อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

ราชินีบิลกิสกับสาส์นของท่านนบีสุไลมาน

โดย อ.บรรจง บินกาซัน

กษัตริย์โซโลมอนและชีบา(บิลกิส)เรื่องราวของบุคคลทั้งสองนี้ถูกกล่าวไว้ทั้งในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน

โซโลมอนหรือสุลัยมานเป็นลูกของนบีดาวูด เมื่อนบีดาวูดเสียชีวิตลง สุลัยมานได้ขึ้นมาสืบทอดอำนาจการปกครองต่อจากพ่อของเขา ดังนั้น สุลัยมานจึงเป็นทั้งกษัตริย์และนบีที่ทำหน้าที่ปกครองและเผยแผ่ศาสนา

คัมภีร์กุรอานกล่าวถึงนบีดาวูดและสุลัยมานว่าเป็นผู้ที่ได้รับความรู้พิเศษบางอย่างที่มนุษย์ธรรมดาไม่ได้รับ นบีดาวูดได้รับความรู้จากพระเจ้าในการนำเหล็กมาทำเป็นเสื้อเกราะและอาวุธ แต่พระเจ้าได้สอนนบีสุลัยมานให้รู้จักภาษานก สามารถควบคุมญินซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เร้นลับและถูกสร้างมาจากไฟ ญินอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์โดยที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นมัน แต่มันมองเห็นมนุษย์ นอกจากนี้แล้วพระเจ้ายังให้ลมทะเลพัดตามที่นบีสุลัยมานต้องการด้วย

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นบีสองพ่อลูกนี้จะทำให้อาณาจักรอิสราเอลเข้มแข็งและยิ่งใหญ่โดยเฉพาะในสมัยของนบีสุลัยมาน เมืองหลวงของอาณาจักรอิสราเอลในตอนนั้นยังคงเป็นเมืองเยรูซาเลม กองทัพของนบีสุลัยมานไม่เพียงแค่มีทหารที่เป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีไพร่พลที่เป็นนกและญินที่มีพลังความสามารถและเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเกินกว่ามนุษย์ด้วย

คัมภีร์กุรอานเล่าว่า ขณะที่นบีสุลัยมานปกครองอาณาจักรอิสราเอลอยู่นั้น ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอาหรับเป็นที่ตั้งของอาณาจักรที่มีอารยธรรมความเจริญอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ อาณาจักรสะบะอ์ หรือแผ่นดินที่เป็นประเทศเยเมนในปัจจุบัน อาณาจักรแห่งนี้มีความสมบูรณ์และเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ที่ได้รับน้ำจากเขื่อนใหญ่ที่ชื่อว่าเขื่อนมะอ์ริบ ซึ่งถือว่าเป็นเขื่อนเก่าแก่ที่ใหญ่ที่สุดของโลกและยังมีซากให้เห็นจนถึงปัจจุบัน

ผู้ปกครองอาณาจักรสะบะอ์เป็นราชินีผู้เลอโฉมมีชื่อตามคัมภีร์ไบเบิลว่า ชีบา แต่นักประวัติศาสตร์อาหรับเรียกราชินีคนนี้ว่า บิลกิส ราชินีและผู้คนในอาณาจักรสะบะอ์บูชาดวงอาทิตย์และเทวรูปต่างๆ แต่นบีสุลัยมานนับถือศาสนาที่เคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว

คัมภีร์กุรอานเล่าต่อไปอีกว่า วันหนึ่งนกหัวขวานที่เป็นไพร่พลในกองทัพของนบีสุลัยมานได้ออกบินไปลาดตระเวนทั่วแผ่นดินอาหรับและกลับมารายงานว่ามันได้พบอาณาจักรของราชินีบิลกิสผู้เลอโฉม แต่ราชินีและผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้เคารพกราบไหว้บูชาดวงอาทิตย์ นบีสุลัยมานจึงใช้ให้นกตัวนั้นนำจดหมายไปยังวังของราชินีแห่งสะบะอ์ สารดังกล่าวมีข้อความเชิญชวนราชินีบิลกิสให้เลิกเคารพบูชาดวงอาทิตย์และหันมาเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงองค์เดียว

เมื่อราชินีบิลกิสได้รับจดหมายจากนบีสุลัยมาน นางจึงเรียกประชุมขุนนางทันทีเพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกับจดหมายที่นบีสุลัยมานส่งมา

ขุนนางส่วนใหญ่มองว่าจดหมายดังกล่าวเป็นการท้าทายอาณาจักรสะบะอ์ที่มั่งคั่งเข้มแข็งที่สุดแล้วในเวลานั้น ทุกคนจึงพร้อมที่จะรบ แต่ราชินีผู้มีอำนาจสูงสุดได้ตัดสินใจว่านางจะไม่ใช้สงครามตัดสินปัญหา แต่นางเลือกที่จะส่งคณะตัวแทนไปยังอาณาจักรอิสราเอลของนบีสุลัยมาน โดยนำของขวัญที่มีค่าจำนวนมากไปด้วย วัตถุประสงค์ของนางก็เพื่อที่จะประเมินความมั่งคั่งและความเข้มแข็งทางทหารของอาณาจักรอิสราเอล

เมื่อคณะทูตของบิลกิสเข้ามาในเขตเมืองหลวงของอาณาจักรอิสราเอล ทุกคนต้องตกตะลึงต่อแสนยานุภาพทางทหารของนบีสุลัยมานที่มีทั้งคนและสัตว์ เช่น เสือ สิงโต และนก และเริ่มรู้ว่ากองทัพของอาณาจักรสะบะอ์ไม่สามารถเทียบได้กับกองทัพของนบีสุลัยมาน

คณะทูตได้นำของขวัญจากราชินีบิลกิสมามอบให้นบีสุลัยมาน นบีสุลัยมานได้กล่าวขอบคุณคณะทูต แต่ปฏิเสธที่จะรับของขวัญมีค่า นบีสุลัยมานกล่าวว่าพระเจ้าได้ให้ความมั่งคั่งแก่ท่านเกินพอแล้ว สิ่งที่ท่านต้องการก็คือ ขอให้ราชินีบิลกิสเลิกกราบไหว้บูชาดวงอาทิตย์และหันมาเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงองค์เดียว

เมื่อราชินีบิลกิสได้รับรายงานจากคณะทูต นางจึงตัดสินใจออกเดินทางไปพบนบีสุลัยมานด้วยตนเอง ขณะที่นางเริ่มออกเดินทาง นบีสุลัยมานรู้ข่าวความเคลื่อนไหวของนางแล้ว จึงเรียกขุนนางและนายทหารมาปรึกษา ญินตนหนึ่งในกองทัพเสนอว่ามันขออาสาไปเอาบัลลังก์ของราชินีบิลกิสมาให้ภายในพริบตา และยังไม่ทันที่คนอื่นจะเสนอความเห็น บัลลังก์ของราชินีบิลกิสซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเมืองเยรูซาเลมประมาณ 2,000 ไมล์ก็มาอยู่ต่อหน้านบีสุลัยมานแล้ว

เมื่อราชินีบิลกิสมาถึงอาณาจักรอิสรเอลและได้เข้าพบนบีสุลัยมาน นางต้องตกตะลึงที่ได้เห็นพื้นของท้องพระโรงที่ทำจากกระจกและนางคิดว่ามันเป็นน้ำจนถึงกับยกชายกะโปรงขึ้นเพราะกลัวว่าจะเปียก ยิ่งเมื่อเห็นบัลลังก์ของตนวางอยู่ข้างหน้าด้วยแล้ว นางจึงยอมสยบต่อนบีสุลัยมานและหันมาศรัทธาในพระเจ้าแทนดวงอาทิตย์

นี่คือภูมิหลังของการที่แผ่นดินเยเมนได้กลายมาเป็นประเทศที่ศรัทธาในพระเจ้ามาเนิ่นนาน

‪#‎ราชินีบิลกิสแห่งเมืองสะบะ‬ ในกุรอ่านกล่าวเอาไว้ดังนี้

[27:16] และสุลัยมานเป็นทายาทของดาวูด และเขากล่าวว่า มหาชนทั้งหลายเอ๋ย ! เราได้รับความรู้ในภาษาของนก และเราได้รับทุก ๆ สิ่ง แท้จริง นี่คือความโปรดปรานอันแท้จริงแน่นอน

[27:17] และไพร่พลของเขาที่เป็นญินมนุษย์และนก ได้ถูกให้มาชุนนุมต่อหน้าสุลัยมาน และพวกเขาถูกจัดให้เป็นระเบียบ

[27:18] จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มาถึงทุ่งที่มีมดมาก มดตัวหนึ่งได้พูดว่า โอ้พวกมดเอ๋ย! พวกเจ้าจงเข้าไปในรังของพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้า โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

[27:19] เขา (สุลัยมาน) ยิ้มแกมหัวเราะต่อคำพูดของมันและกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแกข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ และบิดามารดาของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์กระทำความดีเพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยมัน และทรงให้ข้าพระองค์เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์ ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ที่ดีทั้งหลาย

[27:20] และเขาได้ตรวจดูฝูงนกแล้วกล่าวขึ้นว่า ทำไมฉันจึงไม่เห็นฮุดฮุด แต่ว่ามันหายไปไหน

[27:21] แน่นอน ฉันจะลงโทษมันด้วยการลงโทษอย่างสาหัส หรือฉันจะฆ่ามันอย่างแน่นอนหรือให้มันนำหลักฐานอันชัดแจ้งมาให้ฉัน

[27:22] มันหายไปชั่วครู่ (แล้วกลับมา) มันได้กล่าวว่า ฉันได้ไปตรวจพบสิ่งที่ท่านไม่รู้ และฉันได้นำข่าวอันแน่นอนจากสะบะ มายังท่าน

[27:23] ฉันได้พบหญิงคนหนึ่ง ปกครองพวกเขา และนางมีทุกสิ่ง และนางมีบัลลังก์อันใหญ่โต

[27:24] และฉันได้พบนางและหมู่ชนของนางสักการะบูชาดวงอาทิตย์อื่นจากอัลลอฮ์ และมารร้ายชัยตอนได้ทำให้การงานของพวกเขาเป็นของดีงามแก่พวกเขา และได้กีดกันพวกเขาออกจากแนวทางที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง

[27:25] ทำไมพวกเขาไม่สุญูดต่ออัลลอฮ์ ผู้นำออกมาซึ่งสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้าปิดบัง และสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย

[27:26] อัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระเจ้าแห่งบัลลังก์อันยิ่งใหญ่

[27:27] เขากล่าวว่า เราจะคอยดูว่าเจ้าพูดจริงหรือเจ้าอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ

[27:28] เจ้าจงนำสารของฉันนี้และส่งมันให้พวกเขา แล้วถอยออกห่างจากพวกเขา ดังนั้นจงคอยดูว่าพวกเขาจะตอบกลับมาว่าอย่างไร ?

[27:29] (พระราชินี) ทรงกล่าวว่า โอ้หมู่บริพารทั้งหลายเอ๋ย ! แน่แท้สารอันมีเกียรติถูกนำมาให้ฉัน

[27:30] แท้จริงมันมาจากสุลัยมาน และแท้จริงมันเริ่มว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

[27:31] พวกท่านอย่าเย่อหยิ่งต่อฉัน และจงมาหาฉันอย่างนอบน้อม

[27:32] พระนางทรงกล่าวว่า โอ้หมู่บริหารทั้งหลายเอ๋ย ! จงให้ข้อชี้ขาดแก่ฉันในเรื่องของฉัน ฉันไม่อาจจะตัดสินใจในกิจการใด จนกว่าพวกท่านจะอยู่ร่วมด้วย

[27:33] พวกเขากล่าวว่า เราเป็นพวกที่มีพลังและเป็นพวกที่มีกำลังรบเข็มแข็ง สำหรับพระบัญชานั้นเป็นของพระนางดังนั้น พระนางได้โปรดตรึกตรองดูสิ่งใดที่พระนางจะทรงบัญชา

[27:34] พระนางทรงกล่าวว่า แท้จริงเหล่ากษัตริย์นั้น เมื่อเข้าไปในเมืองใดก็ทำลายมัน และทำให้บรรดาผู้มีอำนาจของเมืองนั้นเป็นผู้ต่ำต้อย และเช่นนั้นแหละพวกเขากระทำกัน

[27:35] และแท้จริงฉันจะส่งของกำนัลไปให้พวกเขา แล้วฉันจะเฝ้าคอยดูว่า ผู้ที่ถูกส่งไปนั้นจะกลับมาอย่างไร

[27:36] เมื่อพวกเขาได้เข้าพบสุลัยมานแล้ว เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า พวกท่านจะนำทรัพย์สินมากำนัลแก่เราหรือ ? สิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่ฉันนั้น ดียิ่งกว่าสิ่งที่พระองค์ประทานให้แก่พวกท่าน แต่พวกท่านดีใจต่อของกำนัลของพวกท่าน

[27:37] จงกลับไปยังพวกเขา เพราะแน่นอนเราจะนำไพร่พลไปยังพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่มีกำลังที่จะต่อต้านมันได้ และแน่นอน เราจะให้พวกเขาออกจากที่นั่นอย่างอัปยศ และพวกเขาจะเป็นผู้ต่ำต้อย

[27:38] เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า โอ้หมู่บริพารทั้งหลายเอ๋ย ! ผู้ใดในหมู่พวกท่านจะนำบัลลังก์ของนางมายังฉัน ก่อนที่พวกเขาจะมาหาฉันอย่างผู้นอบน้อม

[27:39] ผู้ปรีชาสามารถล้ำเลิศคนหนึ่งของพวกญินได้กล่าวว่า ฉันจะนำมันมาเสนอท่าน ก่อนที่ท่านจะลุกขึ้นจากที่นั่งของท่าน และแท้จริงฉันเป็นผู้มีพลังและไว้วางใจได้ในเรื่องนี้

[27:40] ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องคัมภีร์ กล่าวว่า ฉันจะนำมันมาเสนอท่านชั่วพริบตาเดียว เมื่อเขา (สุลัยมาน) เห็นมันวางมั่นคงอยู่ต่อหน้าเขา เขากล่าวว่า นี่เนื่องจากความโปรดปรานของพระเจ้าของฉัน เพื่อพระองค์จะได้ทรงทดสอบฉันว่าฉันกตัญญูหรือเนรคุณ และผู้ใดกตัญญูแท้จริงเขาก็กตัญญูต่อตัวเขาเอง และผู้ใดเนรคุณแท้จริงพระเจ้าของฉันนั้นเป็นผู้ทรงมั่งมี ผู้ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยิ่ง

[27:41] เขากล่าวว่า พวกท่านจงดัดแปลงบัลลังก์ของพระนาง เพื่อดูซิว่าพระนางจะจำมันได้หรือพระนางจะอยู่ในหมู่ผู้จำมันไม่ได้

[27:42] ครั้นเมื่อพระนางได้มาถึงก็ได้ทูลพระนางว่า บัลลังก์ของพระนางเหมือนอย่างนี้หรือ ? พระนางตรัสว่า มันคล้ายอย่างนี้แหละ และเราได้รับความรู้มาก่อนนาง และเราได้เป็นมุสลิมมาก่อนนาง

[27:43]
และการที่นางได้สักการะบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ ได้หันห่างนางออกไป แท้จริงนางอยู่ในหมู่ชนผู้ปฏิเสธ

[27:44] ได้มีเสียงกล่าวแก่นางว่า โปรดเข้าไปในวังเถิด ครั้นเมื่อนางเห็นมันนางคิดว่า มันเป็นสระที่เป็นห้วงน้ำ และนางได้เลิกหน้าแข็งของนาง เขา (สุลัยมาน) กล่าวว่า มันเป็นวังทำให้ราบเรียบด้วยกระจก นางได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน แท้จริงฉันได้อธรรมแก่ตัวฉันเอง และฉันขอนอบน้อมปฏิบัติตามสุลัยมาน เพื่ออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น