และพระองค์ทรงได้กล่าวต่อถัดจากอายะฮฺนี้ว่า :

อัลลอฮฺได้ทรงคุ้มครองเขาให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาได้วางแผนไว้ (ซูเราะฮฺ ฆอฟิร : 45)

.
...........................................................................................................................
บทความดี ๆ โดย : شاركنا كل يوم بدعاء وأيه من كتاب الله وحديث من احاديث الرسول ( ص )
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ


อัลลอฮฺจะทรงรักษาอัลกุรอาน


พระองค์อัลลอฮฺตะอาลานั้น ได้รักษาคัมภีร์ของพระองค์ไว้อย่างดีในทุกแง่มุมและทุกสภาพที่ถูกปกป้องจากการเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม หรือตัดทอนใดๆในอัลกุรอาน

ไม่ว่าด้วยการรักษาอัลกุรอานไว้ ณ ที่ “อัลเลาหุลมะหฺฟูซ” การักษาอัลกุรอานที่ถูกประทานลงมายังท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การรักษาไว้ในหัวใจของท่านนบี และรวบรวมมันไว้ในหัวใจอันทรงเกียรติของท่าน รักษาไว้ขณะที่ท่านนบีกำลังเผยแพร่ และภายจากท่านนบีได้เผยแพร่มัน โดยอัลกุรอานจะยังถูกปกป้องและคุ้มครองจนถึงวันกิยามะฮฺ

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
 
"มิใช่เช่นนั้นดอก ที่พวกเขาไม่ยอมเชื่อถือคือกุรอานอันรุ่งโรจน์"

فِي لَوْحٍ مَّحْفُوظٍ ( 22 )

"อยู่ในแผ่นจารึกที่ถูกเก็บรักษาไว้"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลบุรูจญ์ 85:84-85)

“เล่าหฺ” คือแผ่นที่อัลกุรอานถูกจารึกครั้งแรก สิ่งที่ถูกรวบรวมและบันทึกลงในนั้นจะถูกรักษา(มะหฺฟูซ)

وَالْكِتَابِ الْمُبِينِ ( 2 )

“ขอสาบานด้วยคัมภีร์อันชัดแจ้ง”

إِنَّا جَعَلْنَاهُ قُرْآنًا عَرَبِيًّا لَّعَلَّكُمْ تَعْقِلُونَ ( 3 )

"แท้จริงเราได้ทำให้คัมภีร์เป็นกุรอานภาษาอาหรับ เพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญา"

وَإِنَّهُ فِي أُمِّ الْكِتَابِ لَدَيْنَا لَعَلِيٌّ حَكِيمٌ ( 4 )

"และแท้จริงอัลกุรอานนั้นอยู่ในแม่บทแห่งคัมภีร์ (อัลลูฮุลมะฮฺฟูซ) ณ ที่เรา คือสูงส่งพรั่งพร้อมด้วยปรัชญา" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัซ-ซุครุฟ 43:2-4)


عَالِمُ الْغَيْبِ فَلَا يُظْهِرُ عَلَىٰ غَيْبِهِ أَحَدًا ( 26 )

"พระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงเปิดเผยสิ่งเร้นลับของพระองค์แก่ผู้ใด"

إِلَّا مَنِ ارْتَضَىٰ مِن رَّسُولٍ فَإِنَّهُ يَسْلُكُ مِن بَيْنِ يَدَيْهِ وَمِنْ خَلْفِهِ رَصَدًا( 27 )

"นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงยินดีเช่นร่อซูล ดังนั้นพระองค์จะทรงส่งผู้พิทักษ์เฝ้าดูแลข้างหน้าและข้างหลังเขา"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-ญิน 72:26-27)

إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ ( 9 )

"แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน(อัลกุรอาน)ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน”
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-หิจญ์รฺ 15:9)


والله أعلم بالصواب




วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

จงเรียนรู้ที่จะกล่าว “ปฏิเสธ” อย่างสุภาพ





หลายคนต้องประสบกับความทุกข์ทรมานในชีวิตด้วยเพราะว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการที่จะกล่าว “ปฏิเสธ” อย่างสุภาพ เมื่อมีใครสักคนมาร้องขอบางสิ่งบางอย่างหรือร้องขอให้พวกเขากระทำบางสิ่งบางอย่างให้

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พวกเขาจำต้อง
ยอมทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้อยากจะทำเลย หรือจำต้องจัดการโดยดีด้วย
เพราะความกลัวว่าจะทำให้คนรอบข้าง
เขาโกรธเคือง หรือไม่พอใจ

พึงจำไว้ว่าหากคุณเรียนรู้ที่จะปฏิเสธคำร้องขออย่างสุภาพ โดยปราศจากซึ่ง “การโกหก” “การปิดบังซ่อนเร้น” จากผู้คนคุณย่อมจะเริ่มรู้สึกว่าคุณสามารถจัดการควบคุมการดำเนินชีวิตของคุณได้ดียิ่งขึ้นซึ่งมันจะทำให้คุณเป็นคนที่ “มีความสุขมากขึ้น” ในระยะยาว ....อินชาอัลลอฮฺ

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีข้อยกเว้น เกี่ยวกับการ “เชื่อฟังบิดามารดา และสามี”เพราะว่ามันคือสิ่งจำเป็นตามหลักการศาสนาอิสลามที่คุณไม่สามารถกล่าวปฏิเสธได้ เว้นเสียแต่ว่า พวกเขาขอร้องให้คุณกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ “หะรอม”

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจำต้องยินยอมหรือตอบรับการร้องขอทั้งหมดโดยทันทีเสมอไปคุณสามารถที่หว่านล้อมหรือโน้มน้าวใจพวกเขา(ด้วยการให้เหตุผล)อย่างสุภาพว่าเหตุใดคุณถึงทำไม่ได้

หรือทำไมคุณไม่ต้องการจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งตราบที่มันจะไม่สร้างความโกรธเคืองให้กับพวกเขาหากคุณไม่สามารถทำได้และรู้สึกว่ามันจะมีผลกระทบกับชีวิตของคุณคุณก็อาจจะหาใครสักคนที่พวกเขาเคารพนับถือและขอให้เขาช่วยเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยให้

แน่นอนว่าสิ่งที่ผม(ชัยคฺวาลีด) กล่าวมา
นี้เป็นเพียงแค่กฏเกณฑ์โดยทั่วไป เพราะผมไม่สามารถที่จะกล่าวถึงทุกๆ สถานการณ์หรือทุกๆ ข้อยกเว้นได้หมด แต่โดยทั่วไปแล้วนั้น(หวังว่าคุณทั้งหลาย)จะพยายามทำความเข้าใจในแนวคิด
โดยรวมและปฏิบัติตาม อินชาอัลลอฮฺ

.................................................
โดยชัยคฺ วาลีด อับดุลฮากีม
ถอดความ เรียบเรียง بنت الاٍسلام
เตือนกันและกันน่ะค่ะ
แวนิต้า โรส โพส


จงยืนแถวละหมาดให้เท่าๆกัน



"ท่านทั้งหลายจงยืน(แถวละหมาด)ให้เท่าๆกัน อย่าให้เหลื่อมล้ำกัน เพราะจะทำให้หัวใจของพวกท่านขัดแย้งกัน พวกท่านที่บรรลุศาสนะภาวะมีสติปัญญาเฉียบแหลมให้ยืนแถวถัดจากฉัน แถวถัดไปให้เป็นแถวของเด็ก"

(บันทึกหะดิษโดยอิมามนะสาอีย์)

... วันนี้ เราละเลย และ หลงลืม รึไม่ ?
... จงใคร่ครวญ...

................
Dunt Bung


คนสุดท้ายที่จะออกจากนรก


ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวถึงชาวนรก ถึงแม้เขามีความผิดมากมาย แต่หากเขาผู้นั้นมีความศรัทธาแม้เพียงเท่ากับเมล็ดผักกาดในหัวใจของเขา อันถือว่ามีความศรัทธาที่น้อยมาก พระองค์อัลลอฮฺตะอาลาก็ทรงให้เขาออกจากนรก นี้คือความเมตตาของพระองค์อัลลอฮฺตะอาลาที่มีต่อบ่าวของพระองค์

รายงานจากท่านอบูสะอี๊ด อัลคุดรี (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
เมื่อชาวสวรรค์ได้เข้าสวนสวรรค์แล้ว และชาวนรกได้ลงนรกไปแล้ว
อัลลอฮฺจะทรงกล่าวว่า : เอาคนที่มีความศรัทธาเท่ากับเมล็ดผักกาดในหัวใจออกมาจากนรก
พวกเขาจะออกมา แม้ในตอนนั้นพวกเขาจะถูกเผาและกลายเป็นเหมือนถ่าน
หลังจากนั้น พวกเขาจะถูกโยนลงไปในแม่น้ำที่ถูกเรียกว่า อัลฮะยาต (ชีวิต) และพวกเขาจะผุดขึ้นมาเหมือนกับเมล็ดพืชที่เติบโตบนฝั่งของลำน้ำที่มาจากน้ำฝน... (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 8.565)


والله أعلم بالصواب



เสียงอาซาน อัลลอฮฺกำลังเรียกคุณอยู่



สามีถามภรรยาว่า : ละหมาดอัศริแล้วหรือยัง ?
ภรรยาก็ตอบว่า : ยัง
สามีก็ถามว่า : ทำไมถึงยังไม่ละหมาด ?
ภรรยาก็ตอบว่า : ฉันเพิ่งกลับจากที่ทำงาน เหนื่อยมากเลย ขอนอนก่อนได้ไหม ?
สามีก็ตอบว่า : งั้นคุณค่อยละหมาดอัศริรวมกับมัฆริบเลยทีเดียวนะ

วันถัดมา...

สามีต้องเดินทางไกล ที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเดินทาง โดยปกติแล้ว สามีต้องโทรบอกภรรยาว่าตัวเองถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากแต่ว่าเขาเลือกที่จะไม่โทรหรือไม่บอกภรรยา

ก็เลยทำให้ภรรยารู้สีกกังวลและเป็นห่วง เธอจึงทำการติดต่อกับสามีของเธอด้วยการโทรถาม เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจว่า สามีของเธอถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำการโทรไป แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เธอจึงโทรไปเป็นครั้งที่สอง สัญญาณดีและไม่ขัดข้องเลย โทรติด แต่ว่าไม่มีใครรับสาย จึงโทรไปเป็นครั้งสาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า และโทรเรื่อย ๆ แต่ว่ายังไม่มีใครรับสาย่เลย

ความกังวลใจที่มีอยู่ในตัวเธอ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเวลาถัดไปหนึ่งชั่วโมงกว่า สุดท้าย สามีก็โทรกลับ

ภรรยาก็ถามว่า : คุณถึงที่หมายนานแล้วหรือยัง ?
สามีก็ตอบว่า : อืม ถึงนานแล้ว
ภรรยาก็ถามว่า : ถึงตอนไหน ?
สามีก็ตอบว่า : ประมาณสี่ชั่วโมงกว่าแล้ว
ภรรยาก็เริ่มโกรธ แล้วพูดว่า : ถึงสี่ชั่วโมงกว่าแล้วหรอ แล้วทำไมไม่ติดต่อบอกข่าวคราวกันบ้างล่ะ ?
สามีก็ตอบว่า : ฉันเดินทางไกล ฉันเหนื่อย ก็เลยนอน
ภรรยาก็ถามว่า : จะโทรหาฉันก่อนไม่ได้หรอ เพียงสละเวลาแค่ไม่กี่นาทีเอง และที่สำคัญ ฉันโทรไปไม่รู้กี่สาย ไม่ได้ยินเสียงโทรเข้าเลยหรอ ?
สามีก็ตอบว่า : ได้ยิน
ภรรยาก็ถามว่า : แล้วทำไมไม่รับสายล่ะ คุณไม่คิดที่จะสนใจในตัวฉันใช่ไหม ?
สามีก็ตอบว่า : ใช่ ตัวคุณเองก็เหมือนกัน ทำไมไม่คิดที่จะสนใจในเสียงอาซานบ้างล่ะ อัลลอฮฺกำลังเรียกคุณอยู่นะ

น้ำตาของภรรยาเริ่มไหล แล้วเงียบกันสักพักหนึ่ง
แล้วเธอก็ตอบว่า : ใช่ สิ่งที่คุณพูดมา เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
สามีก็พูดว่า : ฉันไม่ใช่คนที่สามารถลบความผิดและบาปให้คุณได้นะ จงขอต่ออัลลอฮฺซึ่งการอภัยเถิด และอย่าได้ชินกับการกระทำอย่างนี้อีก ก็เพราะว่าฉันอยากเป็นคนหนึ่งที่คิดจะอยู่เคียงข้างคุณอีกครั้งในสวรรค์ เป็นการใช้ชีวิตคู่ที่นิจนิรันดร์

หลังจากนั้นมา เธอละหมาดตรงตามเวลาทุกครั้ง

คนที่รักคุณจริง ๆ คือคนที่คอยผลักดันตัวของคุณ เพื่อให้ตัวของคุณก้าวมาอยู่ข้างหน้า ที่กำลังมุ่งเดินไปสู่หนทางของอัลลอฮฺ แล้วมาหยุดที่ ๆ เขากำลังยืนอยู่ แล้วเขาก็พร้อมจะจูงมือของคุณมุ่งไปยังข้างหน้า และคอยประคับประคองเพื่อที่จะไม่ให้คุณเดินกลับไปยังข้างหลังอีกครั้ง

.
...............................................
บทความดี ๆ โดย : نجوم مصرية
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ




ความเคยชินที่น่ากลัว (ฮิญาบ)



เด็กสาวทำงานบ้านที่บ้านฉัน
เธอมาช่วยฉันทำงานประมาณ 4 ปีแล้ว
ฉันยังนึกภาพเธอในวันแรกได้ดี
เธอสาวสวยและคลุมฮิญาบเรียบร้อย
เวลามาถึงเธอจะกล่าวให้สลามแก่ฉัน
และทุกคนในบ้านเช่นเดียว กับเวลาที่เธอจะกลับ

นอกจากงานที่บ้านแล้วเธอยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เธอบอกว่าอยากหารายได้เป็นค่าหน่วยกิต

อีก 2 ปีต่อมาเธอยังเรียนอยู่เหมือนเดิมแต่เป็นปีสุดท้าย
และเธอก็ได้งานทำที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านสุรีวงศ์
เธอเริ่มเปลี่ยนไปเธอแต่งตัวสวยขึ้น
บอกว่าเป็นฟอร์มของโรงแรม
แต่ที่ฉันสะดุดตาก็คือ เธอปล่อยผมสยายแถมทำสีซะด้วย

ฮิญาบเธอหายไปไหน?

ไม่มีวี่แววแห่งความเขินอาย กลับดูภาคภูมิใจด้วยซ้ำ
ฉันเคยทักเธอว่าฮิญาบหายไปไหนล่ะ
เธอบอกว่า "ยังไม่ได้ขออนุญาตทางโรงแรมเพราะ
ตอนสมัครงานไม่ได้คลุมฮิญาบไป"

หลังจากนั้นไม่ว่าเธอจะต้องไปทำงานหรือไม่
หรือมีธุระออกไปไหนเธอก็ไม่คลุมฮิญาบอีกเลย
เธอเริ่มเคยชินกับภาพลักษณ์ของเธอวันแล้ววันเล่า
จนเกิดความชินชา และไม่รู้สึกผิดเสียแล้ว

.....................................
ลาลาโต tho99 เล่าเรื่อง
อับดุลรอมาน หะระตี โพส


ลูกเอ๋ย สุขทุกข์หรืออย่างไร ณ พระองคเท่าเทียมกัน




ลูกเอยเจ้าอย่าท้อ จะเกิดก่อฐานะไหน ==>

สุขทุกข์หรืออย่างไร ณ พระองคเท่าเทียมกัน ==>

มีมากย่อมให้มาก ถ้าจนยากอย่าแปรผัน ==>

โลกนี้ช่างแสนสั้น โลกหน้านั้นถาวรเอย ==>

ด้วยว่าฐานะนั้น ไม่ได้ชี้วัดคุณค่าของความเป็น 'คน'

แต่คุณค่าของความเป็น 'คน' อยู่ที่ว่าเราจะดำเนินชีวิตให้เป็นคนดี และผ่านพ้น ต่อการถูกสอบสวนได้อย่างไร

"อย่าปล่อยให้เขาเหล่านี้ ได้ทวงถามสิทธิ์ของเขา ณ วันนั้น ต่อหน้าพระองค์ .... ผู้ที่สร้างเรามาทุกคน"

.......................
@ Love Peace






วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

คนในดุอาร์




ในคำคืนแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ
ได้มีสองพี่น้องกำลังคุยกัน ผู้เป็นน้องก็แหงนมองท้องฟ้า
แล้วเห็นดวงดาวอยู่เรียงรายอย่างสวยงาม

น้องสาวพูดกับพี่สาวว่า : สามีในดุอาร์ของฉัน ฉันอยากได้เหมือน
ท่านอาลีย์ บิน อาบีย์ฏอลิบ เพื่อที่ฉันจะได้อยู่กับเขาอย่างมีความสุข

พี่สาวก็นิ่งสักพัก แล้วก็ตอบว่า : ถ้างั้น เธอก็จงเป็นดังเช่น...
ท่านหญิงฟาฏีมะห์ ลูกสาวท่านนบีศ็อลฯ

ทำไมล่ะ ? น้องสาวสงสัย

นั้นเพราะว่า...

ในเมื่อเธออยากได้สามีที่ดี เธอเองก็ต้องเป็นบุคคลที่ดี
อย่างที่เขาเป็นเช่นกัน

...............................
อับดุลรอมาน หะระตี









คิดว่าดี แต่มันออกนอกกรอบศาสนา



คืนนี้ ละหมาดซุบฮี 10 รอกาอัต ดีกว่า....

หลายคนทัก ไม่ได้นะ .....ยังไงก็ไม่ไดดดดดดดดด้

ผมบอกว่า ก็มันดีหนิ ทำไมหล่ะ สูญูดต่ออัลลอฮ เหมือนกันหนิ.....ทำไมจะไม่ได้

หลายคนทักอีก ก็.....เพราะแบบฉบับที่อัลลอฮให้นบีบอก แค่ 2 รอกาอัต

...ผมจึงบอกว่า...เห็นไหม...เรื่องดีดี เรื่องที่เกี่ยวกับพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องในศาสนา เราจะทำแบบอำเภอใจ ไม่ได้ใช่ไหม เห็นว่าดี เห็นว่าไม่เป็นไร ก็ดุอาอฺหนิ ไม่พอใช่ไหม...

มันต้องมีแบบ.....ฉบับที่มาจากอัลลอฮว่า รอซุลว่า เราถึงจะทำได้....

คิดง่ายๆ เกร็ดง่ายๆ แด่ผู้ที่มักจะบอกว่า ก็มันดีหนิ ทำไมจะไม่ได้หล่ะ
วัลลอฮฮุอะลัม

.................................
ชะบ๊าบ ก๊อลบุนสะลีม

ปล...คงมิได้หมายถึงเรื่องปลีกย่อยๆ เช่น ดุอาอ์หรืออะไรก็ตามที่มีทัศนะรองรับจากอุลมาอฺครับ แต่เป็นพฺิธีกรรมใหญ่ ที่แทบจะไม่มีรายงานหลักฐานเลย

วัลลอฮฮุอะลัม


ตะวักกัล


ส่วนหนึ่งของอิบาดะฮฺที่ยิ่งใหญ่นั้นคือการมอบหมายต่ออัลลอฮฺผู้สูงส่งในทุกการงาน นักปราชญ์บางท่านได้กล่าวว่า
“ตะวักกัลนั้นคือจิตใจที่ยึดมั่นอย่างแท้จริงกับอัลลอฮฺว่าทรงเป็นผู้นำประโยชน์และปกป้องจากภัยอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเกี่ยวกับโลกนี้หรือโลกหน้า ตะวักกุล คือการที่บ่าวทำการมอบหมายการงานทุกอย่างให้กับอัลลอฮฺสุบหานะฮู วะตะอาลา แสดงออกถึงการศรัทธามั่นและชัดเจนว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถยังประโยชน์หรือให้โทษ นอกจากอัลลอฮฺสุบหานะฮู วะตะอาลา เท่านั้น"
(ญามิอฺ อัล-อุลูม วา อัล-หิกัม 2/497)

อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَإِن يَمۡسَسۡكَ ٱللَّهُ بِضُرّٖ فَلَا كَاشِفَ لَهُۥٓ إِلَّا هُوَۖ وَإِن يَمۡسَسۡكَ بِخَيۡرٖ فَهُوَ عَلَىٰ كُلِّ شَيۡءٖ قَدِيرٞ ١٧ ﴾ [الأنعام: ١٧]

ความว่า “และหากว่าอัลลอฮฺทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น และหากพระองค์ทรงให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า แท้จริง พระองค์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง”
(อัลกุรอาน สูเราะฮ์อัล-อันอาม :17)

................
Dunt Bung