อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ฉันห่วงเธอจริง ๆ น๊ะ!!!




ฉันเข้าใจเธอน๊ะ...
แต่...ฉันไม่ยอมให้เธอทำหรอก
ฉันรู้ดี...ว่าเธอจำเป็น
แต่...ฉันไม่อาจเห็นเธอต้องผิดพลั้ง
เธออาจผิดหวังที่เล่าให้ฉันฟัง
เพราะฉันคงยับยั้งความคิดเธอ
แต่...ฉันห่วงเธอจริง ๆ น๊ะ...

แม้ความจำเป็นจะมากมาย
แต่มิควรห่างหายลืมคำสอนที่มี
แม้เหตุการณ์จะบังคับก็ตามที
แต่คุณงามความดียังควรต้องยึดมันและมั่นคง

เธอบอกฉัน...
ความลำบากทำให้เธอต้องจำเป็น
เท่าที่เห็น ฉันคิดว่ามันเป็น บททดสอบ
และเงินทองที่ได้มา โดยมิชอบ
มันไม่ใช่คำตอบบนเส้นทาง ที่เลือกเลย
และฉัน...ก็ห่วงเธอจริง ๆ น๊ะ...

ออกห่างจากสิ่งนั้นเสีย
เงินดอกเบี้ย อัร ริบา ที่ใฝ่หา
สิ่งต้องห้ามจากคำสอนท่านศาสดา
รู้ไว้ว่า เป็นบาปใหญ่ที่พระเจ้าไม่พอใจ

“และอัลลอฮฺทรงอนุมัติการค้าขาย และทรงบัญญัติห้ามดอกเบี้ย”
(สูเราะฮฺอัล-บะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 275)

อัลหะดีษ มีรายงานจากท่านญาบิร (ร.ฎ.) ว่า :
“ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ได้สาปแช่งคนกินดอกเบี้ย,
คนให้กินดอกเบี้ย, คนบันทึกและพยาน 2 คนในเรื่องดอกเบี้ย”
(รายงานโดยมุสลิม)

ออกห่างเถิด...
เธอคือเพือนฉัน
และเราสายเชือกเดียวกัน
ที่สำคัญ...

ฉันห่วงเธอจริง ๆ น๊ะ!!!

นะอูซุบิลลาฮิมินซาลิก...
(ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองพวกเราจากสิ่งนั้น)

..............................
‪#‎สายลมแห่งตักวา‬

อย่าขัดเกลาและขอพรเกินขอบเขต




การที่เราจะขัดเกลา หรือวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ ให้อยู่ในขอบเขต อย่าทำหรือวอนขอจนเลยเถิด

รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินมุฆ็อฟฟัล (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า อับดุลลอฮฺได้ยินลุกชายของเขาวิงวอนต่ออัลลอฮฺว่า
"โอ้อัลลอฮฺ ฉันขอพระองค์ประทานวังสีขาวหลังหนึ่ง ทางด้านขวาของสวรรค์เมื่อฉันเข้าไป"

เขากล่าวว่า "ลูกเอ๋ย เพียงแค่ขออัลลอฮฺให้ประทานสวรรค์ และขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากไฟนรกก้เพียงพอแล้ว เพราะพ่อได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า 
"ในประชาชาติของฉัน จะมีบางคนที่เกินเลยขอบเขตในการขัดเกลา และในการวิงวอนขอพร" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 1.96)


والله أعلم بالصواب

ประชาชาติของท่านนบีมุหัมมัดกลุ่มแรกที่เดินผ่านนรกยะฮันนัม



"ศิรอฏจะถูกพาดระหว่าง 2 ฝั่งของนรกญะฮันนัม ดังนั้นฉันและประชาชาติของฉันจะเป็นกลุ่มแรกที่เดินข้ามผ่าน(อัลบุคอรี หะดีษเลขที่ 806, มุสลิม หะดีษเลขที่ 182)

ความลึกของนรก

عن أبي هريرة رضي الله عنه قال: كنا مع رسول الله × إذ سمع وَجْبَةً، فقال النبي صَلَّى اللهُ عَلَيهِ وَسَلَّم : «تَدْرُونَ مَا هَذَا؟» قال: قلنا الله ورسوله أعلم، قال: «هَذَا حَجَرٌ رُمِيَ بِـهِ فِي النَّارِ مُنْذُ سَبْعِينَ خَرِيفاً فَهُوَ يَـهْوِي فِي النَّارِ الآنَ حَتَّى انْتَـهَى إلَى قَعْرِهَا». أخرجه مسلم

จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า เราอยู่พร้อมกับท่านท่าน รสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทันใดนั้นได้ยินมีเสียงที่น่าสะพรึงกลัว ดังนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า พวกท่านรู้ไหมว่านี่มันเป็นเสียงอะไร? เขาเล่าว่า พวกเราตอบว่า อัลลอฮฺและรสูลของพระองค์รู้ดียิ่ง ท่านกล่าวว่า นั่นเป็นเสียงของหินที่มันถูกโยนลงไปในนรกตั้งแต่ 70 ปีที่แล้ว และในขณะนี้มันยังคงตกไหลลงจนกระทั่งถึงก้นหลุม” (มุสลิม หะดีษเลขที่ 2844)

عن سمرة بن جندب رضي الله عنه أنه سمع نبي الله صَلَّى اللهُ عَلَيهِ وَسَلَّم يقول: «إنَّ مِنْـهُـمْ مَنْ تَأْخُذُهُ النَّارُ إلَى كَعْبَيْـهِ، وَمِنْـهُـمْ مَنْ تَأْخُذُهُ إلَى حُجْزَتِـهِ، وَمِنْـهُـمْ مَنْ تَأْخُذُهُ إلَى عُنُقِهِ». أخرجه مسلم

จากสะมุเราะฮฺ บิน ญุนดุบ เราะฏิยัลลอฮุอันฮฺ เขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงมีส่วนหนึ่งของชาวนรกบรรดาผู้ที่ไฟนรกลุกลามถึงข้อเท้าของเขาและบางคนไฟจะลุกลามถึงเอวของเขาและบางคนจะลุกลามถึงต้นคอของเขา” (มุสลิม หะดีษเลขที่ 2845)



ส่วนต่างๆ ของชาวนรกถูกสร้างให้ใหญ่โต

عن أبي هريرة رضي الله عنه قال: قال رسول الله صَلَّى اللهُ عَلَيهِ وَسَلَّم : «ضِرْسُ الكَافِرِ أَوْ نَابُ الكَافِرِ مِثْلُ أُحُدٍ، وَغِلَظُ جِلْدِهِ مَسِيرَةُ ثَلاثٍ». أخرجه مسلم

จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ฟันกรามหรือฟันเขี้ยวของผู้ปฏิเสธศรัทธา (กาฟิร) จะใหญ่เหมือนกับภูเขาอุฮุด และความหนาของผิวหนังของเขาจะกว้างเท่ากับการเดินทาง 3 คืน” (มุสลิม หะดีษเลขที่ 2851)

عن أبي هريرة رضي الله عنه أن النبي صَلَّى اللهُ عَلَيهِ وَسَلَّم قال: «مَا بَيْنَ مَنْكِبَي الكَافِرِ فِي النَّارِ مَسِيرَةُ ثَلاثَةِ أَيَّامٍ لِلرَّاكِبِ المُسْرعِ». متفق عليه

จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ความกว้างระหว่างไหล่ทั้งสองของผู้ปฏิเสธในนรกจะเท่ากับการเดินทางด้วยการขับขี่อย่างรวดเร็วเป็นระยะเวลา 3 วัน” (อัลบุคอรี หะดีษเลขที่ 6551, มุสลิม หะดีษเลขที่ 52)

عن أبي هريرة رضي الله عنه عن النبي صَلَّى اللهُ عَلَيهِ وَسَلَّم قال: «ضِرْسُ الَكَافِرِ يَومَ القِيَامَةِ مِثْلُ أُحُدٍ، وَعَرْضُ جِلْدِهِ سَبْعُونَ ذِرَاعاً، وَعَضُدُه مِثْلُ البَيْضَاءِ، وَفَخِذُهُ مِثْلُ وَرقَانٍ، وَمَقْعَدُهُ مِنَ النَّارِ مَا بَيْنِي وَبَينَ الرَّبَذَةِ». أخرجه أحمد والحاكم

จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ”ในวันกิยามะฮฺฟันกรามของพวกกาฟิร จะใหญ่เหมือนกับภูเขาอุฮุด ผิวหนังของเขาหนา 70 ศอก แขนของเขาใหญ่เหมือนกับภูเขาอัลบัยฏออ์ (มีความใหญ่ขนาดภูเขาอุฮุด) ขาอ่อนของเขามีความใหญ่เหมือนกับภูเขาวัรกอน และที่นั่งของเขาทำจากไฟมีขนาดระหว่างฉันกับอัรเราะบะซะฮฺ (ชื่อสถานที่อยู่ระหว่างมะดีนะฮฺกับมักกะฮฺ“ (อะหฺมัด หะดีษเลขที่ 8327 , อัลหากิม หะดีษเลขที่ 8759)



ความร้อนระอุของไฟนรก

 تَجِدَ لَهُمْ أَوْلِيَاءَ مِن دُونِهِ وَنَحْشُرُهُمْ يَوْمَ الْقِيَامَةِ عَلَىٰ وُجُوهِهِمْ عُمْيًا وَبُكْمًا وَصُمًّا مَّأْوَاهُمْ جَهَنَّمُ كُلَّمَا خَبَتْ زِدْنَاهُمْ سَعِيرًا ( 97 ) อัล-อิสรออ์ - Ayaa 97

"และผู้ใดที่อัลลอฮทรงแนะแนวทาง เขาก็จะเป็นผู้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง และผู้ใดที่อัลลอฮทรงให้หลงทางแล้ว ดังนั้นสูเจ้าจะไม่พบอีกเลยสำหรับพวกเขา ซึ่งบรรดาผู้คุ้มครองอื่นจากพระองค์และเราจะชุมนุมพวกเขาในวันกิยามะฮ ถูกลากคว่ำหน้า โดยมีสภาพเป็นคนตาบอด เป็นใบ้และหูหนวก ที่พำนักของพวกเขาคือนรกญะฮันนัมทุกครั้งที่มันมอดเราได้เพิ่มการเผาไหม้ลุกโชนแก่พวกเขา"

ذَٰلِكَ جَزَاؤُهُم بِأَنَّهُمْ كَفَرُوا بِآيَاتِنَا وَقَالُوا أَإِذَا كُنَّا عِظَامًا وَرُفَاتًا أَإِنَّا لَمَبْعُوثُونَ خَلْقًا جَدِيدًا ( 98 ) อัล-อิสรออ์ - Ayaa 98

"นั่นคือการตอบแทนของพวกเขา โดยแน่นอน พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของเรา และพวกเขากล่าวว่า“เมื่อเราเป็นกระดูกและร่วนยุ่ยแล้ว แท้จริงเราจะถูกให้ฟื้นขึ้นเพื่อกำเนิดใหม่ได้อย่างไร" (อัลอิสรออ์ 17/97-98)

عن أبي هريرة رضي الله عنه أن النبي صَلَّى اللهُ عَلَيهِ وَسَلَّم قال: «نَارُكُمْ هَذِهِ الَّتِي يُوقِدُ ابْنُ آدَمَ جُزْءٌ مِنْ سَبْعِينَ جُزْءاً مِنْ حَرِّ جَهَنَّمَ» قالوا: والله إن كانت لكافية يا رسول الله، قال: «فَإنّهَا فُضِّلَتْ عَلَيْـهَا بِتِسْعَةٍ وَسِتّينَ جُزْءاً كُلُّها مِثْلُ حَرِّهَا». متفق عليه

2. จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮฺ แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ไฟที่มนุษย์ใช้จุดอยู่นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจาก 70 ส่วนความร้อนของไฟนรกญะฮันนัม” พวกเขากล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เท่าที่เป็นอยู่ก็ถือว่าเพียงพอแล้วท่านรสูลุลลอฮฺ ท่านกล่าวว่า แท้จริงความร้อนของมันจะถูกเพิ่มทวีขึ้น 69 เท่า ทุกเท่าของมันจะร้อนเหมือนกันหมด” (อัลบุคอรี หะดีษเลขที่ 806, มุสลิม หะดีษเลขที่ 182)

عن أبي هريرة رضي الله عنه قال: قال رسول الله صَلَّى اللهُ عَلَيهِ وَسَلَّم «اشْتَـكَتِ النَّارُ إلَى رَبِّهَا فَقَالَتْ: رَبِّ أَكَلَ بَـعْضِي بَـعْضاً، فَأَذِنَ لَـهَا بِنَفَسَينِ، نَفَسٍ فِي الشِّتَاءِ وَنَفَسٍ فِي الصَّيْفِ، فَأَشَدُّ مَا تَـجِدُونَ مِنَ الحَرِّ، وَأَشَدُّ مَا تَـجِدُونَ مِنَ الزَّمْهَرِيرِ». متفق عليه

3. จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ไฟ (นรก) ได้ร้องทุกข์กับพระเจ้าของมันว่า โอ้พระเจ้าของฉัน ส่วนหนึ่งของฉันต่างกินอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นพระองค์ได้อนุมัติให้นรกได้ผ่อนหายใจได้สองครั้ง ครั้งหนึ่งในฤดูหนาวและอีกครั้งในฤดูร้อน และเพราะเหตุนี้จึงทำให้เกิดความร้อนระอุและความหนาวเหน็บอย่างหนักที่พวกท่านได้ประสบ (ตามสภาพดินฟ้าอากาศ)” (อัลบุคอรี หะดีษเลขที่ 3265, มุสลิม หะดีษเลขที่ 2843)


...................
Santi Mana









ชนในยุคแห่งชัยชนะ


“ชนในยุคแห่งชัยชนะ” บอกเล่าถึงคุณลักษณะของกลุ่มชนที่ก้าวผ่านทุกปัญหาอุปสรรค
ปฏิเสธทุกความหย่อนยานและความสุดโต่ง ตัดสินปัญหาด้วยกับความรู้ และความ
เข้าใจต่อสถานการณ์อย่างแท้จริง เข้าใจกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺในการสร้างสรรค์ เสมือนดั่งที่
เข้าใจต่อหุก่มในบทบัญญัติอิสลาม

“กลุ่มชน” ที่มีความศรัทธามั่นด้วยวิชาความรู้ ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา ปฏิเสธทุก
ความหันเหบิดเบือน ศึกษาทำความเข้าใจอัลกุรอานและซุนนะฮฺ

การพิจารณาใคร่ครวญ...เป็นฟัรฏู

การศึกษาค้นคว้า...เป็นญิฮาด

ดังนั้น...การศึกษาค้นคว้าต้องมาก่อนการปฏิบัติ เข้าใจต่อปัญหาก่อนการปฏิบัติ ก่อนการตัดสิน

“กลุ่มชน” แห่งพระผู้อภิบาล หัวใจของพวกเขาถักร้อยด้วยความรักอันพิสุทธิ์ที่มีต่ออัลลอฮฺ
ทุกลมหายใจหมดไปกับการภักดีต่อพระองค์ ดังนั้น จึงอุบัติขึ้นด้วยอัลลอฮฺ เพื่ออัลลอฮฺ มา
จากอัลลอฮฺ และกลับสู่อัลลอฮฺ...

“กลุ่มชน” ผู้มุ่งหาอัลลอฮฺ ผู้พร่ำขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ

“กลุ่มชน” ที่โลกกำลังรอคอยให้เกิดขึ้นตามคำมั่นสัญญาที่พระองค์ได้ให้ไว้

.................................................
สายลม ดาวูด แห่งความห่วงใย



วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มุสลิมต้องแสวงหาความรู้


อิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาอย่างยิ่ง  เนื่องจากการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของมนุษย์ เป็นหัวใจของความเจริญ ดังที่ได้รู้กันว่าการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในด้านต่างๆจำเป็นต้องอาศัยวิชาความรู้จึงจะได้รับผลความสำเร็จ

ดังนั้นตั้งแต่เริ่มแรกที่อิสลามแผ่ขยาย อิสลามได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มนุษย์มีความรู้ ดังปรากฏในห้าอายะฮฺแรกที่อัลลอฮฺทรงประทานให้ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งได้เริ่มด้วยอายะฮฺที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมให้มีการศึกษาหาความรู้ อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า

اقْرَأْ بِاسْمِ رَبِّكَ الَّذِي خَلَقَ، خَلَقَ الإِنسَانَ مِنْ عَلَقٍ، اقْرَأْ وَرَبُّكَ الأَكْرَمُ، الَّذِي عَلَّمَ بِالْقَلَمِ، عَلَّمَ الإِنسَانَ مَا لَمْ يَعْلَمْ (سورة العلق:1-5)

“จงอ่านด้วยพระนามแห่งผู้อภิบาลของเจ้าผู้ทรงให้บังเกิด   ทรงให้บังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และผู้อภิบาลของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล-อะลัก: 1-5)

ความรู้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับศาสนา เช่นความรู้เกี่ยวกับการศรัทธา การปฏิบัติศาสนกิจ จริยธรรมมุสลิม เป็นต้น ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้มีความว่า “ผู้ใดที่อัลลอฮฺประสงค์ให้เขาได้รับความดีงาม พระองค์จะทรงทำให้เขาเข้าใจศาสนา” (รายงานโดยอัล-บุคอรีย์)

โดยเฉพาะความรู้ในด้านการศรัทธาต่ออัลลอฮฺนั้นยิ่งมีความสำคัญเป็นอันดับแรก อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า

فَاعْلَمْ أَنَّهُ لاَ إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَاسْتَغْفِرْ لِذَنبِكَ وَلِلْمُؤْمِنِينَ وَالْمُؤْمِنَاتِ (سورة محمد: 19)

“พึงรู้เถิด (คือต้องหาความรู้) ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด (ที่เที่ยงแท้) นอกจากอัลลอฮฺ และจงขออภัยโทษต่อความผิดเพื่อตัวเจ้าและเพื่อบรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิง” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ มุหัมมัด: 19)

การศึกษาหาความรู้เพื่อใช้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติศาสนา จึงนับว่าเป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทุกคน เช่นที่ท่าน             รอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้มีความว่า “การศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน” (รายงานโดย อิบนุ มาญะฮฺ)

ความจำเป็นที่ต้องหาความรู้ไม่แตกต่างจากความจำเป็นของการละหมาด  การถือศีลอด  การจ่ายซากาต และบทบัญญัติอื่นๆที่จำเป็นต้องปฏิบัติในอิสลาม

อิสลามต้องการให้คนมุสลิมศึกษาและแสวงหาความรู้ที่มีประโยชน์เท่านั้น ทั้งที่มีประโยชน์ต่อการปฏิบัติศาสนกิจและการประกอบอิบาดะฮฺ ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวใน ดุอาอฺของท่านในตอนหนึ่งมีความว่า “โอ้ อัลลอฮฺ แท้จริงฉันขอจากพระองค์ซึ่งความรู้ที่มีประโยชน์” (รายงานโดย อิบนุ มาญะฮฺ)

ส่วนความรู้ที่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตในโลกนี้  ก็เป็นสิ่งที่อิสลามสนับสนุนให้ศึกษาเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยส่งเสริมในเรื่อง   อาคิเราะฮฺอีกทอดหนึ่ง ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้ความว่า “พวกท่านมีความรู้เรื่องมากกว่าฉัน เกี่ยวกับกิจการทางโลกของพวกท่าน” (รายงานโดยมุสลิม)

มุสลิมทุกคนจึงต้องเอาใจใส่ในเรื่องการหาความรู้เพื่อให้เข้าใจศาสนาและปฏิบัติได้ถูกต้อง โดยต้องหาความรู้ที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในโลกนี้หรือโลกหน้า

- ข้อคิดที่ได้รับจากบทเรียน
1. การหาความรู้มีความสำคัญต่อมุสลิมทุกคน
2. มุสลิมต้องหาความรู้เพื่อทำความเข้าใจกับศาสนา และปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติอิสลาม
3.การไม่รู้เป็นเหตุให้มุสลิมประพฤติปฏิบัติตนอย่างผิดๆ
4.ความรู้ที่มุสลิมต้องศึกษาคือความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาทั้งในเรื่องศาสนาและการยังชีวิตบนโลกนี้

- คำถามหลังบทเรียน
1. ท่านคิดว่าความรู้อะไรบ้างที่สำคัญสำหรับท่าน?
2. ท่านคิดว่าเพราะเหตุใดอิสลามจึงสนับสนุนให้ศึกษาหาความรู้?
3. ท่านคิดว่าสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากที่ไหน? อย่างไร?

............................................
http://IslamHouse.com/57560
ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน

อย่าแสวงหาความรู้เพื่ออวดตน


การแสวงหาความรู้ของเรา ก็เพื่อศึกษาทำความเข้าใจ และเพื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องตามบทบัญญัติศาสนา และนำความรู้เหล่านั้นไปเผยแพร่ต่อไป หาใช่เพื่อการอวดตนเอง เพื่อให้คนอื่นมองตัวเองว่าเป็นผู้มีความรู้ หรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น หรือแสวงหาเพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปโต้เถียงกับผู้อื่น อันอาจเป็นผู้รู้ หรือบุคคลทั่วไปที่ขาดความรู้ก็ตามที หากเป็นเช่นนั้น ผลที่จะได้รับจากการแสวงหาความรู้นั้น จะนำสู่นรก


รายงานจากท่านกะอับ บินมาลิก (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุม) เล่าว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ใครที่แสวงหาความรู้ เพื่อที่จะไปโต้เถียงกับนักวิชาการคนอื่น และพิสูจน์ตัวเองเหนือคนเหล่านั้น หรือเพื่อทะเลาะกับคนโง่ หรือเรียกร้องความสนใจของผู้คน จะถูกโยนลงนรก" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัตติรฺมีซีย์)


والله أعلم بالصواب

เหนือความดีขอให้อัลลอฮฺทรงตอบรับความดี



เรา ไม่ ต้อง ...
ไป บอก ใคร ต่อ ใคร หรอก ว่า เรา ===> " รู้ "

เรา ไม่ ต้อง ...
ไป ป่าวประกาศ หรอก ว่า เรา ===> ทำดี แค่ ไหน

เรา ไม่ ต้อง ...
ไป สร้าง ภาพ หรอก ว่า ตัว เรา ===> ดี กว่า ใคร

เพราะเหนือ ความดีที่เราทำ

ขอให้อัลลอฮฺ รับความดี ของเราทุกอย่าง

อามีน

.............................
กอหญ้า ที่พริ้วไหว

พี่น้องยังจำ Arnoud Van Doorn ได้ไหม?



Arnoud Van Doorn ในช่วงของการทำฮัจญ์

เขาได้อธิบายว่า "น้ำตาของเขายากที่จะหยุดไหล เขาต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่มะดีนะห์ และผลิตสารคดีเกี่ยวอิสลาม หลังจากที่เขาเคยผลิตหนังต่อต้านอิสลามมาก่อนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และยังเคยเป็นรองผู้นำของพวกหัวรุนแรงฝ่ายต่อต้านอิสลามในประเทศเนเธอร์แลนด์!"

อัลลอลฮุอักบัร มาชาอัลลอฮฺ!
แท้จริง ทางนำของอัลลอฮฺนั้น...มีแด่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์

..................................
ที่มา Convert to Islam

New muslim | มุสลิมใหม่
















สิ่งที่ดีกว่าการถือศิลอดและละหมาด


การทำให้สิ่งต่างๆ ที่ถูกต้องระหว่างผู้คน นั้นมันดีเลิศยิ่ง ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่ามันดีกว่าการถือศิลอด การละหมาด และบริจาคทานเสียอีก

รายงานจากท่านอบูอัดดัรฺดา (ร่อฎียัลลออุอันฮุม) เล่าว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"จะไม่ให้ฉันบอกอะไรบางอย่างแก่พวกท่าน ซึ่งดีกว่าการถือศิลอด การละหมาด และบริจาคทานกระนั้นหรือ? ผู้คนตอบว่า : บอกสิครับ ท่านรสูลุลลอฮฺ พระองค์(อัลลอฮฺ)ทรงกล่าวว่า : มันคือการทำให้สิ่งต่างๆ ที่ถูกต้องในระหว่างผู้คน ส่วนการปล่อยให้พวกเขาเสียหายนั้นเป็นการทำลาย" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบุดาวูด เลขที่ 41.4901)

 والله أعلم بالصواب


อย่าตัดต้นพุทราโดยไม่จำเป็น



ต้นพุทรานำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง รวมถึงเพื่อทำความสะอาด ทั้งชายและหญิง การทำความสะอาดศพ ดังนั้น ผู้ใดตัดมัน โดยที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า จะนำไปสู่นรก

รายงานจากท่านอับดุลลออฺ บินฮะบาชี (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุม) เล่าว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ใครก็ตามที่ตัดต้นพุทรา โดยไม่จำเป็น อัลลอฮฺจะทรงนำเขาไปสู่นรก" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวุด เลขที่ 41.5220)

والله أعلم بالصواب


เธอผู้เปลี่ยนแปลงไปสู่ทางที่ดี



ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีอาชีพขายตัว แรงไปไหมจ้า งั้นเปลี่ยนเป็น โสเภณี ก็แรงอยู่ดี ใช่ไหม เอาง่ายๆน่ะ เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอาชีพ ไม่ดี หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

แต่เรื่องงานที่เธอทำ พ่อและแม่เธอไม่รู้หรอกว่าเธอทำงานแบบไหน

เธอแค่เล่าว่า เธอต้องอยู่นอกบ้าน กับเพื่อนๆเธอ ด้วยความแก่ชรา ของพ่อและแม่ เลยไล่ความคิด คำโกหกลูกไม่ทัน

เธอส่งเงินให้กับพ่อแม่เธอไม่ขนาดสาย ง่ายๆคือ พ่อแม่เธอสบาย ไม่ต้องทำงานอะไรเลย รอเงินที่ส่งมาก็กินใช้ไม่หมดหรอก

นานไป นานไป เธอ พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่มาเที่ยวกับเพื่อนๆเธอ เธอรู้สึกชอบมาๆ ทั้งๆที่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้หล่อเหลาอะไรเลย ฟันหน้าก็หายไป 4 ซี่ แต่อะไรน่ะ ที่ทำให้เธอหลงผู้ชายคนนั้น ... ก็คารมไง เธอแพ้คารมผู้ชายคนนี้ อย่างหมดใจ

เธอตัดสินใจ ออกจากบ้านที่เธออยู่กับเพื่อนๆ แล้วมาอยู่กินกับผู้ชายที่เธอชอบ

เธอไม่ได้แต่งงานกัน เธออยู่ได้ปีกว่าๆ เธอเริ่มรู้สึกลำบากกับการใช้ชีวิตแบบนี้ คือรอผู้ชายคนนั้นทำงานคนเดียว ไม่พอใช้แน่นอน

เธอย้ายไปอยู่บ้านที่ถูกกว่า เธอมีเพื่อนบ้าน ที่เป็นมุสลิม
เพื่อนบ้านเธอดีกับเธอมากมาย และได้ให้ความช่วยเหลือกับเธอบ่อยๆ

เธอเองก็รู้สึกรักเพื่อนบ้านเธอมากมาย ...

หลังจากที่เธออยู่ที่นั้นได้ไม่นาน ผู้ชาย (แฟน) ก็เสียชีวิตเพราะรถคว่ำ

เธอคิดอยู่เสมอว่า เธอจะไม่กลับไปทำอาชีพนั้นอีกต่อไป ถึงแม้เธอจะลำบากก็ตาม

ด้วยความเมตตาของอัลลอฮ เพื่อนบ้านเธอ ชักชวนให้เธอนับถือศาสนาอิสลาม เธอจึงขอศึกษาอย่างถ่องแท้ก่อน

เธอศึกษาได้ไม่นาน เธอก็ตัดสินใจรับศาสนาอิสลาม ...

เธอปกปิดเรือนร่างเธอ จนเพื่อนๆเธอ จำเธอไม่ได้เลย

หลังจากนั้นได้ไม่นาน เธอก็ได้กลับไปหาพ่อและแม่เธอ เธอได้อยู่กับครอบครัวได้ไม่นาน เป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก เมื่อพ่อของเธอได้ตายจากไป

เธอเล่าทุกอย่างให้แม่เธอฟัง แม่เธอก็ได้ย้ายออกจากหมู่บ้านนั้นแล้วไปอยู่กับลูกสาว

ด้วยความชราของแม่ เลยทำให้มีอาการป่วยบ่อยมาก
ครั้งสุดท้าย ตอนที่แม่เธอป่วย เธอได้ขอให้แม่เธอกล่าวกาลีมะห์ ชาฮาดะห์ และแม่เธอก็ได้กล่าวคำนั้นจริงๆ จุดจบของแม่คือ ตายในสภาพมุสลีมะห์คนหนึ่ง

เพื่อนบ้านที่แสนดี ได้ขอให้เธอแต่งงานกับสามีเขา เธอขอเวลาคิด และใคร่ครวญนานพอสมควร
ในที่สุด เธอก็แต่งงานกับสามีเพื่อนบ้านเธอ

เธอยึดเหตุผลเดียวที่เธอแต่งงานกับเขาคือ ภรรยา(เพื่อนบ้านเธอ) ไม่สามารถมีลูกได้ เพราะเป็นมะเร็งมดลูก

เธอรู้สึกสงสาร เธอจึงตัดสินใจแต่งงานด้วย
เธอมีลูกคนแรก เธอก็ยกให้ภรรยาคนแรกของสามีเธอ

อัลหัมดุลิลลาฮ ที่เธอเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางที่ดี

........................................

หนูชื่อ เจ๊ นูรีฮัน มาเลเซีย

ความอิจฉา



ท่านนบีมุฮัมหมัด ห้ามประชาชาติของท่านจากการเป็นผู้อิจฉา นอกจาก 2 ประการ คือ
“ห้ามอิจฉา ยกเว้น 2 ประการ คือ
ชายคนหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานทรัพย์สมบัติแก่เขา แล้วเขาก็ใช้จ่ายทรัพย์นั้นในหนทางที่เป็นสัจธรรม
และชายคนหนึ่งที่อัลลอฮฺประทานวิทยปัญญาให้แก่เขา และเขาใช้วิทยปัญญานั้นและสอนผู้อื่น”
ความอิจฉาทั้งสองประการนี้ เป็นที่อนุญาตตามฮะดิษที่กล่าวมาข้างต้น"

ความอิจฉา คือ การหวังที่จะให้ความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ทรงประทานให้กับผู้อื่นหมดไป ถึงแม้ว่าความโปรดปรานของอัลลอฮฺนั้น จะกลับมาสู่ตัวเองหรือไม่ก็ตาม ความอิจฉาดังกล่าวนี้เป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม เพราะจะส่งผลกระทบต่อความดีที่ได้กระทำมาแล้ว
ความอิจฉา ที่อนุญาต หมายถึง ความหวังที่จะได้ความโปรดปรานจากอัลลอฮฺเสมือนเขาและความโปรดปรานนั้นยังคงอยู่กับเขาเหมือนเดิม และความอิจฉาดังกล่าวเป็นสิ่งที่อนุญาตในศาสนาอิสลาม เพราะไม่กระทบคนอื่น
ผู้ที่มีโรคอิจฉานั้น จะทำให้การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขและไม่สบายใจกับความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ทรงให้ต่อผู้อื่น และทำให้เกิดมีการสงสัยที่ไม่ดีและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ


การเยียวยารักษาโรคอิจฉาริษยาที่ดีที่สุด ก็คือ การยินดีกับการที่เห็นคนอื่นได้ดี และอยากได้รับความดีโดยการแข่งขันกับคนอื่นในการทำความดีและใช้สิ่งนี้เป็นแรงจูงใจให้ทำดีมากกว่า

ท่านนบี ได้กล่าวว่า
“ฉันขอสาบานด้วยพระองค์ผู้ทรงกำชีวิตของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า
พวกท่านจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าเขาจะรักเพื่อพี่น้องของเขาเช่นเดียวกับที่เขารักเพื่อตัวของเขาเอง” 
(รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม)

อัลลอฮฺได้สั่งให้ผู้ศรัทธาขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากความชั่วของคนที่ริษยาและความชั่วโดยทั่วไปด้วย ความว่า
“และจากความชั่วร้ายของผู้อิจฉา เมื่อเขาอิจฉา”
(ซูเราะฮฺอัลฟะลัก 113:5)

จงจำไว้เถิดว่า ผู้ที่มีความสุขในการใช้ชีวิต คือ ผู้ที่ปราศจากโรคอิจฉาและริษยา และมีความภูมิใจกับความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ทรงให้ต่อผู้อื่น และมั่นใจว่าความโปรดปรานนั้นมาจากพระองค์อัลลอฮฺ

อิมามฆอซาลีได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัลอิฮฺยา” ที่มีชื่อเสียงว่า

“จงระวังไว้ให้ดีว่า ความอิจฉิษยาเป็นโรคร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่งของหัวใจ และไม่มียารักษาสำหรับโรคของหัวใจ นอกไปจากความรู้และการปฏิบัติ”

ความรู้ที่จะรักษาโรคอิจฉาริษยาก็คือ การรู้ว่าความอิจฉาเป็นพิษร้ายแรงสำหรับชีวิตโลกนี้ เช่นเดียวกับศาสนาของเขา และการรู้ว่าผู้ถูกอิจฉาริษยานั้นจะไม่ได้รับอันตรายเกี่ยวกับชีวิตของเขาหรือศาสนาของเขา ในทางตรงกันข้าม ผู้ถูกอิจฉาริษยาจะได้รับประโยชน์จากมัน การที่ความอิจฉาริษยาเป็นอันตรายสำหรับศาสนาของผู้ที่อิจฉาริษยา ก็เพราะความอิจฉาริษยานี้เองที่ทำให้เขาเกลียดชังสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้และความดีงามที่พระองค์ได้ทรงจัดแบ่งไว้ให้แก่บ่าวของพระองค์ อีกทั้ง เขายังเกลียดชังความยุติธรรมของพระองค์ที่ได้สร้างไว้ในโลก

ดังนั้น ผู้อิจฉาริษยาจึงต่อสู้และต่อต้านมันซึ่งเป็นการขัดกับความเชื่อในเอกภาพของอัลลอฮฺ นอกจากนี้แล้ว ผู้อิจฉาริษยาก็จะมีส่วนร่วมกับซัยฎอนและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในการที่จะให้ความวิกฤติเกิดขึ้นแก่ผู้ศรัทธาและให้ความดีงามหมดสิ้นไปจากพวกเขา

สิ่งเหล่านี้คือ ความอิจฉาริษยาในหัวใจที่กลืนกินความดี และลบล้างความดีเหมือนกับกลางคืนเข้ามาลบกลางวัน คนที่เป็นทุกข์จากความอิจฉาริษยา ในชีวิตจะเจ็บปวดเพราะความอิจฉาริษยา และเขาจะเศร้าโศกเสียใจทุกครั้งที่เขาเห็นคนที่เขาอิจฉาริษยาได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ

................
Dunt Bung


วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความพยายามของแม่เพื่อลูก



แม่พยายาม.. หาเงิน ทำเพื่อลูก
แม่ยอม... เหน็ดเหนื่อย ทำเพื่อลูก
แม่ยอม... อดนอน ทำเพื่อลูก
แม่ได้ส่งเสียเล่าเรียน ิิ ทำเพื่อลูก
แม่ยอม...เสียน้ำตา ทำเพื่อลูก
แม่ให้ความรักหว่งใย ทำเพื่อลูก



แต่...............ลูก..........บางคน..........
พยายาม... หาไอโฟน ทำเพื่อกิ๊ก
พยายาม... อดนอน ทำเพื่อรอการแชท
พยายาม... เหน็ดเหนื่อย ทำเพื่อแฟน
พยายาม... ขยันเรียน ทำเพื่อให้คนชม
พยายาม... เสียน้ำตา ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ
พยายาม... มีความรัก ทำเพื่อจะได้ทันตามสมัย

‪#‎ืวันนี้คุณ‬! พยายามทำความดีกับคุณแม่ยังค่ะ?
‪#‎พยายามเถอะค่ะก่อนที่จะไม่มีโอกาสให้พยายาม‬

รักไหนๆ ใครว่าแน่
รักแม่ซิ ! แน่ กว่าใคร
รักของแม่ .....ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
รักของแม่.......ไม่มีวันเบื่อหน่าย
รักของแม่........ไม่มีวันหมดอายุ
รักของแม่.........ดุอาอ์ทั้งดุนยาถึงอาคีเราะฮ ( อินชาอัลลอฮ์)

" แม่ต้องอุ้มท้องเขาขณะเป็นทารกอยู่ในครรภ์ด้วยความลำบาก
เหนื่อยยากและคลอดเขาด้วยความลำบากเหนื่อยยาก"
อัลอะฮ์กอฟ :15
ดุอาอ์ขอให้แก่พ่อแม่
คำอ่าน " ร็อบบิฆฟิรลีย์ ว่าลิวาลิดัยยะ วัรฮัมฮุมา
ก้ามา ร็อบบ้ายานี์ ศ่อฆีรอ "

คำแปล " โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์ทรงโปรดอภัย
โทษแก่ฉัน และบิดามารดาของฉัน และโปรดประทานความเมตตา
แก่ ท่านทั้งสอง เสมือนที่ท่านทั้งสองได้เคยเลี้ยงดูฉัน
ตั้งแต่เยาว์วัย"
อามีน...

‪#‎ขอฝากถึงผู้เป็นลูกๆทุกคนว่า‬..ยามใดที่เรามี " แม่ " อยู่
ท่านสั่งสอนสิ่งใด ท่าน มอบสิ่งดีๆทั้งหลายให้เราต้องเห็น
ความสำคัญ เชื่อฟัง และปฏิบัติตาม ทุกสิ่งที่แม่มอบให้
ล้วนเป็นสิ่งที่ดีและมาจากความรัก
ลูกต้องน้อมรับ ต้องกตัญญู
และต้องตอบแทนบุญคุณของท่านโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ

‪#‎รักแม่ให้มากน่ะค่ะ‬! ใครที่ยังมีแม่ ..ให้รัก.....
‪#‎เตือนตัวเอง‬ เตือนเทอ เตือนฉัน
..............................
‪#‎Ummmu‬ Ameenah 

ความประเสริฐของการดะอฺวะฮฺ




อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

﴿ وَمَنۡ أَحۡسَنُ قَوۡلٗا مِّمَّن دَعَآ إِلَى ٱللَّهِ وَعَمِلَ صَٰلِحٗا وَقَالَ إِنَّنِي مِنَ ٱلۡمُسۡلِمِينَ ٣٣ ﴾ [فصلت: ٣٣]

“และผู้ใดเล่าจะมีคำพูดที่ดีเลิศยิ่งไปกว่าผู้เชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ และเขาปฏิบัติงานที่ดี และกล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้นอบน้อม” (ซูเราะฮฺฟุศศิลัต:33)

และทรงตรัสอีกว่า

﴿ ٱدۡعُ إِلَىٰ سَبِيلِ رَبِّكَ بِٱلۡحِكۡمَةِ وَٱلۡمَوۡعِظَةِ ٱلۡحَسَنَةِۖ وَجَٰدِلۡهُم بِٱلَّتِي هِيَ أَحۡسَنُۚ ﴾ [النحل: ١٢٥]

“จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า” (ซูเราะฮฺอัน-นะห์ลิ:125)

และทรงตรัสอีกว่า
﴿ قُلۡ هَٰذِهِۦ سَبِيلِيٓ أَدۡعُوٓاْ إِلَى ٱللَّهِۚ عَلَىٰ بَصِيرَةٍ أَنَا۠ وَمَنِ ٱتَّبَعَنِيۖ ﴾ [يوسف: ١٠٧]

“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้ง ทั้งตัวฉันและผู้ปฏิบัติตามฉัน” (ซูเราะฮฺยูสุฟ:107)

ท่านสะฮล์ บินสะอฺด์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รายงานว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม กล่าวแก่ท่านอลี บินอบี ฏอลิบในวันค็อยบัรว่า

»اَنْفِذ عَلى رِسْلِك حَتّى تَنْزِل بِسَاحَتِهِم ثُمّ ادْعُهُم إِلى الإِسْلامِ وَأخْبِرْهُم بِمَا يَجِبُ عَلَيْهِم مِن حَقّ اللهِ تَعَالى فِيه، فَواللهِ لَأَن يَهْدِيَ اللهُ بِكَ رَجُلا وَاحِداً خَيْرٌ لَكَ مِنْ حُمُرِ النعم» [متفق عليه[

“จงเคลื่อนทัพไปตามที่เจ้าเห็นควร จนกระทั้งเมื่อไปถึงอาณาบริเวณของพวกเขาแล้ว จากนั้นก็ให้เชิญชวนพวกเขามาสู่อิสลาม และบอกพวกเขาถึงสิทธิที่เขาต้องทำให้กับอัลลอฮฺ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ การที่อัลลอฮฺทรงนำทางผู้ใดผู้หนึ่งโดยใช้เจ้า ย่อมเป็นการดีสำหรับเจ้ามากกว่าการได้มีอูฐแดง” (อูฐแดง คือ อูฐพันธุ์ดีที่สุด (คือเป็นพาหนะที่ดีที่สุดในยุคนั้น -ผู้แปล)) บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ และมุสลิม

ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รายงานว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«مَنْ دَعَا إِلى هُدى كَانَ لَهُ مِنَ الأَجْرِ مِثْلَ أُجُوْرِ مَن تَبِعَهُ لَا يَنْقُصُ ذلكَ مِنْ أُجْورِهِم شَيْئاً، وَمَن دَعَا إِلى ضَلَالَةٍ كَانَ عَلَيْهِ مِنْ الإِثْمِ مِثْلَ آثَامِ مَنْ تَبِعَهُ لَا يَنْقُصُ ذَلِكَ مِنْ آثامِهِمْ شَيْئاً» [أخرجه مسلم[

“ผู้ใดเชิญชวนไปสู่ทางนำ เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผลบุญของผู้กระทำตามเขา โดยที่ผลบุญของพวกเขา(คือ คนที่ทำตาม)นั้นจะไม่ได้ลดน้อยลงแต่ประการใด และผู้ใดที่เชิญชวนไปสู่การหลงผิด เขาจะได้รับบาปเท่ากับบาปของผู้ที่กระทำตามเขา โดยบาปของพวกเขา(คือ คนที่ทำตาม)นั้นจะไม่ได้ลดน้อยลงแต่ประการใด”  บันทึกโดยมุสลิม

อธิบาย
การเชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ เป็นภารกิจของบรรดาเราะสูล และมันก็เป็นวิถีทางของผู้ศรัทธา อัลลอฮฺทรงบัญญัติใช้ในคัมภีร์ของพระองค์ และท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม ได้สนับสนุนให้ทำ และบอกถึงรางวัลอันยิ่งใหญ่ในการดังกล่าวนี้

 ประโยชน์ที่ได้รับ
ความประเสริฐของการเชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ
รางวัลตอบแทนอันใหญ่หลวงสำหรับผู้ที่อัลลอฮฺทรงใช้เขาเป็นสื่อในการให้ทางนำกับใครสักคน
และผู้ใดที่เชิญชวนผู้คนให้มาทำความดี เขาก็จะได้รับผลบุญเหมือนกับผู้ปฏิบัติตามเขาด้วย


.......................................................
ดร.รอชิด บิน หุเสน อัล-อับดุลกะรีม
แปลโดย : สะอัด วารีย์
ตรวจทานโดย : ฟัยซอล อับดุลฮาดี
ที่มา : หนังสือ อัด-ดุรูส อัล-เยามียะฮฺ มิน อัส-สุนัน วะ อัล-อะห์กาม อัช-ชัรอียะฮฺ, เว็บ al-islam.com



ผลที่ได้รับของผู้ที่ละหมาดเป็นประจำและตรงเวลา


ผู้ที่ละหมาดฟัรฎู 5 เวลา เป็นประจำ และตรงเวลาถูกต้องของมัน ท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) สัญญาและรับรองว่า จะถูกรับเข้าสวรรค์

รายงานจากท่านอบูเกาะตาด๊ะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันอุม) เล่าว่า ท่านนนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  กล่าวว่า
"อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า ; ฉันได้ทำให้การละหมาด 5 เวลา เป็นหน้าที่เหนือคนของเจ้า และฉันสัญญาว่า ใครก็ตามที่ปฏิบัติเป็นประจำในเวลาของมันจะถูกรับเข้าสู่สวรรค์ สำหรับคนที่ไม่ปฏิบัติเป็นประจำ จะไม่มีสัญญาเช่นนั้น" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 2.430)

รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินมัสอู๊ด ร่อฎียัลลอฮุอันฮุม) เล่าว่า
"ครั้งหนึ่ง ฉันได้ถามท่านรสูลุลลอฮฺ  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า ; การกระทำอะไรที่นำเราเข้าใกล้สวรรค์ที่สุดท่านตอบว่า : การละหมาดในเวลาที่ถูกต้องของมันฉันถามอีกว่า : แล้วการกระทำอะไรอีกหลังจากนั้น?ท่านตอบว่า ; การทำดีต่อพ่อแม่ฉันถามต่อว่า : และอะไรอีก?ท่านตอบว่า : การญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ" (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม เลขที่ 1.0152)

والله أعلم بالصواب


สามสถานการณ์ที่ทำให้การละหมาดไม่มีผล



สถานการณ์บางประการ ที่ทำให้การละหมาดของบุคคลหนึ่ง ที่ได้กระทำไปในสถานการณ์ ดังกล่าว จะไม่มีผล

คือ

1.) คนที่นำผู้คนเป็นอิมามในการละหมาด โดยผู้คนไม่ยอมรับเขาที่จะเป็นอิมามนำละหมาดในครั้งนั้น

2.) ผู้หญิงที่ใช้เวลากลางคืนในสภาพที่ทำให้สามีของนางเกิดความรำคาญ

3.) พี่น้องสองคนที่ที่ยังเกิดทะเลาะบาดหมางกัน

รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินอับบาส (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุม) เล่าว่า
"ครั้งหนึ่ง ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
: มีคน 3 ประเภท ที่การละหมาดของเขาไม่ขึ้นเลยไปกว่าหัวของเขาแม้เพียงคืบเดียว
1.) คนที่นำผู้คนในการละหมาด ทั้งๆที่ผู้คนไม่ยอมรับ
2.) ผู้หญิงที่ใช้เวลากลางคืนในสภาพที่ทำให้สามีของนางเกิดความรำคาญ
3.) พี่น้องสองคนที่บาดหมางกัน" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอิบนุมาญะฮฺ)

والله أعلم بالصواب


ความดีที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง



คำแรกในธรรมนูญอิสลาม คือ :
อิกเราะ (จงอ่าน)
ไม่ใช่ จงฆ่า
ไม่ใช่ จงร่ำรวย
ไม่ใช่ จงปกครอง
เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาแห่งการเข่นฆ่า ไม่ใช่ศาสนาแห่งทรัพย์สมบัติ และไม่ใช่ศาสนามหาอำนาจและการรุกราน
แต่อิสลามเป็นศาสนาแห่งความรู้ ความเข้าใจ และเป็นทางนำ
ความดีที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งที่ท่านรังเกียจ บางทีอาจมีมากมายยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านชื่นชอบ เพราะท่านไม่อาจทราบผลที่จะตามมา ตั้งเท่าไหร่แล้วที่ความโปรดปรานซ่อนอยู่หลังความยากลำบาก และตั้งเท่าไหร่แล้วที่ความดีอันมากมายซ่อนอยู่หลังเสื้อผ้าอันมอซอ
[ดร. อะอิฏ บินอับดุลลอฮฺ อัลก็อรฺนิ].
.
.

......................
คุณชายโอชิน 

ชัยคุลอิสลาม อิบนฺตัยมียะฮ์ ความโปรดปรานจากอัลลอฮฺที่ท่านได้รับ



เมื่อกล่าวถึงผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวกับประสบการณ์ชีวิต ผู้ผ่านการต่อสู้ทั้งในสนามรบและสนามความคิดอย่างหนักหนาสาหัส พบเจอบททดสอบแบบจัดหนักจัดเต็มจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิตหมดลงในเรือนจำ เขาผู้นั้น คงไม่ใชใคร นอกจากท่านอะหฺมัด อิบนฺ ตัยมียะฮฺ หรือชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ อิมามของบรรดาศรัทธาชน

ท่านได้เพชิญหน้ากับกองทัพของพวกตาตาร์ ซึ่งนำโดยฆอซาน (หรือชื่อหลังเข้ารับอิสลามว่า มะหฺมูด) ท่านพร้อมกับผู้ศรัทธาอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมถอยหนี ตัดสินใจนำคณะเข้าพบฆอซานเพื่อเจรจาสงบศึก คณะเจรจานำโดยอิบนฺ ตัยมียะฮฺได้พบฆอซานที่นะบักอยู่ใกล้ดามัสกัส
 ท่าวกล่าวแก่ฆอซานว่า
"ท่านบอกว่าท่านเป็นมุสลิม ท่านมีมุอัซซิน กอฎี อิมาม ชัยคฺมากับท่านด้วย แต่ท่านกลับบุกรุกพวกเราเพื่ออะไรกันหรือ? ในขณะที่บิดาและฮูลากู ปู่ของท่านนั้นไม่ใช่ผู้ศรัทธา แต่พวกเขาก็ไม่โจมตีแผ่นดินมุสลิม พวกเขาสัญญาว่าจะไม่รุกรานและพวกเขาก็รักษาสัญญา ส่วนท่านสัญญา แต่กลับผิดสัญญา" 
ผลของการเจรจาในครั้งนี้ปรากฏว่าฆอซานยอมที่จะไม่เข้ายึดครองดามัสกัส

อีกครั้งหนึ่ง ในปี ฮ.ศ.702 อิบนุ ตัยมียะฮฺก้เข้าร่วมญีฮาดในสงครามต่อสู้กับพวกดาตาร์ ในที่สุดชัยชนะเป็นของฝ่ายมุสลิม

ช่วงชีวิตของอิบนฺ ตัยมียะฮฺ ทานได้ประสบกับภัยลัทธินอกรีตที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ที่มาของความเชื่อผสมผสานระหว่างหลักการของพวกบูชาไฟ และหลักคิดแบบเพลโต ซึ่งมันสามารถหลอกลวงประชาชนคนทั่วไปให้หลงผิด

ชื่อเสียงของท่านโด่งดังขึ้นเรื่อย จนเป็นเป้าโจมตีของผู้อิจฉาริษยา ประกอบกับท่าทีของท่านไม่ยอมปรานีประนอมกับบรรดาผู้ประดิษสิ่งอุตริกรรมในศาสนาขึ้นมาใหม่ ทำให้ท่านเพิ่มศัตรูมากขึ้นด้วย ท่านถูกจับขังหลายครั้ง
ครั้งแรก ในปี ฮ.ศ.705 ถูกจองจำอยู่ในอิยิปต์ เป็นเวลา 16 เดือน
ครั้งที่ 2 ถุกคุมขังอยู่ในเรือนจำที่อเล็กซานเดรีย เป็นเวลา 8 เดือน
และอีก 2 ครั้ง ในดามัสกัส
 ด้วยถูกข้อหาเกี่ยวกับการฟัตวาศาสนาของท่านล้วนๆ ได้แก่ การที่ท่านฟัตวาที่ห้ามเจาะจงเดินทางไปเยี่ยมหลุ่มฝังศพของคนดีเป็นการเฉพาะ
และผลสุดท้ายท่านถูกห้ามไม่ให้ใช้กระดาษและน้ำหมึกเด็ดขาด ท่านจำต้องเขียนด้วยถ่าน จนสิ้นลมหายใจในเรือนจำ ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน

แต่นั้น กลับแปลกที่เราไม่พบแม้สักละอองแห่งความท้อแท้สิ้นหวังปรากฏอยู่ในปากคำของชัยคุลอิสลามเลย

แต่เรื่องที่เราจะได้ยินท่านพูดถึงอยู่เสมอ คือ "ความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ" ที่ท่านได้รับจากพระองค์ในช่วงเวลาต่างๆของชีวิต

โอ้ อัลลอฮฺ โปรดให้เราเป็นอย่างชัยคุลอิสลาม แม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งด้วยเถิด อามีน


อย่าได้ลุ่มหลงในตัวตน



เมื่อคุณได้เห็นว่า มีผู้คนได้ชมชอบในตัวคุณ พึงให้รู้ไว้เถิดว่า พวกเขาชมชอบในสิ่งที่สวยงาม ที่อัลลอฮฺทรงได้เผยมันออกมาให้เห็น โดยที่พวกเขาไม่รู้ในสิ่งน่าเกลียดของคุณ ที่พระองค์ทรงได้ปกปิดมันไว้

ฉะนั้น อย่าได้ลุ่มหลงในตัวตน ก็เพราะว่าพระองค์ทรงได้ปกปิดในสิ่งที่น่าเกลียดของคุณอยู่

เรามาขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้พระองค์ทรงปกปิดในสิ่งที่น่าเกลียดของเราอย่างสม่ำเสมอ และขอความอภัยโทษจากพระองค์ในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ

......................................................................
บทความดี ๆ จากเพจ : اللهم توفني وانت راض عني
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

สามีและพ่อแม่



จะไปหา พ่อแม่ ภรรยายังต้องขออนุญาต จากสามีนะ (นั่นบุพการีนะ)
หากสามี ไม่อนุญาติ ก็อด (นั่นไปหาบุพการีเชียวนะ)

สำมะหาอะไร กับการไปฟัง บรรยายศาสนา หากสามี ไม่อนุญาต ก็อดไป

แต่ไม่เป็นเช่นนั้นซิ...ถึงสามีไม่เอาไหน ไม่เห็นด้วยกับ อ.ที่จะบรรยาย 
เราในฐานะเป็น ภรรยาที่ดี ก็จงตออัตต่อสามี อย่าดันธุรังที่จะไป หากตามง้อ ตามขอ สามีก็ไม่ให้ ก็จงอย่าไป (ฟังที่บ้าน ฟังในเน็ตเถิด)

แต่วันนี้ซิ....มุสลีมะห์เราหลายคนที่ยังไป โดยที่สามี ไม่อนุญาต

แบบนี้ จะมีบารอกัต ตรงไหน แม้จะไปฟังบรรยายศาสนา
เพราะที่บ้านก็ฟังได้ ว่าไหม??

ซุบฮานัลลอฮ......สามีนั้นสำคัญแล้วจริงๆ

(อัลฮัมดุลิลลาฮ ที่ภรรยาผู้โพสไม่เคยขัดคำสั่งเลย)
ปล..ระบุไว้เผื่อคนอ่านคิดว่า เรากำลังหมายถึงภรรยาเราหรือเปล่า

.........................
ชะบ๊าบ ก๊อลบุนสะลีม

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สิทธิ 5 ประการ ที่ท่านนบีมุหัมมัดได้รับ ซึ่งนบีอื่นไม่มี


สิทธิ ที่ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้รับ จากพระองค์อัลลฮฺ ศุบอนะฮูวะตะอาลา 5 ประการที่นบีท่านอื่น ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับมาก่อน นั้นคือ

1.) อัลลอฮฺได้ทรงทำให้ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ชัยชนะ ด้วยการทำให้ศัตรูของท่านเกิดความหวาดกลัว ตั้งแต่ระยะทาง 1 เดือน

2.) แผ่นดินได้ถูกทำให้เป็นสถานที่ละหมาด สำหรับท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  และเป็นสิ่งที่ใช้ในการทำความสะอาด นั้นคือการทำตะยะมุม ดังนั้น บรรดาประชาชาติของท่านนบีจึงสามารถละหมาดที่ใดก็ได้เมื่อถึงเวลาละหมาด ยกเว้นห้องน้ำ กับกุบูรฺ ที่มีหะดิษระบุห้ามไว้

3.) ทรัพย์ที่ยึดได้ในสนามรบหลังสงคราม ได้ถูกทำให้เป็นอนุมัติสำหรับท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)

4.) นบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้รับสิทธิ์ในการขออภัยโทษ

5.) และทุกนบีถูกส่งมายังชนชาติของเขาเท่านั้น แต่ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ถูกำส่งมาเพื่อมนุายชาติทั้งหมด

รายงานจากท่านญาบิรฺ บินอับดุลลอฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุม) เล่าว่า  ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ฉันได้รับ 5 สิ่ง ที่ไม่มีนบีคนใด ก่อนหน้าฉันได้รับ นั้นคือ 1.) อัลลอฮฺได้ทรงทำให้ฉันได้ชัยชนะ โดย(การทำให้ศัตรูของฉันตกใจกลัว) ตั้งแต่ระยะทาง 1 เดือน 2.) แผ่นดินได้ถูกทำให้เป็นสถานที่ละหมาด สำหรับฉัน และเป็นสิ่งที่ใช้ในการทำความสะอาด (คือการทำตะยะมุม) ดังนั้น สาวกของฉันสามารถละหมาดที่ใดก็ได้เมื่อเวลาละหมาดมาถึง3.) ทรัพย์ที่ยึดได้ในสนามรบหลังสงคราม ได้ถุกทำให้เป็นอนุมัติสำหรับฉัน4.) ฉันได้รับสิทธิ์ในการขออภัยโทษ5.) และทุกนบีถูกส่งมายังชนชาติของเขาเท่านั้น แต่ฉันถูกำส่งมาเพื่อมนุายชาติทั้งหมด" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 1.331)


والله أعلم بالصواب



อย่าได้หมดหวัง



อย่าได้หมดหวัง เมื่อสองเท้าของเราได้พลัดตกไปในหลุม เป็นเพราะว่าวันหนึ่ง เราจะได้ออกมาจากในนั้น ที่จะทำให้ตัวเราได้ยืนหยัดและเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม


อัลลอฮฺทรงได้กล่าวไว้ว่า : แท้จริง อัลลอฮฺทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้อดทน (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 153)

อย่าได้เสียใจ เมื่อตัวเราได้ประสบกับธนูแห่งความเสียใจ ที่มาจากบุคคลที่เรารัก ที่เข้ามาปักที่อกของเรา เป็นเพราะว่าวันหนึ่ง เราจะได้พบเจอกับบุคคลที่เขาสามารถดึงธนูลูกนั้นพร้อมด้วยกับการเยียวยา ที่เขาสามารถคืนชีวิตที่สดใสพร้อมด้วยรอยยิ้มใหม่ที่สุขสันต์มากกว่าเดิม

อย่าได้ครุ่นคิดว่าการที่สิ่ง ๆ หนึ่งได้จากไป เป็นการจุดจบของชีวิตเรา แต่จงรอคอยแสงสว่างใหม่ ที่จะเข้ามาสอดส่องหัวใจดวงเดิม ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เพราะมันจะคืนให้แก่เราด้วยวันเวลาที่สดใส และหัวใจดวงใหม่ที่สวยงามกว่าเดิม

..................................................................
บทความดี ๆ จากเพจ : إلهي أنت تعلم كيف حالي
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

เหตุใดคนดีจึงต้องอยู่ในความยากลำบาก



#คำถาม : เหตุใดคนดีจึงต้องอยู่ในความยากลำบากและเหล่าคนชั่วส่วนมากอยู่กับความสุขสบาย?

#ตอบ : ก็เนื่องจากว่าพระองค์ทรงมีความรักต่อบ่าวผู้ใกล้ชิดของพระองค์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองหากบ่าวผู้ใกล้ชิดเหล่านั้นทำความผิดพระองค์จะทรงพิโรธอย่างยิ่ง เพื่อให้พวกเขาได้สำนึก และหวนระลึกถึงพระองค์ในเวลาอันรวดเร็วดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ใน
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ในบท อัลฮากเกาะฮ์ โองการที่ 44-45 ว่า "และหากเขา(มุฮัมมัด)เสกสรรกล่าวคำเท็จบางคำแก่เราแล้ว เราก็จะจับเขาด้วย ความมั่นคง"

ดังนั้นหากผู้ศรัทธาคนใดกระทำความผิดพระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เขาลอยนวลนอกเสียจากเขาจะต้องถูกลงโทษ
อย่างทันทีทันใด

เนื่องจากพระองค์ทรงรักและห่วงใย พระองค์ประสงค์จะให้บ่าวที่รักคนนั้นของพระองค์รีบกลับตัวกลับใจ หวนหาพระองค์เขาจึงอยู่ในความลำบากทันทีเนื่องจากได้รับการลงโทษ
จากพระองค์

แต่ในทางกลับกัน คนชั่วทั้งหลาย คือคนที่พระองค์ไม่ทรงรักพวกเขา พระองค์จะทรงประวิงเวลาให้แก่พวกเขา และเมื่อเวลาของพวกเขาหมดลง พระองค์ก็จะทรงทำลายพวกเขาเช่นกัน "และเราได้กำหนดเวลาสำหรับความพินาศของพวกเขาไว้แล้ว" คือพระดำรัสของพระองค์ ในบท อัลกะฮฟ์ โองการที่ 59
และในกรณีที่ความหวังแห่งการกลับเนื้อกลับตัวของพวกเขาไม่มีอีกแล้ว พระองค์จะทรงประวิงเวลาให้พวกเขาอยู่ต่อไปโดยที่ยังมิได้ถูกลงโทษ เนื่องจากความดื้อรั้นของพวกเขา และจะคิดบัญชีกับพวกเขาในวันแห่งการตัดสิน (วันแห่งการพิพากษา)
และพระองค์จะทรงให้เวลาพวกเขาจน
ครบอายุสัญญาของพวกเขา ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสเอาไว้ในบท อัลอาลิอิมรอน โองการที่ 178 ว่า "และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา นั้น จงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า
ที่เราประวิง ให้แก่พวกเขานั้น เป็นการดีแก่ตัวของพวกเขา
แท้จริงที่เราประวิงให้แก่พวกเขานั้น เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนซึ่งบาปกรรม เท่านั้น และสำหรับพวกเขานั้น คือการลงโทษอันต่ำช้า"

จงพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น :

-หากมีหยดน้ำหวานหยดลงบนเลนซ์
แว่นตาของคุณคุณจะรีบทำความสะอาดมันในทันทีทันใด
-แต่ทว่าบางครั้งหากมีหยดน้ำหวาน
หยดลงบนเสื้อผ้าสีขาวของคุณ คุณจะพยายามอดทนไว้ จนกระทั่งคุณกลับไปถึงบ้าน และค่อยเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่เสีย
-เช่นกันในบางครั้งหากมีหยดน้ำหวาน
หยดลงบนพรมใน
บ้าน ที่คุณเดินผ่านไปมา คุณจะเพิกเฉยมันและคอยจนกว่าจะได้ฤกษ์งามยามดีแล้วค่อยทำความสะอาดเสียทีเดียว ....

พระองค์ก็เช่นเดียวกัน พระองค์จะทรงมีวิธีในการดำเนินการ
กับบ่าวของพระองค์แตกต่างกันไป ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ และความหม่นหมองแห่งจิตวิญญาณ
ของปวงบ่าวเหล่านั้นบทลงโทษจึงมีการประวิงเวลาจากพระองค์เช่นเดียวกัน (คล้ายกับการประวิงเวลาในการทำความสะอาดหยดน้ำหวาน ในแต่ละสถานการณ์)

................................................
credit http://www.ahlulbait.org/

แวนิต้า โรส


‎อีมานกับการหุงข้าว‬



การรักษาอีมานคล้ายๆกับการหุงข้าว เมื่อหุงข้าวจนสุกแล้ว หม้อก็ต้องชาร์ตไฟตลอด เพื่อให้ข้าวอุ่นพร้อมทานตลอดเวลา หากปล่อยทิ้งไว้ ข้าวจะเย็น กินไม่อร่อยและหากปล่อยนาน
ข้าวก็จะบูด....

ดังนั้นเราต้องชาร์ตไฟตลอดเวลา
เพื่อรักษาข้าวที่สุกแล้ว....
ให้พร้อมกินตลอดเวลา...

เช่นเดียวกันกับอีมาน อีมานกว่าจะสุกงอมในหัวใจแต่ละคน
ก็ยุ่งยากมากพอแล้ว...

แต่เมื่อสุกงอมแล้วใช่ว่าเราจะปล่อยทิ้ง...โดยไม่ชาร์ตมันเลย

การชาร์ตอีมานที่ดีที่สุดคือ อ่านกุรอานด้วยตะดับบุรการ
ปล่อยท้องให้ว่าง กิยามุลลัยล์ การเฝ้ารำลึกอัลลอฮฺยามหลังเที่ยงคืน และการนั่งร่วมวงกับชาวศอลิฮีน


...................................................
# (ดร.อิสมาแอลลุตฟี จะปะกียา)

แวนิต้า โรส


วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มรดกและคำสั่งเสียของท่านนบี




ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้ทิ้งคัมภีร์กุรอานไว้เป็นมรดกแก่ประชาชาติของท่าน

รายงานจากท่านฏ็อลฮะฮฺ บินมุซัรฺริฟ  (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า

ฉันได้ถามอับดุลลอฮฺ บินอบูเอาฟะฮฺว่า : ท่านรสูลุลลอฮฺทำพินัยกรรมไว้หรือไม่?
เขาตอบว่า : ไม่ฉันได้กล่าวว่า : แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่เราได้ถูกสั่งให้ทำพินัยกรรม? เขาตอบว่า ; ท่านนบี ได้ทิ้งคัมภีร์ของอัลลอฮฺ (อัลกุรอาน)ไว้เป็นมรดก" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์ เลขที่ 46.3)


ท่าานนบีได้สั่งเสียในเรื่องคัมภีร์อัลกุรอาน สุนนะฮฺของท่าน และครอบครัวของท่าน

รายงานจากท่านยะฮฺยา (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า
"ครั้งหนึ่ง ท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้กล่าวว่า"ฉันได้ทิ้ง 2 สิ่งไว้กับพวกท่าน ตราบใดที่พวกท่านยึดมันไว้ พวกท่านจะไม่หลงทาง นั้นคือคัมภีร์ของอัลลอฮฺ และสุนนะฮฺของนบีของพระองค์" (บันทึกหะดิษโดยอิมามมาลิก เลขที่ 46.3)

รายงานจากท่านเซด บินอัรฺก็อม (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) เล่าว่า
"ในการกล่าวปราศรัยครั้งหนึ่ง ท่านนบีได้บอกผู้คนว่า
: พวกท่านทั้งหลาย ฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง บางทีฉันจะต้องต้อนรับมลาอีกะฮ์แห่งความตาย จากพระผู้อภิบาลของฉัน...
ฉันจะทิ้ง 2 สิ่งที่สำคัญไว้ในหมู่พวกท่าน สิ่งแรกก้คือคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ซึ่งในนั้นมีทางนำที่ถูกต้องและแสงสว่าง 
ดังนั้น จงยึดมั่นในคัมภีร์และปฏิบัติตามมัน 
สิ่งที่สอง ก็คือ ครอบครัวของฉัน (กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ถูกห้ามรับซะกาต ตามการอธิบายความหมายของนักวิชาการบางท่าน" (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม เลขที่ 31.5920)

والله أعلم بالصواب


การจัดศพของท่านนบี


ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัม) เสียชีวิตในวันจันทร์ และถูกฝังในวันอังคาร ณ สถานที่ที่ท่านนบีเสียชีวิต และผู้คนได้วิงวอนขอพรให้ท่านนบี โดยต่างคนต่างขอให้ท่าน

ขณะอาบน้ำศพของท่านนบีไม่มีการถอดเสื้อผ้าตัวที่ท่านสวมอยู่ขณะที่ท่านเสียชีวิต

ศพของท่านนบีได้ถูกห่อด้วยผ้า 3 ผืน ที่ทำในนัจญ์รอน ด้วยผ้า 2 ชิ้น และเสื้อตัวที่ท่านสวมอยู่ในขณะเสียชีวิต

 ผู้ที่ได้อาบน้ำให้ศพของท่านนบี คือ ท่านอะลี, ท่านฟัดล์ และท่านอุซามะฮฺ บินเซด (ร่อฎียัลลออุอันฮุม)

ผู้ที่วางศพของท่านนบีในหลุมฝังศพ คือ ท่านอะลี, ท่านฟัดล์, ท่านอุซามะฮฺ บินเซด และท่านอับดุรฺเราะฮฺมาน บินเอาฟฺ (ร่อฎียัลลออุอันฮุม)

รายงานจากท่านยะฮฺยา เล่าว่า
"ท่านนบีเสียชีวิตในวันจันทร์ และถูกฝังในวันอังคาร ผู้คนได้วิงวอนขอพรให้ท่านเป็นการส่วนตัว โดยไม่มีใครนำการขอพรให้พวกเขา บางคนกล่าวว่าท่านจะถูกฝังใกล้แท่นเทศนา บางคนกล่าวว่าท่านจะถูกฝังในสุสานบะกีอฺ อบูบักรจึงได้กล่าวว่า "ฉันได้ยินท่านรสูลุลลออฺ กล่าวว่า"ไม่มีนบีคนใดเคยถูกฝังที่อื่นนอกไปจากในสถานที่ที่ท่านนบีนั้นเสียชีวิต" ดังนั้น หลุมฝังสพจึงถูกขุดขึ้นที่นั้น เมื่อจะมีการอาบน้ำศพของท่าน พวกเขาต้องการที่จะถอดเสื้อ ของท่านออก แต่พวกเขาได้ยินเสียงกล่าวว่า"อย่าถอดเสื้อของท่านออก"ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ถอดเสื้อของท่านและอาบน้ำศพของท่านโดยที่ท่านยังสวมเสื้ออยู่" (บันทึกหะดิษโดยอิมามมาลิก เลขที่ 16.27)


รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร่อฎียัลลออุอันฮา) เล่าว่า
"ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ เราไม่รู้ว่าเราต้องถอดเสื้อผ้าของท่านนบีเหมือนที่เราเคยถอดเสื้อผ้าผู้ตายของเรา หรือจะต้องอาบน้ำให้ท่านโดยที่มีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่ ขณะที่ผู้คนยังคงมีความคิดเห็นแตกต่างกันนั้น อัลลอฮฺได้ทรงทำให้ทุกคนง่วงซึมจนกระทั่งคอตกและหลับคางชนหน้าอก หลังจากนั้นก้มีเสียงพุดจากคนผู้หนึ่งที่ข้างๆ บ้าน โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร เสียงนั้นกล่าวว่า"อาบน้ำให้ท่านนบีโดยที่ท่านสวมใส่เสื้อผ้าอยู่"ดังนั้น ผู้คนจึงลุกขึ้นยืนรอบท่านนบี และอาบน้ำให้ท่านโดยที่เสื้อผ้าสวมใส่อยู่ พวดเราราดน้ำลงบนเสื้อ และถุกร่างของท่านด้วยเสื้อของท่าน ไม่ใช่่ด้วยมือของพวกเขา ท่านหยิงอาอิชะฮฺเคยกล่าวด้วยว่า : ถ้าแันรู้อะไรมากกว่านี้มาก่อน จะไม่มีใครได้อาบน้ำให้ท่าน นอกไปจากบรรดาภรรยาของท่าน" ผบันทึกหะดิษโดยอิมามอบุดาวูด เลขที่ 20.3135)

รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินอับบาส (ร่อฎียัลลออุอันฮุม) เล่าว่า
"ศพของท่านนบีได้ถูกห่อด้วยผ้า 3 ผืน ที่ทำในนัจญ์รอน ด้วยผ้า 2 ชิ้น และเสื้อตัวที่ท่านสวมอยู่ในขณะเสียชีวิต" (บันทึกหะดิษโดยอิมาอบุดาวูด เลขที่ 20.3147)

รายงานจากอามิรฺ เล่าว่า
"อะลี, ฟัดล์ และอุซามะฮฺ บินเซด ได้อาบน้ำให้ศพของท่านนบี และพวกเขาได้วางท่านลงไปในหลุ่มศพ กล่าวกันเวลาต่อมาว่าพวกเขาได้ให้อับดุรฺเราะฮฺมาน บินเอาฟฺ มาร่วมกับพวกเขาด้วย อะลีกล่าวหลังจากนั้นว่า "ผู้คนของเขาผู้นี้น่าจะมารับใช้เขา" (บางที่อาจหมายความว่าญาติของคนผู้หนึ่งมีสิทธิและหน้าที่ที่จะดูแลเขา ทั้งในขณะมีชีวิตและเสียชีวิต)" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอบูดาวูด เลขที่ 20.3203)


والله أعلم بالصواب



วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การรักษาเอกภาพของผู้ศรัทธา ด้วยการละทิ้งสิ่งที่เป็นมุสตะฮับบางประการ


รายงานจากอิมามชาฟิอีย์ (ร่อหมมะฮุลลอฮฺ) เล่าว่า
"เมื่อเดินทางไปยังอิรัก ท่านได้ยึดปฏิบัติตามมัซฮับของอิมามอบูฮะนีฟะฮฺ (ร่อหิมะฮุลลอฮฺ) ในสุนนะฮฺต่างๆ เพื่อรักษาความรู้สึกของคนทั่วไปที่นั้น
เช่น การที่ท่านเคยละหมาดใกล้กับหลุมศพของอิมามอบูฮะนีฟะฮ์ โดยไม่กุนูต (ซึ่งการกุนูตในทัศนะของท่านถือเป็นสุนนะฮฺมุอักกะดะฮ์ คือสุนนะฮ์ที่ส่งเสริมให้ทำอย่างมาก)

มีคนถามท่านในเรื่องนี้ ท่านตอบว่า : จะให้ฉันขัดแย้งกับท่าน (หมายถึงอิมามอบูฮะนีฟะฮ์) ขณะที่ฉันอยู่ต่อหน้าท่านอย่างนั้นหรือ?"

และอิมามชาฟิอีย์กล่าวเช่นกันว่า
"บางที่เราอาจเปลี่ยนมายึดมัซฮับของชาวอิรัก (คือมัซฮับฮะนะฟี) ก็ได้" 
(อะดะบุลอิคติลาฟ ของ ดร.ฏอฮา อัลอิลวานีย์ หน้า 117 จากหนังสือ "ฮุจญะตุลลอฮ์ อัลบาลิเฆาะฮ์ หน้า 335)

จากการปฏิบัติของท่านอิมามชาฟิอีย์ (ร่อหิมะฮุลลอฮฺ) บอกถึงความจำเป็นในการรักษาเอกภาพ และความเป็นหนึ่งของผู้ศรัทธา แม้อาจต้องละทิ้งสุนนะฮฺภายนอกบางประการตามทัศนะของท่านไป

ซึงในภาพรวมของข้อขัดแย้งเหล่านั้น เป็นเพียงบัญญัติที่อยู่ในระดับสุนนะฮฺ มุสตะฮับ (ส่งเสริมให้กระทำ) และมักรูฮ์ หาได้อยู่ในระดับวาญิบหรือหะรอม

อันได้แก่ ความขัดแย้งเกียวกับการการอ่านบิสมิลลาฮ์เสียงดัง เสียงค่อย การ
กล่าวอามีนเสียงดังเสียงค่อย การอาซาน การอิกอมะฮ์ การกุนูตในละหมาดศุบฮฺ การให้สลามในละหมาด การยกมือและการกอดอก การทำฮัจญ์แบบตะมัตตุอ์ แบบอิฟรอด และแบบกิรอน เป็นต้น

หากมีความแย้งกันในอิบาดะฮ์เหล่านี้ จนนำไปสู่การความวุ่นวาย เกิดการทะเลาะวิวาทกัน ก็จะเกิดความเสียหายหลายประการที่ล้วนทำให้อัลลอฮฺ รสูลของพระองค์ และเหล่าผู้ศรัทธาไม่พอใจ (ดังที่ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ (ร่อหิมะฮุลลอฮฺ) ได้กล่าวเอาไว้)

การที่สมาชิกของประชาชาติอิสลามมีจิตใจที่สนิทสนมกลมเกลียวกันในศาสนาถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าการได้ปฏิบัติสิ่งที่เป็นมุสตะฮับบางประการ หากการละทิ้งสิ่งที่เป็นมุสตะฮับบางประการแล้วทำให้จิตใจผู้ศรัทธามีความกลมเกลียวกัน ถือเป็นการกระทำที่ดีกว่า
รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา) เล่าว่า ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า"อาอิชะฮฺ หากกลุ่มชนของเธอไม่ได้เพิ่งผ่านยุคสมัยฮิลียะฮฺแล้ว แน่นอนฉันจะรื้อกะบะฮฺแล้วสร้างมันให้ติดกับแผ่นดิน และจะให้มีประตูหนึ่งที่สำหรับคนเข้าและอีกประตูสำหรับคนนอก" (บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ เลขที่ 1586  และมุสลิม เลขที่ 1333/402)

แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟัรฎูหรือวาญิบ ในฐานะนักวิชาการก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมอธิบายฮุกุมของศาสนาที่มาจากอัลกุรอาน สุนนะฮฺ และการวินิจฉัยของบรรดานักวิชาการ  ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งคลัด โดยใช้ฮิกมะฮ์ วิทยปัญญา การรู้จักนำความรู้มาใช้อย่างถูกกาละเทศะ และความอ่อนโยนเพื่อรักษาความรู้สึกของผู้ศรัทธา โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับรากฐานของศาสนา ดังที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เองนั้น วันพิชิตมักกะฮ์ ท่านได้จัดการกับสัญญาลักษณ์แห่งการเคารพบูชารูปปั้น รูปเคารพทุกตัวทั้งที่อยู่ในและนอกมักกะฮ์ โดยท่านไม่สนใจว่าความรู้สึกของใครเป็นไร เพราะการขจัดรูปปั้นเหล่านั้น ย่อมหมายถึงการมีอยู่ของอิสลาม  และการคงอยู่ของรูปปั้น ก็หมายถึงการมีอยู่ของญาฮิลียะฮฺ


ชัยค์ฮุมัยดีย์ เล่าว่า
"ขณะที่ผมถูกมอบอะมานะฮฺให้ดูแลการอบรมหลายแห่งในเอเชียกลาง ก่อนเดินทางได้มีการประชุมระหว่างพี่น้องที่จะลงพื้นที่ ผมได้มอบคำแนะนำบางประการกับพวกเขาว่าอย่าให้มีใครจุดเด็นความขัดแย้งกับในเรื่องอะกีดะฮฺ และอย่าพุดเรื่องที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับสุนนะฮต่างๆ ของการละหมาด ให้ยึดปฏิบัติตามมัซอับของชาวเมืองนั้นๆ
เช่น ให้กล่าวบิสมิลลาฮ์เสียงดังในประเทศที่ชาวบ้านปฏิบัติตามมัซฮับชาฟิอียื ไม่กล่าวอามีนเสียงดังในประเทศที่ชาวบ้านปฏบิติตามมัซฮับฮะนะฟีย์ พี่น้องส่วนใหญ่ที่ลงพื้นที่ได้ปฏิบัติตามนั้น ปรากฏว่าดังกล่าวเป็นสาเหตุให้การอบรมประสบความสำเร็จ

ผู้ปกครองบางคนในคาเกสสถานไม่ยอมให้ลุกหลานตนเข้าร่วมอบรมในตอนแรก เพราะกลัวความขัดแย้งเรื่องของมัซฮับที่ต่างกันทว่าเมื่อพวกเขาเห็นผู้ดุแลการอบรมอ่านบิสมิลละฮฺเสียงดัง ก็รีบนำเอาลูกหลานมาเข้าร่วมอบรมทันที ผุูดูแลอบรมคนนั้นได้เป็นอิมามนำละหมาดวันศุกร์โดยพวกเขาไม่รู้สึกอึดอัดที่ได้ละหมาดตามเลย

ตอนที่ผมเดินไปประเทศอินโดนิเซีย เมื่อปีฮ.ศ.1411 ผมได้อ่านบิสมิลลาฮ์เสียงดัง ปรากฏว่าผู้ร่วมละหมาดได้รับประโยชน์จากคุฏบะฮฺมาก อัลฮัมดุลิลลาฮ์"


والله أعلم بالصواب




แฟนทำลายคุณค่าสตรี



หญิงสาวจำนวนไม่น้อย

ใช้ชีวิตในวัยนี้ของพวกเขา

ไปอย่างไร้คุณค่า และนำมา

ซึ่งความอับอายแก่ครอบครัว

ของพวกเธอหรือแม้แต่ฆ่าตัวตาย

เพื่อสิ่งที่พวกเธอเรียกมันว่า..

" ค ว า ม รั ก "

เด็กหนุ่มๆจำนวนไม่น้อยได้ปล่อย

ให้เวลาอันมีค่าของช่วงวัยหนุ่ม

ของตนเองถูกทำลายไปกับสื่งที่

พวกเขาเรียกมันว่า "การหลงรัก"

"""""""""""""""""""""""""""""
|ดร.มูฮัมมัด อัลอะรีฟีย์

Ausman Seng



ภูต-ผีไม่ใช่วิญญาณของคนตาย แต่มันคือญิน-ชัยตอน



แต่..อิสลามเชื่อในเรื่องของ ญิน และ ชัยฏอน ส่วนมุสลิมจะไม่เรียกญินหรือชัยฏอนว่าเป็นพวกภูตผีปีศาจ....
ตามหลักการอิสลามนั้น ไม่มีเรื่องของภูตผีหรือวิญญาณ
เมื่อตายแล้ว วิญญาณออกจากร่าง จะถูกเก็บเอาไว้ที่ โลกอะลัมบัรฺซัค คือโลกที่อยู่ระหว่างโลกดุนยา (โลก ปัจจุบัน) กับโลกอาคิเราะฮฺ (โลกแห่งการพิพากษา) ซึ่งเป็นโลกที่เก็บวิญญาณของบุคคล ที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง
แต่ที่เราเห็นเล่านั้น คือมารร้าย ชื่อว่า ญิน และ ชัยฏอน เป็นผู้ที่ไม่เคารพเชื่อฝั่งคำสั่งของพระเจ้า และต้องการล่อลวงบรรดาลูกหลานอาดัมให้หลุดจากแนวทางของศาสนา

ไม่ว่าจะเรื่อง ยุยงเรื่องความโกรธ ขาดความอดทน เมื่อโกรธเขาจะมายุให้เราเอาคืนแล้วทะเลาะกัน กระซิบกระซาบในหัวใจ ให้ออกห่าง ล่อลวงบรรดาผู้คนที่ศรัทธาอ่อนแอ แต่สิ่งที่เหล่านี้กลัว คือบรรดามุมินฮฺ (บรรดาผู้ศรัทธาและปฎิบัติตามหลักศาสนาที่ถูกต้อง)

ญินและชัยฏอนเขามีการคงอยู่ แค่วันสิ้นโลกเท่านั้น ดังนั้น ญินและชัยฏอน จะพยายามทุกวิถีทางให้มนุษย์หลงตามมัน โดย 1 ในวิธีการนั้น คือ ออกมากลั่นแกล้งแปลงร่าง ต่างๆ ให้คนหวาดกลัว จนความศรัทธาสั่นคลอน แล้วหันไปพึ่งพิงของศักดิ์สิทธิ ที่ไม่มีอยู่ในหลักการอิสลาม
เพื่อที่คนเหล่านั้น จะได้ไปพึ่งสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า

ทั้ง ญิน และ ชัยฎอนนี้ ไม่สามารถมีฤทธิ์และอำนาจฆ่ามนุษย์ได้ มีที่อยู่อาศัยบริเวณที่รกร้าง ซากปรักหักพัง สถานที่สกปรกต่างๆ บริเวณที่โล่ง ตามป่าเขา รวมถึงห้องน้ำ และสถานที่ ที่มีรูปปั้นทั้งหลาย

ดังนั้น มุสลิมจะมีวิธีป้องกันเหล่ามารร้ายอยู่แล้ว ด้วยการขอความคุ้มครองต่อพระเจ้า ให้พ้นจากชัยฏอนมารร้าย ก่อนทุกครั้งไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดๆ

ไม่ว่าจะก่อนนอน ก่อนทานข้าว หรือเข้าไปในสถานที่ต่างๆค่ะก่อนเข้าบ้าน /ปิดบ้าน ฯลฯ

วิธีป้องกันญินและชัยฏอน

คร่าวๆสั้นๆไม่ยากเลย

1. เวลามักริบให้รีบเข้าบ้านเพราะญินและชัยฏอนจะออกมาแยะ ลักษณะคล้ายฝูงค้างคาวออกจากถ้ำ

2. ปิดประตูหน้าต่างให้กล่าว บิสมิลลา ฮิรฺเราะฮฺมานิรเราะฮีม คำแปล : “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานีผู้ทรงเมตตาเสมอ” ประตูหน้าต่างบานใด กล่าวพระนามของฮัลลอฺฮฺ ทั้งญินและชัยฏอน จะเข้าประตูหน้าต่างบานนั้นไม่ได้

3. เวลาปิดถุง หม้อข้าว หม้อทุกชนิด ถุงของกินทุกอย่างให้กล่าว บิสมิลลา ฮิรฺเราะฮฺมานิรเราะฮีม เช่นกัน เพราะยามดึก ญิณและชัยฏอน จะหากิน อาหารของเขา คือ กระดูกและถ่าน หากเราปัสสาวะรด กระดูก หรือเหยียบเศษอาหาร บรรดาชัยฏอรเหล่านั้นจะมาทำร้ายเรา เพราะไปทำลายอาหารเขา

4. ก่อนเข้าบ้านให้กล่าวบิสมิลลา ฮิรฺเราะฮฺมานิรเราะฮีม

5. ที่รกร้าง บ้านร้างเก่าๆ ป่าเขา ซากปรักหักพังต่างๆ นั่นเป็นที่อยู่ของเขา โค้ง 100 ศพ มีศาลตั้ง ขับรถไม่ต้องบีบแตรนะคะ ไม่ใช่ศาสนาของเรา แต่กล่าว อะอูซุ บิลลาฮิ มินัช-ชัยฏอนิร-เราะญีม. คำแปล : ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ ให้พ้นจากมารที่ถูกสาปแช่ง แทน.. ญิณและชัยฏอนมารร้ายที่อาศัยอยู่ จะกระเจิงไปเอง ไม่งั้นจะมาให้เห็นเป็นรูปต่างๆ ให้เราหวั่นไหว อีหม่านสั่นคลอน...แล้วจะมาบ่นว่าเห็นผีอีก...

6. ห้องนอน ที่นอน ในบ้านอย่ามีมากมาย เหลือใช้เกินความจำเป็น เช่น ห้องนอน ที่นอน หากมีแยะ มันก็จะเป็นที่อยู่ของชัยฏอนเช่นกัน เช่นมี ห้องนอน 6 ห้อง ใช้จริงๆ แค่ 3 ห้อง อีก 3 ห้อง นั่นแหละ สวรรค์ของพวกนี้เลย หากแต่ ใช้ 3 เผื่อไว้อีก 1 ไว้ใช้ยามญาติมาเยี่ยมเยียน นั่นน่ะได้ ที่นอน มี 6 ใช้ 3 อีก 3 ก็ เป็นที่นอนของมัน

อยู่แบบพอเพียง ดีกว่าอยู่แบบอลังการณ์งานสร้าง...สร้างไว้เผื่อมารร้าย...

7. รูปทุกชนิด ที่อยู่ในบ้าน หรือข้าวของเครื่องใช้ สิ่งใดเป็นรูปของสิ่งมีชีวิตให้เอาออก หรือเก็บลงแฟ้ม ถ้ายังมีอยู่ตอนดึก ยามค่ำคืน จะออกมา ปาร์ตี้กันเต็มบ้านเลย.. เสียง ก่อกแกร่กๆ นั่นและเขากำลังมา

8. เมื่อจะมีการหลับนอนกับสามีภรรยา ให้กล่าวดุอาเช่นกัน เพราะชัยฏอนจะไม่มาเป็นวุ่นวาย และหากเป็นประสงค์ของพระเจ้า ท่านก็ได้บุตรที่ได้รับความคุ้มครองจาก พระองค์อัลลอฮฺ ซุบบะฮานะฮูวะตะอาลา

คำอ่าน : บิสมิลลาฮิ อัลลอฮุมมะ ญันนิบนิชชัยฏอนะ วะญัน นิบิชชัยฏอนะ มาเราะซักตะนา

คำแปล : ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ โอ้อัลลอฮฺโปรดทรงให้ชัยฏอนห่างไกลจากฉัน และให้ชัยฏอนห่างไกลจากสิ่ง (บุตร) ที่พระองค์ทรงประทานแก่เรา
บันทึกโดย บุคอรี-มุสลิม

9. ก่อนทานอะไรให้กล่าว บิสมิ้ลลาฯ ไม่เช่นนั้น ชัยฏอนจะทานอาหารกับเราด้วย อยากใจดีเผื่อแผ่มารด้วยเหรอ...ถ้าลืม แล้วนึกออก ให้กล่าว บิสมิลลาฮิ วัลเอาวะลุ วัลอาคิลุ

10. ควรทานอาหารด้วยมือขวา เพราะมือซ้ายจะเป็นของชัยฏอน เมื่ออาหารตกพื้นให้รีบเก็บขึ้นมา หากไม่เปื้อนหรือโดนสิ่งนะญิส ให้ทำความสะอาดเอาออกบางส่วนก็ทานได้

11. เมื่อจะเข้าห้องน้ำ และก่อนออกจากห้องน้ำให้กล่าวดุอาอฺ

12. เมื่อเดินทางไปพักที่พักต่างๆ ให้กล่าวดุอาดังต่อไปนี้

أَعُوْذُبِكَلِمَاتِ اﷲِالتَّامَّاتِ
مِنْ شَرِّمَاخَلَقَ

คำอ่าน : อะอูซุ บิก้าลิมาติ้ลลา ฮิตตามมาติ มินชัรริมา ค่อลักกฺ

คำแปล : ฉันขอความคุ้มครองด้วยพจนาถของอัลลอฮฺ ที่สมบูรณ์ ให้พ้นจากความชั่วร้ายของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมา บันทึกโดย มุสลิม

13. ก่อนนอนให้ขอดุอาอฺ โดยการเป่าที่ฝ่ามือแล้วอ่าน กุล 3 กุล (อันนาส , อัลฟะลัก อัลอิคลาส ) จากนั้นลูบให้ทั่วร่างกาย ทำ 3 ครั้ง

ก่อนล้มตัวนอนให้กล่าวดุอาอฺว่า "บิสมิกัลลอฮุมมะ อะหฺยา วะอะมูตะ" ความว่า "ด้วยนามของอัลลอฮฺ โอ้อัลลอฮฺพระองค์ทรงทำให้ฉันมีชีวิตและทำให้ฉันเสียชีวิต"

อ่านกุ้ล 3 กุ้ล (อันนาส , อัลฟะลัก อัลอิคลาส
แล้วให้อ่านอายะฮฺ กุรซีย์ก่อนนอนทุกคืน เพื่อคุ้มครองป้องกันจากความชั่วร้าย ยามค่ำคืน จะเป็นพลทหารจะรักษาการณ์ให้เรา ยามหลับใหล จนถึงรุ่งเช้า อยู่ใน ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 255

คำอ่าน :

อัลลอฮุ ลาอิลาฮะอิ้ลลา ฮุวั้ลหัยยุ้ลก็อยยูม
ลาต๊ะคุซุฮู สิน่ะตูวฺ วะลาเนามฺ
ละฮูมาฟิสสะมาวาติ วะมา ฟิ้ลอัรฺฎ
มันซั้ลละซี ยัซฟะอุ อินดุฮู อิ้ลลาบิอิซนิฮฺ
ยะอฺ ละมุ มาบัยนะอัยดีฮิม วะมาค้อลฟะฮุม
วะลายุฮีฏูนะบิ ชัยอิน มินอิ้ลมิฮี อิ้ลลาบิมาชาอฺ
วะสิอะกุรซียฺ ยุฮุสสะมาวาติวั้ลอัรฺฎ
วะลายะอูดุฮู หิฟซุฮุมา
วะฮุวั้ล อะลียฺ ยุ้ล อะซีม

คำแปล :

อัลลอฮฺ (ทรงเป็นเจ้า) ซึ่งไม่มีพระเจ้าใดๆ (อีกแล้ว) นอกจากพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นเสมอ ทรงดำรงอยู่ ความง่วงและความหลับไม่ครอบงำพระองค์ พระองค์ทรงสิทธิ์ ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้า และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ใครเล่าที่จะให้การสงเคราะห์ (แก่ผู้อื่น) ณ พระองค์ได้ นอกจากจะเป็นไปโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา และที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้สักเพียงเล็กน้อยของพระองค์ นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ (จะให้พวกเขารู้) เท่านั้น เก้าอี้ (คืออำนาจปกครอง) ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการพิทักษ์มันทั้งสอง ไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย และพระองค์ทรงสูงส่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่


.............................
สุวัฒน์ อิสมาแอล

สาเหตุที่เรารังเกียจความตาย



ครั้งหนึ่งท่านคอลีฟะฮ์สุไลมาน บินอับดุลมาลิก ได้ส่งคนไปตามตัวท่านอบีฮาชิม เมื่อท่านมาพบ

ท่านสุไลมาน ก็ถามว่า “โอ้อบูฮาชิม ทำไมคนเราต่างก็รังเกียจความตายกันเล่า?”

อบูฮาชิม ตอบว่า “ก็คงเพราะว่า พวกเราสร้างกันแต่ดุนยา แต่กลับปล่อยให้อาคีเราะฮ์พังพินาศไปนะสิ”

ท่านสุไลมาน จึงกล่าวต่อ “ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ดังนั้น เราจะเดินทางไปหาอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้อย่างไรเล่า?”

อบูฮาชิม ตอบว่า “สำหรับคนดี เขาย่อมเหมือนดั่งผู้พลัดถิ่นที่ได้กลับไปหาครอบครัวของตน แต่สำหรับคนชั่วนั้นเสมือนดั่งทาสที่หนีเจ้านาย เพื่อถูกจับตัวส่งคืน”

เมื่อท่านสุไลมานได้ยินเช่นนั้นก็ร้องไห้ และกล่าวออกมาว่า “ซุบฮานัลลอฮ์ ตัวฉันจะทราบได้อย่างไรกันเล่า?”

อบูฮาชิม ตอบด้วยกับคำดำรัสของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า

ความว่า : แท้จริงบรรดาผู้ทรงคุณธรรมนั้นจะอยู่ในความโปรดปราน และแท้จริงบรรดาคนชั่วจะอยู่ในนรก ที่ลุกโชน (อัลอิมฟิฏอร: 13-14)

ท่านสุไลมาน จึงตอบกลับไปว่า “แล้วไหนเล่าความเมตตาของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา? โอ้อบูฮาชิม...”

อบูฮาชิม จึงได้ตอบกลับไปด้วยกับอายะห์ที่ว่า

ความว่า : แท้จริงความเมตตาของอัลลอฮนั้น ใกล้กับผู้กระทำดีทั้งหลาย (อัลอะรอฟ : 56)


...........................
Dariyah Muslimah

ความเสื่อมเสียจะไม่ถูกกล่าว



"หากความดีงามของคนหนึ่งมีมากกว่าความเสียของเขา

 ความเสื่อมเสียนั้นย่อมไม่ถูกนำมากล่าว

 และหากความเสื่อมเสียมีมากกว่าความดีงาม 

ความดีงามนั้นก็จะไม่ถูกนำมากล่าว"

(อับดาน อิบนุอุษมาน รายงานจากอิมามอับดุลลอฮฺ อิบนุลมุบาร็อก จาก สิยะรุ อะอ์ลามินนุบะลาอ์ (8/352)


วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คุณกำลังสร้างความทุกข์ทรมานต่อตัวเองอยู่หรือเปล่า?




หนึ่งในเรื่องราวที่น่าจดจำที่สุดในชีวิต
ของผม (ดร. มุหัมมัด) เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมและเพื่อนๆ ไปเที่ยวกันที่ทะเลทราย เพื่อนผมคนหนึ่ง หรือ “อบู คอลิด” สายตาของเขาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นพวกเราจึงคอยให้การดูแลและ
คอยเสิร์ฟน้ำอินทผลัมและกาแฟให้เขาโดยที่ตัวเขาเองก็มักจะยืนกรานที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเรา “ผมต้องช่วยพวกคุณ ผมอยากทำอะไรกับพวกคุณ ให้ผมทำอะไรบ้างเถอะ”

ขณะเดียวกันนั้นพวกเราก็มักจะห้ามไม่ให้เขาทำอะไรทั้งนั้นครั้งนั้นพวกเราทำการเชือดแกะ หั่นเนื้อเป็นชิ้นๆและนำเนื้อใส่ลงในหม้อ พร้อมที่จะทำอาหาร แต่พวกเราก็ยังไม่ได้ทำการก่อไฟ เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการกางเต้นท์และจัดเตรียมข้าวของอื่นๆดังนั้นอบู คอลิดจึงอาสาทำหน้าที่ดังกล่าว ถึงแม้ว่าพวกเราหวังว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างไรก็ตามเขาได้ลุกขึ้นเดินไปยังหม้อที่เตรียมไว้เมื่อเขาเห็นเนื้อแกะอยู่ในหม้อ เขาจึงตัดสินใจว่า สิ่งแรกที่จำต้องทำคือการเทน้ำใส่ลงไปในหม้อ เขาจึงเดินไปที่รถเพื่อหาน้ำ ในรถนั้นมีของมากมายไม่ว่าจะเป็น
เครื่องทำไฟฟ้า สายไฟ หลอดไฟ ขวดน้ำและขวดน้ำมัน 4 ขวด และเครื่องใช้อื่นๆ อย่างไรก็ตาม เขาได้หยิบขวดที่ใกล้มือเขาที่สุดและเดินกลับมาที่หม้อด้วยความเบิกบาน จากนั้นก็เทสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปในหม้อประมาณครึ่งขวด

แต่เมื่อเพื่อนของเราคนหนึ่งเห็นดังนั้น จึงตะโกนออกมาว่า “อย่า อย่านะ อบู คอลิด” ขณะที่อบูคอลิดเองก็ตอบออกมาว่า “ให้ผมทำอะไรให้พวกคุณบ้างเถอะ”
พวกเราจึงรีบเข้าไปคว้าขวดนั้นออกจากมือเขาและพากันหัวเราะจนน้ำตาไหล เพราะว่าสิ่งที่อยู่ในขวดนั้นคือ “น้ำมัน” ไม่ใช่น้ำเปล่า..

ดังนั้นในมื้อเที่ยงนั้นเราจึงมีเพียงแค่ขนมปังและชาเป็นอาหารแต่การเดินทางครั้งนั้นก็ไม่ได้ล่มหรือแย่แต่อย่างใด หากแต่มันเป็นการเดินทางที่ดีที่สุดที่พวกเราเคยมีด้วยซ้ำ

ดังนั้นด้วยเหตุใดเราจึงต้องทรมานตัวเราเองกับบางสิ่งบางอย่างที่มันจบไปแล้วและเสร็จสิ้นไปแล้วด้วย?

ผมยังจำได้ด้วยว่าเมื่อตอนที่ผมเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนสองสามคนและตอนนั้นแบตเตอรี่รถคันหนึ่งของพวกเราดับเราจึงนำรถอีกคันมาจอดหน้ารถที่เสียเพื่อที่จะทำการเชื่อมต่อแบตเตอรี่รถทั้งสองเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันนั้น

ฎอริคก็เข้ามาและยืนอยู่ระหว่างรถทั้งสองคันเพื่อต่อสายแบตเตอรี่ตัวแรกไปยังตัวที่เสียแล้วจากนั้นเขาก็บอกให้เพื่อนอีกคนติดเครื่องรถยนตร์เมื่อเพื่อนอีกคนของเราเข้าไปนั่งในรถ โดยไม่ทันได้สังเกตว่ารถยังค้างอยู่ที่เกียร์หนึ่ง ดังนั้นทันทีที่เขาติดเครื่องรถ รถก็พุ่งไปข้างหน้าและกันชนก็ไปชนเข่าของฎอริกจนทำให้เขาล้มลงกับพื้น ขณะที่เพื่อนของเราที่อยู่ในรถก็ถามออกมาว่า “ผมควรติดเครื่องอีกครั้งมั้ย”ตอนนั้น เราจึงเคลื่อนย้ายรถออกจากกันและพาฎอริกเดินเขาเดินกระโผลกกระเผลกและมีอาการเจ็บที่เข่าเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือ ฎอริกไม่ได้เพิ่มความเจ็บปวดให้กับตัวเขาด้วยการโอดครวญ ด่าทอ หรือตำหนิใครเลยเขาเพียงแค่ยิ้มอย่างมีความสุข ..

เพราะอะไรเราจึงต้องร้องคร่ำครวญ
เมื่อเหตุการณ์มันได้จบไปแล้วและเพื่อนของเราก็ได้สำนึกในความผิดของเขาแล้ว?

เช่นนั้นหากคุณปรารถนาที่จะมีความสุขในการใช้ชีวิตของคุณคุณก็ควรที่จะปฏิบัติต่อสถานการณ์ต่างๆ ด้วยหลักการนี้ คือ “จงอย่าให้ความใส่ใจต่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”หลายครั้งที่เรามักจะทำร้าย ตำหนิตัวเอง เกิดความหงุดหงิด โศกเศร้า และอยู่ในความเจ็บปวด หากแต่ “ความเจ็บปวด” นั้นไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเลยลองสมมุติว่า

หากคุณไปที่งานแต่งงานงานหนึ่ง คุณสวมเสื้อผ้าที่สวยงามดูดี พร้อมกับ “อิก๊อล” (Iqalห่วงที่ผู้ชายอาหรับมักสวมทับผ้าคลุมหัวเพื่อทำให้ผ้าคลุมหัวเข้าที่) เพื่อที่คุณจะได้ดูหล่อกว่าเจ้าบ่าวของงาน จากนั้นคุณก็เริ่มทำการจับมือทักทาย “สลาม” กับผู้คน ทีละคน และทันใดนั้นก็มีเด็กคนหนึ่งมาจากด้านหลังของคุณและดึงปลายผ้าคลุมหัวของคุณจนผ้าคลุมหลุดลงมาพร้อมกับห่วงและหมวก และมันทำให้คุณดูเป็นตัวตลก .. หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คุณจะทำเช่นไร?พวกเราหลายคนมักจะจัดการกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยวิธีที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหา บางคนอาจจะวิ่งตามเด็กคนนั้น พร้อมทั้งร้องตะโกน ด่าทอ และสาบแช่ง ซึ่งผลที่ได้รับคือ?

เด็กคนดังกล่าวย่อมบรรลุความสำเร็จตามที่เขาปรารถนาคือการได้รับความสนใจการได้สร้างความวุ่นวายและทำให้ผู้คนหัวเราะหรืออาจจะมีบางคนถ่ายคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและส่งต่อกันผ่านบูลทูธ แน่นอนว่า การกระทำเช่นนั้น มันไม่ได้เป็นการลงโทษเด็ก หากแต่คุณกำลังลงโทษตัวคุณเองอยู่ .....หรือสมมุติว่าหากคุณใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่คุณยังชำระเงินไม่ครบเพื่อไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทแห่งหนึ่งคุณเดินผ่านประตูบานหนึ่งที่เพิ่งทาสี และข้างๆ ประตูนั้นก็มี “ป้ายเตือน” แต่คุณไม่ได้สังเกตเห็นป้ายนั้น และเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ชุดของคุณเปื้อนสีที่ยังไม่แห้งตรง
ประตูนั้น จากนั้นช่างทาสีได้ร้องตะโกน ด่าทอคุณด้วยความโกรธ .. คุณจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร?

หลายครั้งที่เรามักจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ด้วยวิธีการที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเรามักจะแสดงความเกรี้ยวกราดและด่าทอช่างทาสีว่า “ทำไมคุณไม่ทำป้ายให้มันชัดหละ!!?” ซึ่งคำถามเช่นนี้ย่อมทำให้เขาตอบโต้คุณด้วยความโมโหมากยิ่งขึ้น และผลที่ได้รับคือ คุณอาจถูกทำให้เปื้อนไปด้วยฝุ่นมากกว่าสี!!ใจเย็นๆ เถิด คุณตระหนักหรือไม่ว่า การแสดงกริยาเช่นนั้นมันเป็นการลง
โทษตัวของคุณเอง?

และสมมุติว่าหากคุณแต่งตัวออกจากบ้านเพื่อไปทำการบรรยายที่ไหนสักแห่ง และมีรถคันหนึ่งขับผ่านมาขณะที่คุณกำลังออกจากบ้านรถคันดังกล่าวได้ขับลุยบ่อโคลนเล็กๆและโคลนนั้นได้สาดใส่เสื้อผ้าคุณคุณจะลงโทษตัวเองด้วยการร้องตะโกนหรือแผดเสียงด่าทอรถคันดังกล่าวหรือไม่ขณะที่รถคันนั้นได้ผ่านคุณไปแล้ว?....

เช่นเดียวกันมันไม่จำเป็นที่เราจะต้องจดจำความเจ็บปวดในอดีตที่เราเคยมีในชีวิตของเราท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัมเคยทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์อันเจ็บปวดมากมายในชีวิตของท่าน

ครั้งหนึ่งท่านนั่งอยู่กับภรรยาที่รักของท่าน “ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุ อันฮา” อย่างเงียบๆ นางได้ถามท่านว่า “มีวันใดในชีวิตของท่านที่เจ็บปวดยิ่งสำหรับท่าน มากกว่าวันแห่งสงครามอุฮุดหรือไม่?” ภาพความทรงจำเกี่ยวกับสงครามครั้งนั้นได้เข้ามาในความคิดของท่านเราะสูล มันช่างเป็นวันที่เลวร้ายยิ่ง วันที่ลุงของท่าน “ฮัมซะฮฺ” ถูกฆ่า ลุงผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าผู้ใดของท่าน ท่านเราะสูลยืนอยู่ตรงนั้นจ้องมองลุงสุดที่รักเห็นร่างกายไร้วิญญาณที่ผิดรูปผิดร่างของท่าน จมูกของท่าน และหูของท่านถูกเฉือนออก ท้องของท่านเป็นแผลยาวลึกและถูกเปิดออกอวัยวะภายในถูกควักออกมา มันเป็นวันที่ฟันหลายซี่ของท่านเราะสูลหัก ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยบาดแผลและมีเลือดไหลออกมาวันแห่งสงครามอุฮุดเป็นวันที่บรรดาสหายของท่านเราะสูลถูกฆ่าตายต่อหน้าท่าน

วันที่ท่านเดินทางกลับมาดีนะฮฺโดยปราศจากสหายจำนวน 70 คนของท่าน ท่านเห็นเพียงแต่บรรดาแม่ม้าย และเด็กกำพร้าวิ่งตามหาคนรักของพวกเขาและบิดาของพวกเขาวันนั้นเป็นวันที่เลวร้ายยิ่งท่านหญิงอาอิชะฮฺยังคงรอคอยคำตอบจากท่าน ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงกล่าวว่า “การที่ฉันได้รับความทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของผู้คนของเธอ นั่นคือความเจ็บปวดยิ่งสำหรับฉัน ในวันอะเกาะบะฮฺเมื่อฉันเสนอตัวฉันเอง..” และท่านก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการที่ท่านได้ขอความช่วยเหลือจากผู้คนแห่งอัฏฎออิฟ และได้รับการปฏิเสธจากพวกเขา อีกทั้งยังถูกติดตามด้วยบรรดาผู้โง่
เขลาโดยการที่พวกเขาโยนก้อนหินใส่ท่านจนเท้าของท่านเลือดออก
ถึงแม้ว่าท่านเราะสูลจะมีความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในชีวิต

หากแต่ท่านก็ยังคงดำเนินชีวิตของท่านด้วยความสุขและไม่ยอมปล่อยให้ความทรงจำอันขมขื่นเหล่านั้นทำให้ท่านละทิ้งการมีความสุขกับชีวิต ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดไม่คู่ควรแก่การจดจำความเจ็บปวดได้ผ่านพ้นไปแล้วและสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดคือ
“ความสุข”

ดังนั้นจงอย่าฆ่าตัวคุณเองด้วย “ความโศกเศร้า” เช่นเดียวกันคุณก็จงอย่าฆ่าผู้อื่นด้วย “ความโศกเศร้าของคุณ” และการกล่าวโทษต่อพวกเขา....

บ่อยครั้งที่เรามักจะจัดการกับปัญหาด้วยวิธีการที่ไม่นำมาซึ่งการแก้ไขอีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านอะฮฺนัฟบินก็อยซฺเป็นผู้นำแห่งบะนู ตอมิมท่านไม่ได้เป็นผู้นำเพราะร่างกายที่แข็งแรงกำยำของท่าน หรือเพราะทรัพย์สินอันมากมายของท่าน หรือเชื้อสายวงค์ตระกูลของท่าน หากแต่เป็นเพราะความอดทนและสติปัญญาของท่านที่ทำให้ท่านได้เป็นผู้นำอย่างไรก็ตาม มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีความอิจฉาท่าน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไปหาชายโง่เขลาคนหนึ่งและวานให้เขากระทำสิ่งหนึ่งโดยกล่าวว่า “นี่คือเงินหนึ่งพันดิรฮัมสำหรับท่าน จงไปยังผู้นำแห่งบะนู ตอมิม อัล อะฮฺนัฟ บิน ก็อยซ์ และตบที่ใบหน้าของเขาเสีย” ชายโง่เขลานั้นจึงตามหาท่านอัล อะฮฺนัฟและเขาก็ได้พบกับท่านนั่งอยู่กับบุรุษบางท่าน ขณะนั้นท่านกำลังนั่งชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นถึงหน้าอกในผ้าคลุมด้วยความสุขุม และพูดคุยกับผู้คนของท่านชายโง่เขลาคนดังกล่าวได้เดินไปยังท่านอัล อะฮฺนัฟอย่างช้าๆ จนกระทั่งเขายืนอยู่ข้างๆ ท่าน ท่านอัลอะฮฺนัฟมองไปยังเขา คิดว่าเขาจะมีอะไรดีดีมาแสดงให้ท่านดู แต่ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตบที่ใบหน้าของท่านอย่างแรง เสมือนว่าแก้มของท่านจะฉีกออกจากกัน จากนั้นท่านอัล อะฮฺนัฟจึงมองเขา และแทนที่ท่านจะดึงผ้าคลุมออกเพื่อยืดขาออก (เพื่อลุกขึ้น) แต่ท่านกลับกล่าวต่อเขาด้วยความสุขุมว่า “เหตุใดท่านจึงตบฉัน?”ชายคนดังกล่าวจึงตอบว่า “คนของฉันได้ให้เงินจำนวนหนึ่งพันดิรฮัมแก่ฉันเพื่อให้ฉันตบใบหน้าของผู้นำแห่งบะนู ตอมิม”ท่านอัล อะฮฺนัฟจึงกล่าวว่า “โอ้ หากเช่นนั้น ท่านก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายน่ะสิ เพราะฉันไม่ใช่ผู้นำแห่งบะนู ตอมีม”ชายผู้นั้นกล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่าแปลกจริง หากเช่นนั้น ผู้นำแห่งบะนู ตอมีมอยู่ที่ใดเล่า”อัลอะฮฺนัฟตอบว่า “
ท่านเห็นบุรุษที่นั่งอยู่เพียงลำพัง และมีดาบอยู่ข้างๆเขาหรือไม่? ท่านชี้
ไปยังบุรุษที่มีชื่อว่า ฮะริษะฮฺบินกุดามะฮฺ
ผู้ที่เต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชังอยู่ตลอดเวลา เสมือนว่าหาก “ความโกรธ” ของเขาถูกแบ่งออกมาในหมู่อุมมะฮฺ มันก็จะเพียงพอสำหรับพวกเราชายดังกล่าวตอบว่า “โอ้ ฉันเห็นเขาแล้ว เขาคือบุรุษที่นั่งอยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่”ท่านอัล อะฮฺนัฟตอบว่า
“ใช่จงไปหาเขาเถอะและตบที่ใบหน้าเขาเพราะเขาคือผู้นำแห่งบะนูตอมิม”
ชายโง่เขลาดังกล่าวจึงเดินเข้าไปหาฮะริษะฮฺขณะที่ดวงตาของฮะริษะฮฺนั้นเปล่งประกายเต็มไปด้วยความชั่วร้าย

เมื่อชายคนดังกล่าวนั้นยืนอยู่ตรงหน้าฮะริษะฮฺ เขาได้ยกมือขึ้น จากนั้นก็ตบที่ใบหน้าของฮะริษะฮฺ ขณะที่มือของเขาเพิ่งจะโดนที่ใบหน้าของฮะริษะฮฺฮะริษะฮฺก็ได้หยิบดาบของเขาขึ้นมาและใช้มันตัดมือของชายโง่
เขลาคนนั้น มีถ้อยคำของคนยุคก่อนที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ชนะคือผู้ที่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย”___________________________________________

การจัดการกับปัญหาด้วยวิธีที่ไม่เป็น
ทางออก”นั้นเป็นเพียงการลงโทษตัวคุณเอง อีกทั้งยังไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ เลย

About these ads

...................................................
แหล่งที่มา หนังสือ Enjoy your life
โดย ดร. มุหัมมัด อับดุล อัลเราะหฺมาน อัลอะรีฟิยฺบท Self Torture
ถอดความ بنت الاٍسلام
แวนิต้า โรส

อยากนิกาฮ แต่กลัวการใช้ชีวิตหลังนิกาฮ




สังเกตได้ว่า สังคมเราในปัจจุบันอยากนิกาฮ
แต่กลัวการใช้ชีวิตหลังนิกาฮ เพราะคิดว่า
การใช้ชีวิตหลังนิกาฮนั้น จะลำบาก ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่าย
และกับการต้องแบกรับภาระต้องตามมาหลังนิกาฮ
สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความเข้าใจผิดให้กับสังคมอย่างมากมาย

บางคน ถึงขั้นยอมซีนา ยอมทำชั่ว เพื่อหลีกหนีการนิกาฮ
บางคนมีคนหมายปอง และคบมาหาสู่นานเป็นปี
ทั้งๆที่มีความสามารถในการนิกาฮ แต่หัวใจก็ยังลังเลใจในการที่จะนิกาฮ เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างเข้มงวด

บางคน ก็อ้างว่า จะนิกาฮได้อย่างไร ในเมื่อความพร้อมยังไม่มี
เรียนไม่จบ งานไม่มี ไม่มีรถขับ บ้านที่พักก็ไม่มี การนิกาฮ
จะทำให้มีความยากจนตามมา แต่หารู้ไม่ ว่าการนิกาฮนั้น
สามารถนำไปสู่ความร่ำรวยได้ เพราะอะไรท่านรู้ไม
เพราะเมื่อเราอยู่บนเส้นทางที่อัลลอฮได้บัญชา
อัลลอฮ ก็จะทรงช่วยเหลือและเกื้อหนุน การนิกาฮนี้แหละ
สามารถเอาชนะความยากจนได้

อินชาอัลลอฮ เร็วๆนี้

ข้าพเจ้าคนหนึ่ง สนับสนุน แนวทางของท่านรอซูล
และหนึ่งในนั้น คือการนิกาฮ

.....................................................................................
จากหนังสือ นิกาฮ ง่ายๆ เขียนโดย เจ๊ นูรีฮัน มาเลเซีย


นมแก้วเดียวริสกีสุดท้ายของเขา


มีผู้ชายคนหนึ่ง กำลังตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คน


เป็นเพราะว่าตัวเขาได้พลัดตกลงไปในหลุมบ่อแห่งหนึ่ง ผู้คนที่ได้ยินเสียงร้อง ก็เลยแห่กันมาดู แล้วพากันช่วยเหลือเขาขึ้นมาจากบ่อได้ในที่สุด

มีคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา แล้วยื่นแก้วนมเพื่อให้เขาได้ดื่ม หลังจากที่เขาดื่มเสร็จแล้ว ผู้คนก็ถามถึงสาเหตุของการตกลงไปได้อย่างไร ? เขาก็เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้เขาได้พลัดตกลงไป พร้อมอธิบายด้วยท่าทาง แต่การเล่าเรื่องของเขาที่แสดงด้วยท่าทางที่ยืนอยู่ตรงนั้น ทำอย่างนั้น จึงทำให้ตัวเขาพลัดตกลงไปในบ่อเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้ได้ทำให้เขาเสียชีวิต

เชคอัลมาฆอมีซีย์ ได้แสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่า : แท้จริงแล้ว ริสกีของผู้ชายคนนี้ เหลือแค่นมแก้วเดียวแล้ว เพราะเมื่อเขาได้ดื่มเสร็จแล้ว ริสกีของเขาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว จึงหมดไปในที่สุด ตัวเขาจึงพลัดตกลงไปในสถานที่เดิม แล้วก็เสียชีวิตไปในที่สุด

ดังนั้น เราทั้งหลาย ที่กลัวนักกลัวหนากับความยากจน ข่มขู่แม้กระทั่งตัวเองกับความยากลำบาก ไม่กล้าเผชิญกับความทุกข์ยาก เพราะกลัวที่จะประสบกับมัน ทั้งๆ ที่อัลลอฮฺทรงได้วาดวางสิ่งดีๆ ให้กับเราไว้หมดแล้ว เพียงแค่เราขอดุอาอฺต่อพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงบันดาลริสกีที่ดีและฮาล้าลสำหรับเรา เพื่อให้เราได้ดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยความผาสุกในการภักดีต่อพระองค์



✿ ▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬ ✿



บทความดีๆ โดย : مواقع و منتديات
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ


มุสลีมะฮ์แต่งหน้าก่อนละหมาด


มีมุสลิมะฮฺท่านหนึ่งถามมาว่า .. ฉันได้อาบน้ำละหมาดเสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงละหมาดซุบฮิ หลังจากนั้น ฉันก็ได้ทำการแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง และต่อมาในตอนเที่ยง ฉันต้องการจะละหมาดซุฮริ ดังนั้น หากฉันจะอาบน้ำละหมาดใหม่ ฉันจะต้องล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าของฉันออกก่อนหรือไม่ หรือว่าจะอาบน้ำละหมาดไปทั้งๆ ที่มีเครื่องสำอางได้เลย ?? และอะไรคือหลักการ (หุก่ม) ของการใช้น้ำยาทาเล็บ ??

ตอบ..

   ตรงนี้ เราจะต้องแบ่งแยกออกเป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ ..



ประเด็นที่หนึ่ง : หากว่าเราแต่งหน้าทาปากด้วยเครื่องสำอางหรือทาเล็บ หลังจากที่อาบน้ำละหมาดเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น  ดังนั้น การละหมาดของเรา ก็ถือว่าใช้ได้  ไม่ได้บกพร่องหรือเสียหายแต่ประการใด



ประเด็นที่สอง : หากว่าเราแต่งหน้าทาปากด้วยเครื่องสำอางหรือทาเล็บอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่เราจะอาบน้ำละหมาดสะอีก แบบนี้นั้น จำเป็นจะต้องมีการแบ่งแยกอีกว่า..

  • ถ้าหากว่าเครื่องสำอางหรือน้ำยาทาเล็บที่เราใช้อยู่นั้น มันไปกั้นไม่ให้น้ำละหมาดถึงไปยังเล็บหรือผิวหนังของเรา ดังนั้น การอาบน้ำละหมาดของเรา ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ และแน่นอนว่า การละหมาดก็ใช้ไม่ได้เช่นเดียวกัน

  • แต่ถ้าหากว่าเครื่องสำอางหรือน้ำยาทาเล็บที่เราใช้อยู่นั้น มันไม่ได้ไปกั้นขวางน้ำละหมาดไม่ให้ถูกกับผิว

.............................................................................................
ตอบโดย  เชค อับดุลลอฮฺ อัล-อะญะมีย์  ปราชญ์อัล-อัซฮัร

http://islamhouse.muslimthaipost.com/