อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จุดยืนของอะฮ์ลุสสุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺที่มีต่อ ยะซีด บินมุอาวียะฮฺ

เรื่องที่ห้า
จุดยืนของอะฮ์ลุสสุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺที่มีต่อ ยะซีด บินมุอาวียะฮฺ

ยะซีดไม่ได้มีส่วนในการสังหารท่านหุสัยนฺ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการออกมาปกป้องยะซีด แต่เป็นการปกป้องความจริง ที่ผ่านมาเราได้อธิบายไปแล้วถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในการสังหารท่านหุสัยนฺ ยะซีดได้ส่งอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาดไปขวางไม่ให้ท่านหุสัยนฺไปถึงเมืองกูฟะฮฺ ไม่ได้สั่งการให้สังหารเขา ท่านหุสัยนฺเองก็คิดดีกับยะซีด ท่านถึงได้กล่าวว่า “ปล่อยให้ฉันไปหายะซีด เพื่อฉันจะได้วางมือของฉันที่มือของเขา”
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวว่า “ยะซีด บินมุอาวิยะฮฺไม่ได้สั่งให้สังหารท่านหุสัยนฺ จากการเห็นตรงกันของนักรายงานหะดีษ เขาเขียนคำสั่งไปให้อิบนุซิยาดยับยั้งไม่ให้ท่านมาปกครองอิรัก และเมื่อข่าวการสังหารหุซัยนฺไปถึงยะซีดแล้ว เขาก็แสดงความเจ็บปวดในเรื่องดังกล่าว และแสดงการร้องไห้ที่บ้านพักของเขา และไม่ได้จับภรรยาของท่านมาเป็นข้าทาส ทว่าให้เกียรติอะฮ์ลุลบัยตฺและให้ของกำนัลพวกเขาจนไปถึงส่งพวกเขากลับบ้านเมืองของพวกเขา”
ส่วนรายงานต่างๆที่ระบุว่า ผู้หญิงของอะฮ์ลุลบัยตฺได้รับการเหยียดหยามดูถูก และว่าพวกนางถูกนำตัวไปยังเมืองชามในสภาพข้าทาส และถูกดูถูกเหยียดหยามที่นั่น ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น ทว่าที่จริงบนีอุมัยยะฮฺยกย่องให้เกียรติบนีฮาชิมอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อหัจญาจ บินยูสุฟแต่งงานกับฟาฏิมะฮฺ บินติอับดุลลอฮฺบินญะอฺฟัร กษัตริย์อับดุลมาลิก บินมัรวานจึงรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ และได้ออกคำสั่งไปยังหัจญาจให้ปล่อยนาง และให้หย่านาง พวกเขาให้เกียรติบนีฮาชิมมาก ทว่า ไม่เคยจับผู้หญิงจากบนีฮาชิมสักคนเลยมาเป็นข้าทาส”[1]
ผู้หญิงบนีฮาชิม พวกนางได้รับการยกย่องและได้รับเกียรติอย่างมากในยุคสมัยนั้น เรื่องเล่าและการกล่าวถึงที่ว่า ศีรษะของท่านหุสัยนฺถูกส่งไปให้ยะซีด เรื่องนั้นไม่มีการยืนยัน ทว่า ศีรษะของท่านหุสัยนฺคงอยู่กับอุบัยดุลลอฮฺ ในเมืองกูฟะฮฺ ท่านหุสัยนฺถูกฝังโดยที่ไม่มีใครรู้หลุมศพที่แท้จริง แต่ที่เข้าใจกันคือท่านถูกฝังที่กัรบะลาอ์ในที่ๆท่านถูกสังหาร

* จุดยืนทางสายกลางต่อตัวของยะซีด
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวเอาไว้ว่า
“ผู้คนทั้งหลายในเรื่องของยะซีดมีสองขอบขั้ว และสายกลาง
คนกลุ่มที่หนึ่ง เข้าข้างอย่างหลับหูหลับตา รักใคร่เทิดทูน บ้างก็ถึงกับอ้างเป็นนบี เป็นมะอฺศูมเลยก็มี
คนกลุ่มที่สอง ไม่เอาเลย โกรธแค้น ถึงกับกล่าวหาว่าเป็นกาเฟรเลย พวกเขาเห็นว่าเขาเป็นมุนาฟิกเสแสร้งแสดงออกว่าเป็นอิสลาม แต่ซ่อนความกลับกลอกไว้ภายใน และเขาเกลียดนบี
กลุ่มนี้แต่งกวีแล้วป้ายว่าเขาเป็นคนพูด ตอนที่ท่านหุสัยนฺถูกสังหาร หรือตอนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายกับชาวหัรเราะฮฺ(มะดีนะฮฺ)
กวีมีเนื้อความว่า
นี่ถ้าผู้อาวุโสที่(ถูกมุสลิมสังหารในสงคราม)บะดัรได้เห็น
ความหวาดกลัวของพวกค็อซร็อจจากเหตุการณ์ใหญ่นี้
เราได้สังหารตัวใหญ่ๆจากผู้นำของพวกเขา
เราได้คืนความเป็นธรรมกับบะดัร และแล้วความเป็นธรรมเกิดขึ้นจริง
และว่าเขากล่าวว่า
เมื่อสิ่งที่ถูกหิ้วมาถึง
และบรรดาศีรษะถูกพายังที่ปราการญัยรูล
อีการ้องเสียงดัง ฉันก็พูดขึ้นว่า จงร้องไปหรือไม่ร้องก็สุดแท้
แต่ฉันชำระหนี้(แค้น)ของฉันจากนบีแล้ว
จากนั้นอิบนุตัยมียะฮฺก็กล่าวว่า ทั้งสองบทนี้เป็นความเท็จ เพราะคนนั้นเขาเป็นกษัตริย์คนหนึ่งของมุสลิม เป็นเคาะลีฟะฮฺคนหนึ่งที่เป็นทั้งเคาะลีฟะฮฺและกษัตริย์ ไม่อาจพูดอย่างนี้ หรืออย่างนั้นออกมาได้ 
ส่วนการสังหารท่านหุสัยนฺนั้น ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าท่านถูกสังหารโดยไม่เป็นธรรมและเป็นการตายชะฮีดเหมือนกับคนอื่นๆที่ถูกสังหารโดยไม่เป็นธรรมและเป็นการตายชะฮีด การสังหารท่านหุสัยนฺเป็นการฝ่าฝืนอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์จากตัวผู้สังหาร หรือผู้ที่ให้การสนับสนุน หรือพอใจกับเรื่องดังกล่าว กับมุสลิมมันเป็นเคราะห์ร้ายอย่างหนึ่งที่ประสบกับคนในครอบครัวหรือกับคนอื่น แต่สำหรับท่านหุสัยนฺแล้วมันเป็นการตายชะฮีด การเป็นเพิ่มฐานันดร และยกสถานภาพสูงขึ้น

ห้ามการสาปแช่งยะซีด
เรื่องสำคัญที่สุดที่เกิดในสมัยยะซีดน่าจะเป็นเหตุการณ์อัล-หัรเราะฮฺ การต่อสู้กับอับดุลลอฮฺ บินอัซ-ซุเบร และการสังหารท่านหุสัยนฺ
ด้วยเหตุเหล่านี้จึงมีผู้ที่ออกมาอนุญาตให้สาปแช่งยะซีด บินมุอาวียะฮฺได้ แต่ก็มีผู้ที่ออกมาห้ามด้วยเช่นกัน ในส่วนของผู้ที่อนุญาตให้สาปแช่งยะซีดได้ เขาต้องยืนยันสามเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อน
เรื่องที่หนึ่ง ยืนยันว่าเขาเป็นคนที่ละเมิดฝ่าฝืนจริง
เรื่องที่สอง ยืนยันว่าเขาไม่ได้กลับตัวจากการละเมิดฝ่าฝืนนั้น เพราะแม้แต่กาเฟรหากกลับตัว อัลลอฮฺก็ทรงรับการกลับตัวของเขา นับประสาอะไรกับคนที่ละเมิดฝ่าฝืน?
เรื่องที่สาม ยืนยันว่าอนุญาตให้สาปแช่งคนแบบเจาะจงได้
ตามหลักแล้วไม่อนุญาตให้สาปแช่งคนตายแบบเจาะจงกับบุคคลที่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ไม่ได้สาปแช่ง เพราะมีหะดีษที่ได้รับยืนยันถึงท่านนบี ว่าท่านได้กล่าวว่า
 «لاَ تَسُبُّوا الأَمْوَاتَ، فَإِنَّهُمْ قَدْ أَفْضَوْا إِلَى مَا قَدَّمُوا»
“พวกท่านจงอย่าด่าทอคนตาย เพราะพวกเขาได้ถูกนำไปสู่สิ่งที่เขากระทำแล้ว”
และศาสนาของอัลลอฮฺไม่ได้อยู่บนหลักของการสาปแช่ง หากแต่อยู่กับคุณธรรมจริยธรรมอันงดงาม การด่าทอไม่ได้มีส่วนใดๆในศาสนาของอัลลอฮฺเลย ทว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม กล่าวเอาไว้ว่า
«سِبَابُ المُسْلِمِ فُسُوقٌ، وَقِتَالُهُ كُفْرٌ»
“การด่ามุสลิมเป็นการฝ่าฝืน และการสังหารเขาเป็นการปฏิเสธ”
ฉะนั้นการด่ามุสลิมก็เป็นการละเมิดฝ่าฝืนแล้ว และไม่มีใครเลยที่บอกยะซีดออกนอกแนวทางของอิสลาม ทว่าส่วนมากพูดถึงเขาว่า เขาเป็นคนละเมิดฝ่าฝืน
เรื่องนี้ตามที่เรากล่าวมาแล้ว วางอยู่บนหลักการพิสูจน์ความถูกต้องของคำพูดที่พูดถึงเขาว่าเป็นการฝ่าฝืน ส่วนความรู้ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญทรงสูงส่ง
แต่มีการยืนยันแล้วว่าท่านนบี ได้กล่าวว่า
«أَوَّلُ جَيْشٍ مِنْ أُمَّتِي يَغْزُونَ مَدِينَةَ قَيْصَرَ مَغْفُورٌ لَهُمْ»
“กองทัพแรกของอุมมะฮฺฉันที่เข้าทำสงครามกับเมืองก็อยศ็อร จะได้รับการอภัย”
และปรากฏว่ากองทัพนี้อยู่ภายใต้การนำทัพของยะซีด บินมุอาวิยะฮฺ และกล่าวกันว่าเศาะหาบะฮฺระดับแนวหน้าที่ไปกับเขาด้วยมี อิบนุอุมัร อิบนุซ-ซุเบร อิบนุอับบาส อบูอัยยูบ เหตุการณ์เกิดในปีฮ.ศ. 49
อิบนุกะษีร กล่าวว่า “ยะซีดได้ทำความผิดมหันต์จากการออกคำสั่งให้เจ้าเมืองของเขามุสลิม บินอุกบะฮฺกระทำการในเหตุการณ์อัล-หัรเราะฮฺ คือ ทำให้มะดีนะฮฺหะลาลสำหรับเข่นฆ่าเป็นเวลาสามวัน ผนวกกับผลที่ตามมาคือมีการฆ่าเศาะหาบะฮฺและลูกหลานเศาะหาบะฮฺเป็นจำนวนมาก”
สรุปคำพูดคือ เรื่องของยะซีดให้เป็นเรื่องอัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญทรงสูงส่ง เขาก็เป็นอย่างที่ อัซ-ซะฮะบียฺ กล่าวไว้ คือ “เราไม่ด่าเขา แต่เราก็ไม่รักเขา”




[1] มินฮาจญ์ อัสสุนนะฮฺ (4/557-559)

จุดยืนของผู้คนทั้งหลายต่อการสังหารท่านหุสัยนฺ

เรื่องที่สี่
จุดยืนของผู้คนทั้งหลายต่อการสังหารท่านหุสัยนฺ

            ไม่มีความสงสัยหรือคลางแคลงใดๆเลยว่า การสังหารท่านหุสัยนฺ ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากที่ประสบกับบรรดามุสลิม เพราะไม่มีหลานนบีบนแผ่นดินนี้อีกแล้วนอกจากท่าน ท่านถูกสังหารโดยไม่เป็นธรรม และการสังหารท่านสำหรับมุสลิมที่อยู่บนโลกเรานี้เป็นเรื่องร้ายแรง และการนี้ท่านจะได้รับการชะฮีด เกียรติยศ ได้เพิ่มระดับขั้น และใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ โดยที่ท่านเลือกทำเพื่อโลกหน้า เพื่อสวรรค์อันบรมสุขแทนที่ดุนยาที่มืดเทา
            และเราขอกล่าวว่า  ท่านไม่น่าออกเดินทางไปเลย และเพราะอย่างนี้ที่บรรดาเศาะหาบะฮฺอาวุโสในเวลานั้นจึงมาห้ามปรามท่าน และเพราะการออกไปในครั้งนี้ทำให้พวกอธรรมชอบกดขี่เหล่านั้นได้โอกาสกับผู้ที่เป็นหลานของท่านเราะสูลุลลอฮฺ สังหารท่านอย่างไม่เป็นธรรมและต้องมาตายชะฮีด และในการเสียชีวิตของท่านมีผลร้ายแรงมากกว่าการที่ท่านนั่งเฉยอยู่ที่แผ่นดินของท่าน
            แต่มันเป็นกำหนดของอัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญผู้ทรงสูงส่ง สิ่งใดที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ย่อมต้องเกิดขึ้น ไม่ว่ามนุษย์จะต้องการหรือไม่ก็ตาม
            แต่การสังหารท่านหุสัยนฺก็ไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าการสังหารบรรดานบี ศีรษะของนบียะห์ยาบุตรของนบีซะกะรียาถูกมอบเป็นสินสมรสของคนชั่วช้าคนหนึ่ง และท่านนบีซะกะรียาก็ถูกสังหาร และเช่นกันอุมัร อุษมาน และอลีก็ถูกสังหาร บุคคลเหล่านี้ล้วนประเสริฐกว่าท่านหุสัยนฺทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่อนุญาตให้คนหนึ่งคนใดเมื่อนึกถึงการสังหารท่านหุสัยนฺแล้วทำการตบหน้า ฉีกเสื้อผ้า หรืออะไรทำนองนั้น ทว่าการกระทำทั้งหมดนั้นล้วนเป็นที่ต้องห้ามทั้งสิ้น เพราะท่านนบี ได้กล่าวว่า
«لَيْسَ مِنَّا مَنْ لَطَمَ الخُدُودَ، وَشَقَّ الجُيُوبَ»
“ไม่ใช่พวกเรา ผู้ที่ตบแก้ม และฉีกเสื้อผ้า”[1]
และกล่าวอีกว่า
«أَنَا بَرِئٌ مِنَ الصَّالِقَةِ وَالحاَلِقَةِ وَالشَّاقَّةِ»
“ฉันไม่เกี่ยวข้องใดๆกับศอลิเกาะฮฺ หาลิเกาะฮฺ และชากเกาะฮฺ”[2] และคำว่าศอลิเกาะฮฺ คือ ผู้หญิงที่ร่ำไห้คร่ำครวญ คำว่าหาลิเกาะฮฺคือผู้หญิงที่โกนศีรษะ และคำว่าชากเกาะฮฺคือ ผู้หญิงที่ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง
และกล่าวอีกว่า
«النَّائِحَةُ إِذَا لَمْ تَتُبْ فَإِنَّهَا تَلْبَسُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ دِرْعًا مِنْ جَرَبٍ وَسِرْبَالاً مِنْ قَطِرَانٍ، »
“ผู้หญิงที่ร้องไห้คร่ำครวญ หากไม่กลับตัว ในวันกิยามะฮฺ นางจะได้สวมเกราะที่ทำจากโรคผิวหนัง และเสื้อผ้าที่ทำจากน้ำมัน”[3]
เป็นหน้าที่ของมุสลิมเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นให้กล่าวเหมือนกับที่อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า
﴿ ٱلَّذِينَ إِذَآ أَصَٰبَتۡهُم مُّصِيبَةٞ قَالُوٓاْ إِنَّا لِلَّهِ وَإِنَّآ إِلَيۡهِ رَٰجِعُونَ  ١٥٦ ﴾ [البقرة: ١٥٦]
"คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์” {อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 156}

จุดยืนของผู้คนทั้งหลายต่อการสังหารท่านหุซัยนฺ

คนทั้งหลายในเรื่องการสังหารท่านหุซัยนฺ แบ่งเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มที่หนึ่ง : พวกเขาเห็นว่าท่านหุซัยนฺถูกสังหารด้วยความชอบธรรมแล้ว เพราะเขาออกจากผู้นำ และต้องการสร้างความแตกแยกให้กับมุสลิม พวกเขาพูดว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
«مَنْ جَاءَكُمْ وَأَمْرُكُمْ عَلَى رَجُلٍ وَاحِدٍ، يُرِيدُ أَنْ يُفَرِّقَ جَمَاعَتَكُمْ، فَاقْتُلُوهُ كَائِنًا مَنْ كَانَ»
“ผู้ใดที่มาหาพวกท่าน ในขณะที่อำนาจของมุสลิมอยู่ในมือของคนๆเดียวแล้ว เขาต้องการทำให้กลุ่มของพวกท่านแตกแยก ก็จงสังหารเขา ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม”[4]
และท่านหุซัยนฺต้องการทำให้มุสลิมเกิดการแตกแยก โดยท่านเราะสูลกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม ก็จงฆ่าเขา” ดังนั้นการสังหารท่านจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ทัศนะนี้เป็นทัศนะของพวกนาศิบะฮฺ[5] ที่โกรธแค้นท่านหุซัยนฺ บินอลี

กลุ่มที่สอง : พวกเขากล่าวว่า ท่านคือผู้ที่(ทุกคน)จำเป็นต้องเชื่อฟัง จำเป็นต้องส่งมอบอำนาจบริหารให้ท่าน เป็นทัศนะของพวกชีอะฮฺ

กลุ่มที่สาม : พวกเขาคือ อะฮ์ลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ พวกเขากล่าวว่า ท่านถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับอำนาจจากอัลลอฮฺ คือ ท่านไม่ได้เป็นอิหม่าม และไม่ได้ถูกสังหารในสภาพที่ออกจากผู้นำ ทว่าท่านถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรมและเป็นการตายชะฮีด ตามที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ กล่าวไว้ว่า
«الحَسَنُ وَالحُسَيْنُ سَيِّدَا شَبَابِ أَهْلِ الجَنَّةِ»
“หะสัน และหุสัยนฺ เป็นหัวหน้าของเด็กหนุ่มชาวสวรรค์”[6]
เพราะท่านต้องการถอนตัวกลับ หรือไปหายะซีดที่เมืองชามแล้ว แต่พวกเขาไม่ยอม จะให้ท่านยอมตกเป็นทาสเชลยให้กับอิบนุซิยาดเสียก่อน

บิดอะฮฺที่เกิดขึ้นใหม่สองประการ

            ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวว่า
ภายหลังการสังหารท่านหุสัยนฺ ได้เกิดบิดอะฮฺขึ้นมาสองประการ
หนึ่ง บิดอะฮฺการแสดงความเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญในวันอาชูรออ์ โดยการตบตี ตะโกนร้อง ร่ำไห้ แสดงว่ากระหายน้ำ และขับกล่อมร้องเพลงรำพังรำพันถึงความสูญเสีย และนำไปสู่การด่าทอ และสาบแช่งสลัฟ และโยงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนทำผิด จนกระทั้งด่าทอไปถึงผู้ที่รับอิสลามในช่วงแรกด้วย มีการอ่านข่าวว่ามีบางคนถึงขั้นเสียชีวิตทั้งที่จริงเป็นเรื่องโกหกเสียส่วนใหญ่ วัตถุประสงค์ของการสร้างรูปแบบนี้ขึ้นมาก็เพื่อเปิดประตูฟิตนะฮฺ และสร้างความแตกแยกให้กับอุมมะฮฺ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะมีความหมายอะไรได้อีกกับการหวนกลับมารำลึกเห็นการณ์นี้เป็นประจำทุกปี พร้อมกับการชโลมเลือด เทิดทูนจนคลั่งไคล้และยึดติดกับอดีต และจดจ่อกับกุโบร์

สอง บิดอะฮฺการเฉลิมฉลอง แสดงความดีอกดีใจ แจกขนมหวานในวันสังหารท่านหุสัยนฺ
ที่เมืองกูฟะฮฺมีกลุ่มคนที่สนับสนุนอะฮ์ลุลบัยตฺ โดยการนำของอัลมุคตาร บินอบูอุบัยดฺ ที่อ้างตนเป็นนบีเป็นจอมโกหก และกลุ่มคนที่โกรธแค้นอะฮ์ลุลบัยตฺ หนึ่งในนั้นก็มี อัลหัจญาจญ์ บินยูสุฟ อัษษะเกาะฟียฺ บิดอะฮฺหนึ่งต้องไม่ตอบโต้ด้วยกับอีกบิดอะฮฺหนึ่ง ทว่าต้องตอบโต้ด้วยการทำสุนนะฮฺของท่านนบี ตรงกับที่อัลลอฮฺตรัสคือ
﴿ ٱلَّذِينَ إِذَآ أَصَٰبَتۡهُم مُّصِيبَةٞ قَالُوٓاْ إِنَّا لِلَّهِ وَإِنَّآ إِلَيۡهِ رَٰجِعُونَ  ١٥٦ ﴾ [البقرة: ١٥٦]
"คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์” {อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 156}[7]







[1] เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ เรื่องไม่ใช่พวกของเราผู้ที่ฉีกเสื้อผ้า หะดีษที่ (1294) และเศาะหีห์ มุสลิม ว่าด้วยอีมาน เรื่องห้ามตบตีแก้ม(103)
[2] เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ เรื่องห้ามโกนศีรษะเมื่อมีประสบเคราะห์ หะดีษที่ (1296) และเศาะหีห์ มุสลิม ว่าด้วยอีมาน เรื่องห้ามตบแก้ม และฉีกเสื้อผ้า และดูอาอ์แบบญาฮิลียะฮฺ หะดีษหมายเลข(140/167)
[3] เศาะหีห์ อัลบุคอรียฺ ว่าด้วยญะนาซะฮฺ เรื่องห้ามการร้องไห้คร่ำครวญอย่างเด็ดขาด หะดีษหมายเลข (934)
[4] เศาะหีห์ มุสลิม ว่าด้วยการเป็นผู้ปกครอง เรื่องหุก่มของผู้ที่ทำให้มุสลิมแตกแยกขณะที่มันรวมกันอยู่ หะดีษหมายเลข (1852)
[5] นาศิบะฮฺ คือ พวกที่แสดงความเป็นศัตรูกับท่านอลี และวงศ์วานของท่าน
[6] บันทึกโดย ติรมิซียฺ ว่าด้วยความประเสริฐ เรื่องความประเสริฐของท่านหะสันและหุสัยนฺ หะดีษที่ (3768)
[7] มินฮาจญ์ อัสสุนนะฮฺ (5/554-555)

การสังหารท่านหุสัยนฺ

บทที่สอง
การสังหารท่านหุสัยนฺ

ท่านหุสัยนฺมาถึง กัรบะลาอ์
ท่านหุสัยนฺ ได้มาหยุดอยู่ ณ สถานที่ๆเรียกว่า กัรบะลาอ์ ก็ได้ถามว่า ที่นี่คือที่ไหนกัน?
พวกเขาก็ตอบว่า กัรบะลาอ์
ท่านก็พูดว่า กัรบฺ วะบะลาอ์ (ภัยพิบัติ และการลงโทษ)
และเมื่อกองทัพของอุมัร บินสะอัดมาถึง ซึ่งมีจำนวน 4000 คน ก็ได้พูดคุยกับท่านหุสัยนฺ และใช้ให้ท่านไปอิรักพร้อมกับเขา ไปหาอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด แต่ท่านก็ปฏิเสธ
แต่เมื่อท่านเห็นว่าไม่อาจขัดขืนได้แล้ว ท่านก็กล่าวกับอุมัร บินสะอัดว่า “ฉันให้ท่านเลือกข้อใดข้อหนึ่งจากสามประการนี้ ท่านจงเลือกตามที่ท่านประสงค์
เขาก็ตอบว่า มีอะไรบ้างเล่า?
ท่านก็ตอบว่า ปล่อยให้ฉันกลับไป หรือให้ฉันไป(รบที่)ชายแดนที่ใดที่หนึ่งของมุสลิม หรือให้ฉันไปหายะซีด เพื่อฉันจะได้วางมือของฉันกับมือของยะซีดที่เมืองชาม
ท่านอุมัร บินสะอัด ก็ตอบว่า “ได้ ท่านจงส่งคนของท่านไปหายะซีด และฉันจะส่งคนของฉันไปหาอุบัยดุลลอฮฺ และเราค่อยดูว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร” ท่านหุสัยนฺก็ไม่ได้ส่งใครไปหายะซีด แต่อุมัร บินสะอัดได้ส่งคนไปหาอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด
และเมื่อคนส่งสาร์นไปถึงอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด และได้เล่าเรื่องราวต่างๆ และเรื่องที่ท่านหุสัยนฺพูดว่า ฉันให้ท่านเลือกข้อใดข้อหนึ่งจากสามประการนี้  อิบนุซิยาด ทีแรกก็พอใจกับข้อใดก็ได้ที่ท่านหุสัยนฺจะเลือกเอง แต่ในตอนนั้นมีชายผู้หนึ่งที่อยู่กับอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด มีชื่อว่า ชัมรฺ บินซิลเญาชัน เขาเป็นคนใกล้ชิดกับอิบนุซิยาด ก็กล่าวขึ้นว่า “ไม่ได้ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ จนกว่าเขาจะยอมอยู่ใต้การตัดสินของท่านเสียก่อน(คือให้ยอมเป็นทาสเชลย)”
อุบัยดุลลอฮฺ ก็เคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของเขา จึงพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว ต้องให้เขายอมอยู่ใต้การตัดสินของฉันเสียก่อน”
แล้วอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด ก็แต่งตั้งชัมรฺ บินซิลเญาชัน และบอกว่า “จงไปจนกว่าเขาจะยอมอยู่ใต้การตัดสินของฉันเสียก่อน หากอุมัร บินสะอัดไม่ยินยอมทำเจ้าก็จงขึ้นเป็นแม่ทัพแทนเขา”
อิบนุซียาดแต่เดิมเตรียมกองทัพ 4000 คนให้อุมัร บินสะอัดเพื่อยกไปที่ ร็อย แล้วก็พูดกับเขาว่า “จงไปจัดการเรื่องของหุสัยนฺก่อน จากนั้นค่อยไปต่อที่ ร็อย ทั้งยังได้ให้สัญญาจะให้เขาปกครองเมืองร็อย”
แล้วชัมรฺ บินซิลเญาชัน ก็ได้ออกไป และข่าวก็ได้ไปถึงท่านหุสัยนฺ และว่าท่านต้องยอมอยู่ใต้การตัดสินของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาดเสียก่อน ท่านก็ปฏิเสธ และกล่าวว่า “ไม่ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่ยอมอยู่ใต้การตัดสินของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาดอย่างเด็ดขาด”

ท่านหุสัยนฺเตือนให้กองทัพของกูฟะฮฺนึกถึงอัลลอฮฺ

พลทหารม้าของท่านหุสัยนฺมีจำนวน 72 คน ในขณะที่กองทัพของกูฟะฮฺมีถึง 5000 คน และเมื่อทั้งสองทัพหยุดเผชิญหน้ากัน ท่านหุสัยนฺก็พูดกับกองทัพของอิบนุซิยาดว่า “พวกท่านจงคิดทบทวน ไตร่ตรองให้ดีเถิด จะใช้ได้หรือที่พวกท่านจะต่อสู้กับคนอย่างฉัน? ฉันคือผู้เป็นหลานของท่านศาสดา และบนแผ่นดินนี้ไม่มีหลานของท่านศาสดาอื่นอีกแล้วนอกจากฉัน และท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้เคยบอกกับฉันและพี่ชายของฉันว่า “สองคนนี้คือหัวหน้าของเด็กหนุ่มชาวสวรรค์”[1]
ท่านพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาละทิ้งคำสั่งของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด และให้หันมาร่วมมือกับท่าน แต่มีเพียง 30 คนจากพวกเขาเท่านั้นที่เข้ามารวมตัวกับท่านหุสัยนฺ ในบรรดาคนเหล่านี้มี อัลหุรร์ บินซิยาด อัตตะมีมียฺ คนที่เป็นแม่ทัพกองหน้าของกองทัพของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด มีคนพูดกับอัลหุรร์ บินยะซีดว่า ท่านออกมาพร้อมกับพวกเรา โดยนำทัพหน้าออกมา มาบัดนี้ ท่านจะไปอยู่กับหุสัยนฺกระนั้นหรือ?
เขาก็ตอบว่า “แย่ชมัด ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันกำลังเลือกทางให้ตัวเอง ระหว่างสวรรค์กับนรก ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่เลือกสิ่งใดมาแทนสวรรค์อย่างแน่นอน และถึงแม้นฉันจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ หรือถูกเผาก็ตาม”
หลังจากนั้นท่านหุสัยนฺก็ละหมาดดุฮ์รี่และอัศรี่ในวันพฤหัส ท่านได้นำละหมาดให้กับคนทั้งสองกลุ่ม ทั้งทัพของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด และผู้ที่อยู่กับท่าน ทีแรกท่านพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านก็ให้มีอิหม่ามของพวกท่าน พวกเราก็ให้มีอิหม่ามของพวกเรา” แต่พวกเขาตอบว่า “ไม่ พวกเราจะละหมาดตามหลังท่าน” แล้วพวกเขาก็ละหมาดตามหลังท่านหุซัยน์ ละหมาดดุฮ์รี่และอัศรี่ และเมื่อใกล้ถึงเวลามัฆริบ พวกเขาเคลื่อนทัพม้าของพวกเขาเข้ามาใกล้ท่านหุสัยนฺมากขึ้น ขณะนั้นท่านหุสัยนฺถือดาบไว้กับตัว เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามาใกล้ ซึ่งท่านได้หลับไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็พูดว่า “นี่อะไรกัน” พวกเขาก็ตอบว่า “พวกเขาขยับเข้ามาใกล้” ท่านก็พูดว่า “จงไปหาพวกเขา และจงพูดกับพวกเขา และถามพวกเขาว่า พวกเขาต้องการอะไร?”
ทหารม้าของท่านหุซัยน์จำนวน 20 คน หนึ่งในนั้นคือ อัลอับบาส บินอลีบินอบีฏอลิบ น้องชายของท่านหุสัยนฺ ก็ได้ออกไป และได้พูดคุยและสอบถามพวกเขา? พวกเขาก็ตอบว่า “ถ้าไม่ยอมอยู่ใต้การตัดสินของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด ก็ต้องต่อสู้กัน”
พวกเขาก็ตอบว่า “ไว้ให้พวกเราได้พูดคุยกับท่านอบูอับดุลลอฮฺ(ท่านหุสัยนฺ)เสียก่อน” แล้วพวกเขาก็กลับไปหาท่านหุซัยน์และเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง ท่านก็พูดว่า “จงไปบอกพวกเขาว่า ขอเวลาพวกเราให้ผ่านค่ำคืนนี้ไปเสียก่อน แล้วพรุ่งนี้ฉันค่อยให้คำตอบพวกท่าน ฉันจะได้ละหมาดเพื่อองค์อภิบาลของฉันก่อน เพราะฉันรักการละหมาดเพื่อองค์อภิบาลผู้ทรงมหาจำเริญทรงสูงส่งของฉัน แล้วคืนนั้นท่านก็ได้ใช้เวลาไปกับการละหมาดเพื่ออัลลอฮฺ และขออภัยโทษจากพระองค์ และท่านกับพวกที่อยู่กับท่านต่างก็พร้อมใจกันขอดุอาอ์

เหตุการณ์ อัฏ-ฏ็อฟ ปีฮ.ศ. 61

ในเช้าวันศุกร์ การต่อสู้ของคนทั้งสองกลุ่มก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อท่านหุสัยนฺปฏิเสธไม่ยอมตกเป็นเชลยทาสของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด แต่ขนาดของตราชูทั้งสองข้างมันช่างแตกต่าง พวกของท่านหุสัยนฺก็เห็นว่าพวกเขาไม่อาจต้านทานกองทัพนี้ได้แน่ ความต้องการเพียงอย่างเดียวของพวกเขาก็คือ ความตายเพื่อปกป้องท่านหุสัยนฺ บินอลีเท่านั้น แล้วพวกเขาก็ค่อยๆทยอยเสียชีวิตลงต่อหน้าท่านหุสัยนฺ ทีละคนทีละคน จนหมดสิ้น ไม่เหลือใครอีกนอกจากท่านหุสัยนฺ บินอลี และบุตรชายของท่านคือ อลี บินหุสัยนฺ ซึ่งนอนป่วยอยู่
เหลือท่านหุสัยนฺอยู่ต่อไปอีกในช่วงกลางวันอันยาวนาน แต่ละคนที่เข้ามาก็จะถอยหลังกลับออกไป ไม่มีใครต้องการเป็นผู้สังหารท่าน เหตุการณ์ดำเนินต่อไปในสภาพนี้จนกระทั้งชัมรฺ บินซิลเญาชัน ได้มาถึง เขาก็ตระโกนสั่งออกไปว่า “ไม่ได้เรื่องเลย ไอ้พวกหนักท้องแม่ ล้อมมันไว้ ฆ่ามันเลย” พวกเขาก็เข้าไปล้อมท่านหุสัยนฺ บินอลี แล้วก็เกิดการปะทะดาบกัน ท่านสังหารพวกเขาไปได้หลายคนดุจว่าเป็นสัตว์ป่าที่ห้าวหาญ แต่กระนั้นความมากก็ย่อมเอาชนะความกล้าหาญได้เสมอ
ชัมรฺ ก็ได้ตะโกนออกไป “ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง มัวรีรออะไรกันอยู่? บุกเข้าไปเลย” พวกเขาก็บุกเข้าไปหาท่านหุสัยนฺ และสังหารท่าน และผู้ที่เป็นคนลงมือสังหารท่านหุสัยนฺคือ ซินาน บินอนัส อันนะเคาะอียฺ และเขาก็ได้ตัดศีรษะท่าน แต่บ้างก็บอกว่าคนที่ตัดศีรษะของท่านคือ ชัมรฺ เอง
 หลังจากที่สังหารท่านหุสัยนฺแล้ว ศีรษะของท่านก็ถูกนำไปมอบให้กับอุบัยดุลลอฮฺ ที่เมืองกูฟะฮฺ เขาก็เริ่มเคาะศีรษะของท่านโดยกับไม้ที่อยู่กับเขา และแยงมันเข้าไปในปากท่าน และกล่าวว่า “ฟันสวยดีนี่”  อนัส บินมาลิกก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่ญาติดีกับเจ้าอีก แน่แท้ฉันได้เคยเห็นท่านเราะสูลุลลอฮฺ จูบตรงตำแหน่งที่ไม้ของเจ้าโดน”[2]
อิบรอฮีม อันนะเคาะอียฺ กล่าวว่า “หากฉันเป็นหนึ่งในผู้ลงมือสังหารท่านหุสัยนฺ แล้วต่อมาฉันได้เข้าสวรรค์ ฉันคงอายที่จะผ่านไปหาท่านนบี แล้วให้ท่านมองหน้าฉัน”[3]

อะฮฺลุลบัยตฺที่ถูกสังหารพร้อมกับท่านหุสัยนฺ

บุตรของท่านอลี บินอบีฏอลิบที่ถูกสังหาร : (1) ตัวของท่านหุสัยนฺเอง (2) ญะอฺฟัร (3) อัลอับบาส (4) อบูบักร (5) มุหัมมัด และ(6) อุษมาน
บุตรของท่านหุสัยนฺ : (7) อับดุลลอฮฺ (8) อลีบุตรชายคนโตที่ไม่ใช่อลี ซัยนุลอาบิดีน
บุตรของท่านหะซัน : (9) อับดุลลอฮฺ (10) อัลกอซิม และ(11) อบูบักร
บุตรของท่านอะกีล : (12) ญะอฺฟัร (13) อับดุลลอฮฺ (14) อับดุรเราะห์มาน (15) อับดุลลอฮฺ บินมุสลิมบินอะกีล (16) มุสลิม บินอะกีล ที่ถูกสังหารไปก่อนที่เมืองกูฟะฮฺ
บุตรของอับดุลลอฮฺ บินญะอฺฟัร : (17) เอาน์ และ(18) มุหัมมัด[4]
            สิบแปดคนที่ถูกสังหารนี้ทั้งหมดล้วนเป็นคนจากอะฮฺลุลบัยตฺทั้งสิ้น ถูกสังหารในสมรภูมินี้ที่จำนวนคนต่างกันเกินไป

เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์สังหารท่านหุสัยนฺ

ท่านอุมมุสะละมะฮฺ ได้เล่าว่า “ครั้งหนึ่งญิบรีลได้อยู่กับท่านนบี และหุสัยนฺก็อยู่กับฉัน แล้วหุสัยนฺก็ร้องไห้ ฉันจึงปล่อยเขา แล้วเขาก็เข้าไปหาท่านนบี และเข้าไปใกล้ๆท่าน แล้วญิบรีลก็ถามว่า “ท่านรักเขาใช่ไหม โอ้ มุหัมมัด” ท่านก็ตอบว่า “ใช่” เขาก็พูดว่า “อุมมะฮฺของท่านเองที่จะสังหารเขา และหากท่านต้องการฉันจะเอาดินจากแผ่นดินที่เขาถูกสังหารมาให้ท่านดู” แล้วเขาก็ได้นำมาให้ท่านดู แผ่นดินนั้นถูกเรียกว่า กัรบะลาอ์”[5]
ท่านอุมมุสะละมะฮฺ ได้เล่าว่า “ฉันได้ยินญินตัวหนึ่งร้องโหยหวนให้กับท่านหุสัยนฺตอนที่เขาถูกสังหาร”[6]
ส่วนที่มีรายงายว่า ท้องฟ้ามีฝนตกลงมาเป็นเลือด หรือกำแพงต่างๆเปื้อนไปด้วยเลือด หรือที่ว่าไม่ว่าจะหยิบหินก้อนไหนขึ้นมาจะพบว่าด้านล่างของมันมีเลือดติดอยู่ หรือไม่ว่าจะเชือดอูฐตัวไหนก็กลายเป็นเลือดไปหมด ดังที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นคำโกหกเหลวไหลทั้งสิ้น ไม่มีสายรายงานที่ถูกต้องที่ไปถึงท่านนบี หรือไปถึงคนที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยสักคน มันเป็นเพียงคำโกหกกุขึ้นเพื่อเร้าอารมณ์ หรือไม่ก็เป็นเพียงสายรายงานที่ขาดตอนจากผู้ที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์ดังกล่าว[7]
อิบนุอับบาสได้เล่าว่า ฉันได้เห็นท่านเราะสูลุลลอฮฺในฝันตอนกลางวันท่านมีผมเผ้ายุ่งเหยิงเปื้อนฝุ่นที่ตัวของท่านมีขวดอันหนึ่งข้างในนั้นมีเลือดที่เก็บมันไว้ ฉันก็ถามว่า โอ้ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ นี้คืออะไร? ท่านก็ตอบว่า คือเลือดของหุสัยนฺและพวกพ้องของเขา ที่ฉันยังคงติดตามมันอยู่จนถึงตอนนี้
อัมมารฺผู้ที่รายงานหะดีษบทนี้ก็พูดว่า “ฉันก็ได้จดจำเรื่องนั้นไว้ แล้วเราก็มาพบว่า เขาถูกสังหารในวันเดียวกันนั้น”
ท่านนบี กล่าวว่า “ผู้ใดได้เห็นฉันในฝัน แน่นอนเขาได้เห็นฉัน” และอิบนุอับบาสเป็นคนที่รู้จักลักษณะของท่านนบีดีที่สุดแล้ว

บทลงโทษในดุนยาก่อนวันอาคิเราะฮฺ

ผู้ที่สั่งการให้สังหารท่านหุสัยนฺ คือ อุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด และเขาอยู่ได้อีกไม่นาน ก็ถูกสังหาร และอัลมุคตาร บินอบูอุบัยดฺ เป็นผู้ลงมือสังหารเขาเพื่อแก้แค้นให้กับท่านหุสัยนฺ ซึ่งเดิมทีอัลมุคตารเองเป็นหนึ่งในผู้ที่ทอดทิ้งมุสลิม บินอะกีล
สภาพของชาวเมืองกูฟะฮฺคือพวกเขาต้องการล้างอายให้ตัวเอง เพราะประการที่หนึ่ง พวกเขาทอดทิ้งมุสลิม บินอะกีลจนกระทั้งเขาถูกสังหาร โดยที่ไม่มีพวกเขาคนใดขยับตัวเคลื่อนไหวเลย และประการที่สอง ตอนที่ท่านหุสัยนฺมา ไม่มีพวกเขาคนใดออกมาปกป้องท่านเลย นอกจากอัลหุรรฺ บินยะซีด อัตตะมีมียฺและคนของเขาเท่านั้น ส่วนชาวเมืองกูฟะฮฺคนอื่นๆพวกเขากลับทอดทิ้งท่าน และเพราะเหตุนี้ท่านจึงเห็นว่าพวกเขาพากันตีอกตัวเอง และทำสิ่งต่างๆที่พวกเขาทำ เพื่อเป็นการชดเชยความผิดพลาดครั้งนั้นที่บรรพบุรุษของพวกเขาก่อเอาไว้ตามที่พวกเขากล่าวอ้าง[8]
ท่านอุมาเราะฮฺ บินอุมัยรฺ ได้เล่าว่า “เมื่อศีรษะของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาดและพรรคพวกถูกนำมาถึง ได้มีการจัดแถวที่มัสยิด ที่ร็อคบะฮฺ” เขาเล่าว่า “ฉันก็ไปต่อท้ายพวกเขา แล้วพวกเขาก็พากันพูดว่า “มาอีกแล้ว มาอีกแล้ว” คือได้มีงูตัวหนึ่งมาฉกศีรษะเหล่านั้น และเข้าไปในรูจมูกของอุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด อยู่ข้างในนั้นชั่วครู่หนึ่งก็ออกมาและเลื้อยหายไป สักครู่หนึ่งพวกเขาก็พูดขึ้นอีกว่า “มาอีกแล้ว มาอีกแล้ว” แล้วมันก็ทำอย่างเดียวกันนี้อีกสองหรือสามครั้ง”[9]
นี้คือการเอาคืนจากอัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญผู้ทรงสูงส่ง ต่อชายผู้นี้ที่มีส่วนร่วมอย่างมากในการสังหารท่านหุสัยนฺ บินอลี
อบู เราะญาอ์ อัลอุฏอริดียฺ ได้เล่าว่า “พวกท่านจงอย่าได้ด่าอลี และวงค์วานของเขา เพราะมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งของเราที่มาจาก บัลฮุญัยนฺ[10] พูดขึ้นว่า “พวกท่านไม่ดูอย่างหุสัยนฺ บินอลี คนเลวคนนี้หรือ? ขออัลลอฮฺทรงจัดการกับเขา” แล้วอัลลอฮฺก็ทรงทำให้เกิดฝ้าสีขาว[11]ขึ้นที่ดวงตาของเขา ขออัลลอฮฺให้ตาเขามองไม่เห็น”[12]

ใครคือผู้สังหารท่านหุสัยนฺ?

ก่อนที่เราจะทำความรู้จักกับคนที่สังหารท่านหุสัยนฺ เราขอพาย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ปี เป็นเรื่องของท่านอลี และท่านหุสัยนฺ กับพวก(ชีอะฮฺ)ของทั้งสอง
1-    ท่านอลี
ท่านได้พูดจาตัดพ้อกับพรรคพวก(ชีอะฮฺ)ของท่าน(ชาวเมืองกูฟะฮฺ) ว่า “ชาติอื่นเขากลัวจะถูกผู้นำรังแก แต่ฉันกลับกลัวจะถูกคนในการปกครองรังแก ฉันเรียกร้องให้พวกท่านออกไปญิฮาดแต่พวกท่านก็ไม่ยอมไป ขอให้พวกท่านรับฟัง พวกท่านก็ไม่รับฟัง ชักชวนพวกท่านทั้งโดยทางลับและเปิดเผยพวกท่านก็ไม่ตอบรับคำชวน ฉันให้คำตักเตือนพวกท่าน พวกท่านก็ไม่รับฟัง อยู่ก็เหมือนกับไม่อยู่ บ่าวจะเหมือนกับเจ้านายอย่างนั้นหรือ? ฉันแถลงคำตัดสินพวกท่านก็หนีหาย ฉันให้ข้อคิดลึกซึ้งกินใจแก่พวกท่าน พวกท่านก็แยกย้ายไม่สน ฉันรบเร้าให้พวกท่านไปญิฮาดกับพวกที่อยุติธรรม พูดไม่ทันจบก็เห็นพวกท่านแยกย้ายกันไปเหมือนการแตกสลายของชาวสะบะอ์[13] พวกท่านกลับไปตั้งวงของพวกท่าน แล้วทำเป็นล้อเล่นกับคำตักเตือน ฉันดัดพวกท่านให้ตรงในตอนเช้า พอตกเย็นพวกท่านก็คดเหมือนหลังงู คนดัดหมดแรงแล้ว แต่คนถูกดัดก็ยังคดอยู่ โอ้ ผู้ที่ตัวอยู่ แต่ปัญญาหาย มีแต่ความอยากเต็มไปหมด แต่ถูกผู้นำของพวกเขากดเอาไว้ เพื่อนพวกท่านเชื่อฟังอัลลอฮฺ แต่พวกท่านกลับฝ่าฝืนพระองค์ ฉันปรารถนาอย่างยิ่ง ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ให้มุอายะฮฺมาแลกเปลี่ยนพวกท่านกับฉันเหมือนที่เอาทองไปแลกเงิน ให้เขาเอาพวกท่านไปสิบคน แล้วให้ฉันเอาคนของเขามาคนเดียว ชาวเมืองกูฟะฮฺเอ๋ย  ฉันเห็นพวกท่านมีสามข้อ กับอีกสองข้อ หูหนวกได้ยิน เป็นใบ้พูดได้ ตาบอดมองเห็น ไม่ใช่อิสระชน(กล้าหาญ)อย่างแท้จริงเมื่อต้องเผชิญศึก ไม่เป็นมิตรที่วางใจได้เมื่อมีภัยมา มือของพวกท่านจงเลอะดินต่อไปเถิด โอ้ ผู้ที่เหมือนกับอูฐที่คนดูแลไม่อยู่ ที่หนึ่งรวมกันได้ อีกที่ก็แตกฝูง”[14]
เรื่องไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่พวกเขายังกล่าวหาท่านอลีว่าเป็นคนโป้ปดอีกด้วย
อัชชะรีฟ อัรเราะฎี ได้เล่าว่า ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน ได้กล่าวว่า “ชาวอิรักเอ๋ย พวกท่านเหมือนกับผู้หญิงท้อง ตั้งท้องแล้วพอถึงกำหนดคลอด ก็ไม่มีนมให้ลูก ลูกก็ตาย เป็นหม้ายร้างยาวนาน และให้ญาติไกลมารับมรดกของนางแทน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่ได้เลือกมาอยู่กับพวกท่าน แต่ฉันมาเพราะจำยอม ฉันได้ยินมาว่าพวกท่านกล่าวว่า อลีเขาโกหก ขออัลลอฮฺจัดการกับพวกท่าน ฉันไปโกหกกับใครหรือ?”[15]
และท่านยังกล่าวอีกว่า “ขออัลลอฮฺจัดการกับพวกท่าน พวกท่านเติมหัวใจฉันด้วยกลัดหนอง บรรจุหัวอกของฉันด้วยความโมโห กรอกความทุกข์ให้ฉันครั้งแล้วครั้งเล่า และทำความคิดเห็นของฉันเสียหายด้วยการดื้อดึงและทอดทิ้ง”[16]
2-    อัลหะซัน บินอะลี
ท่านกล่าวว่า “ฉันเห็นว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ สำหรับฉันแล้วมุอาวิยะฮฺดีกว่าพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาอ้างว่าเป็นพวกพ้อง(ชีอะฮฺ)ฉัน แต่พวกเขาก็คิดจะสังหารฉัน ปล้นทรัพย์ฉัน เอาเงินทองของฉันไป ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากมุอาวิยะฮฺจะทำสัญญากับฉัน ที่ทำเลือดฉันไร้ค่าแต่ฉันสามารถวางใจในครอบครัวของฉันได้ ย่อมดีกว่าให้เขาสังหารฉัน และทำให้คนในบ้านและครอบครัวฉันสูญหาย และหากฉันต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺ แน่นอนว่าพวกเขาจะบีบคอฉัน บังคับให้ฉันยอมทำสัญญาสงบศึกกับเขา”[17]
และท่านยังพูดกับพวกพ้อง(ชีอะฮฺ)ของท่านอีกว่า “ชาวอิรักเอ๋ย ในใจฉันมีสามประการที่ไม่อาจรับพวกท่านได้ พวกท่านสังหารบิดาของฉัน พูดจาทิ่มแทงฉัน และปล้นทรัพย์สินของฉัน”[18]

* การทรยศของชาวกูฟะฮฺ และการที่พวกเขาเป็นผู้สังหารท่านหุสัยนฺ
มุหัมมัด บินอลี บินอบีฏอลิบ เป็นที่รู้จักในชื่อ อิบนุล-หะนะฟียะฮฺ น้องชายของท่านหุสัยนฺ ได้แนะนำท่านว่า “พี่ชายเอ๋ย ชาวกูฟะฮฺนั้น ท่านก็รู้ดีว่าพวกเขาทรยศบิดาและพี่ชายของท่าน ฉันกลัวว่าสภาพของท่านจะเป็นเหมือนอย่างที่ผ่านมา”[19]
และนักกวีที่มีชื่อเสียง ฟะร็อซดัก ได้ตอบท่านหุสัยนฺ เมื่อท่านถามเขาถึงพวกพ้องของท่านที่ท่านกำลังจะไปหา เขาตอบว่า “หัวใจของพวกเขาอยู่กับท่าน แต่ดาบของพวกเขาหันมาทางท่าน เรื่องราวย่อม(เป็นไปตามที่)ลงมาจากฟากฟ้า อัลลอฮฺทรงทำในสิ่งที่พระองค์ประสงค์” และท่านหุสัยนฺก็ตอบว่า “ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว กิจการทั้งหมดเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ในทุกวันพระองค์ทรงมีกิจ และหากกำหนดเป็นไปตามที่เรารักและพอใจเราก็ขอสรรเสริญอัลลอฮฺกับเนียะมัตของพระองค์ และพระองค์คือผู้ที่ถูกขอให้ช่วยเหลือในการขอบคุณพระองค์ แต่หากกำหนดไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ก็ไม่ไกลไปสำหรับผู้ที่สัจธรรมคือความตั้งใจของเขา และตักวาคือที่พักพิงของเขา”[20]
และตอนที่ท่านหุสัยนฺสนทนากับพวกเขา ท่านได้เอ่ยถึงเรื่องราวและการกระทำที่แล้วมาของพวกเขาที่มีต่อบิดา และพี่ชายของท่าน มีตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า “แต่หากพวกท่านไม่ทำตาม ผิดคำสัญญา และถอดบัยอะฮฺออกจากต้นคอของพวกท่าน ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยกับคนอย่างพวกท่าน พวกท่านเคยทำอย่างนี้กับบิดา พี่ชาย และมุสลิมลูกพี่ลูกน้องของฉันมาแล้ว คนที่ถูกหลอกก็คือผู้ที่หลงเชื่อพวกท่านนั่นแหละ”[21]
3-    ท่านอลี บินหุสัยนฺ เป็นที่รู้จักในชื่อซัยนุลอาบิดีน
ท่านกล่าวตำหนิผู้คน(ชีอะฮฺ)ของท่านที่ทอดทิ้งและสังหารบิดาของท่านว่า “ผู้คนเอ๋ย ฉันขอให้พวกท่านนึกถึงอัลลอฮฺ  พวกท่านก็รู้ใช่ไหมว่าพวกท่านเขียนจดหมายถึงบิดาของฉันและหลอกเขา พวกท่านให้พันธะ สัญญา และบัยอะฮฺกับท่าน แล้วท่านก็มาสังหารและทอดทิ้งท่าน ความหายนะจงมีกับสิ่งที่พวกท่านทำไว้กับตัวเอง ความอับอายจงมีกับความคิดของท่าน ด้วยกับดวงตาข้างไหนที่ท่านจะใช้มองท่านเราะสูลุลลอฮฺ เมื่อท่านจะพูดกับพวกท่านว่า “พวกเจ้าสังหารลูกหลานของฉัน ละเมิดสิ่งต้องห้ามของฉัน พวกเจ้าไม่ใช่อุมมะฮฺของฉัน” บรรดาสตรีก็ส่งเสียงร้องไห้ดังมาจากทุกทิศทาง พวกเขาก็บอกกันและกันว่า “พวกท่านหายนะกับสิ่งที่พวกท่านทำแล้ว” ท่านก็กล่าวต่อไปอีกว่า “ขออัลลอฮฺทรงเมตตาผู้ที่ตอบรับความตักเตือนของฉัน และรักษาคำสั่งเสียของฉันที่มีต่ออัลลอฮฺ เราะสูล และอะฮฺลุลบัยตฺของฉัน เพราะพวกเราได้แบบอย่างที่ดีจากตัวของท่านเราะสูลุลลอฮฺ” พวกเขาทั้งหมดก็กล่าวว่า “พวกเราทั้งหมดเชื่อฟังแล้ว จะรักษาสัญญาของพวกเราที่มีต่อท่าน จะไม่เห็นเป็นเรื่องเล็ก และไม่ปรารถนาสิ่งอื่นจากท่าน ออกคำสั่งพวกเรามาเลย ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน รบก็รบกับท่าน สงบศึกก็สงบศึกกับท่าน เราจะเอาคืนกับยะซีด และไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ที่อธรรมท่านและอธรรมเรา” ท่านก็ตอบว่า “ช่างไกลนัก ช่างไกลนัก จอมทรยศจอมใช้เล่ห์เอ๋ย มันเป็นอุบายระหว่างพวกท่านกับอารมณ์ของพวกท่าน พวกท่านอยากมาหาฉันเหมือนที่ไปหาบรรพบุรุษของฉันหรือ? ไม่ใช่หรอก ขอสาบานต่อพระเจ้าของ... แผลเก่ายังไม่หาย บิดาฉันเสียชีวิตเมื่อวานไปพร้อมกับครอบครัวของเขา ยังไม่ทำให้ฉันลืมของมีค่าของท่านเราะสูลุลลอฮฺ และของมีค่าของบิดาของฉัน และลูกๆของบิดาของฉันยังอยู่ที่ลูก... และความขมขื่นที่อยู่ระหว่างคอหอยกับคอของฉัน สิ่งที่ค้ำคอมันจุกไปถึงหน้าอกของฉัน””[22]
และเมื่อตอนที่ท่านอิหม่ามซัยนุลอาบิดีน ผ่านมาและเห็นคนกูฟะฮฺกำลังร้องโหยหวนร่ำไห้ ท่านก็ตะหวาดพวกเขาไปว่า “พวกท่านร้องโหยหวนร่ำไห้เพื่อพวกเรา แล้วคนกันเล่าที่สังหารพวกเรา?”[23]
4-    อุมมุ กุลษุม บินตุ อลี
นางกล่าวว่า “โอ้ ชาวเมืองกูฟะฮฺเอ๋ย ความอับอายเป็นของพวกท่าน พวกท่านเป็นอะไรกันถึงได้ทอดทิ้งท่านหุสัยนฺ สังหารท่าน ปล้นเอาทรัพย์ของท่านมาเป็นมรดกของตัวเอง จับผู้หญิงของท่านมาเป็นเชลย และตีตนออกห่างท่าน ความพินาศและความห่างไกลจงเกิดแก่พวกท่าน สีใดที่แต่งแต้มพวกท่าน บาปใดอยู่บนหลังพวกท่าน เด็กคนไหนที่พวกท่านฉกมา เงินไหนที่พวกท่านปล้นมา พวกท่านสังหารคนที่ดีที่สุดหลังจากท่านนบี และความเมตตาถูกกระฉากไปจากใจของพวกท่านแล้ว”[24]
5-    ซัยนับ บินตุ อลี
นางพูดขณะที่กำลังสนทนากับคนกลุ่มหนึ่งที่มุ่งมาหานางทั้งน้ำตาและเสียงร่ำไห้ “พวกท่านจะร้องไห้ครวญครางเหรอ? ใช่สิ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ จงร้องไห้ให้เยอะ และหัวเราะให้น้อยเถิด เพราะพวกท่านพาความอับอายขายหน้าไปด้วย พวกท่านไม่มีวันล้างมันออกไปได้ไม่ว่าจะใช้อะไรก็ตาม พวกท่านจะถูกชำระล้างได้อย่างไรกับการสังหารลูกหลานของนบีคนสุดท้าย”[25]
ในบางรายงานระบุว่า “นางได้โผล่ศีรษะออกมาจากแคร่ แล้วกล่าวกับชาวกูฟะฮฺว่า “หุบปากเสียเถิด ชาวกูฟะฮฺเอ๋ย ให้บุรุษของพวกเจ้าเข่นฆ่าพวกเรา แต่ให้สตรีของพวกเจ้าร้องไห้ให้พวกเราหรือ? ผู้ที่จะตัดสินระหว่างเราและระหว่างพวกเจ้าคืออัลลอฮฺในวันตัดสินชี้ขาด””[26]
6-    ญะวาร มุหัดดิษี
“ทุกๆเหตุผลเหล่านี้นำไปสู่การที่ท่านอลีต้องเผชิญกับความขมขื่นที่สุดสองครั้ง และท่านอิหม่ามหะสันต้องถูกทรยศและทำให้มุสลิม บินอะกีลต้องถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรมท่ามกลางพวกเขา และทำให้ท่านหุสัยนฺต้องถูกสังหารในสภาพกระหายน้ำที่กัรบะลาอ์ ใกล้ ๆ กับเมืองกูฟะฮฺและกับน้ำมือของกองทัพกูฟะฮฺ”[27]
7-    หุสัยนฺ กูรอนียฺ
เขากล่าวว่า “ชาวเมืองกูฟะฮฺไม่ใช่แค่ตีตนออกจากอิหม่ามหุสัยนฺเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนสีเปลี่ยนจุดยืนไปเป็นฝ่ายที่สามอีกด้วย นั่นคือพวกเขาแข่งกันออกมาที่กัรบะลาอ์ ออกมาทำสงครามกับท่านหุสัยนฺ และที่กัรบะลาอ์พวกเขาแข่งกันแสดงบทบาทที่ให้ชัยฏอนพอใจ และให้อัลลอฮฺพิโรธ”[28]
หุสัยนฺ กูรอนียฺยังกล่าวอีกว่า
“และเรายังได้พบอีกจุดยืนหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นมุนาฟิกของชาวเมืองกูฟะฮฺ อับดุลลอฮฺ บินเหาซะฮฺ อัต-ตะมีมียฺ มายืนอยู่ต่อหน้าอิหม่ามหุสัยนฺ และตระโกนว่า “ในหมู่พวกท่านมีหุสัยนฺไหม?” และคนๆนี้เป็นชาวเมืองกูฟะฮฺ และเมื่อวันก่อนคนๆนี้เคยเป็นพลพรรคของท่านอลี และเป็นไปได้ว่าเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เขียนจดหมายถึงท่านหุสัยนฺ หรืออยู่ในกลุ่มของชิบซฺและกลุ่มอื่นที่เขียนจดหมาย แล้วภายหลังมาพูดว่า “โอ้ หุสัยนฺเอ๋ย ยินดีกับนรกด้วย””[29]
8-    มุรตะฎอ มุเฏาะฮ์ฮีรียฺ
มุรตะฎอ มุเฏาะฮ์ฮะรียฺ กล่าวว่า “และไม่ต้องสงสัยเลย ที่ว่ากูฟะฮฺเคยเป็นพลพรรคของท่านอลี และบรรดาผู้ที่สังหารท่านหุสัยนฺ ก็คือพลพรรคของท่านเองนั่นแหละ”[30]
และยังกล่าวอีกว่า “และตามที่เรายืนยันมาก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่มุมนี้ และเราจะขอกล่าวอีกเช่นกันว่า การสังหารท่านหุสัยนฺเองเกิดขึ้นจากน้ำมือของมุสลิมด้วยกัน ทว่าจากน้ำมือของชีอะฮฺนั่นแหละ หลังจากที่ท่านนบีจากไปได้เพียง 50 ปีเท่านั้น เป็นเรื่องที่น่าฉงน แปลกประหลาด เกินความคาดหมายยิ่งนัก”[31]
และผู้ที่ออกคำสั่งให้สังหารที่หุสัยนฺ และพออกพอใจกับมันคือ อุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด
และผู้ที่เป็นคนลงมือสังหารท่านหุสัยนฺ คือ ชัมรฺ บินซิลเญาชัน และสินาน บินอนัส อัน-นะเคาะอียฺ และทั้งสามคนนี้ล้วนเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีอะฮฺอลีทั้งสิ้น และยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอลีในสงครามศิฟฟีนอีกด้วย
9-    กาซิม อัล-อิห์สาอียฺ อัน-นะญะฟียฺ
เขากล่าวว่า “แท้จริงกองทัพที่ออกมาทำสงครามกับอิหม่ามหุสัยนฺ มีจำนวน 3000 คน ที่ทั้งหมดมาจากเมืองกูฟะฮฺ ในหมู่พวกเขาไม่มีคนชาม คนหิญาซ คนอินเดีย คนปากีสถาน คนซูดาน คนอียิปต์ หรือคนแอฟริกาเลย ทั้งหมดเป็นชาวเมืองกูฟะฮฺทั้งสิ้นที่รวบรวมมาจากอาหรับหลายเผ่า”[32]
10-          หุสัยนฺ บินอะห์มัด อัล-บุรอกียฺ อัน-นะญะฟียฺ
“อัลก็อซวีนียฺกล่าวว่า “หนึ่งในสิ่งที่ชาวเมืองกูฟะฮฺถูกประณามคือการที่พวกเขาพูดจาให้ร้ายท่านหะสัน บินอลี และพวกเขาสังหารท่านหุสัยนฺ ภายหลังที่เรียกท่านมา””[33]
11-          มุห์สิน อัล-อะมีน
“หลังจากที่คน 20000 คนจากชาวเมืองอิรักได้ให้บัยอะฮฺกับท่านหุสัยนฺแล้ว พวกเขาก็ทรยศท่าน และออกมาต่อสู้กับท่าน ทั้งที่มีบัยอะฮฺค้ำต้นคออยู่ แต่พวกเขาก็สังหารท่าน”[34]

ใครเป็นผู้ลงมือสังหารท่านหุสัยนฺ?

เป็นที่ประจักษ์ชัดในหนังสือประวัติศาสตร์และคนรายงาน ระบุว่าผู้ที่เป็นคนลงมือสังหารท่านหุสัยนฺเอง เป็นชายสองคนคือ สะนาน บินอะนัส อันนะเคาะอียฺ และชัมรฺ บินซิลเญาชัน และตัวการใหญ่ที่ชักใยเรื่องนี้คือ อุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด ทั้งอุบัยดุลลอฮฺและชัมรฺเคยเป็นพรรคพวกของท่านอลี
1-    อุบัยดุลลอฮฺ บินซิยาด : อัฏฏูซี กล่าวถึงเขาในหนังสือของเขา อัร-รีญาล และนับว่าเขาเคยเป็นพรรคพวกของท่านอลี[35]
2-    ชัมรฺ บินซิลเญาชัน : อันนะมาซียฺ อัชชะฮฺรูดียฺ ได้พูดถึง ชัมรฺ เอาไว้ว่า ในสงครามศิฟฟีนเขาเคยอยู่กองทัพของอะมีรุลมุอ์มินีน[36]







[1] บันทึกโดย อัตติรมิซียฺ ว่าด้วยความประเสริฐ เรื่องความประเสริฐของท่านหะซันและท่านหุสัยนฺ ฮะดีษที่ 3768 เป็นหะดีษเฎาะอีฟจากรายงานของท่านหุสัยนฺ แต่มีรายงานเศาะเฮียะฮฺจากหุซัยฟะฮฺ และอบูสะอีด และท่านอื่นๆ
[2] อัลมุอฺญัม อัลกะบีร ของอัฏฏ็อบรอนียฺ (5/206 หมายเลข 5107) และ เศาะเหียะห์บุคอรียฺ ว่าด้วยความประเสริฐของเศาะหาบะฮฺ เรื่องความประเสริฐของท่านหะซันและหุสัยนฺ หะดีษที่ 3748
[3] อัลมุอฺญัม อัลกะบีร ของอัฏฏ็อบรอนียฺ (3/112 หมายเลข 2829) ด้วยสายรายงานเศาะเหียะห์
[4] ตารีค ของ เคาะลีฟะฮฺ บินคิยาฏ (234)
[5] ฟะฎออิล อัศเศาะหาบะฮฺ (2/782 หมายเลข 1391) เป็นหะดีษมัชฮูร แต่ทุกสายที่รายงานจากอุมมุสะละมะฮฺ เป็นสายรายงานอ่อนทั้งหมด
[6] ฟะฎอิล อัศเศาะหาบะฮฺ (2/766 หมายเลข 1373) สายรายงานระดับหะสัน (ดี)
[7] ดู อัลบิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ เหตุการณ์ในปีฮิจเราะฮฺที่ 61
[8] กองทัพของอัลมุคตาร ที่แก้แค้นให้ท่านหุซ้ยนฺ เรียกตัวเองว่า กองทัพของผู้สำนึกผิด เป็นการยอมรับว่าพวกเขาเคยบกพร่องกับท่านหุสัยนฺ และนี้คือจุดเริ่มต้นการเกิดชีอะฮฺในทางการเมือง ส่วนชีอะฮฺในเรื่องอะกีดะฮฺและฟิกฮฺ นั้นเกิดขึ้นช้ากว่านี้มากนักหลังสิ้นสุดราชวงค์บนีอุมัยยะฮฺไปอย่างยาวนาน
[9] ญะมิอฺ อัตติรมิซียฺ ว่าด้วยความประเสริฐ เรื่องความประเสริฐของท่านหะซันและท่านหุสัยนฺ หะดีษที่ 3780 และอัตติรมิซียฺกล่าวเอาไว้ว่า หะดีษนี้เป็นหะดีษหะสันเศาะเฮียะฮฺ
[10] เป็นอาหรับเผ่าหนึ่ง
[11] สีขาวที่เกิดขึ้นที่ดวงตา บางทีก็ทำให้มองไม่เห็นเลย
[12] อัลมุอฺญัม อัลกะบีร (3/12 หมายเลข 2830) และสายรายงานนี้ เศาะเหียะฮฺ
[13] เป็นสำนวนที่อาหรับใช้เปรียบเปรยเรื่องความแตกแยก จากลิสานุล-อะร็อบ (ซีน บาอ์ ฮัมซะฮฺ)
[14] นะฮ์ญุล-บะลาเฆาะฮฺ (1/187-189)
[15] นะฮ์ญุล-บะลาเฆาะฮฺ (1/118-119)
[16] นะฮ์ญุล-บะลาเฆาะฮฺ (1/157-189)
[17] อันนัดวะฮฺ (3/208) และ ฟีริหาบิ อะฮ์ลิล-บัยตฺ หน้าที่ 270
[18] ละก็อด ชัยยะอะนีล-หุสัยนฺ หน้าที่ 283
[19] อัล-ลุฮูฟ ของอิบนุ ฏอวูส หน้าที่ 39 อาชูรออ์ ของอิห์สาอียฺ หน้าที่ 115 อัลมุญาลิส อัลฟาคิเราะฮฺ ของอับดุล-หุสัยนฺ หน้าที่ 75 มุนตะฮัล-อามาล 1/454 อะลา คุฏ็อล-หุสัยนฺ หน้าที่ 96
[20] อัลมุญาลิส อัลฟาคิเราะฮฺ หน้าที่ 79 อะลา คุฏ็อล-หุสัยนฺ หน้าที่ 100 ละวาอิจญ อัลอัชญาน ของอะมีน หน้าที่ 60 มะอาลิม อัลมัดเราะสะตัยนฺ 3/62
[21] มะอาลิม อัลมัดเราะสะตัยนฺ 3/71-72 มะอาลี อัส-สิบฏ็อยน์ 1/275 บะห์รุล-อุลูม 194 นัฟสุล-มะฮ์มูม 172 ค็อยรุล-อัศหาบ 39 ตุซละมุซ-ซะห์รออ์ หน้าที่ 170
[22] ฏุบรุซียฺ กล่าวคำโอวาทนี้ไว้ในหนังสือ อัล-อิห์ติญาจ (2/32) และอิบนุ ฏอวูส ใน อัล-มัลฮูฟ หน้าที่ 92 และอัล-อะมีน ในละวาอิจญ์ อัล-อัชญาน หน้าที่ 158 และอับบาส อัล-กุมมียฺ ในมุนตะฮัล-อามาล เล่มที่ 1 หน้าที่ 572 และหุสัยนฺ อัล-กูรอนียฺ ในริหาบ กัรบะลาอ์ หน้าที่ 183 และอับดุรร็อซซาก อัลมุกริม ใน มักตัล-หุสัยนฺ หน้าที่ 317 และมุรตะฎอ อิยาด ในมักตัล-หุสัยนฺ หน้าที่ 87 และอับบาส อัลกุมมียฺ นำมากล่าวซ้ำใน นัฟสุล-มะฮฺมูม หน้าที่ 360 และริฎอ อัล-ก็อสวีนียฺ กล่าวไว้ใน ตุซลัมุซ-ซะฮ์รออ์ หน้าที่ 262
[23] อัล-มัลฮูฟ หน้าที่ 86 นัฟสุล-มะฮ์มูม หน้าที่ 357 มักตัลหุสัยนฺ ของมุรตะฎอ อิยาฎ หน้าที่ 83 พิมพ์ปีค.ศ.1996 ตุษลัม อัลซะฮฺรออ์ ของริฎอ หน้าที่ 257
[24] อัล-มัลฮูฟ หน้าที่ 91 นัฟสุล-มะฮ์มูม หน้าที่ 363 มักตัลหุสัยนฺของมุกริม หน้าที่ 316 ละวาอิจ อัลอัชญาน หน้าที่ 157 มักตัลหุสัยนฺ ของมุรตะฎอ อิยาฎ หน้าที่ 86 ตุษลัม อัลซะฮฺรออ์ ของริฎอ บินนับย์ อัลก็อซวีนียฺ หน้าที่ 261
[25] มะอัล-หุสัยนฺ ฟี นะห์เฏาะติฮี ตั้งแต่หน้าที่ 295 ไป
[26] อับบาส อัล-กุมมียฺ ได้นำมาเล่าไว้ใน นัฟสุล-มะฮฺมูม หน้าที่ 365 และเชค ริฎอ บินนับยฺ อัล-ก็อซวีนียฺ ในตุซละมุซ-ซะห์รออ์ หน้าที่ 264
[27] เมาสูอะฮฺ อาชูรออ์ หน้าที่ 59
[28] ฟี ริหาบิ กัรบะลาอ์ หน้าที่ 60-61
[29] ฟี ริหาบิ กัรบะลาอ์ หน้าที่ 61
[30] อัล-มัลหะมะฮฺ อัล-หุสัยนียะฮฺ (1/129)
[31] อัล-มัลหะมะฮฺ อัล-หุสัยนียะฮฺ (3/94)
[32] อาชูรออ์ หน้าที่ 89
[33] ตารีค อัลกูฟะฮฺ หน้าที่ 113
[34] อะอฺยาน อัชชีอะฮฺ 1/26
[35] ริญาล อัตตูซียฺ หน้า 54 ตัรญุมะฮฺ(120) พิมพ์ครั้งที่1 สำนักพิมพ์ อัลมัฏบะอะฮฺ อัลหัยดะรียะฮฺ –เมืองนะญัฟ ปีค.ศ.1961 ตะห์กีกโดย มุหัมมัด ศอดิก บะห์รุลอุลูม
[36] มุสตัดเราะกาต อิลมิ ริญาลิล หะดีษ ของอัลลามะฮฺ อลี อันนะมาซียฺ อัชชะฮฺรูดีย์ โรงพิมพ์มุอัสสะสะฮฺ อันนัชรฺ อัลอิสลามียฺ เมืองกุม ปีฮ.ศ. 1425 (4/220) ตัรญุมะฮฺที่(6899)