อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

คุณป้าป.4 พิสูจน์ "พระเจ้ามีจริง"




ที่ประเทศรัสเซีย ก่อนที่คอมมิวนิสต์จะล่มสลาย คอมมิวนิสต์ต่อต้านศาสนาและเรื่องพระเจ้า เป็นเรื่องปกติ
ครั้งหนึ่ง ผู้นำประเทศได้จัดปราศรัย เพื่อจะกล่อมความคิดของประชาชนไม่ให้เชื่อพระเจ้า โดยเชิญนักวิชาการมา 3 อาชีพ เพื่อจะเปลี่ยนความคิดของคนไม่ต้องการไม่รู้จักพระเจ้า
คนแรกที่ถูกเชิญมา คือ นักบินอวกาศ

นักบินอวกาศ ก็พูดขึ้นมาบอกว่า "พี่น้อง ประชาชนชาวรัสเซียทั้งหลาย ผมเป็นนักบินอวกาศ จักรวาลนี้ไม่มีพระเจ้าหรอก เพราะผมท่องอวกาศไปหลายสิบเที่ยวแล้ว ผมยังไม่เห็นพระเจ้าเลย"
"ผมไปดวงจันทร์ ดาวอังคาร ผมก็ยังไม่เห็นพระเจ้าเลย ถ้าพระเจ้ามีจริง ผมคงเห็นแล้ว ผมออกไปนอกโลกแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นสวรรค์กับนรกเลย เป็นความว่างเปล่า เพราะถ้ามันมี ผมจะต้องเห็น"
"ผมเป็นนักวิชาการ ถูกเลือกมาโดยประเทศ ให้ไปท่องอวกาศ ไปหลายสิบเที่ยวแล้ว พระเจ้าไม่มีหรอก หยุดความคิดนั้นเถอะ … "

ทุกคนเงียบ ไม่มีใครปรบมือให้

ต่อมา คนที่ 2 ขึ้นมา ผมเป็นหมอ
เรียนมา 6 ปี ได้ปริญญาตรี ผมมีความคิดความอ่าน โลกนี้ไม่มีพระเจ้า ผมเห็นด้วยกับนักบินอวกาศ มนุษย์เกิดมาจากสัตว์ วิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน ใช้ได้


มนุษย์ตายแล้วตายเลย มนุษย์ไม่มีจิตวิญญาณ ผมผ่าตัด ตั้งแต่กบ คางคก แมลงสาบ หนู ไปจนถึงมนุษย์
ผ่า มนุษย์มาหลายรายแล้ว บางคนผ่าแล้วก็รอด บางคนผ่าแล้วก็ตาย ศพก็เคยผ่า
บางคนผ่าตัดแล้วตาย ผมไม่เคยเห็นจิตวิญญาณเป็นอย่างไรเลย ไม่เคยเห็นจิตวิญญาณมาเดินผ่าน หรือมาล่องลอยเลย ผมไม่เคยเห็นเลย ตั้งแต่ผมเป็นแพทย์เป็นหมอ มนุษย์ไม่มีจิตวิญญาณหรอก ถ้ามีจิตวิญญาณ ผมคงเห็นแล้ว
ดั้งนั้น มนุษย์ไม่มีจิตวิญญาณ เรื่องพระเจ้าก็ไม่มี เพราะพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ หยุดความคิดที่จะเชื่อพระเจ้าเถิด...

พูดจบไม่มีใครปรบมือให้

คนที่ 3 ขึ้นมา เป็นนักวิทยาศาสตร์
ผมเห็นด้วยกับนักบินอวกาศ และแพทย์
ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ของรัสเซีย ผมเชี่ยวชาญการทดลองมาโดยตลอด สิ่งใดก็ตามที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการของวิทยาศาสตร์ หรือห้องทดลองวิทยาศาสตร์ แสดงว่าสิ่งนั้นไม่มีจริง มนุษย์อุปโลทขึ้นมาทั้งนั้น เรื่องพระเจ้าก็เหมือนกัน ไม่มีจริงหรอก

พอพูดจบทั้ง 3 คน ที่ประชุมเงียบ โฆษกก็ถามว่า มีใครอยากจะพูดบ้างไหม ?


มีป้าคนหนึ่ง จบ ป. 4 ขอขึ้นมาพูด ...
คุณป้าไม่เห็นด้วยเลย กับคนมีปัญญาทั้ง 3 คนนี้ คนมีความรู้ 3 คนนี้
คุณป้าของถามหน่อย ...
ขอเชิญนักบินอวกาศขึ้นมาบนเวที

บ้านป้า มีบ่อน้ำแห้งเหือดที่ไม่มีน้ำ อยู่ด้านหลังบ้าน มองลึกลงไปก้นบ่อ ลึก 10 เมตร ไม่มีน้ำ ปรากฏว่ามีกบตัวหนึ่งอยู่ในก้นบ่อ กบตัวนี้ เมื่อมองขึ้นมาทีไรก็เห็นแต่ท้องฟ้า ถูกไม่ถูก เพราะมันอยู่ก้นบ่อ มันมองขึ้นมาก็เห็นแต่ปากบ่อและท้องฟ้า มืดบ้าง สว่างบ้าง
กบมันก็พูดบอกว่า ฉันคิดว่า โลกนี้ ไม่มีบ้าน ไม่มีทะเล ไม่มีต้นไม้หรอก เพราะฉันมองเห็นทีไร ก็เห็นแต่ท้องฟ้า และนั่นคือความจริง
อยากจะถามนักบินอวกาศว่า กบคิดแบบนี้ถูกต้องมั้ย? เป็นความจริงมั้ย?

ไม่จริง .... เพราะว่ากบมองเห็นแค่จุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้เห็นภาพรวมทั้งหมด แล้วก็สรุปว่า โลกนี้ไม่มีทะเล ไม่มีต้นไม้

บางทีนักบินอวกาศก็เหมือนกบนั่นแหละ มองเห็นแค่จุดๆ เดียว แล้วบอกว่า ทั้งโลกนี้ ไม่มีพระเจ้า และพระเจ้าจะอยู่ตรงไหน บางทีเราก็โง่เหมือนกบ เรามองแค่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะว่าเราจำกัด เราเป็นมนุษย์ตัวเล็ก แต่จะพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
กบเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ แต่ไปพิสูจน์ว่าโลกนี้ไม่มี เพราะตัวเองมองไม่เห็น การที่มองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นไม่มีจริง




นักบินอวกาศคิดอย่างไร ?
จริงครับ ... เดินคอตก ลงเวทีไป

ป้า ป.4 ก็เรียนเชิญท่านที่ 2 ขึ้นมา คือ นายแพทย์
ขอเชิญขึ้นหมอขึ้นเวทีหน่อยซิ...
คุณหมอมีแม่มั้ย ?
มีซิครับ... ไม่อย่างนั้น ผมจะเกิดมาได้อย่างไร
แล้วคุณหมอ คิดว่า คุณแม่ของคุณหมอ รักคุณหมอมั้ย ?
รักซิครับ ...
เอาล่ะ ถ้าคุณหมอผ่าตัดร่างกายของคุณแม่ คุณหมอช่วยแยกแยะหน่อยซิค่ะ ว่าความรักของคุณแม่ที่มีต่อคุณหมอ มันอยู่ส่วนไหนของร่างกาย ช่วยหยิบมาให้ฉันดูหน่อย
โฮ...คุณป้า เสียสติป่าว หัวใจ ตับ ไตไส้พุง อวัยวะอื่น พอหาได้ แต่ความรักมันมี แต่มันหาไม่ได้ จะหยิบมาเป็นชิ้นเป็นก้อนไม่ได้

ก็นั้นไง ... สิ่งที่เรามองไม่เห็น สิ่งที่เราผ่าตัด เราพิสูจน์ไม่ได้ อย่าสรุปว่ามันไม่มีจริง ความรักมันมีจริง แต่คุณหมอหยิบขึ้นมาไม่ได้ ใช่มั้ย จากร่างกายของคุณแม่ ทั้งที่คุณแม่รักคุณหมอ
ฉันใดก็ฉันนั้น ความรักของพระเจ้า หรือพระเจ้าเอง เราไม่สามารถจับมาเป็นตัวเป็นตน เป็นก้อน เป็นกล่องได้ ดังนั้น อย่าสรุปมั้วๆ ว่า พระเจ้าไม่มี คุณหมอเห็นด้วยมั้ย
เห็นด้วยครับ ...


คุณหมอ เดินคอตก เดินจากเวทีไป

ป้า ป. 4 ก็เรียนเชิญ บุคคลที่ 3 นักวิทยาศาสตร์
ขอเชิญนักวิทยาศาสตร์ ผู้เก่งกล้าในการทดลองขึ้นมาบนเวที
คุณมีสมมติฐานบอกว่า สิ่งใดที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ด้วยหลักการหรือห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ สิ่งนั้นไม่มีจริงใช่มั้ย ?
ใช่ครับ ...
เอาล่ะ... คุณเก่งในการพิสูจน์น้ำใช่มั้ย ?
ใช่ครับ ...
คุณเคยเห็นคุณแม่ร้องไห้ตอนที่คุณเป็นเด็กๆ มั้ย ?
เคยครับ ...
บางครั้งคุณแม่เสียใจเพราะคุณประพฤติตัวไม่เหมาะสมใช่มั้ย ? พอตอนเราเป็นเด็ก บางครั้งเราดื้อ
ใช่ครับ ...
น้ำตาของคุณแม่ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
แน่นอน ประกอบด้วย น้ำ
น้ำ ประกอบด้วย H2 + O ไฮโดรเจน 2 ส่วน ออกซิเจน 1 ส่วน ผสมกัน เป็นน้ำ และคงประกอบด้วยเกลือด้วย เพราะน้ำตาคุณแม่มันเค็มๆ

แต่คุณป้าบอกว่า มันไม่เพียงเท่านั้น น้ำตาของคุณแม่ ประกอบด้วยน้ำ ประกอบด้วยเกลือ แต่มันมากกว่านั้น ประกอบด้วยความเสียใจ ประกอบด้วยความน้อยใจ ประกอบด้วยความเศร้าใจ ที่เจือปนออกมา แต่ไม่สามารถแยกสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยเครื่องและอุปกรณ์ที่ทำการทดลองในห้องแล็ป


จริงหรือไม่จริง นักวิทยาศาสตร์ ?
จริงครับ ...

ฉันใดก็ฉันนั้น ความรักของพระเจ้า หรือพระเจ้าเอง ไม่สามารถใช้อุปกรณ์ที่เล็กๆ ที่มนุษย์คิดขึ้นมา เพื่อจะมาแยกแยะ ให้ได้ไฮโดรเจน ออกซิเจน ถ้าคุณนักวิทยาศาสตร์ยังแยกไม่ได้เลย ว่าความเศร้าของคุณแม่อยู่ในส่วนไหนของน้ำตา แต่มันมีอยู่แน่นอน มันเจือปนออกมา
ถูกไม่ถูก ?
ใช่ครับ ...

นักวิทยาศาสตร์เดินลงจากเวที ด้วยอาการคอตก

ทั้งที่ประชุมปรบมือกันใหญ่
คุณป้า ป. 4 สามารถหักล้างทางตรรกะให้กับนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และนักบินอวกาศได้






เครดิต : ดาบแห่งอัลเลาะห์ อะคาเดมี่













วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

นบีเคาะฎีรมีชีวิตอยู่จริงหรือ?



มีโต๊ะครูสายฏอรีกัตท่านหนึ่ง ได้อ้างหลักฐานว่านบี เคาะฎีร (อ.) ยังคงมีชีวิตอยู่ โดยอ้างหลักฐานดังนี้
####และได้ยืนยันโดยอีหม่ามบัดรุดดีน อัลอัยนีย์ ใน ชาเราะห์ ศอเฮี้ยะห์ บุคอรีย์ ของท่านว่า :
ورآه عمر بن عبدالعزيز وإبراهيم ابن أدهم وبِشْرٌ الحافي ومعروف الكرخي وسري السقطي والجنيد وإبراهيم الخواص وغيرهم، رضي الله عنهم، وفيه دلائل و حجج تدل على حياته...
“ และมีผู้พบเห็นท่านนบีคิฎิร - อะลัยฮิสสลาม - หลายท่านด้วยกัน เช่น ( มีรายงานที่ศอเฮี้ยะห์จาก) ท่านอุมัร บิน อับดุลอะซีซ , ท่านอิบรอฮีม บิน อัดฮัม , ท่านบิชร์ อัลฮาฟีย์ , ท่านมะรูฟ อัลกัรคีย์ , ท่านซิรรีย์ อัสสะกอฏีย์ , ท่านญุนัยด์ , ท่านอิบรอฮีม อัลคอวาศ และท่านอื่นๆ อีกหลายท่าน - รอฎิยัลลอฮุอันฮุม - และดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ถึงการมีชีวิตอยู่ของท่าน ”
[ หนังสือ อุมดะตุลกอรีย์ ชัรห์ ศอเฮี้ยะห์ อัลบุคอรีย์ เล่มที่ 13 หน้า 38 ]###
..............
ขอชี้แจงแบบไม่หมกเม็ดว่า
ความจริง ในตำราเล่มนี้กล่าวต่อไปอีก แต่ท่านครูผู้นี้ นี้ไม่เอามานำเสนอคือ ชัยค์บัดรุดดีน อัลอัยนีย์ ได้กล่าวต่อจากนั้นว่า
وَقَالَ الْبُخَارِيُّ وَإِبْرَاهِيمُ الْحَرْبِيُّ وَابْنُ الْجَوْزِيِّ وَأَبُو الْحُسَيْنِ الْمُنَادِي: إِنَّهُ مَاتَ وَاحْتَجُّوا بِقَوْلِهِ تَعَالَى: وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْد
และอัลบุคอรี ,อิบรอฮีมอัลหัรบีย์,อิบนุเญาซีย์ และอบูลหุซัยนฺ อัลมุนาดีย์ ได้กล่าวว่า "แท้จริงเขา(นบีเคาะฎีร)ได้เสียชีวิตแล้ว และพวกเขาอ้างหลักฐาน ด้วยคำตรัสของอัลลอฮตาอาลาที่ว่า "และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน" - หนังสือ อุมดะตุลกอรีย์ ชัรห์ ศอเฮี้ยะห์ อัลบุคอรีย์ เล่มที่ 13 หน้า 38
และเรื่องนี้อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ได้ยืนยันเช่นกันคือ
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)
. وَسُئِلَ " الْبُخَارِيُّ " عَنْ الْخَضِرِ وَإِلْيَاسَ : هَلْ هُمَا فِي الْأَحْيَاءِ ؟ فَقَالَ : كَيْفَ يَكُونُ هَذَا وَقَدْ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ { لَا يَبْقَى عَلَى رَأْسِ مِائَةِ سَنَةٍ مِمَّنْ هُوَ عَلَى وَجْهِ الْأَرْضِ أَحَدٌ } " ؟ وَقَالَ أَبُو الْفَرَجِ ابْنُ الْجَوْزِيِّ : قَوْله تَعَالَى { وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ } وَلَيْسَ هُمَا فِي الْأَحْيَاءِ وَاَللَّهُ أَعْلَمُ .
อิหม่ามบุคอรี ถูกถามเกี่ยวกับ อัลเคาะฎีร และอิลยาส ว่าทั้งสองมีชีวิตอยู่หรือไม่? เขากล่าวว่า “มันจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร และแท้จริง นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ช่วงปลายของหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ จะไม่มีคนใดมีชีวิตอยู่ จากผู้ที่อยู่บนหน้าแผ่นดิน (ในขณะนี้) ) และอบู อัลฟัรญิ อิบนุอัลเญาซีย์ กล่าวว่า คำตรัสอัลลอฮตะอาลาที่ว่า (และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน ) และ เขาทั้งสอง(หมายถึงนบีเคาะฎีรและนบีอิลยาส) ใม่ได้มีชีวิตอยู่ –วัลลฮุอะลัม – มัจญมัวฟะตาว่า เล่ม 4 หน้า 337
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
والصواب الذي عليه المحققون أنه لم يدرك الإسلام ولو كان موجوداً في زمن النبي لوجب عليه أن يؤمن به ويجاهد معه كما أوجب الله ذلك عليه وعلى غيره
และทัศนะที่ถูกต้อง ที่บรรดานักวิชาการที่ได้รับการรับรอง ได้มีทัศนะบนมัน แท้จริง เขา(นบีเคาะฎีร) ไม่ได้พบอิสลาม(หมายถึงอิสลามที่นบีมุหัมหมัดนำมา) ถ้าเขามีชีวิต อยู่ในสมัยนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แน่นอนวาญิบเหนือเขาจะต้องศรัทธาต่อ นบี และร่วมทำการต่อสู้พร้อมกับนบี ดังที่อัลลอฮได้กำหนดให้เป็นวาญิบแก่เขา และผู้อื่น(หมายถึงนบีอื่นๆหากเขามีชีวิตอยู่จริง) – มัจญมัวฟะตาว่า เล่ม 27หน้า 100- 101
กล่าวคือ ถ้านบีเคาะฎีร มีชีวิตอยู่จริง ทำไมเขาไม่มาปฏิบัติตามชะรีอัตนบีและร่วมทำสงครามศาสนากับท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
อิหม่ามอัชชันกิฏีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า
أن الخضر لو كان حيّاً إلى زمن النبي صلى الله عليه وآله وسلم لكان من أتباعه ، ولنصره وقاتل معه لأنه مبعوث إلى جميع الثقلين الإنس والجن …
แท้จริงอัลเคาะฎีร หากเขามีชีวิตอยู่ จนถึงสมัยนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แน่นอน เขาเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่ปฏิบัติตามนบี และช่วยเหลือท่านนบี และร่วมทำสงคราม พร้อมกับท่านนบี เพราะ แท้จริง นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถูกแต่งตั้ง ไปยังบรรดา มนุษย์และญิน – ดูตัฟสีร อัฎวาอุลบะยาน เล่ม 4 หน้า 183
@@@@
แล้วสมัยนบี มุหัมหมัด ศอ็ลฯ หากนบีเคาฎีร อะลัยฮิสสลาม มีชีวิตอยู่จริง เขาอยู่ใหนหรือ ทำไมไม่ปรากฏกายร่วมทำสงครามปกป้องศาสนาร่วมกับบรรดามุสลิม
อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ أَفَإِنْ مِتَّ فَهُمُ الْخَالِدُونَ ( 34 )
และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน หากเจ้าตายไปพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ยงคงต่อไปกระนั้นหรือ- อัลอัมบิยาอฺ/34
อิบนุกะษีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) อธิบายว่า
وَقَدِ اسْتَدَلَّ بِهَذِهِ الْآيَةِ الْكَرِيمَةِ مَنْ ذَهَبَ مِنَ الْعُلَمَاءِ إِلَى أَنَّ الْخَضِرَ ، عَلَيْهِ السَّلَامُ ، مَاتَ وَلَيْسَ بِحَيٍّ إِلَى الْآنِ; لِأَنَّهُ بَشَرٌ ، سَوَاءٌ كَانَ وَلِيًّا أَوْ نِبِيًّا أَوْ رَسُولًا وَقَدْ قَالَ تَعَالَى : ( وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ )
บรรดานักวิชาการ(อุลามาอฺ)ที่มีทัศนะว่า แท้จริงอัลเคาะฎีร อะลัยฮิสสลาม ได้เสียชีวิตแล้ว ได้อ้างหลักฐานจากอายะฮอันทรงเกียรตินี้ และเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน เพราะแท้จริง เขาคือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ไม่ว่า เขาจะเป็น วะลี หรือ เป็นนบี หรือเป็นรอซูล ก็ตาม และแท้จริง อัลลอฮ ตะอาลา ตรัสว่า (และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน) – ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 5 หน้า 342
อิบนุกะษีร(ร.ฮ) ได้กล่าวว่า
وَأَمَّا الَّذِينَ ذَهَبُوا إِلَى أَنَّهُ قَدْ مَاتَ ، وَمِنْهُمُ الْبُخَارِيُّ ، وَإِبْرَاهِيمُ الْحَرْبِيُّ ، وَأَبُو الْحُسَيْنِ ابْنُ الْمُنَادِي ، وَالشَّيْخُ أَبُو الْفَرَجِ بْنُ الْجَوْزِيِّ ، وَقَدِ انْتَصَرَ لِذَلِكَ وَأَلَّفَ فِيهِ كِتَابًا سَمَّاهُ : " عُجَالَةَ الْمُنْتَظَرِ فِي شَرْحِ حَالَةِ الْخَضِرِ " فَيَحْتَجُّ لَهُمْ بِأَشْيَاءَ كَثِيرَةٍ; مِنْهَا ، قَوْلُهُ تَعَالَى : وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ [ الْأَنْبِيَاءِ : 34 ] . فَالْخَضِرُ ، إِنْ كَانَ بَشَرًا ، فَقَدْ دَخَلَ فِي هَذَا الْعُمُومِ لَا مَحَالَةَ ، وَلَا يَجُوزُ تَخْصِيصُهُ مِنْهُ إِلَّا بِدَلِيلٍ صَحِيحٍ ،
สำหรับ บรรดาผู้ที่ มีทัศนะว่า แท้จริงเขา(เคาะฎีร) เสียชีวิตแล้ว และส่วนหนึ่งจากพวกเขาคือ อัลบุคอรี , อิบรอฮีม อัลหัรบีย์ ,อบูหุสัยนฺ บิน อัลมะนาดีย์ และเช็คอบูลฟัรญิ บิน อัลเญาซีย์ และเขาได้สนับสนุนทัศนะดังกล่าว และได้เรียบเรียงหนังสือ ชื่อว่า “ อิญาละฮอันมุนตะซอรฺ ฟี ฃัร ฮิ หาละติลเคาะฎิรฺ แล้วเขาได้อ้างหลักฐานแก่พวกเขาหลายสิ่งมากมาย ส่วนหนึ่งจากมันคือ คำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า “และเรามิได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้าอยู่ยั่งยืนนาน” –อัลอัมบิยาอฺ /34 ดังนั้น หากอัลเคาะฎีร เป็นมนุษย์ เขาก็เข้าอยู่ในความหมายโดยรวมนี้ (ความหมายกว้างๆของอายะฮนี้) อย่างไม่ต้องสงสัย และไม่อนุญาตให้เจาะจงเขาจากมัน นอกจากด้วยหลักฐานที่ถูกต้อง(เศาะเฮียะ) – ดู อัลบิดายะฮ วัลนิฮายะฮ เล่ม 1 หน้า 336
........
ณ ตอนนี้ไม่มีหะดิษเศาะเฮียะสักบทที่ยืนยันการมีชีวิตอยู่ของท่านนบีเคาะฎีร มีแต่ความเห็น ที่กลุ่มฏอรีกัตเอามาเป็นหลักฐาน
จากอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา เล่าว่า:
صَلَّى بِنَا النَّبِىُّ - صلى الله عليه وسلم - الْعِشَاءَ فِى آخِرِ حَيَاتِهِ ، فَلَمَّا سَلَّمَ قَامَ فَقَالَ ; أَرَأَيْتَكُمْ لَيْلَتَكُمْ هَذِهِ ، فَإِنَّ رَأْسَ مِائَةِ سَنَةٍ مِنْهَا لاَ يَبْقَى مِمَّنْ هُوَ عَلَى ظَهْرِ الأَرْضِ أَحَدٌ; . متفق عليه
ความว่า : “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้นำพวกเราละหมาดอิชาอฺในช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน และหลังจากท่านให้สลาม ท่านก็ได้ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “พวกท่านสังเกตุดูคืนนี้ของพวกท่านหรือเปล่า ? เพราะเมื่อครบหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ไป คงไม่มีผู้ใดที่อยู่บนโลกในวันนี้หลงเหลืออีกแล้ว” [มุตตะฟัก อะลัยฮฺ บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ตามสำนวนนี้ หมายเลข 116 และมุสลิม หมายเลข 2537]
@@@@@
คำว่า “เพราะเมื่อครบหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ไป คงไม่มีผู้ใดที่อยู่บนโลกในวันนี้หลงเหลืออีกแล้ว”
ข้างต้นเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า นบี เคาะฎีร อะลัยฮิสสลาม ก็เสียชีวิตแล้ว เพราะถ้าสมมุติว่า นบี เคาะฎีร อะลัยฮิสสลาม” มีชีวิตอยู่ในสมัยนบีมุหมัด ก็คงไม่หลงเหลือให้มีชีวิตอยู่เช่นกัน เพราะเวลาผ่านมาแล้ว หนึ่งพันสี่ร้อยกว่าปี

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

7/9/60




วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

ใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์ทำซินา


ชี้แจงโดย อาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้

หลังจากท่านนบีเสียชีวิตแล้วท่านหญิงอาอิชะห์พาชายแปลกหน้าวนเวียนเข้าห้องนอนจริงหรือ
มีพี่น้องส่งข้อความมาให้ชี้แจงกรณีที่เหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสอง กล่าวหาใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์ ภรรยาของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และกล่าวหาใส่ร้ายผู้รายงานและผู้บันทึกฮะดีษเช่น อิมหม่ามมุสลิม, อบีดาวู๊ด และอิหม่ามอะห์หมัด
เราขอประณามชีอะห์อิหม่ามสิบสองผู้เป็นเทือกเถาเหล่ากอของอับดุลลอฮ์ อิบนิ อุบัย อิบนิ ซะลูล มุนาฟิกีนในยุคต้น ที่เคยใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์ว่าคบชู้สู่ชายจนเป็นเหตุที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงประทานอัลกุรอานลงมายืนยันความบริสุทธิ์ของนางดังนี้
إنَّ الَّذِيْنَ جَاءُوا بِالإفْكِ عُصْبَةٌ مِنْكُمْ لاَ تَحْسَبُوْهُ شَرًّا لَّكُمْ َبلْ هُوَ خَيْرٌ لَّكُمْ لِكُلِّ امْرِئٍ مِّنْهُمْ مَا اكْتَسَبَ مِنَ اللإثْمِ وَالَّذِي تَوَلَّى كِيْرَهُ مِنْهُمْ لَهُ عَذَابٌ عَظِيْمٌ
“แท้จริงบรรดาผู้ซึ่งนำข่าวเท็จมานั้นคือ คนกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า พวกเจ้าอย่าได้คิดว่ามันเป็นความเลวร้ายแก่พวกเจ้า แต่มันเป็นความดีสำหรับพวกเจ้า สำหรับทุกๆคนในหมู่พวกเขานั้นคือสิ่งที่ได้ขวนขวายไว้จากการทำบาป ส่วนผู้ซึ่งเป็นหัวหอกในเรื่องนี้ในหมู่พวกเขานั้น สำหรับเขาคือการลงโทษมหันต์” ซูเราะห์อันนูร อายะห์ที่ 11
ปัจจุบันเหล่ามุนาฟิกีนยังไม่หมดไปจากแผ่นดิน เห็นได้จากเทือกเถาเหล่ากอของพวกเขายังคงสืบสานพฤติกรรมเลวๆของบรรพบุรุษของพวกเขาในอดีต ด้วยการใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์ว่าพาชายแปลกหน้าวนเวียนเข้าห้องของตนเองและยินยอมให้พักค้างจนรุ่งเช้าตื่นขึ้นมาในสภาพที่มีญุนุบ
พวกเขาได้อ้างคำรายงานจากตำราบันทึกฮะดีษศอเฮียะห์ของชาวซุนนะห์ เช่น ศอเฮียะห์มุสลิม , สุนันอบีดาวู๊ด และมุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด เป็นต้น
เราเคยชี้แจงบ่อยครั้งว่า การที่เหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองนำเอาฮะดีษจากตำราของชาวซุนนะห์มาแอบอ้างนั้น หาใช่ว่าพวกเขาจะยึดถือตำราในตำราดังกล่าว แต่พวกเขาเพียงหยิบเอามาแสดงเพื่อสร้างความสงสัยให้แก่บรรดามุสลิมที่ไม่ทราบที่มาที่ไป ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังใช้วิธีการตัดตอนตัวบทฮะดีษ และแปลบิดเบือนความหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างที่พวกเขาต้องการ นอกจากนี้แล้วพวกเขาก็ไม่ได้นำเอาคำอธิบายทางวิชาการของชาวซุนนะห์มาแสดงด้วย เหล่านี้คือการทุจริตบิดเบือนที่เป็นความช่ำชองของพวกเขาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พวกเขาใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์โดยกล่าวว่า
1. ศอเฮียะมุสลิม บันทึกไว้ว่า “อับดุลอฮ์ บิน ซิฮาบ อัลเคาลานี” คือคนหนึ่งที่เข้าไปนอนในห้องของ อาอิชะห์แล้วตื่นขึ้นมาในสภาพของคนมีญุนุบและเสื้อผ้าเปื้อนอสุจิ
و حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ جَوَّاسٍ الْحَنَفِيُّ أَبُو عَاصِمٍ حَدَّثَنَا أَبُو الْأَحْوَصِ عَنْ شَبِيبِ بْنِ غَرْقَدَةَ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ شِهَابٍ الْخَوْلَانِيِّ قَالَ كُنْتُ نَازِلًا عَلَى عَائِشَةَ فَاحْتَلَمْتُ فِي ثَوْبَيَّ فَغَمَسْتُهُمَا فِي الْمَاءِ صحيح مسلم ج1 ص 239 ح290 كِتَابُ الطَّهَارَةِ بَاب حُكْمِ المَنِيِّ
ข้างต้นนี้คือตัวบทฮะดีษจากศอเฮียะห์มุสลิมที่ชีอะห์ตัดทอนมาแสดง ต้องกล่าวย้ำว่าพวกเขาตัดทอนนำมาแสดง และนอกจากจะตัดทอนตัวบทฮะดีษนำมาแสดงแล้ว พวกเขายังไม่แปลข้อความที่นำมาแสดงอีกด้วย เพียงแต่จั่วหัวเรื่องให้ผู้คนเข้าใจผิดจากตัวบทฮะดีษ แล้วก็ทึกทักว่ามีอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์เอง ช่างเป็นวิธีการที่สกปรกสิ้นดี ฮะดีษบทดังกล่าวมีข้อความเต็มดังนี้
و حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ جَوَّاسٍ الْحَنَفِيُّ أَبُو عَاصِمٍ حَدَّثَنَا أَبُو الْأَحْوَصِ عَنْ شَبِيبِ بْنِ غَرْقَدَةَ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ شِهَابٍ الْخَوْلَانِيِّ قَالَ كُنْتُ نَازِلًا عَلَى عَائِشَةَ فَاحْتَلَمْتُ فِي ثَوْبَيَّ فَغَمَسْتُهُمَا فِي الْمَاءِ فَرَأَتْنِي جَارِيَةٌ لِعَائِشَةَ فَأَخْبَرَتْهَا فَبَعَثَتْ إِلَيَّ عَائِشَةُ فَقَالَتْ مَا حَمَلَكَ عَلَى مَا صَنَعْتَ بِثَوْبَيْكَ قَالَ قُلْتُ رَأَيْتُ مَا يَرَى النَّائِمُ فِي مَنَامِهِ قَالَتْ هَلْ رَأَيْتَ فِيهِمَا شَيْئًا قُلْتُ لَا قَالَتْ فَلَوْ رَأَيْتَ شَيْئًا غَسَلْتَهُ لَقَدْ رَأَيْتُنِي وَإِنِّي لَأَحُكُّهُ مِنْ ثَوْبِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَابِسًا بِظُفُرِي
“อับดุลลอฮ์ อิบนุ ซิฮาบ อัลเคาลานีย์ รายงานว่า ฉันเคยพักที่บ้านของท่านหญิง อาอิชะห์ และฉันได้ฝันเปียก มีอสุจิติดอยู่ที่ผ้าของฉัน, ฉันจึงนำเสื้อผ้าของฉันจุ่มน้ำ ขณะนั้นคนรับใช้ของท่านหญิงอาอิชะห์ ได้มาเห็นจึงนำเรื่องไปบอกกับท่านหญิงอาอิชะห์, ท่านหญิงอาอิชะห์ ได้ส่งคนมาถามฉันว่า ท่านทำอย่างไรกับเสื้อผ้าของท่านหรือ ฉันตอบไปว่า ฉันฝันเหมือนคนที่นอนหลับแล้วฝันนั่นแหละ (ฝันมี เพศสัมพันธ์แล้วมีอสุจิเคลื่อน) นางกล่าวว่า ท่านพบรอยคราบอสุจิบนเสื้อผ้าหรือไม่ ฉันตอบว่า ไม่พบครับ นางกล่าวว่า หากท่านพบรอยคราบอสุจิก็ล้างเฉพาะรอยคราบน้ำก็พอแล้ว (ทำไมต้องซักเสื้อผ้าทั้งหมดด้วย) เพราะฉันก็เคยเห็นรอยคราบอสุจิแห้งที่ฉันขูดมันออกด้วยเล็บของฉันบนผ้าของ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม”
2. ซุนัน อะบีดาวูด (หนึ่งในตำราทั้งหก) บันทึกไว้ว่า “ฮัมมาม บิน ฮะริษ” เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าไปค้าง คืนในห้องของอาอิชะห์แล้วตื่นมาในสภาพที่เสื้อผ้าเปื้อนคราบอสุจิ
حَدَّثَنَا حَفْصُ بْنُ عُمَرَ، عَنْ شُعْبَةَ، عَنِ الْحَكَمِ، عَنْ إِبْرَاهِيمَ، عَنْ هَمَّامِ بْنِ الْحَرث، أَنَّهُ كَانَ عِنْدَ عَائِشَةَ - رضى الله عنها - فَاحْتَلَمَ فَأَبْصَرَتْهُ جَارِيَةٌ لِعَائِشَةَ وَهُوَ يَغْسِلُ أَثَرَ الْجَنَابَةِ مِنْ ثَوْبِهِ سنن أبي داود ج1 ص101 ح 371 كِتَاب الطَّهَارَةِ بَاب المَنِيِّ يُصِيْبُ الثَّوْب
ผู้รายงานฮะดีษบทนี้มีชื่อว่า ฮัมมาม บิน อัลฮาริษ الحارث ไม่ใช่ ฮะริษ الحرث ตามที่ชีอะห์แสดง
ฮะดีษในบทที่สองที่ชีอะห์นำมาแสดงนี้ก็ใช้วิธีการทุจริตเช่นเดิม คือตัดตอนตัวบทฮะดีษมาแสดง เพื่อให้การใส่ร้ายของพวกเขาบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งตัวบทที่ครบถ้วนของฮะดีษนี้มีดังนี้
حَدَّثَنَا حَفْصُ بْنُ عُمَرَ، عَنْ شُعْبَةَ، عَنِ الْحَكَمِ، عَنْ إِبْرَاهِيمَ، عَنْ هَمَّامِ بْنِ الْحَارِثِ، أَنَّهُ كَانَ عِنْدَ عَائِشَةَ - رضى الله عنها - فَاحْتَلَمَ فَأَبْصَرَتْهُ جَارِيَةٌ لِعَائِشَةَ وَهُوَ يَغْسِلُ أَثَرَ الْجَنَابَةِ مِنْ ثَوْبِهِ أَوْ يَغْسِلُ ثَوْبَهُ فَأَخْبَرَتْ عَائِشَةَ فَقَالَتْ لَقَدْ رَأَيْتُنِي وَأَنَا أَفْرُكُهُ مِنْ ثَوْبِ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم
ฮัฟศ์ อิบนุ อุมัร เล่าให้เราฟัง จาก ชัวอ์บะห์ จาก อิบรอฮีม จาก ฮัมมาม บิน อัลฮาริษว่า เขาได้อยู่ ณ.ที่ท่านหญิงอาอิชะห์ รอดิยัลลอฮุอันฮา แล้วเขาฝันเปียก โดยที่คนรับใช้ของท่านหญิงอาอิชะห์มาเห็นเขาขณะที่เขาล้างคราบญะนาบะห์จากเสื้อผ้าของเขา หรือกำลังซักเสื้อผ้าของเขา และเธอก็นำเรื่องนี้ไปบอกท่านหญิงอาอิชะห์ แล้วเธอกล่าวว่า แท้จริงฉันได้เคยขูดคราบอสุจิจากผ้าของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
ส่วนข้อความฮะดีษในบทอื่นๆที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามที่ชีอะห์นำมาอ้างก็ใช้วิธีสกปรกเช่นเดิมคือตัดทอนตัวบทฮะดีษ และบิดเบือนความหมายเพื่อใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์, ผู้รายงาน และผู้บันึกฮะดีษ ซึ่งเราจะชี้แจงให้ได้เห็นดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง
บุรุษผู้ถูกกล่าวถึงตามคำรายงานในบทแรกคือ อับดุลอฮ์ บิน ซิฮาบ อัลเคาลานี มีฉายาว่า อบูลญัซล์ เป็นตาบีอีน รายงานฮะดีษจาก ท่านอุมัร และท่านหญิงอาอิชะห์ ส่วนผู้ที่รับรายงานจากเขาเอาไปรายงานต่อคือ คอยชะมะห์, อัชชะอ์บีย์, ชะบี๊บ บิน ฆ็อรกอดะห์ และตัวของอับดุลอฮ์ บิน ซิฮาบ อัลเคาลานี ก็เป็นชาวเมืองกูฟะห์
บุรุษผู้ถูกกล่าวถึงในบทที่สองนั้นมีชื่อว่า ฮัมมาม บิน อัลฮาริษ เขาเป็นตาบีอีนอวุโส มีชื่อเต็มว่า ฮัมมาม บิน อัลฮาริษ อัลนัคอีย์ เป็นชาวเมืองกูฟะห์ เช่นเดียวกัน เขาเสียชีวิตที่เมืองกูฟะห์ปีที่ 63 ฮิจเราะห์ศักราช
จะเห็นได้ว่าชายที่ถูกกล่าวถึงในเหตุการณ์นี้คือตาบีอีนทั้งคู่ และเป็นชาวเมืองกูฟะห์ด้วยกันทั้งคู่ (เมืองกูฟะห์ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัค) ทั้งสองดั้นด้นจากเมืองกูฟะห์ มาที่เมืองมะดีนะห์
ประเด็นที่สอง
ในบันทึกฮะดีษ สุนันอิบนิมาญะห์ และมุสนัด อิหม่ามอะห์หมัด ระบุคำรายงานของฮัมมามว่า
عَنْ هَمَّامِ بْنِ الحَارِثِ قَالَ نَزَلَ بِعَائِشَةَ ضَيْفٌ
“ฮัมมาม บิน อัลฮาริษ รายงานว่า มีแขกมาพบท่านหญิงอาอิชะห์” สุนันอัตติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 108 มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 23029
เราได้รับทราบจากคำรายงานว่า ทั้ง อับดุลอฮ์ บิน ซิฮาบ อัลเคาลานี และ ฮัมมาม บิน อัลฮาริษ มาพบท่านหญิงอาอิชะห์ในสถานะแขกจากแดนไกล
ประเด็นที่สาม
อาจจะมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า แขกที่มาหาท่านหญิงอาอิชะห์ พักค้างกันที่ไหน เราดูข้อความในฮะดีษบทแรกจากศอเฮียะห์มุสลิม ตามคำรายงานของ อับดุลอฮ์ บิน ซิฮาบ อัลเคาลานี ที่กล่าวว่า
كُنْتُ نَازِلاً عَلَى عَائِشَةَ
“ฉันเคยพักที่บ้านของท่านหญิง อาอิชะห์”


แม้เราจะให้ความหมายที่เป็นประโยชน์กับการบิดเบือนของเหล่าชีอะห์โดยระบุว่า พวกเขาพักที่บ้านของท่านหญิงอาอิชะห์ แล้วก็ตาม แต่ข้อความนี้ก็มิได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาพักห้องเดียว หรือนอนห้องเดียวกับท่านหญิงอาอิชะห์ แต่ตรงกันข้าม ข้อความในฮะดีษกลับชี้ให้เห็นว่า พวกเขากับท่านหญิงอาอิชะห์อยู่กันคนละที่ ไม่ได้พักค้างร่วมกับพวกเขาแต่อย่างใดดังต่อไปนี้
ประเด็นที่สี่
ในบันทึกฮะดีษ สุนันอิบนิมาญะห์ และมุสนัด อิหม่ามอะห์หมัด ระบุคำรายงานของฮัมมามว่า
فَأَمَرَتْ لَهُ بِمِلْحَفَةٍ لَهَا صَفْرَاءَ
“ท่านหญิงอาอิชะห์ได้สั่งให้เอาผ้าคลุมสีเหลืองของเธอเอาไปให้เขา ” สุนันอัตติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 108 สุนันอิบนิมาญะห์ ฮะดีษเลขที่ 531 และมุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 23029
มีข้อสังเกตจากคำรายงานนี้ว่า หากเขาพักร่วมห้องกับท่านหญิงอาอิชะห์เพียงลำพัง แล้วเพราะเหตุใดท่านหญิงอาอิชะห์จึงต้องออกคำสั่งใช้ให้เอาผ้าคลุมไปให้เขาด้วย นอกจากนี้แล้ว ฮัมมามยังรายงานต่อไปอีกว่า
فَنَامَ فِيْهَا فَاحْتَلَمَ فَاسْتَحَى أنْ يُرْسِلَ بِهَا وَفِيْهَا أَثَرُ الإحْتِلاَمِ
“เขาเอาผ้านั้นห่มนอนแล้วฝันเปียก แต่เขาอายที่จะส่งมันคืนขณะที่มันมีร่องรอยของการฝันเปียก” สุนันอัตติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 108 มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 23029
ในคำรายงานประเด็นนี้ตรงกันทั้ง ศอเฮียะห์มุสลิม,สุนันอบีดาวู๊ด, และมุสนัดอิหม่ามอะห์หมัดว่า
فَاحْتَلَمْتُ فِي ثَوْبَىَّ فَغَمَسْتُهُمَا فِي المَاءِ หรือ فَغَمَسَهَا فِي المَاءِ
“ฉันฝันเปียกเปื้อนผ้า แล้วก็เอามันไปจุ่มน้ำ”
ส่วนในสุนันอัตติรมีซีย์ และสุนันอิบนิมาญะห์ รายงานว่า
فَغَمَسَهَا فِي المَاءِ ثُمَّ أرْسَلَ بِهَا فَقَالَتْ عَائِشَةُ لِمَ أفْسَدَ عَلَيْنَا ثَوْبَنَا
“เขาเอาผ้าไปจุ่มน้ำแล้วส่งมันคืน ท่านหญิงอาอิชะห์กล่าวว่า ทำไมทำให้ผ้าของเราเสียหายอย่างนี้” สุนันอัตติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 108 สุนันอิบนิมาญะห์ ฮะดีษเลขที่ 531
เหล่านี้คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ท่านหญิงอาอิชะห์ไม่ได้อยู่ ณ.ที่นั่นด้วยและไม่รู้การกระทำของพวกเขามาก่อน จนกระทั่งพวกเขานำผ้าไปส่งคืน ท่านหญิงอาอิชะห์จึงได้ทราบเรื่อง
ประเด็นที่ 5
นอกจากข้อความที่ได้แสดงให้เห็นก่อนหน้านี้แล้วว่า ท่านหญิงอาอิชะห์มิได้อยู่ร่วมห้องกับชายอื่นแล้ว ถ้อยคำที่ระบุในศอเฮียะห์มุสลิมยังยืนชัดเจนจากคำของ อับดุลอฮ์ บิน ซิฮาบ อัลเคาลานี ว่า
فَرَأَتْنِي جَارِيَةٌ لِعَائِشَةَ فَأَخْبَرَتْهَا
“หญิงคนรับใช้ของท่านหญิงอาอิชะห์มาเห็นฉัน (กำลังซักผ้า) แล้วนำเรื่องไปบอก ท่านหญิงอาอิชะห์”
ท่านหญิงอาอิชะห์ทราบเรื่องจากการที่คนรับใช้ของเธอมาบอกให้ฟัง ยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าเธอมิได้อยู่ร่วมห้องกับชายอื่นตามที่ชีอะห์กล่าวหา นอกจากนั้นแล้ว อัลเคาลานี ยังกล่าวต่อไปอีกว่า
فَبَعَثَتْ إِلَيَّ عَائِشَةُ فَقَالَتْ
“ท่านหญิงอาอิชะห์ได้ส่งคนมาถามฉันว่า”
หากท่านหญิงอาอิชะห์ได้อยู่ในเหตุการณ์ หรืออยู่ ณ.ที่นั้นด้วย แล้วเพราะเหตุใดเธอจึงต้องส่งคนมาถามพวกเขา ว่าจัดการอย่างไรกับเสื้อผ้าของเธอ และเมื่อเธอได้ทราบเรื่องว่าพวกเขาเอาผ้าไปจุ่มน้ำ เธอก็แจ้งข้อฮุก่มและวิธีการจัดการให้ทราบว่าไม่ต้องเอาไปซักทั้งหมดแค่ล้างตรงรอยเปื้อนก็พอ ดั่งคำรายงานที่ระบุในท้ายฮะดีษว่า “หากท่านพบรอยคราบอสุจิก็ล้างเฉพาะรอยคราบน้ำก็พอแล้ว (ทำไมต้องซักเสื้อผ้าทั้งหมดด้วย) เพราะฉันก็เคยเห็นรอยคราบอสุจิแห้งที่ฉันขูดมันออกด้วยเล็บของฉันบนผ้าของ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม”
อิหม่ามอัตติรมีซีย์ ได้กล่าวสรุปในท้ายคำรายงานว่า ฮะดีษนี้อยู่ในระดับฮะซันศอเฮียะห์ เป็นคำยืนยันจากบรรดาศอฮาบะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม หลายท่านด้วยกัน รวมถึงบรรดาตาบีอีนและบรรดานักวิชาการในยุคหลังจากพวกเขาที่เป็นนักนิติศาสตร์ เช่น ท่านซุฟยาน อัสเซารีย์, อิหม่ามชาฟีอี, อิหม่ามอะห์หมัด, อิสฮาก, พวกเขากล่าวเกี่ยวกับเรื่องอสุจิเปื้อนผ้าว่าแค่ขูดออกก็ถือว่าใช้ได้แล้ว (สุนันอัตติรมีซีย์ คำสรุปท้ายฮะดีษเลขที่ 108)
เมื่อเราได้อ่านข้อความของฮะดีษจากหลายบันทึกแล้วเป็นที่ประจักษ์ว่า ไม่มีข้อความส่วนใดของฮะดีษที่แสดงว่าท่านหญิงอาอิชะห์ยอมให้ชายแปลกหน้าเข้าห้องนอนของตัวเอง หรือเธอนอนร่วมห้องกับชายแปลกหน้าสองต่อสอง
แล้วอย่างไรเล่าที่ชีอะห์จะกล่าวหาใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์ว่ากระทำซินาทั้งๆที่นางเองมิได้อยู่ในที่นั้น มีข้อความท่อนใดหรือที่แสดงว่า “อัลเคาลานี”หรือ “ฮัมมาม” มีเพศสัมพันธ์กับท่านหญิงอาอิชะห์จนกระทั่งตื่นขึ้นมาในสภาพของคนมีญุนุบและเสื้อผ้าเปื้อนอสุจิตามที่ชีอะห์ได้สื่อให้เข้าใจ เปล่าเลย...นอกจากจะไม่มีข้อความตามที่พวกเขาสื่อแล้ว ในตัวบทฮะดีษยังยืนยันด้วยถ้อยคำของ “อัลเคาลานี” และ “ฮัมมาม” เองว่า فَاحْتَلَمْتُ فِي ثَوْبَيَّ แปลว่า “ฉันฝัน แล้วอสุจิเปื้อนผ้าของฉัน”
ไม่มีใครหรอกที่กล่าวเท็จ หรืออุปโลกน์เรื่องเท็จใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์ ไม่ว่าจะเป็นผู้รายงาน, ผู้บันทึกรวมถึงนักวิชาการและชาวซุนนะห์ทั้งหมด นอกจากจิตใจอันโสโครกของเหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองผู้เป็นรกรากของ อับดุลลอฮ์ อิบนิอุบัย อิบนิซะลูน หัวโจกมุนาฟิกีน ที่กุเรื่องเท็จ กล่าวหาใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
لَوْلاَ إذْ سَمِعْتُمُوْهُ ظَنَّ المُؤْمِنُوْنَ وَالمُؤْمِنَاتُ بِأنْفُسِهِمْ خَيْراً وَقَالُوا هَذاَ إفْكٌ مُبِيْنٌ
“เมื่อพวกเจ้าได้ยินข่าวเท็จนี้ ทำไมบรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิง จึงไม่นำมาเปรียบเทียบกับตัวพวกเขาเองในทางที่ดี และกล่าวว่า นี่คือเรื่องเท็จอย่างชัดเจน” ซูเราะห์อันนูร อายะห์ที่ 12
ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงปกป้องคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ และขอพระองค์ทรงทำให้เล่ห์กลของคนลวงได้ย้อนทิ่มลูกกระเดือกของพวกเขาเอง