อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

กรณีเหตุเบียดกันที่ทุ่งมินา-มักกะฮฺ


เห็นหัวหน้าลัทธิชีอะฮฺ สุไลมาน ฮุซัยนี ยังไม่เลิกเล่นสกปรกอีก ก็น่าจะทำอะไรสักอย่าง ก่อนอื่นต้องแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสียไม่ว่าจะมาจากอิหร่านหรือจากที่ไหนก็ตาม ทั้งหมดเป็นตักดีรของอัลลอฮฺแล้ว แต่คนเป็นนี่สิปัญหา คือกรณีเหตุเบียดกันที่ทุ่งมินา-มักกะฮฺ (Hajj stampede) เมื่อเช้าวันที่ 24 กันยา ทำให้ฮุจญาจเสียชีวิตไป 719 เจ็บอีกอย่างน้อย 863 คนนั้น อยากจะเรียบเรียงข่าวคราวมาอยู่ที่เดียวกัน เผื่อพวกเราจะได้ปะติปะต่อเรื่องราวที่เป็นกระแสอยู่ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลจากพี่น้องมาอีกที โดยสามารถเข้าไปดูตามลิงค์ที่แนบมาได้ครับ
.
เรื่องมีอยู่ว่าหลังเกิดเหตุไม่นาน อะลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านและลัทธิชีอะฮฺทั่วโลก ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและว่าทางการซาอุมีระบบจัดการที่ทุ่งมินาซึ่งไม่ได้เรื่องเลย (mismanagement) จะต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น จากนั้นไม่นาน ไม่รู้จะสร้างผลงานให้เจ้านายเห็นหรือยังไง ทั้งที่เจ้านายบอกแค่การจัดการไม่ได้เรื่อง แต่ผู้แทนลัทธิชีอะฮฺในไทย สุไลมาน ฮุซัยนี (ยังจำนายคนนี้ได้ไหม) ดันออกมาอ้างเป็นตุเป็นตะจากแหล่งข่าวชีอะฮฺผ่านเฟสบุคตัวเองว่าสาเหตุที่ทุ่งมินานั้นมาจากขบวนรถของเจ้าชาย มุฮัมมัด บิน สัลมาน รองมกุฏราชกุมาร,รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าปฏิบัติการทางทหารต่อกบฏชีอะฮฺหูษี เยเมน พร้อมรถกำลังทหาร ไปขวางถนนสายหนึ่งที่ทุ่งมินา จนเป็นเหตุให้คนแออัดเบียดเสียดและเกิดเหตุเศร้าตามมาอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งแน่นอน www.muslimvoicetv.com หนึ่งในกระบอกเสียชีอะฮฺในไทยก็เอาไปเล่นต่ออย่างสนุกสนาน (ไม่รู้ตอนนี้ลบไปยัง) จนชาวมุสลิมทนไม่ไหว จึงเปิดโปงความจริงขึ้นมา
--
http://www.aljazeera.com/…/iran-slams-saudi-arabia-hajj-sta…
.
ความจริงที่ว่าก็คือ ปีนี้ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน สัลมาน ไม่ได้ทำฮัจย์ด้วยครับ ซ้ำยังติดภารกิจต้อนรับรัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย ดาโต๊ะ ฮีชามุดดีน ต่วน ฮุเซ็น และไปส่งท่านกลับด้วยตัวเองที่สนามบินญิดดะฮฺ ห่างจากทุ่งมินาในเมืองมักกะฮฺกว่า 100 กิโลเมตร มีภาพปรากฏไปทั่วโลกด้วย การกล่าวหาจากลัทธิชีอะฮฺในทำนองนี้จึงสมควรถูกประณาม ดังที่ ชัยคฺ ศอลิหฺ บิน มูฮำหมัด อาลฺุ ฎอลิบ ได้คุตบะฮฺที่มัสญิดอัลหะรอมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า "มันเป็นเรื่องตลกที่น่าขมขื่นจริงๆ ที่กลุ่มคนซึ่งมีประวัติก่ออาชญากรรม ด้วยการฆ่าและก่อระเบิดในดินแดนหะรอม (หมายถึงหุจญาจชีอะฮฺอิหร่านในฮัจย์ปี 1987) ที่วันนี้มาแสดงความเศร้าโศก (ต่อเหตุการณ์จากไปของบรรดาหุจญาจที่มินา) นี่จึงเป็นเรื่องเรื่องหนึ่งที่แปลกประหลาดสำหรับของพวกเขา คือทำเป็นเศร้าโศกต่อการจากไปของบรรดามุสลิม ทั้งๆที่พวกเขาเองเหมือนกัน คือผู้ส่งอาวุธร้ายแรงไปยังอิรัก เยเมนและซีเรีย (เพื่อเข่นฆ่ามุสลิม)"
--




https://www.facebook.com/abutaimiah/posts/887109541364662
http://www.alriyadh.com/1085056
http://www.bernama.com/bernama/v8/ge/newsgeneral.php…
https://www.facebook.com/Anti.ShiAh/photos/a.1557654154461918.1073741829.1557385014488832/1764230673804264/?type=3
.
และขณะที่การสืบสวนกำลังดำเนินนั้นเอง เจ้าหน้าที่คณะผู้แทนฮัจญ์ของอิหร่านก็ออกมายอมรับว่าฮุจญาจของอิหร่าน 300 คน เคลื่อนขบวนในวันเกิดเหตุผิดไปจากแผนที่ซึ่งทางการซาอุกำหนดไว้ โดยฮุจญาจอิหร่านออกไปขว้างเสาหินก่อนเวลาที่กำหนดไว้และยังย้อนศรกลับมาสวนทางกับฮุจญาจกลุ่มอื่น จึงเกิดเหตุชนกันและโกลาหลตามมา (ดูแผนที่จากภาพประกอบของ The New York Times, ทุ่งมินาในตำบลมินานั้น นับเป็นตำบลแห่งเต็นท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเต็นท์แสนกว่าสำหรับฮุจญาจนับล้านในแต่ละปี ซึ่งการจัดการระบบต่างๆนั้นสำคัญและต้องให้เป็นไปตามกฏเกณท์ที่ทางการวางไว้)
--
https://www.facebook.com/anucha.moolsub/posts/1040601389285396?pnref=story
http://www.nytimes.com/…/middleeast/mecca-mina-stampede-haj…
.

ครับ พยายามสรุปให้สั้นที่สุดก็ประมาณนี้นะ ก็ลองตามไปอ่านตามลิงค์ที่แนบมาให้ละกัน จะได้เอาไปบอกต่อๆกัน คือจริงๆลัทธิชีอะฮฺนั้น เขาหากินกับคนตายมาตลอดหน้าประวัติศาสตร์อยู่แล้วแหละ นับตั้งแต่การตายของท่านอะลี บิน อบีฏอลิบ, ท่านฮุเซ็น บิน อะลี (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา) นู่นเลย เป็นลัทธิหรือศาสนาที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการสูบเลือดจากคนตาย

ป.ล.ใครก็ได้บอก www.muslimvoicetv.com ให้เอาโลโก้ TMTV, YateemTV, TVmuslim แล้วก็ WhiteChannel ออกไปจากเวบหน่อย เนื้อหาบางอันด้วย คือชอบเอาโลโก้เขามาอ้างว่าเป็นมุสลิมเหมือนกันอยู่ได้ น่ารำคาญ, สุไลมาน ฮุซัยนี ก็เหมือนกัน หยุดเอารูปถ่ายคู่กับท่านจุฬามาหากินได้แล้ว น่าเกลียด.





วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

ขีดเส้นใต้สีแดง นัยและข้อสังเกตจากโศกนาฏกรรมที่มีนา



จากเหตุโศกนาฏกรรมที่มีนา ในวันที่ 10 ซุลหิจญะฮฺ ปีนี้ ได้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนานา

ก่อนอื่น เราขอ Takziyah ต่อพี่น้องที่เสียชีวิตทุกท่าน ขออัลลอฮฺทรงประทานให้พวกเขาได้เป็นผู้ที่ตายชาฮีด และตอบรับเป็นหัจญ์ที่มับรูร

ในเหตุโศกนาฏกรรมในคร้ังนี้ มีนัยและขีดเส้นใต้สีแดง เพื่อเป็นข้อสังเกตบางประการ

แน่นอนที่สุด หลังเหตุโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ประเทศที่ตกเป็นจำเลยและถูกโจมตี คือ ซาอุดีอาระเบีย

เราจะเห็นว่า หลังเกิดเหตุการณ์ อีหร่านได้แถลงโจมตีความบกพร่องของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียทันที ความจริง ก็น่าจะถูกวิจารณ์ แต่ ก็มีการวิจารณ์รัฐบาลอีหร่านกลับว่า กำลังฉวยโอกาส หรือ หาประโยชน์ทางการเมือง จากซากศพและเลือดเนื้อของพี่น้อง

ที่ออกโรงโจมตีอย่างเปิดเผยอีกกลุ่ม คือ พวก Liberalism ฉวยโอกาสโจมตีและดิสเครดิตซาอุดีอาระเบียและอิสลามไร้ประประสิทธิภาพและทำให้เกิดปัญหาในการจัดการ ซึ่งพวกเขาถูกตอบโต้กลับว่า .พวกเขาลืมไปว่า ขนาดในเวทีคอนเสิร์ตของพวเขา ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของคนกลุ่มเล็กๆ ก็ยังเกิดเหตุโศกนาฏกรรมใหญ่เป็นประจำ

แต่ข้อสังเกตที่ต้องขีตเส้นใต้และมีน้ำหนักมากที่สุด คือเกิดจาก การสร้างสถานการณ์ และ มีการเขียนสคริปต์เพื่อโจมตีทางการเมืองเป็นอย่างดี

จากการติดตามจากการโพสต์ตามสื่อออนไลน์ ค่อนข้างจะให้น้ำหนักกับการสร้างสถานการณ์ ...ส่วนใหญจะให้นำ้หนักไปที่การสร้างสถานการณ์จากกลุ่มชีอะฮฺ....

ดูจากรูปการณ์ กลุ่มผู้แสวงบุญหรือหุจญาจที่เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในเหตุโศกนาฏกรรมในคร้ังนี้ คือ ชาวอีหร่าน จากรายงานข่าวของหลายสำนักข่าว รายงานว่า เหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เกิดขึ้นขณะที่มีการเดินเข้ามาของคลื่นหุจญาจจากประเทศอีหร่านเป็นจำนวนมาก

มีพยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า มีหุจญาจจากประเทศอีหร่านจำนวนหนึ่ง เดินทางกลับจากการขว้างหินที่ญุมรอตตามเส้นทางเดียวกันกับ บรรดาหุจญาจจำนวนมากที่กำลังเดินทางไปขว้างหินที่ญุมรอต ทำให้ทั้งสองกลุ่มเกิดการประจันหน้ากัน เกิดเหตุล้มทับและเหยียบกันตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งความจริงแล้ว คนที่เดินกลับจากการไปขว้างหิน เขาต้องเดินออกไปตามเส้นทางอื่นที่กำหนดไว้แล้ว (ก็อดดาร็อลลอฮ มาชาอ์)

อย่างไรก็ตาม เราท้ังหลายก็ทราบกันดีว่า สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับ อีหร่านในตอนนี้ กำลังร้อนแรง กองกำลังพันธมิตรภายใต้การนำของซาอุดีอาระเบียกำลังรุกคืบ เพื่อยึดคืนเมืองหลวงของเยเมน ซึ่งถูกพวกชีอะฮฺ อัลฮูซีย์ ที่นิยมอีหร่านยึดครอง

แน่นอน อีหร่านมีผลประโยชน์ใหญ่หลวง จากการลดความน่าเชื่อถือ หรือ ลดเครดิตของซาอุดีอาระเบียในสายตาของประชาคมระหว่างประเ่ทศ การสร้างสถานการณ์ในช่วงเทศกาลหัจญ์ จึงทรงประสิทธิผลและได้ผลมากที่สุด

ในด้านอุดมการณ์ วันที่ 10 ซุลหิจญะฮฺ เป็นวันที่มีความหมายและมีนัยเป็นอย่างยิ่ง สำหรับชาวชีอะฮฺ

แล้วมัน มีความหมายอย่างไร?

เราทราบกันดีจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า ในปีที่ 8 ของการหิจเราะห์ของท่านนบีฯน้ัน เป็นปีที่บทบัญญัติในเรื่องหัจญ์ถูกประทานลงมา ในปีน้ัน ท่านนบีฯยังไม่ได้ไปทำหัจญ์ เพราะ ในการทำหัจญ์น้ัน ยังมีพวกมุชริกเจือปนอยู่ และพวกมุชริกยังคงเปลือยกายในขณะฏอวาฟรอบๆบัยตุลลอฮฺ

แต่ในปีน้ัน ท่านนบีฯได้สั่งให้อบูบักรและบรรดาซอฮาบะฮฺจำนวนหนึ่งไปทำหัจญ์ ซึ่งในปีนั้นท่านนบีฯได้ส่ังให้ท่านอบูบักรฺแจ้งประกาศที่สำคัญของท่านนบีฯ 2 เรื่อง คือ
(1) หลังจากปีนี้ ห้ามพวกมุชริกมาทำหัจญ์อีก
(2) หลังจากปีน้ี ห้ามเปลือยกายในช่วงฏอวาฟรอบๆบัยตุลลอฮ
ในขณะน้ันเอง ซูเราะห์บารออะฮฺ หรือ ซูเราะห์ อัตเตาบะห์ถูกประทานลงมา ซึ่งเนื้อหาของซูเราะห์นี้ส่วนใหญ่ เป็นการยกเลิกบรรดาพันธสัญญาทั้งหลายที่มีต่อพวกมุชริกในสมัยน้ัน

ดังน้ัน วันที่ 10 ซุลหิจญะห์ จึงเป็นวันที่ อบูบักรฺ แจ้งประกาศสำคัญสองข้อของท่านนบีฯดังกล่าวข้างต้น

พวกมุชริกทั้งหลายจึงถูกสั่งให้ออกมักกะห์ตั้งแต่บัดน้ันเป็นต้นมา และในปีต่อมา(ปี่ที่ 9 ของการหิจเราะห์ท่านนบีฯ) ท่านนบีฯก็ได้เดินทางไปทำหัจญ์

แล้วคำประกาศดังกล่าว มันเกี่ยวข้องกับพวกชีอะฮฺ อย่างไร?

โดยสรุป พวกชีอะฮฺ มีความเห็นว่า ผู้ที่สมควรนำคำสั่งท้ังสองประการจากท่านนบีฯ ไปประกาศสู่สาธารณชน คือ ท่านอาลี (รอฏิยัลลอฺ อันฮู)

ในมุมมองของพวกชีอะฮฺ มองในมิติของรัฐ ซึ่งมองว่า อาลี เป็นผู้ที่มีสิทธิโดยชอบธรรมในการเป็นคอลีฟะฮฺหลังจากท่านนบีฯเสียชีวิต พวกเขามองว่า อบูบักร ปล้นหรือยึดอำนาจจากท่านอาลี

ดังน้ัน การโจมตี อบูบักร จากกลุ่มชีอะฮฺจึงมีตลอดมา

วันที่ 10 ซุลหิจญะฮฺ จึงเป็นวันที่บรรดาผู้ประกอบพิธีหัจญ์ชาวชีอะฮฺ ใช้โอกาสนี้ ประท้วงเชิงสัญญลักษณ์ต่อสถานการณ์ดังกล่าว โดยพวกเขาอ้างว่า เป็นการบารออะฮฺจากพวกมุชริก

แต่เมื่อเราเหลียวมองดูจาก การปฏิบัติจริงของชาวชีอะฮฺ มันหาใช่การประท้วงต่ออบูบักรฺและพวกซุนนีไม่ แต่มันเป็นการยกย่องเชิดชูท่านอาลีและท่านหูซัยนฺเสียมากกว่า ดังจะเห็นได้จากการตัลบียะฮฺในช่วงประกอบพิธีหัจญ์ของพวกชีอะฮฺ แทนที่จะกล่าวว่า
"ลับบัยกัลลอฮฺกัลลอฮฺ ลาชารีกาลัก...พวกเขากลับไปกล่าวว่า...ลับบัยกา ยา ฮูเซ็น" ซึ่งเรามักจะเห็นป้ายพวกชีอะฮฺชูป้ายนี้เป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงพวกเขาเดินขบวน

นัยและข้อสังเกตที่ได้ขีดเส้นใต้สีแดงข้างต้น ข้อสรุป น่าจะมีนำ้หนักไปที่ เหตุโศกนาฏกรรมที่ทุ่งมีนาในคร้ังนี้ เกิดจากการสร้างสถานการณ์ของชาวชีอะฮฺ

ถึงแม้ จะมีข้อบกพร่องในการบริหารจัดการของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย แต่จะมองข้ามประเด็นการสร้างสถานการณ์ของพวกชีอะฮฺไม่ได้เป็นอันขาด

เรื่องนี้ จะมีต้องมีการสืบสวน สอบสวน หาข้อเท็จจริงอย่างมืออาชีพ เป็นกลางและยุติธรรมต่อไป

ส่วนข้อโจมตีจากบางสำนักข่าวว่า เหตุโศกนาฏกรรมในคร้ังนี้ เกิดจาก การชนหรือติดขบวน หรือ ปิดเส้นทางเพื่อขบวนของโอรสของกษัตริย์ สัลมาน บิน อับดุลอาซิส แห่งซาอุดิอาระเบียผ่านน้ัน

มันเป็นข้อกล่าวหาและโจมตีที่ไร้เหตุผลและน้ำหนักโดยสิ้นเชิง

เพราะ รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ได้เตรียมสถานที่ขว้างหินที่ญุมรอตในชั้นใต้ดินสำหรับขุนนางชั้นผู้ใหญ่และบรรดาอาคันตุกะของกษัตริย์แห่งซาอุดีอาระเบียเป็นอย่างดี จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่คนระดับมกุฏราชกุมาร ของซาอุดีอาระะเบียต้องไปแย่งเบียดเสียดกับคนเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาน้ัน เพื่อไปขว้างหินที่ญุมรอต คำกล่าวหาดังกล่าว จึงไม่มีน้ำหนัก

อนึ่งบทความนี้ ผู้เขียนได้แสดงความเห็นโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีเจตนาใส่ร้าย หรือ เพื่อแก้ตัวแก่ฝ่ายใดท้ังสิ้น

จาก www.dakwatuna.com
http://www.dakwatuna.com/…/benarkah-insiden-mina-by-design/…






วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

การมอบหมาย หรือ "วะเกล"


ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย


ถาม


ฉันสงสัยหลักการ “วะเกล” นิดหนึ่งค่ะ คือ ไม่ทราบว่า การ "วะเกล" นี้ต้องพูดออกมาตอบรับทั้งสองฝ่ายหรือไม่ค่ะ คือที่เห็นไม่ว่า การ "วะเกล"ให้เชือดกุรฺบาน หรืออากีเกาะฮ์ จะมีการจับตัวสัตว์กุรบานหรืออากีเกาะฮ์ แล้วมีการส่งมอบ พร้อมกับกล่าวว่า “สัตว์(กุรฺบาน, อากีเกาะฮ์)ตัวนี้ของ...วะเกลให้...” อีฝ่ายก็ตอบรับ และรับมอบสัตว์นั้นไปเชือด ประมาณนี้ค่ะ หากผู้ทำกุรบาน หรืออากีเกาะฮ์เจตนา "วะเกล" ให้ผู้ที่จะเชือดแทน โดยที่สัตว์นั้นอยู่ใกล้ๆทั้ง 2 คน แล้วผู้ทำการ "วะเกล" ก็ไปนำสัตว์นั้นมาเชือด โดยต่างฝ่ายต่างเข้าใจตรงกัน แต่ไม่ได้กระทำการพูดและส่งมอบอย่างที่กล่าวมาข้างต้น การ “วะเกล” นั้นใช้ได้ไหมค่ะ


ตอบ

ตามหลักการ ผู้มอบหมายงานใดของตนเองให้ผู้อื่นทำแทน จะต้องกล่าวเป็นวาจาให้ผู้รับมอบเข้าใจว่าเป็นการมอบหมาย ..

 ซึ่งบางครั้งก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้คำพูดที่เป็นพิธีการจนเกินไป อย่างเช่นเราต้องการมอบหมาย (วะเกล)ให้เพื่อนซึ่งกำลังจะไปตลาด ช่วยซื้อปลาทูที่ตลาดแทนเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่า
 "ผมวะเกลให้คุณซื้อปลาทูหนึ่งกิโลกรัมที่ตลาดแทนผมด้วย"
อะไรอย่างนี้ แต่เรายื่นเงิน 100 บาทให้เพื่อนแล้วพูดกับเพื่อนสั้นๆว่า
"ช่วยซื้อปลาทูมาซัก 1 กิโลกรัมด้วยนะ"
เพื่อนก็เข้าใจแล้วว่าเรามอบหมายให้เขาซื้อปลาทู เป็นต้น ..

ในกรณีที่คุณถามเรื่องการมอบหมายกันในการเชือดกุรฺบ่านก็เช่นเดียวกัน ผู้มอบหมายต้องกล่าวแก่ผู้รับมอบหมาย (โดยไม่จำเป็นต้องไปจับสายเชือกวัวหรือแพะ) ว่า ผมมอบหมายให้คุณเชือดวัวกุรฺบ่านตัวนี้แทนผมด้วย หรือจะพูดสั้นๆเพียงว่า นายช่วยเชือดวัวกุรฺบานตัวนี้แทนเราด้วยนะ แค่นี้ก็หมดเรื่องครับ ..

ส่วนผู้รับมอบหมาย ก็อาจรับคำสั้นๆว่า ครับ ก็ได้, หรือไม่พูดอะไรเลย แต่ปฏิบัติตาม คือจูงวัวตัวนั้นไปเชือดตามที่อีกฝ่ายมอบหมายมา ก็ถือว่า ใช้ได้เช่นเดียวกันครับ วัลลอฮุ อะอฺลัม .....

ผมขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดว่า ถ้าผู้มอบหมายไม่พูดอะไร ผู้รับมอบก็คงไม่ทราบจุดประสงค์ของผู้มอบได้หมือนกันว่า ต้องการอะไร ก็อาจจะเกิดปัญหาเข้าใจผิดกันได้ อย่างเช่นสมมุติคุณจะนำอัล-กุรฺอานสัก 10 เล่มไป "ฝาก" ไว้ที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง พอไปถึงคุณก็ยื่นอัล-กุรฺอานนั้นให้เขาโดยไม่ได้พูดอะไรเลย อย่างนี้ถ้าผมเป็นเพื่อนคนนั้นของคุณ ผมต้องเข้าใจว่า คุณ "ให้" อัล-กุรฺอานเหล่านั้นแก่ผมแล้วผมก็อาจนำมันไปแจกจ่ายแก่เด็กๆในหมู่บ้านคนละเล่มสองเล่มจนหมด และเมื่อคุณกลับมาทวงอัล-กุรฺอานที่ฝากไว้คืน จะเกิดอะไรขึ้น คุณคงเดาออกนะครับ .. ซึ่งในเรื่องการมอบหมายหรือวะเกลก็จะมีลักษณะคล้ายๆกันนี่แหละ เพราะฉะนั้น การเปล่งวาจาสำหรับผู้มอบหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นครับ...



วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

การมอบหมายให้แซะฮ์ทำฮัจญ์แทน



ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย


ถาม

พี่น้องมุสลิมในหมู่บ้านคนหนึ่ง เขาเหนียตจะไปทำฮัจญ์ แต่ปรากฎว่าเขาได้เสียชีวิตก่อนการทำฮัจญ์ในปีถัดไป ภรรยาของท่านจึงมอบหมายให้แซะห์ที่รับคนไปทำฮัจญ์ ทำฮัจญ์แทนท่าน โดยมอบ
เงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดตามที่แซะห์ตกลง และแซะห์ยังรับทำฮัจญ์ให้คนอื่นๆในเวลาและทำนองเดียวกันนี้อีกหลายคน อยากทราบว่าการทำฮัจญ์ดังกล่าวใช้ได้ไหม ค่ะ

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม ..

 ขออภัยที่ตอบช้า ผมเพิ่งกลับจากสงขลาครับ

 หากแซะฮ์ที่รับทำหัจญ์แทนผู้ตายเป็นพี่หรือน้องผู้ตาย ผมก็จะตอบได้ด้วยความมั่นใจว่า ไม่น่าจะมีปัญหาครับ

 แต่ข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันก็คือ แซะฮ์ที่รับจ้างไปทำหัจญ์แทนผู้ตาย ไม่มีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้านสายเลือดกับผู้ตายเลย

ไม่เหมือนดังที่ปรากฏในหะดีษที่อนุญาตให้พี่หรือน้องทำหัจญ์แทนกันได้

 ด้วยเหตุนี้ แม้นักวิชาการบางมัษฮับจะมองว่า อนุญาตให้ญาติผู้ตาย "วะเกล" คือ มอบหมายให้ใครก็ได้ที่เคยทำหัจญ์ของตัวเองแล้วไปทำหัจญ์แทนผู้ตายได้

แต่ในมุมมองส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับทัศนะดังกล่าวนี้
 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "รูปแบบ" ที่เป็นอยู่จริงในปัจจุบัน
 เพราะมันไม่ใช่การ "วะเกล" ดังที่นักวิชาการในอดีตอนุญาต
แต่เป็นลักษณะการ "ว่าจ้างและรับจ้าง" ทำหัจญ์ - ซึ่งเป็นอิบาดะฮ์อย่างหนึ่ง - แทนกันเสียมากกว่า

 จึงเป็นเรื่องของธุรกิจที่แฝงเข้ามาในรูปแบบการทำหัจญ์แทนกัน

 นอกจากนั้น การที่แซะฮ์รับเงินค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างหลายต่อหลายรายในปีหนึ่งๆทั้งๆที่ตัวเองมีสิทธิ์ทำแทนได้แค่คนเดียว (ตามสมมุติฐานที่ว่าอนุญาตให้รับจ้างทำแทนกันได้)

ย่อมแสดงว่า รายอื่นๆที่เหลือ แซะฮ์จะนำไป "จ้าง" คนอื่นทำแทนต่อๆกันไป(ด้วยค่าจ้างที่ "ต่ำ" กว่าราคาจากที่รับมาจากญาติผู้ตายโดยแซะฮ์จะเบียดบังเงินค่าจ้างส่วนหนึ่งไว้เป็นกำไรของตน)

 ซึ่งหากจะมองว่าเป็นการวะเกลจากญาติผู้ตายให้แซะฮ์คนนั้นทำหัจญ์แทนญาติของตน
แต่แซะฮ์ก็ไปวะเกลคนอื่นทำแทนอีกต่อหนึ่ง
จึงกลายเป็น "วะเกลซ้อนวะเกล" ที่ไม่ปรากฏว่าจะญาติผู้ตายคนใดจะรับรู้หรือยินยอม
จึงเป็นเรื่องต้องห้ามตามหลักการวะเกล

สรุปแล้ว หากจะถามว่า การรับจ้างทำหัจญ์แทนกันลักษณะดังกล่าวนี้เศาะห์หรือไม่ ผมจึงขอตอบว่า ไม่ทราบ

 แต่บอกได้เพียงว่า เป็นการรับจ้างทำอิบาดะฮ์แทนกันโดยไม่เคยปรากฏหลักฐานหรือแบบอย่างมาจากหะดีษบทใดครับ

วัลลอฮุ อะอฺลัม ...


เวลาให้เริ่มการกล่าวตักบีรฺวันอีด


ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม

การกล่าวตักบีรฺวันอีด(อีดิลฟิตรี, อีดิลอัฎฮา) ให้เริ่มกล่าวตั้งแต่วันไหนค่ะ คือดิฉันได้ยินเขาพูดว่า ห้ามตักบีรฺหากไม่ใช่วันอีด เพราะจะทำให้คนตายในกุโบร์เข้าใจว่าเป็นวันอีด ค่ะ

ตอบ

เรื่องการกล่าวตักบีรฺในวันอีดทั้งสองนั้น
 หลักฐานที่เชื่อถือจากท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุอะอลัยฮิวะซัลลัม และจากบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านก็คือ พวกท่านจะกล่าวตักบีรฺในวันอีดทั้งสองตั้งแต่เริ่มออกจากบ้านจนถึงมุศ็อลลาหรือสถานที่ละหมาดอีด และเมื่อถึงมุศ็อลลาแล้ว บรรดาเศาะหาบะฮ์ก็ยังคงกล่าวตักบีรฺกันต่อไปจนเมื่ออิหม่ามมาถึง ..

 ส่วนการกล่าวตักบีรฺหลังละหมาด 5 เวลา เริ่มจากหลังละหมาดซุบฮ์วันอะรอฟะฮ์ จนถึงหลังละหมาดอัศรี่ของวันตัชรีกหรือวันที่ 13 เดือนซุลหิจญะฮ์ ไม่มีรายงานจากซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
แต่เป็นรายงานที่เชื่อถือได้จากการกระทำของท่านอลีย์ บินอบีฏฮลิบ ร.ฎ. ครับ! ..

 ส่วนคำพูดของชาวบ้านบางคนที่ว่า ห้ามกล่าวตักบีรฺในวันอื่นจากวันอีดเพราะกลัวผู้ตายในหลุมจะเข้าใจผิดว่าเป็นวันอีดนั้น

 แสดงว่า เมื่อก่อนเขากลัวคนตายหลอกคนเป็น แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่า คนตายกลัวถูกคนเป็นหลอกไปเสียแล้วหรือครับ ?? ...


วันอารอฟะห์เป็นวันที่ศาสนาสมบูรณ์



แท้จริงวันอารอฟะห์เป็นวันที่ศาสนาสมบูรณ์ และเป็นวันที่ความโปรดปรานนั้นครบถ้วน

วันอารอฟะห์เป็นวันที่ท่านนบีอดัม อะลัยฮิสลาม และท่านหญิงฮาวา ชายหญิงคนแรกของโลก ได้พบกันเป็นครั้งแรกบนพื้นแผ่นดินและพบกันในสถานที่แห่งนี้หลังจากที่อัลลอฮขับไล่ออกจากสวรรค์ อัลลอฮนำนบีอดัมลงมาไว้ ณ แผ่นดินอินเดีย ท่านหญิงฮาวาถูกไว้ ณ ญิดดะห์(เจดดาห์) ส่วนอิบลีส(หัวหน้าซาตาน) ถูกไว้ในอิรัค ในทุ่งอารอฟะฮ์

จะมีภูเขาชื่อ เราะห์มะฮ์ (ภูเขาแห่งความเมตตา) ซึ่งเป็นสถานที่นบีอดัมได้เจอกับ พระนางฮาวาด้วยเหตุนี้เอง สถานทีแห่งนี้จึงถูกเรียกว่า "อารอฟะฮ์" และวันที่ 9 เดือนซุลฮิจยะฮ์ถูกเรียกว่า "วันอารอฟะฮ์"

ช่วงเวลาที่อยู่ ณ ทุ่งอารอฟะฮ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความประเสริฐอย่างยิ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการตอบรับดุอา(คำขอพร)จากพระผู้ทรงเมตตาอย่างล้นพ้นต่อปวงบ่าว และเป็นวันที่อัลลอฮทรงประทับตราความสมบูรณ์ของศาสนาอิสลามอันเป็นศาสนาแห่งความเมตตาแด่มนุษยชาติ วันอารอฟะฮ์จึงเป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งของอิสลาม และเป็นวันที่มีคุณค่ามหาศาลสำหรับฮุจยาตในการประกอบพิธิฮัจย์และบรรดามุสลิม

การถือศีลอดในวันอารอฟะฮ์จะช่วยอภัยโทษบาปถึง 2 ปี นั้นก็คือปีที่ผ่านมาและปีที่กำลังจะมาถึงและเมื่อท่านนบีถูกถามถึงการถือศีลอดในวันอารอฟะฮ์ ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าว ความว่า “ลบล้างบาปในปีที่ผ่านมาและในปีที่จะมาถึง” (รายงานโดยมุสลิม)
การถือศีลอดในวันอารอฟะฮ์นั้นเป็นซุนนะห์(แบบอย่าง)ที่สมควรอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ได้ประกอบพิธีฮัจย์ และการขอพรในวันอารอฟะฮ์ก็เป็นวันหนึ่งที่ดีที่สุด ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวว่า “ดุอาที่ดีที่สุดคือ ดุอาแห่งวันอารอฟะฮ์

และวันอารอฟะฮ์เป็นวันหนึ่งของ 10 วันที่ประเสริฐในการปฏิบัติความดีของเดือนซุลฮิจยะห์ ท่านนบี(ซ.ล.)กล่าวไว้ความว่า “ไม่มีการปฎิบัติใดจะมีความบริสุทธิ์ (ประเสริฐ) ณ อัลลอฮ และมีผลบุญยิ่งใหญ่มากกว่าการปฏิบัติในสิบวันแรกของเดือนซุลฮิจยะฮ์” มีคนถามขึ้นมาว่า “แม้กระทั่งการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ (ก็ไม่สามารถเทียบเท่า) กระนั้นหรือ ?” ท่านรอซู้ลตอบว่า “แม้กระทั่งการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ (ก็ยังไม่เป็นที่ชอบของอัลลอฮฺเท่ากับการปฎิบัติอามัลที่ดีในสิบวันแรกนี้) เว้นแต่ผู้ที่ออกญิฮาดด้วยตัวเขาเองและทรัพย์สินของเขาแล้วไม่กลับมาพร้อมกับทรัพย์สินดังกล่าว”

(รายงานโดยดารีมีย์ ชัยคอัลบานียบอกว่าฮะซัน)

ดังนั้น ถือเป็นโอกาสที่ดีที่พี่น้องมุสลิมทุกคนจะใช้ช่วงเวลาตรงนี้ขอดุอาและถือศีลอดโดยหวังความโปรดปราณจากพระผู้เป็นเจ้า

จากท่านอุมัร บิน ค็อต็อบ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ

“มีชายคนหนึ่งจากเผ่ายิวได้กล่าวต่อหน้าท่านอุมัร บิน อัล-ค๊อฏฏ็อบว่า โอ้ อะมีรของบรรดามุอมิน มีอายะฮ์ที่พวกท่านได้อ่าน หากว่าอายะฮ์นี้ได้ประทานมาให้แก่พวกเราบรรดาชาวยิว พวกเราจะถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของพวกเรา

อุมัรถามว่า อายะฮ์อะไรที่คุณหมายถึง ชาวยิวท่านนั้นกล่าวว่า อายะฮ์ที่มีความหมายว่า

“วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้วซึ่งความกรุณาเมตตาของข้าและข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว”

ท่านอุมัรได้ตอบว่า พวกเรารู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นและสถานที่ที่ประทานอายะฮ์นั้น คือประทานลงมาในขณะที่ท่านเราะซูล ยืนอยู่ ณ ที่ทุ่งอะเราะฟะฮ์ในวันศุกร์ ในศอเฮี๊ยะห์ทั้งสอง(บุคคอรี,และมุสลิม )

เคาะฎีรเป็นนบีหรือเปล่า ?

นบีมูซากับนบีเคาะฎิร ***

เคาะฎีรเป็นนบีหรือเปล่า ?

อิบนุกะซีรกล่าวว่า : ความหมายของเรื่องนี้ได้บ่งชี้ถึงการเป็นนบีของเคาะฎีัรหลายประเด็นด้วยกันคือ
1. [แล้วทั้งสองได้พบบ่าวคนหนึ่งจากปวงบ่าวของเรา ที่เราได้ประทานความเมตตาจากเราให้แก่เขา และเราได้สอนความรู้จากเราให้แก่เขา]
(อัลกุรอาน 18 : 65)

2. [จะให้ฉันติดตามท่านไปได้ไหม โดยท่านจะต้องสอนฉันจากสิ่งที่ท่านเคยได้เรียนรู้มา ตามแนวทางที่เที่ยงตรง]
(อัลกุรอาน 18 : 66)

เคาะฎีรกล่าวว่า [แท้่จริง ท่านจะไม่สามารถมีความอดทนร่วมกับฉันได้]
(อัลกุรอาน 18 : 67)

หากว่าเคาะฎิรเป็นวะลีย์แต่ไม่ใช่นบีเขาก็คงไม่ตอบโต้สนทนากับมูซาได้เช่นนี้อย่างแน่นอน

3. แท้จริงเคาะฎิรได้สังหารเด็ก สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าสิ่งนั้นเป็นวะฮีย์จากอัลลอฮฺให้กับเขา ซึ่งตรงนี้คือหลักฐานยืนยันถึงการเป็นนบีอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน หากว่าเขาเป็นวะลีย์ซึ่งการฆ่าชีวิตไม่เป็นที่อนุญาตแก่เขาอย่างแน่นอน

4. [และฉันไม่ได้ทำสิ่งนั้นตามความพอใจของฉัน]
(อัลกุรอาน 18 : 82)

คึืองานคำสั่งฉันถูกใช้ให้ปฏิบัติ และถูกประทานวะฮีย์มายังฉัน

.....เคาะฎิรยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ?

มีบางคนให้ทัศนะว่า เคาะฎิรยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ โดยเขาอ้างว่า เคยพบอยู่ร่วมกับชาวซูฟีย์ (กลุ่มรักสันโดษ) ในทุกยุคทุกสมัย แต่ทว่าหลักฐานที่กล่าวอ้างถึงนี้ค้านกับอัลกุรอานที่ว่า [และเรไม่ได้ทำให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดก่อนพวกเจ้านั้นเป็นอมตะริรันดร์กาล] อีกโองการหนึ่งที่ว่า [และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺไ้ดทรงเอาข้อสัญญาแก่บรรดานบีว่า สิ่งที่ข้าได้ให้แก่พวกเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ก็ดี และความรู้เกี่ยวกับข้อปกิบัติในบัญญัติศาสนาก็ดี ภายหลังได้มีร่อซูล (ศาสนทูต) คนใดมายังพวกเจ้า ซ฿่งเป็นผู้ยืินยันในสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้าแล้ว แน่นอนพวกเจ้าจะต้องศรัทธาต่อเขา และช่วยเหลือเขา พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้ายอมรับและเอาข้อสัญญาของข้าดังกล่าวนั้นแล้วใช่ไหม พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ยอมรับแล้ว พระองค์ตรัีสว่า พวกเข้าจงเป็นพยานเถิด และข้าก็อยู่ในหมู่้ผุ้เป็นพยานร่วมกับพวกเจ้าด้วย]
(อัลกุรอาน 3 : 81)

อัลลอฮฺได้ทรงเอาข้อสัญญาแก่บรรดานบีทุึกท่านจะต้องศรัทะาต่อผู้ที่เป็นนบีหลังจากเขาและจะต้องช่วยเหลือเขา การศรัทธานี้ถือว่าจำเป็น ดังนั้นสัญญาข้อตกลงจึงมีขึ้นแก่มุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เพราะเหตุว่าเขาเป็นนบีท่านสุดท้าย แน่นอนถ้านบีัท่านหนึ่งท่านใดอยู่ร่วมสมัยกับนบีมุึฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แน่นอนเขาจะต้องศรัทธาและช่วยเหลือนบีมุฮัมหมัดด้วย และหากแม้ว่าเคาะฎิรยังมี ชีวิตอยูในยุคของมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ดังนั้นจำเป็น อย่างยิ่งที่เขาจะต้องออกมาแสดงตัวศรัทธาและให้การช่วยเหลือต่อนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อย่างเช่นในสงครามบะดัรเราก็ไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่นบีัเคาะฎิรออกมาช่วยเหลือนบีมุฮัมมัด นอกจากญิบรีลและบรรดามลาอิกะฮฺเท่านั้นเอง ดังมีฮะดิษของท่านร่อซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ไม่มีชีวิตหนึ่งชีวิตใด (มนุษย์) ในพื้นแผ่นดินที่จะมีชีวิตมากไปกว่าหนึ่งร้อยปี
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

(ตอนต่อไป....บัลอาม อิบนุ บาอูรออฺ,...กอรูน,...จุดจบของกอรูน)
....................................
(จากหนังสือ : เรื่องเล่ากุรอาน เล่ม 3)
Jiyah Abdulloh  โพสต์





วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

ราชินีบิลกิสกับสาส์นของท่านนบีสุไลมาน

โดย อ.บรรจง บินกาซัน

กษัตริย์โซโลมอนและชีบา(บิลกิส)เรื่องราวของบุคคลทั้งสองนี้ถูกกล่าวไว้ทั้งในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน

โซโลมอนหรือสุลัยมานเป็นลูกของนบีดาวูด เมื่อนบีดาวูดเสียชีวิตลง สุลัยมานได้ขึ้นมาสืบทอดอำนาจการปกครองต่อจากพ่อของเขา ดังนั้น สุลัยมานจึงเป็นทั้งกษัตริย์และนบีที่ทำหน้าที่ปกครองและเผยแผ่ศาสนา

คัมภีร์กุรอานกล่าวถึงนบีดาวูดและสุลัยมานว่าเป็นผู้ที่ได้รับความรู้พิเศษบางอย่างที่มนุษย์ธรรมดาไม่ได้รับ นบีดาวูดได้รับความรู้จากพระเจ้าในการนำเหล็กมาทำเป็นเสื้อเกราะและอาวุธ แต่พระเจ้าได้สอนนบีสุลัยมานให้รู้จักภาษานก สามารถควบคุมญินซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เร้นลับและถูกสร้างมาจากไฟ ญินอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์โดยที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นมัน แต่มันมองเห็นมนุษย์ นอกจากนี้แล้วพระเจ้ายังให้ลมทะเลพัดตามที่นบีสุลัยมานต้องการด้วย

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นบีสองพ่อลูกนี้จะทำให้อาณาจักรอิสราเอลเข้มแข็งและยิ่งใหญ่โดยเฉพาะในสมัยของนบีสุลัยมาน เมืองหลวงของอาณาจักรอิสราเอลในตอนนั้นยังคงเป็นเมืองเยรูซาเลม กองทัพของนบีสุลัยมานไม่เพียงแค่มีทหารที่เป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีไพร่พลที่เป็นนกและญินที่มีพลังความสามารถและเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเกินกว่ามนุษย์ด้วย

คัมภีร์กุรอานเล่าว่า ขณะที่นบีสุลัยมานปกครองอาณาจักรอิสราเอลอยู่นั้น ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอาหรับเป็นที่ตั้งของอาณาจักรที่มีอารยธรรมความเจริญอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ อาณาจักรสะบะอ์ หรือแผ่นดินที่เป็นประเทศเยเมนในปัจจุบัน อาณาจักรแห่งนี้มีความสมบูรณ์และเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ที่ได้รับน้ำจากเขื่อนใหญ่ที่ชื่อว่าเขื่อนมะอ์ริบ ซึ่งถือว่าเป็นเขื่อนเก่าแก่ที่ใหญ่ที่สุดของโลกและยังมีซากให้เห็นจนถึงปัจจุบัน

ผู้ปกครองอาณาจักรสะบะอ์เป็นราชินีผู้เลอโฉมมีชื่อตามคัมภีร์ไบเบิลว่า ชีบา แต่นักประวัติศาสตร์อาหรับเรียกราชินีคนนี้ว่า บิลกิส ราชินีและผู้คนในอาณาจักรสะบะอ์บูชาดวงอาทิตย์และเทวรูปต่างๆ แต่นบีสุลัยมานนับถือศาสนาที่เคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว

คัมภีร์กุรอานเล่าต่อไปอีกว่า วันหนึ่งนกหัวขวานที่เป็นไพร่พลในกองทัพของนบีสุลัยมานได้ออกบินไปลาดตระเวนทั่วแผ่นดินอาหรับและกลับมารายงานว่ามันได้พบอาณาจักรของราชินีบิลกิสผู้เลอโฉม แต่ราชินีและผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้เคารพกราบไหว้บูชาดวงอาทิตย์ นบีสุลัยมานจึงใช้ให้นกตัวนั้นนำจดหมายไปยังวังของราชินีแห่งสะบะอ์ สารดังกล่าวมีข้อความเชิญชวนราชินีบิลกิสให้เลิกเคารพบูชาดวงอาทิตย์และหันมาเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงองค์เดียว

เมื่อราชินีบิลกิสได้รับจดหมายจากนบีสุลัยมาน นางจึงเรียกประชุมขุนนางทันทีเพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกับจดหมายที่นบีสุลัยมานส่งมา

ขุนนางส่วนใหญ่มองว่าจดหมายดังกล่าวเป็นการท้าทายอาณาจักรสะบะอ์ที่มั่งคั่งเข้มแข็งที่สุดแล้วในเวลานั้น ทุกคนจึงพร้อมที่จะรบ แต่ราชินีผู้มีอำนาจสูงสุดได้ตัดสินใจว่านางจะไม่ใช้สงครามตัดสินปัญหา แต่นางเลือกที่จะส่งคณะตัวแทนไปยังอาณาจักรอิสราเอลของนบีสุลัยมาน โดยนำของขวัญที่มีค่าจำนวนมากไปด้วย วัตถุประสงค์ของนางก็เพื่อที่จะประเมินความมั่งคั่งและความเข้มแข็งทางทหารของอาณาจักรอิสราเอล

เมื่อคณะทูตของบิลกิสเข้ามาในเขตเมืองหลวงของอาณาจักรอิสราเอล ทุกคนต้องตกตะลึงต่อแสนยานุภาพทางทหารของนบีสุลัยมานที่มีทั้งคนและสัตว์ เช่น เสือ สิงโต และนก และเริ่มรู้ว่ากองทัพของอาณาจักรสะบะอ์ไม่สามารถเทียบได้กับกองทัพของนบีสุลัยมาน

คณะทูตได้นำของขวัญจากราชินีบิลกิสมามอบให้นบีสุลัยมาน นบีสุลัยมานได้กล่าวขอบคุณคณะทูต แต่ปฏิเสธที่จะรับของขวัญมีค่า นบีสุลัยมานกล่าวว่าพระเจ้าได้ให้ความมั่งคั่งแก่ท่านเกินพอแล้ว สิ่งที่ท่านต้องการก็คือ ขอให้ราชินีบิลกิสเลิกกราบไหว้บูชาดวงอาทิตย์และหันมาเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงองค์เดียว

เมื่อราชินีบิลกิสได้รับรายงานจากคณะทูต นางจึงตัดสินใจออกเดินทางไปพบนบีสุลัยมานด้วยตนเอง ขณะที่นางเริ่มออกเดินทาง นบีสุลัยมานรู้ข่าวความเคลื่อนไหวของนางแล้ว จึงเรียกขุนนางและนายทหารมาปรึกษา ญินตนหนึ่งในกองทัพเสนอว่ามันขออาสาไปเอาบัลลังก์ของราชินีบิลกิสมาให้ภายในพริบตา และยังไม่ทันที่คนอื่นจะเสนอความเห็น บัลลังก์ของราชินีบิลกิสซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเมืองเยรูซาเลมประมาณ 2,000 ไมล์ก็มาอยู่ต่อหน้านบีสุลัยมานแล้ว

เมื่อราชินีบิลกิสมาถึงอาณาจักรอิสรเอลและได้เข้าพบนบีสุลัยมาน นางต้องตกตะลึงที่ได้เห็นพื้นของท้องพระโรงที่ทำจากกระจกและนางคิดว่ามันเป็นน้ำจนถึงกับยกชายกะโปรงขึ้นเพราะกลัวว่าจะเปียก ยิ่งเมื่อเห็นบัลลังก์ของตนวางอยู่ข้างหน้าด้วยแล้ว นางจึงยอมสยบต่อนบีสุลัยมานและหันมาศรัทธาในพระเจ้าแทนดวงอาทิตย์

นี่คือภูมิหลังของการที่แผ่นดินเยเมนได้กลายมาเป็นประเทศที่ศรัทธาในพระเจ้ามาเนิ่นนาน

‪#‎ราชินีบิลกิสแห่งเมืองสะบะ‬ ในกุรอ่านกล่าวเอาไว้ดังนี้

[27:16] และสุลัยมานเป็นทายาทของดาวูด และเขากล่าวว่า มหาชนทั้งหลายเอ๋ย ! เราได้รับความรู้ในภาษาของนก และเราได้รับทุก ๆ สิ่ง แท้จริง นี่คือความโปรดปรานอันแท้จริงแน่นอน

[27:17] และไพร่พลของเขาที่เป็นญินมนุษย์และนก ได้ถูกให้มาชุนนุมต่อหน้าสุลัยมาน และพวกเขาถูกจัดให้เป็นระเบียบ

[27:18] จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มาถึงทุ่งที่มีมดมาก มดตัวหนึ่งได้พูดว่า โอ้พวกมดเอ๋ย! พวกเจ้าจงเข้าไปในรังของพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้า โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

[27:19] เขา (สุลัยมาน) ยิ้มแกมหัวเราะต่อคำพูดของมันและกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแกข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ และบิดามารดาของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์กระทำความดีเพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยมัน และทรงให้ข้าพระองค์เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์ ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ที่ดีทั้งหลาย

[27:20] และเขาได้ตรวจดูฝูงนกแล้วกล่าวขึ้นว่า ทำไมฉันจึงไม่เห็นฮุดฮุด แต่ว่ามันหายไปไหน

[27:21] แน่นอน ฉันจะลงโทษมันด้วยการลงโทษอย่างสาหัส หรือฉันจะฆ่ามันอย่างแน่นอนหรือให้มันนำหลักฐานอันชัดแจ้งมาให้ฉัน

[27:22] มันหายไปชั่วครู่ (แล้วกลับมา) มันได้กล่าวว่า ฉันได้ไปตรวจพบสิ่งที่ท่านไม่รู้ และฉันได้นำข่าวอันแน่นอนจากสะบะ มายังท่าน

[27:23] ฉันได้พบหญิงคนหนึ่ง ปกครองพวกเขา และนางมีทุกสิ่ง และนางมีบัลลังก์อันใหญ่โต

[27:24] และฉันได้พบนางและหมู่ชนของนางสักการะบูชาดวงอาทิตย์อื่นจากอัลลอฮ์ และมารร้ายชัยตอนได้ทำให้การงานของพวกเขาเป็นของดีงามแก่พวกเขา และได้กีดกันพวกเขาออกจากแนวทางที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง

[27:25] ทำไมพวกเขาไม่สุญูดต่ออัลลอฮ์ ผู้นำออกมาซึ่งสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้าปิดบัง และสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย

[27:26] อัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระเจ้าแห่งบัลลังก์อันยิ่งใหญ่

[27:27] เขากล่าวว่า เราจะคอยดูว่าเจ้าพูดจริงหรือเจ้าอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ

[27:28] เจ้าจงนำสารของฉันนี้และส่งมันให้พวกเขา แล้วถอยออกห่างจากพวกเขา ดังนั้นจงคอยดูว่าพวกเขาจะตอบกลับมาว่าอย่างไร ?

[27:29] (พระราชินี) ทรงกล่าวว่า โอ้หมู่บริพารทั้งหลายเอ๋ย ! แน่แท้สารอันมีเกียรติถูกนำมาให้ฉัน

[27:30] แท้จริงมันมาจากสุลัยมาน และแท้จริงมันเริ่มว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

[27:31] พวกท่านอย่าเย่อหยิ่งต่อฉัน และจงมาหาฉันอย่างนอบน้อม

[27:32] พระนางทรงกล่าวว่า โอ้หมู่บริหารทั้งหลายเอ๋ย ! จงให้ข้อชี้ขาดแก่ฉันในเรื่องของฉัน ฉันไม่อาจจะตัดสินใจในกิจการใด จนกว่าพวกท่านจะอยู่ร่วมด้วย

[27:33] พวกเขากล่าวว่า เราเป็นพวกที่มีพลังและเป็นพวกที่มีกำลังรบเข็มแข็ง สำหรับพระบัญชานั้นเป็นของพระนางดังนั้น พระนางได้โปรดตรึกตรองดูสิ่งใดที่พระนางจะทรงบัญชา

[27:34] พระนางทรงกล่าวว่า แท้จริงเหล่ากษัตริย์นั้น เมื่อเข้าไปในเมืองใดก็ทำลายมัน และทำให้บรรดาผู้มีอำนาจของเมืองนั้นเป็นผู้ต่ำต้อย และเช่นนั้นแหละพวกเขากระทำกัน

[27:35] และแท้จริงฉันจะส่งของกำนัลไปให้พวกเขา แล้วฉันจะเฝ้าคอยดูว่า ผู้ที่ถูกส่งไปนั้นจะกลับมาอย่างไร

[27:36] เมื่อพวกเขาได้เข้าพบสุลัยมานแล้ว เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า พวกท่านจะนำทรัพย์สินมากำนัลแก่เราหรือ ? สิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่ฉันนั้น ดียิ่งกว่าสิ่งที่พระองค์ประทานให้แก่พวกท่าน แต่พวกท่านดีใจต่อของกำนัลของพวกท่าน

[27:37] จงกลับไปยังพวกเขา เพราะแน่นอนเราจะนำไพร่พลไปยังพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่มีกำลังที่จะต่อต้านมันได้ และแน่นอน เราจะให้พวกเขาออกจากที่นั่นอย่างอัปยศ และพวกเขาจะเป็นผู้ต่ำต้อย

[27:38] เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า โอ้หมู่บริพารทั้งหลายเอ๋ย ! ผู้ใดในหมู่พวกท่านจะนำบัลลังก์ของนางมายังฉัน ก่อนที่พวกเขาจะมาหาฉันอย่างผู้นอบน้อม

[27:39] ผู้ปรีชาสามารถล้ำเลิศคนหนึ่งของพวกญินได้กล่าวว่า ฉันจะนำมันมาเสนอท่าน ก่อนที่ท่านจะลุกขึ้นจากที่นั่งของท่าน และแท้จริงฉันเป็นผู้มีพลังและไว้วางใจได้ในเรื่องนี้

[27:40] ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องคัมภีร์ กล่าวว่า ฉันจะนำมันมาเสนอท่านชั่วพริบตาเดียว เมื่อเขา (สุลัยมาน) เห็นมันวางมั่นคงอยู่ต่อหน้าเขา เขากล่าวว่า นี่เนื่องจากความโปรดปรานของพระเจ้าของฉัน เพื่อพระองค์จะได้ทรงทดสอบฉันว่าฉันกตัญญูหรือเนรคุณ และผู้ใดกตัญญูแท้จริงเขาก็กตัญญูต่อตัวเขาเอง และผู้ใดเนรคุณแท้จริงพระเจ้าของฉันนั้นเป็นผู้ทรงมั่งมี ผู้ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยิ่ง

[27:41] เขากล่าวว่า พวกท่านจงดัดแปลงบัลลังก์ของพระนาง เพื่อดูซิว่าพระนางจะจำมันได้หรือพระนางจะอยู่ในหมู่ผู้จำมันไม่ได้

[27:42] ครั้นเมื่อพระนางได้มาถึงก็ได้ทูลพระนางว่า บัลลังก์ของพระนางเหมือนอย่างนี้หรือ ? พระนางตรัสว่า มันคล้ายอย่างนี้แหละ และเราได้รับความรู้มาก่อนนาง และเราได้เป็นมุสลิมมาก่อนนาง

[27:43]
และการที่นางได้สักการะบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ ได้หันห่างนางออกไป แท้จริงนางอยู่ในหมู่ชนผู้ปฏิเสธ

[27:44] ได้มีเสียงกล่าวแก่นางว่า โปรดเข้าไปในวังเถิด ครั้นเมื่อนางเห็นมันนางคิดว่า มันเป็นสระที่เป็นห้วงน้ำ และนางได้เลิกหน้าแข็งของนาง เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า มันเป็นวังทำให้ราบเรียบด้วยกระจก นางได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน แท้จริงฉันได้อธรรมแก่ตัวฉันเอง และฉันขอนอบน้อมปฏิบัติตามสุลัยมาน เพื่ออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก





วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

เรารู้หรือไม่ว่า ?


.
.
.
.
- ชาวนรกส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่โอ้อวด
- คนที่ตระหนี่ที่สุดคือผู้ที่ตระหนี่ในการให้สลาม
- คนที่อัลลอฮฺรักมากที่สุด คือคนที่มีจรรยามารยาทที่งดงามที่สุด
- คนส่วนใหญ่ที่อิ่มหนำสำราญในโลกดุนยา จะเป็นผู้ที่อดอยากในวันอาคิเราะฮฺ
- การรักษาอะมานะฮฺนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ริสกีถูกเพิ่มพูน และการคิยานะฮฺ (ทำลาย) ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้คนเราถูกดิ่งลงไปสู่ความยากจน
- เราควรสร้างความผูกพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านก่อนสร้างบ้านตัวเอง เราก็จะได้เพื่อนที่ดีไปสู่หนทางที่ดี (สวรรค์)
- การบริจาค (เศาะดะเกาะฮฺ) อย่างเงียบ ๆ จะทำให้ตัวเรารอดพ้นจากความกริ้วโกรธของอัลลอฮฺได้
- ความอธรรมที่ได้ก่อไว้ จะนำไปสู่ความเสียใจในที่สุด
- การที่คนเราถูกทรมานในกุโบรฺ เหตุเพราะความอิจฉาริษยา โอ้อวด และพูดเท็จ
- อะมัลอิบาดะฮฺจะถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดส่วน และส่วนที่ดีที่สุดคือการหาในสิ่งที่หะลาล (อนุมัติ)
- ความร่ำรวยที่แท้จริงคือ ร่ำรวยที่หัวใจ
- โปรดจงพูดด้วยความจริง ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ตัวเราต้องช้ำใจก็ตาม
.
ข้อความดี ๆ โดย : اقوال اعجبتني••مما قرأت
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

ความกดดันอันสูงสุดของหัวใจ


.
.
.
คือการสู้รบแห่งความรู้สึกของคุณระหว่าง
- ความต้องการที่สูงส่งในการรับรู้ความจริง
- กับความกลัวบางอย่าง ที่พยายามหลีกเลี่ยงในการรับฟัง

.
ข้อความดี ๆ โดย : اقوال اعجبتني••مما قرأت
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

ความเจ็บปวดของนางมัรยัมที่กำลังตั้งท้องอยู่


.
ทำให้นางต้องครวญร้องออกมาว่า :
“โอ้ ! หากฉันได้ตายไปเสียก่อนหน้านี้ และฉันเป็นคนไร้ค่าที่ถูกลืมเสียก็จะดี” (ซูเราะฮฺ มัรยัม : 23)
ทั้ง ๆ ที่นางไม่รู้เลยว่า เด็กที่อยู่ในท้องของนางนั้นเป็นบุรุษที่ประเสริฐ (ท่านนบีอีซา อะลัยฮิสสะลาม)
ความเจ็บปวดที่คนเราได้แบกรับมาในแต่ละคนนั้น จะมีความดีงามที่เต็มไปด้วยความหอมหวานแห่งความประเสริฐ ที่ต้องมีให้เห็นในวันหน้า
ดังนั้น จงอดทนในการแบกรับกับความทุกข์ยากในวันนี้ เพราะเรากำลังแบกรับกับสิ่งที่ดีงามอยู่ที่จะต้องรับรู้ถึงคุณค่าของมันในสักวัน
.
ข้อความดี ๆ จากเฟสฯ : NY Love
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

อย่าได้ทำบทดุอาอฺให้เหมือนตัวยา


.
.
เป็นเพราะว่า คุณจะใช้มัน ก็ต่อเมื่อตัวคุณป่วยหรือเป็นไข้
แต่จงให้บทดุอาอฺเป็นเสมือนอากาศ ที่ตัวคุณต้องสูดดมอยู่ตลอดเวลา
โปรดจงขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าตัวคุณกำลังสุขใจหรือกำลังทนทุกข์อยู่ก็ตาม
.
ข้อความดี ๆ กล่าวโดย : أحمد الشقيري
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

ชีวิตนี้ได้สอนฉันว่า


ชีวิตนี้ได้สอนฉันว่า...
.
1. ใครที่ล่านกสองตัวในเวลาเดียวกัน เขาคนนั้นจะสูญเสียนกทั้งสองตัวนั้นไป
2. ใครที่ได้หนีออกไปจากงานการ แท้จริงแล้ว เขาได้หนีออกไปจากความสุขสบาย
3. อย่าได้เถียงกับคนที่โง่เขลา เพราะผู้คนที่เห็นอยู่อาจจะเข้าใจผิดในการแยกแยะว่าใครที่เป็นคนฉลาดหรือโง่
4. ใครที่เร่งรีบในการตอบปัญหา เขาคนนั้นอาจจะพลาดพลั้งจากความถูกต้อง
5. ความคิดที่อยู่ในใจคุณ จะเป็นของคุณ และคำพูดที่หลุดออกจากปากของคุณ จะเป็นของผู้คนที่นอกเหนือจากคุณ
6. ไม่จำเป็นที่คุณต้องพูดกับทุกอย่างที่คุณรู้ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นที่คุณต้องรู้กับทุกอย่างที่คุณพูด
7. คนที่หยิ่งยโสนั้น เปรียบเสมือนคนที่กำลังยืนอยู่บนยอดภูเขา ที่กำลังมองผู้คนที่อยู่ข้างล่างนั้นมีขนาดที่เล็กมาก แต่ก็อย่าลืมว่า ผู้คนที่อยู่ข้างล่างนั้นที่กำลังมองเขาอยู่นั้นก็มีขนาดที่เล็กมากเช่นกัน
8. ช่างเป็นสิ่งที่สวยงามมาก ที่คุณกำลังยิ้มอยู่ ในขณะที่ผู้คนนึกว่าคุณกำลังจะร้องไห้ออกมา
.
ข้อความดี ๆ จากเฟสฯ : محمود المسعودي
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ในสักวันหนึ่ง ฉันจะสอนลูก ๆ ของฉัน




ในสักวันหนึ่ง ฉันจะสอนลูก ๆ ของฉันว่า...
.
.
แท้จริงแล้ว
ศาสนา
ไม่ใช่เพียงแค่ละหมาด หรือว่าถือศีลอด
ไม่ใช่อยู่ที่การไว้เครา หรือว่าสวมใส่หิญาบ
ไม่ใช่อยู่ที่คำพูดที่สวยงาม ที่ถูกปราศรัยต่อหน้าผู้คน หรือในมัสยิด หรือทุกหนแห่ง
แต่ฉันจะสอนลูก ๆ ของฉันว่า แท้จริงแล้ว ศาสนานั้นคือชีวิต และศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ต้องมาใช้กับชีวิตของเราทุกห้วงเวลา
.
ข้อความดี ๆ กล่าวโดย : أحمد الشقيري
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ

ความเจ็บป่วยคืออะไร ? แท้จริงแล้ว มันคือ


.
อัลลอฮฺทรง...
- รักคุณ
- อภัยกับปวงบาปที่คุณได้สร้างมา
- ยกระดับคุณให้สูงส่งกว่าเดิม
- ต้องการความดีงามที่มีต่อตัวคุณ
- ตักเตือนคุณจากความลุ่มหลงต่อโลกดุนยา
- และให้คุณได้นึกถึงนิอฺมัตของพระองค์ที่มีต่อคุณ


อูลุล อัลบ๊าบ 

การขอดุอาในตะชะฮ์ฮุด



ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม
จากหะดิษ ...และจงอ่านศ่อละวาตแก่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และให้เขาขอดุอาตามที่เขาประสงค์" ดุอาอ์ที่เราประสงค์ ขอได้ทั้งสองตะชะฮุด หรือเฉพาะครั้งสุดท้ายค่ะ และดิฉัน
ไม่อาจขอดุอาอ์ตามที่ประสงค์ขณะนั้นเป็นภาษาอาหรับได้ ดิฉันจะขอเป็นภาษาที่ดิฉันพูดคือภาษาไทยได้ไหม และขอออกเสียงออกมาจนหูของเราได้ยินขณะอยู่ในละหมาดได้หรือไม่ค่ะ

ตอบ
 การขอดุอาในตะชะฮ์ฮุด สามารถขอได้ในทุกๆตะชะฮ์ฮุด ไม่ว่าตะชะฮ์ฮุดครั้งแรกหรือครั้งที่สอง
เพราะมีหะดีษที่ถูกต้องจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซััลัมกล่าวว่า
"เมื่อพวกท่านนั่ง(อ่านตะชะฮ์ฮุด)ในทุกๆ 2 ร็อกอะฮ์ ก็ให้เขากล่าวว่า อัตตะฮียาตุ ลิลลาฮ์ .......... หลังจากนั้น ให้เขาเลือกอ่านดุอาที่เขาชอบ (ที่เขาประสงค์)" บันทึกโดยท่านอัน-นซาอีย์, ท่านอะห์มัด, ท่านอัฎ-ฎ็อบรอนีย์ เป็นต้น

จากท่านอิบนุมัสอูด ร.ฎ... ข้อความของหะดีษที่ว่า
"ในทุกๆ 2 ร็อกอะฮ์"
ย่อมหมายถึงตะชะฮ์ฮุดครั้งแรกด้วยครับ
 ส่วนข้อความของหะดีษนี้ที่ว่
า "ให้เขาเลือกอ่านดุอาที่เขาชอบ"
ท่านอิหม่ามอะห์มัดอธิบายว่า หมายถึง
 "ให้เขาเลือกอ่านจากดุอาที่มีรายงานมา" ครับ
ซึ่งดุอาที่มีรายงานมาจากท่านนบีย์ให้เราเลือกอ่านหลังจากตะชะฮ์ฮุดนี้ มีประมาณ 10 บทครับ ...
วัลลอฮุ อะอฺลัม ..

โลกนี้เป็นแค่ความฝัน หลุมศพนั้นคือความจริง




สมบัติมากมายก่ายกองที่ท่านทุ่มเทมาทั้งชีวิต อดหลับอดนอน อาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อให้ได้มันมา มันไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ได้ในความฝัน เพราะเมื่อท่านตื่นขึ้นมาอีกครั้งในหลุมศพ ทุกอย่างกลับอัตรธานหายไป จดหมดสิ้น เหลื่อเพียงผ้าขาวสามชิ้นที่ห่อหุัมกาย พร้อมผลกรรมที่ทำไว้ ที่เป็นผลกรรมดีและชั่ว ที่ติดตัวมาเท่านั้น
รายงานจากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«يَتْبَعُ الْمَيِّتَ ثَلَاثَةٌ، فَيَرْجِعُ اثْنَانِ وَيَبْقَى مَعَهُ وَاحِدٌ، يَتْبَعُهُ أَهْلُهُ وَمَالُهُ وَعَمَلُهُ، فَيَرْجِعُ أَهْلُهُ وَمَالُهُ، وَيَبْقَى عَمَلُهُ» [البخاري برقم 6514، ومسلم برقم 2960]
ความว่า “สิ่งที่ตามผู้ตายไป(ที่หลุมศพ)นั้นมีสามสิ่ง สองสิ่งจะกลับมาและคงเหลือสิ่งเดียว(ที่อยู่กับผู้ตาย) ครอบครัว ทรัพย์สิน และการงาน(ที่ดีและชั่วที่เขาเคยปฏิบัติ)จะตามเขาไป แล้วครอบครัวและทรัพย์สินก็จะกลับมา เหลือเพียงการงาน(ที่อยู่กับเขาในหลุม)” (อัล-บุคอรีย์ เล่มที่ 4 หน้าที่ 194 หะดีษหมายเลข 6514 และมุสลิม เล่มที่ 4 หน้าที่ 2273 หะดีษหมายเลข 2960)

น้ำทะเลในมหาสมุทร มากมายมหาศาล หากเอานิ้วชี้จุ่มลงไป น้ำที่ติดมากับนิ้วยังไมถึงหนึ่งหยดเลย ฉันใดก็ฉันนั้น ทรัพย์สมบัติอันมากมายก่ายกองมันไม่ได้ติดตัวท่านไปเลย มีมีแค่ผ้าขาวสามชิ้นเท่านั้น
ท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า

«وَالله، ما الدُّنْيا فِي الآخِرَةِ إلَّا مِثْلُ مَا يَـجْعَلُ أَحَدُكُمْ إصْبَـعَهُ هَذِهِ (وأشارَ يَـحْيَى بالسَّبَّابَةِ) فِي اليَـمِّ فَلْيَنْظُرْ بمَ تَرْجِعْ؟

ความว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ โลกดุนยานี้เมื่อเทียบกับอาคิเราะฮฺแล้วมันไม่มีค่าอะไรเลยนอกจากอุปมาคนหนึ่งใดในกลุ่มพวกท่านเอานิ้วมือ(ท่านยะห์ยา-ผู้รายงานหะดีษชี้ไปที่นิ้วชี้)จุ่มลงในน้ำทะเลแล้วจงดูว่ามีอะไรติดอยู่บ้าง” (บันทึกโดยมุสลิม เล่มที่ 4 หน้า 1293 หมายเลข 2858)

ทำไม่ต้องฆ่ากันเพราะทรัพย์สิน ทำไมต้องทำลายและทำร้ายกัน เพราะทรัพย์สิน ทำไม่ต้องตัดญาตขาดมิตร เพราะทรัพย์สิน และเพราะทรัพย์สินทำไมต้องเอาคำสอนศาสนาทิ้งไว้ข้างหลัง
ทั้งๆที่การศรัทธาและการประกอบการดี คืออาหารทางวิญญานที่ชุบเลี้ยงชีวิตไปตลอดชั่วนิจนิรันคร์

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

แม้ว่าจะยืนอยู่คนเดียว




เป็นความรักที่ไม่มีตาอีกแล้วตลอดไป แบบนี้ใช่ไหมที่เรียกว่า รักกันจนวันตาย

ยายบอกว่า "ตอนนี้ตาได้ตายจากไปแล้ว ตาจากยายไปแล้ว ยายยังนอนตรงที่ตาเคยนอน"

แต่มีหลาย ๆ คนถามซาว่า

> ไม่เข้าไปกราบตาหรอ
> ทำไมไม่ไปต้อนรับแขกแล้วเอาธูปให้เขา
> ทำไมไม่ช่วยเสิร์ฟอาหาร
> ทานข้าวด้วยกันสิ ฯลฯ

ซาไม่ตอบเพราะเรารู้ว่าเราทำไม่ได้

เราไม่สามรถสูญูจใครได้นอกจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ไม่ว่าจะเป็นการทานหรือเอาอาหารที่ไม่ฮาลาลให้ใครๆทาน มันไม่ถูกหลัก แต่ใครจะรู้เราทำงานต่างๆที่เราสามรถทำได้ เรารู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง ใครจะรู้ว่าจริงๆแล้วเราหิวมากแต่เราไม่ทานอะไรเลยแม้แต่น้ำเพียงหยดเดียว ซาไม่กล้าจริงๆ นอกจากบอกว่า ทานจากบ้านมาแล้วคะอิ่มแล้ว

ทุกสายตามองซากับการแต่งกายที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ คนเดียวจริงๆทั้งหมู่บ้าน ต่างถามว่าเป็นลูกใคร ยิ่งวันนี้โดนด่า

"ตาอยู่ดูแลดีจริงๆ อันนี้ไม่ว่า แต่พอตาเสียไม่ค่อยช่วยงานเป็น พระเอกตายตอนจบ หน้าหมา"

อัซตัฒฟีรุลลอฮฺ

แต่สำหรับซาแล้วอย่างน้อย ซาได้ดาวะคนหลายๆ คนให้เข้าใจอิสลามเพราะแน่นอนคนต่างศาสนามักเข้าใจผิดในหลักการของอิสลาม รวมถึงแม่ด้วย ดีใจมากที่เราเข้าใจกันมากขึ้น แถมยังปกป้องซา นี่สินะที่เรียกว่าการยืนหยัด ถึงแม้ว่าเราะยืนอยู่คนเดียวก็ตาม ยิ่งเจอแบบนี้ยิ่งทำให้ซาเข้มแข็งและรักอัลลอฮฺ (ซ.บ.) มากขึ้น อัลฮัมดูลิ้ลละ

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

การอาบน้ำละหมาดขณะเปลือยกายในห้องน้ำ



ตอบโดย อ. ปราโมทย์ ศรีอุทัย

ถาม

อัสลามุอาลัยกุม ค่ะ อาจารย์
ดิฉันอยากทราบว่า หากมีการเปิดเอาเราะห์ขณะอาบน้ำละหมาด น้ำละหมาดนั้นใช้ได้ไหม? และหากกรณีที่เป็นห้องอาบน้ำมิดชิดจะได้ไหม?

ตอบ

วะอลัยกุมุสสลาม ..
 การเปิดเอาเราะฮ์หรืออีกนัยหนึ่ง การเปลือยกายอาบน้ำ
และ/หรือเปลือยกายอาบน้ำละหมาดใน "ห้องน้ำส่วนตัว" ที่บ้านตนเอง ไม่มีข้อห้ามครับ

ที่ห้ามก็คือ ห้ามมุสลิมะฮ์ไปเปิดเอาเราะฮ์เพื่ออาบน้ำในห้องน้ำสาธารณะหรือห้องน้ำบ้านผู้อื่นที่ไม่ใช่บ้านสามีของเราครับ

วัลลอฮุ อะอฺลัม ...

ขอให้ชีวิตของเรา จบลงด้วยดี



... ทุกครั้งที่หลับ เราอาจได้ตื่นขึ้นมามีชีวิต
... ยังมีโอกาส ทำสิ่งดีๆ เพื่ออัลเลาะฮฺซ.บ.
... และบางทีเราอาจตื่นขึ้นมา
... เพื่อตอบคำถามมลาอิกะฮฺ 2 ท่าน
... และหมดโอกาสใดๆ อย่างถาวร
..." เพียงเราพร้อมเสมอสำหรับความตาย ไม่ว่าจะมาถึงเราตอนไหน เราก็พร้อมจะไป "...
....." ความตายมาได้ทุกเมื่อ อย่าประมาทนะครับ จงเร่งทำสิ่งดีๆอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เร่งสำนึกผิดกลับตัวอย่าหาข้อแก้ตัวที่จะทำผิดต่อไป และเร่งสู่แนวทางที่ดีงาม หากจะตาย ขอให้ตายขณะเดินอยู่ในเส้นทางนี้ด้วยเทอญ อามีน ".....

Abdulloh Nhoorag


พ่อ แม่เป็นแบบอย่างที่ดีของลูก


เด็กที่เกิดมาทุกคนล้วนเป็นเด็กบริสุทธิ์ พ่อ แม่เป็นแบบอย่างที่ดีของลูก
ถ้าแบบอย่างไม่ดี ลูกจะเป็นคนดีได้อย่างไร?
หากนำดอกไม้ใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนที่จิตใจดีงาม
หากนำเอาความรักใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนที่เปี่ยมด้วยเมตตา
หากนำเหตุผลใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์
หากนำหนังสือใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นปัญญาชน
หากนำนิสัยแห่งการให้ใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนที่มีจิตสำนึกแห่งสาธารณะ
หากนำธรรมะใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนดี
หากนำสมบัติผู้ดีใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็น สุ ภาพชน
หากนำดนตรีใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนอารมณ์ดี
หากนำธรรมชาติใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนสงบ สุ ข
หากนำความก้าวร้าวใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นอันธพาล
หากนำความตามใจใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นจอมบงการ
หากนำเงินใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนมักง่าย
หากนำปืนใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นฆาตกร
หากนำวัตถุแพงๆใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนบ้าวัตถุ
หากนำความรักสบายใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนหยิบโหย่งอ่อนแอ
หากนำความไม่รับผิดชอบใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนที่สูญเสียสามัญสำนึก
หากนำความริษยาใส่มือเด็ก เขาจะเป็นคนที่ขาดความ สุ ขของชีวิต
หากนำแต่วิชาชีพใส่มือเด็ก เขาจะกลายเป็นคนสมองโตแต่ใจตีบ
คุณเอง...ในฐานะเป็นพ่อแม่ วันนี้คุณเอาอะไรใส่มือเด็กๆ ของคุณ

ว.วชิรเมธี

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

จงระวังผู้รู้ศาสนาที่หลงทาง

 โดย อามีน  ลอนา



عَنْ أَبِي تَمِيمٍ الْجَيْشَانِيِّ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا ذَرٍّ يَقُولُكُنْتُ مُخَاصِرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَوْمًا إِلَى مَنْزِلِهِ فَسَمِعْتُهُ يَقُولُ غَيْرُ الدَّجَّالِ أَخْوَفُ عَلَى أُمَّتِي مِنْ الدَّجَّالِ فَلَمَّا خَشِيتُ أَنْ يَدْخُلَ قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ أَيُّ شَيْءٍ أَخْوَفُ عَلَى أُمَّتِكَ مِنْ الدَّجَّالِ قَالَ الْأَئِمَّةَ الْمُضِلِّينَ“

รายงานจากอบูตะมีม อัลญัยชานีย์ กล่าวว่า ฉันได้ยิน อบูสัรรินกล่าวว่า ในวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เดินทางร่วมกับท่านเราะซูลโดยที่ข้าพเจ้าได้เดินคล้องมือของท่านเพื่อไปยังที่พำนักของท่าน ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินท่านนบีพูดว่า-นอกเหนือจากดัจญาลแล้ว[1]ยังมีสิ่งอื่นที่ฉันกลัวมากกว่าดัจญาลว่ามันจะประสบแก่ประชาชาติของฉันดังนั้นฉันจึงถามท่านว่า โอ้ท่านเราะซูลลุลเลาะฮฺสิ่งใดอีกเล่าที่ท่านกลัวว่าจะประสบแก่ประชาชาติของท่านยิ่งกว่าดัจญาล? ท่านก็ตอบว่า คือบรรดาอิมามผู้ที่ทำให้ผู้คนหลงผิด”(มุสนัดอิมามอะฮฺมัด, หมายเลข : 21297, อัลบานีย์รับรองหะดีษนี้ว่าเศาะฮีฮฺ ดู ศ.ญ., หมายเลข :4165 เช่นเดียวกับอิมามซุยูฏีย์ ดู อ.ญ., หมายเลข : 5782)[2]


[1]ดัจญาลคือคนผู้หนึ่งที่อันตรายมากสำหรับมุสลิมโดยทั่วไปเนื่องจากตัวเขาจะหลอกหลอนให้มุสลิมเกิดการหลงผิดในช่วงใกล้กิยามะฮฺ บรรดาสาวกต่างขอดุอาอ์ในการละหมาดเพื่อให้ตนเองหนีพ้นจากความวุ่นวายของดัจญาล แต่กระนั้นก็ตามหะดีษกลับบ่งชี้ว่าท่านนบีกังวลต่อสิ่งอื่นมากกว่าดัจญาลเสียอีก

[2]คำว่า “บรรดาอิมามผู้หลงผิด” หมายถึง ผู้ที่เรียกร้องเชิญชวนผู้คนไปสู่เรื่องบิดอะฮฺลุ่มหลงทั้งหลายในศาสนารวมถึงเรื่องชั่วร้ายและเลวทรามต่างๆ (ม.ม.,เล่ม 6 หน้า 401 หมายเลข : 2229) สาเหตุที่ทำให้ท่านนบี   กังวลถึงพิษภัยของอิมามแห่งความหลงผิดเหล่านี้มากกว่าดัจญาลก็เพราะว่าคนหลงผิดเช่นนี้แทบจะมีทุกยุคทุกสมัย ในขณะที่ดัจญาลสามารถสร้างความวุ่นวายเพียงเฉพาะก่อนวันสิ้นโลกเท่านั้น และในขณะที่ดัจญาลจะไม่สามารถล่อลวงบ่าวที่ศรัทธาต่ออัลเลาะฮฺได้แต่บรรดานักการศาสนาที่หลงผิดจะสามารถล่อลวงผู้ศรัทธาที่ขาดความรู้ได้อย่างง่ายดายเพราะคิดว่านั่นคือคำสอนทางศาสนา หะดีษบทนี้จึงเป็นสิ่งที่เตือนให้เราระมัดระวังบรรดาอิมามหรือผู้ที่เรียกร้องไปสู่บิดอะฮฺหลงผิดและความชั่วร้ายต่างๆ อันเป็นการเตือนให้บรรดามุสลิมทำการระวังถึงเหล่าอุละมาอ์หรือนักการศาสนาที่ชั่วร้ายเพราะคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ทรงพลังมากที่สุดในการเรียกร้องคนให้คล้อยตามเชื่อฟังพวกเขาจนกระทั่งล่วงล้ำสู่เรื่องบิดอะฮฺลุ่มหลง ฉะนั้นตามมันฮัจฺสะลัฟแล้วพวกเขาไม่เคยพิจารณาตื้นๆว่าหากเป็นอุละมาอ์หรือนักปราชญ์ทางด้านศาสนาที่สามารถท่องจำอัลกุรอานมากมาย ท่องจำหะดีษมากมายก็ถือว่าเขาเป็นผู้ทรงเกียรติของสังคมที่ไม่สามารถตำหนิได้ นี่คือความเห็นที่หลงผิดและสวนทางกับแนวทางสะลัฟ เนื่องจากชาวสะลัฟนั้นพวกเขาได้ทำการตำหนิประณามต่อบรรดาอุละมาอ์ชั่วที่เสี้ยมสอนคนให้ลุ่มหลงไปจากทางนำ อาทิ อัมรฺบินอุบัยดฺ คนผู้นี้คืออุละมาอ์ใหญ่ของสำนัก     มุอฺตะซิละฮฺที่มีความเคร่งครัดน่าเชื่อถือ อ่อนน้อมตลอดจนการปฏิบัติศาสนกิจที่มากมาย        แต่ทว่าความหลงผิดในเรื่องหลักศรัทธาของเขานั้นร้ายแรงมาจนถึงขนาดที่ชาวสะลัฟท่านหนึ่งคือท่านยูนุสบินอุบัยดฺต้องกล่าวว่า

فَقَالَ يُونُسُ: أَنْهَى عَنِ الزِّنَاءِ , وَالسَّرِقَةِ , وَشُرْبِ الْخَمْرِ , وَلَئِنْ تَلْقَى اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ بِهَذَا أَحَبُّ مِنْ أَنْ  تَلْقَاهُ بِرَأْيِ عَمْرِو بْنِ عُبَيْدٍ وَأَصْحَابِ عَمْرٍو ,                                                           “ข้าพเจ้าขอห้ามพวกท่านจากการผิดประเวณี การขโมย การดื่มสุราเมรัย อย่างไรก็ตามหากพวกท่านกลับไปพบพระองค์อัลเลาะฮฺ   ด้วยกับบาปเหล่านี้มันยังดีกว่าที่ท่านต้องกลับไปหาพระองค์อัลเลาะฮฺในสภาพที่พวกท่านมีหลักศรัทธาเยี่ยงนายอัมรฺบินอุบัยดฺและลูกสมุนของเขาที่ชื่อว่าอัมรูว์”(อ.อ.2, เล่ม 2 หน้า 466)

การเตือนประชาชนให้ออกห่างจากอันตรายของอิมามผู้หลงผิดจึงถือเป็นหน้าที่ตามแนวทางของชาวสะลัฟท่านอิมามติรมิสี้ย์ ปราชญ์หะดีษยุคสะลัฟบันทึกไว้ว่า

ولهذا كان شعبة يقول : (( تعالوا حتى نغتاب في الله ساعة )) . يعني نذكر الجرح والتعديلوذكر ابن المبارك رجلاً فقال : (( يكذب )) ، فقال له رجل : يا أبا عبد الرحمن (( تغتاب ! )) ، قال : (( اسكت ، إذ لم نبين كيف يعرف الحق من الباطل)). وكذا روي عن ابن عُلية أنه قال في الجرح : ((إِنَّ هَذَا أَمَانَةٌ لَيْسَ بِغِيبَةٍ))وقال أبو زرعة الدمشقي ((سَمِعْتُ أَبَا مُسْهِرٍ ، يُسْأَلُ عَنِ الرَّجُلِ يَغْلَطُ وَيَهِمُ وَيُصَحِّفُ ، فقال : " بَيِّنْ أَمْرَهُ ، فَقُلْتُ لأَبِي مُسْهِرٍ : أَتَرَى ذَلِكَ مِنَ الْغِيبَةِ ؟ ، قَالَ : لا ))وروى أحمد بن مروان المالكي ثنا عبد الله بن أحمد بن حنبل قال : جاء أبو تراب النخشبي إلى أبي ، فجعل أبي يقول : (( فلان ضعيف وفلان ثقة )) ، قال أبو أيوب : (( يا شيخ لا تغتب العلماء )) قال : فالتفت أبي إليه قال : (( ويحك ! هذا نصيحة ، ليس هذا غيبة)) .

“ท่านชุอฺบะฮฺ ปราชญ์สะลัฟกล่าวว่า พวกท่านจงมานินทาคนในหนทางของพระองค์อัลเลาะฮฺสักชั่วโมงเถิด – หมายถึงการที่พวกเรามาทำหน้าที่ญัรฮฺ(เตือนให้สังคมรู้จักพิษภัยของคนใดก็ตาม)และตะอ์ดีล(รับรองคนดีๆให้สังคมรู้จัก) และเมื่อท่านอิบนุลมุบาร็อกได้กล่าวถึงชายคนหนึ่ง ท่านก็กล่าวให้รู้ว่า ชายผู้นั้นคือจอมโกหก ชายคนหนึ่งได้กล่าวแก่ท่านอิบนุลมุบาร็อก (ปราชญ์หะดีษยุคสะลัฟ) ว่า โอ้อะบาอับดุรเราะฮฺมาน ท่านนินทาคนอยู่หรือ? ท่านอิบนุลมุบาร็อกตอบว่า หุบปากซะ! หากเราไม่สร้างความกระจ่าง แล้วสังคมจะรู้จักแยกแยะสัจธรรมออกจากความเท็จได้อย่างไร? ท่านอิบนุอุลัยยะฮฺกล่าวถึง การญัรฮฺ(การเตือนให้ระวังบุคคล)ว่า มันคือหน้าที่ ไม่ใช่การนินทา ท่านอะบามุซฮิร ถูกถามเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ในตัวของเขามีความสับสน มีความผิดพลาดบางอย่างและมีความเสียหายบางอย่างอยู่ ท่านอะบามุซฮิร กล่าวว่าจงสร้างความกระจ่างแก่สังคมให้รู้ถึงการงานของเขา ผู้ถามจึงถามว่า ท่านไม่ถือว่าเป็นการนินทาดอกหรือ? ท่านตอบว่าไม่!ท่านอับดุลเลาะฮฺซึ่งเป็นลูกชายของท่านอิมามอะฮฺมัดได้เล่าว่าครั้งหนึ่งอบูตุร้อบ อันนัคชะบีย์ ได้มาหาพ่อของฉัน ดังนั้นพ่อของฉันจึงเริ่มกล่าววิจารณ์คนว่า คนนี้เป็นคนอ่อน (เฎาะอีฟ) และคนนั้นเป็นคนที่เชื่อถือได้จากนั้น อบูอัยยูบ จึงได้กล่าวกับท่านอิมามอะฮฺมัดว่า โอ้ท่านชัยคฺ ท่านจงอย่าได้นินทาอุละมาอ์!’ ดังนั้นพ่อของฉันจึงได้หันไปหาเขาและกล่าวว่า หายนะจงมีแด่เจ้า! นี่คือการให้คำตักเตือนต่างหาก หาได้เป็นการนินทาไม่”  (ซ.อ.,เล่ม 1 หน้า 349)

เราขอถามว่าไหนเล่าความคิดเรื่องมารยาทแบบตื้นๆในหมู่ชาวสะลัฟตามที่พวกฮิซบีย์ในยุคปัจจุบันมักอ้างนักหนาเพื่อกีดกันการเปิดโปงพวกนอกคอกเล่า? กระไรกันเล่าชาวสะลัฟจึงไม่พูดจาเพ้อเจ้อเช่นบางกลุ่มในยุคปัจจุบันว่าอย่าไปโจมตีอุละมาอ์เลยเขาท่องจำอัลกุรอานมากมาย จำหะดีษมากมาย เขาทรงความรู้มากมาย?! ทั้งที่ชาวสะลัฟเคยเปรียบอัมรฺบินอุบัยดฺอุละมาอ์ผู้รู้หลักการศาสนาว่าต่ำช้ากว่าคนโฉดที่ผิดประเวณี! เช่นเดียวกับอุละมาอ์หลายท่านที่มีชีวิตในยุคสะลัฟแต่ทว่าได้เบี่ยงเบนออกไปจากแนวทางสะลัฟ คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกตำหนิจากชาวสะลัฟผู้ทรงธรรมทั้งสิ้น เช่น ท่านอับดุลเลาะฮฺอิบนุกุลลาบ และเหล่าสานุศิษย์ที่นิยมในตัวเขา เราพบว่าความผิดเพี้ยนในเรื่องหลักศรัทธาเกี่ยวกับอัลกุรอานของพวกเขาทำให้ปราชญ์สะลัฟผู้ทรงธรรมต้องทำการตัดขาดจากพวกเขา ครั้งหนึ่งท่านอิมามอิบนุคุซัยมะฮฺนักปราชญ์    ชาวสะลัฟผู้ทรงธรรมได้ถูกชายผู้หนึ่งนามว่าอบูอะลีย์ อัซซะเกาะฟีย์ ถามว่า

مَا الَّذِي أَنكرتَ أَيُّهَا الأُسْتَاذُ مِنْ مَذَاهِبِنَا حَتَّى نَرجِعَ عَنْهُ؟قَالَ: مَيلُكُم إِلَى مَذْهَبِ الكلاَّبيَّةِ، فَقَدْ كَانَ أَحْمَدُ بنُ حَنْبَلٍ مِنْ أَشَدِّ النَّاسِ عَلَى عَبْدِ اللهِ بنِ سَعِيْدِ بنِ كلاَّبٍ وَعَلَى أَصْحَابِهِ مِثْلِ الحَارِثِ وَغَيْرِهِ،“อะไรเล่าที่ทำให้ท่านปฏิเสธแนวทางของเรา โอ้ท่านครูเอ๋ย บอกเราเถิดเพื่อว่าเราจะได้ละทิ้งมัน(หากว่าผิด) อิมามอิบนุคุซัยมะฮฺตอบว่า ก็การที่ท่านได้เอียงไปกับแนวทางของอับดุลเลาะฮฺอิบนุ       กุลลาบนะสิ! ทั้งที่ท่านอิมามอะฮฺมัดนั้นเป็นหนึ่งในหมู่ผู้ที่มีท่าทีแข็งกร้าวต่ออับดุลเลาะฮฺอิบนุ    กุลลาบ รวมถึงพวกสานุศิษย์ของเขาเช่นนายอัลฮาริษและอื่นๆ” (ส.บ.,เล่ม 3 หน้า 3309) ท่านผู้อ่านรู้หรือไม่นายอัลฮาริษ อัลมุฮาซิบีย์ ที่อิมามอะฮฺมัดมีท่าทีแข็งกร้าวต่อเขานั้นท่านทำอย่างไร ท่านอิมามอิบนุฮะญัรได้รายงานมาว่า

وقال أبو القاسم النصر اباذي بلغني أن الحارث تكلم في شيء من الكلام فهجره أحمد بن حنبل فاختفي فلما مات لم يصل عليه إلا أربعة نفر وقال البردعي سئل أبو زرعة عن المحاسبي وكتبه فقال للسائل إِيَّاكَ وَهَذِهِالكُتُبَبِدَعٍ وضَلاَلاَتٍ

“อบูกอซิมได้รายงานมาว่า ได้มีการแจ้งข่าวมายังฉันว่า นายอัลฮาริษ ได้วิภาษบางสิ่งเกี่ยวกับสภาวะที่แท้จริงของคุณลักษณะการดำรัสของพระองค์อัลเลาะฮฺ ดังนั้นท่านอิมามอะฮฺมัดจึงตัดขาด(ออกห่าง)จากเขาไป จนกระทั่งเขาไม่สามารถปรากฏตัวต่อสาธารณะชน และเมื่อเขาตายลงก็ไม่มีใครไปละหมาดให้เขาเลยเว้นแต่คนสี่คนเท่านั้น ท่านอัลบุรดะอีย์กล่าวว่า เมื่อท่าน          อบูซุรอะฮฺ ปราชญ์หะดีษได้ถูกถามถึงสถานภาพของอัลฮาริษและตำราที่เขาเขียน ท่านก็ตอบแก่ผู้ถามว่า ท่านจงระวังตำรับตำราบิดอะฮฺและสารพัดความหลงทางของเขาไว้ให้ดี”(อ.น.,เล่ม 2 หน้า 135).

ท่านอิบนุตัยมียะฮฺกล่าวว่า

أما الحارث المحاسبى فكان ينتسب إلى قول ابن كلاب ولهذا أمر احمد بهجره وكان احمد يحذر عن ابن كلاب واتباعه ثم قيل عن الحارث انه رجع عن قوله

“สำหรับอัลฮาริษอัลมุฮาซิบีย์นั้น เขาได้ทำการอธิบายหลักการศาสนาโดยอิงความเห็นของอิบนุกุลลาบ และด้วยเหตุนี้เองที่ท่านอิมามอะฮฺมัดได้ออกคำสั่งให้ประชาชนออกห่างจากตัวเขาและ  อิมามอะฮฺมัดยังได้เตือนให้ระวังนายอิบนุกุลลาบและเหล่าสาวกของเขา และต่อมาก็ได้มีการกล่าวกันว่านายอัลฮาริษได้ถอนตัวจากทัศนะของอิบนุกุลลาบ”(อ.ต.,เล่ม 2 หน้า 6)

ที่กล่าวไปนี้เป็นตัวอย่างเพียงไม่กี่ตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีอันแข็งกร้าวของปราชญ์ชาวสะลัฟต่อพวกเบี่ยงเบน แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นปราชญ์ที่ท่องจำอัลกุรอานและอัลหะดีษมากเพียงใดก็ตาม เหล่าสะลัฟก็เรียกร้องให้ประชาชนบอยคอตหรือต่อต้านพวกเขาโดยไม่สนใจความรู้ทางศาสนาของพวกเขาอีก แล้วกระไรกันเล่าที่มีบางคนบางกลุ่มได้อ้างว่านักปราชญ์ที่หลงผิดในยุคสมัยของเรานั้นไม่สามารถทำการตำหนิเขาได้เพราะเขาจำอัลกุรอานมากกว่าเรา จำหะดีษมากกว่าเรา!, สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชาวสะละฟีย์ทั้งหลายก็คือพวกเราจงอย่าตำหนินักปราชญ์คนใดโดยพลการ หน้าที่ของเราก็คือการศึกษาหาความรู้ทางด้านศาสนาและเมื่อพบว่านักปราชญ์ผู้ยึดมั่นต่อแนวทางสะลัฟท่านใดได้เตือนประชาชนให้ระวังต่อบุคคลใดแล้วก็เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องถ่ายทอดและประชาสัมพันธ์คำเตือนของปวงปราชญ์เพื่อปกป้องสังคมต่อไป,

อย่างไรก็ตามคำถามที่หลงเหลืออยู่จากการศึกษาหะดีษบทนี้มีอยู่ว่า เมื่อ     อุละมาอ์ทุกคนบนโลกนี้สามารถหลงผิดได้แม้กระทั่งกับอุละมาอ์ที่เราชื่นชอบ คำถามก็คือประชาชนรู้แล้วหรือยังว่าอุละมาอ์ต้องเป็นอย่างไรถึงจะเรียกว่าหลง ? หากตอบว่าไม่รู้ คำถามต่อมาก็คือแล้วท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าปราชญ์ที่ท่านชื่นชมอยู่ในเวลานี้ พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่กำลังหลงทาง ? นี่คือคำตอบที่เยาวชนผู้คลั่งไคล้ต่ออาจารย์ของตนเองต้องตั้งคำถามแก่ชีวิตของเขา! จากปัญหาเหล่านี้แหละที่ข้าฯจึงมองว่าประชาชนจะไม่มีทางหลุดพ้นความหลงผิดเพราะการชี้นำของนักปราชญ์สามานย์ได้ดอกหากเขาไม่เรียนรู้ทำความรู้จักว่าอะไรคือความหลงผิดประเภทต่างๆที่ชาวสะลัฟได้เคยสั่งสอนให้ระวัง รวมถึงอะไรคือความหลงผิดของปราชญ์แต่ละคนในยุคปัจจุบันที่นักปราชญ์ต่างทำการตักเตือนและเปิดโปงพวกเขาไว้ นี่คือสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับเยาวชนมิใช่ปล่อยให้พวกเขาชื่นชม

ผู้รู้หลงผิดทั่วสารทิศอย่างไม่เลือกสรรแต่เมื่อมีคนเรียกร้องให้เขา
คำนึงถึงความหลงผิดของผู้รู้เหล่าสามานย์ชนกลับออกมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่าอย่าเอาความผิดของอุละมาอ์มาประจาน! คำพูดเช่นนี้มิใช่อื่นใดนอกจากการอำพรางความหลงผิดของผู้รู้เพื่อหวังให้ประชาชนคล้อยตามความหลงผิด