อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตือรี ดนตรีเพื่อรักษาคนป่วย อดีตความเชื่อในสังคมมุสลิมสามจังหวัด


ลักษณะความเชื่อ

ตือรี หรือ มะตือรี หรือ ตือฆี หรือ มะตือฆี คือการบรรเลงดนตรีประกอบการเข้าทรงเพื่อให้คนทรงกับหมอได้สื่อสารกับเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือดวงวิญญาณเพื่อสอบถามถึงวิธีการที่จะรักษาผู้ป่วยให้ หายจากการเจ็บป่วย

ความสำคัญ
ตือรี นิยมแสดงเพื่อรักษาผู้ป่วยที่เชื่อว่ามีมูลเหตุมาจากการถูกคุณไสย เวทมนตร์คาถา การฝังรูป ฝังรอย เลขยันต์ ถูกเข็ม ถูกหนังอาคมเข้าท้อง ถูกวิญญาณ (อางิน) ทักทอ เช่น การละเล่นเซ่นไหว้ครูศิลปิน (สำหรับผู้มีเชื้อสายโนรา - มะโย่งและวายัง) โดยอาศัยโต๊ะตือรีเป็นผู้ติดต่อสื่อสารกับดวงวิญญาณนำมาบอกกล่าวกับโต๊ะมี โนะ แนะแนวทางให้ทราบกรรมวิธีเพื่อรักษาคนไข้หรือถอดถอนอาถรรพณ์อย่างไร เช่นการเซ่นไหว้ ใช้บน ทำพิธีพลีกรรมขอขมาลาโทษ
ความเชื่อเรื่องนี้แต่เดิมมีอยู่ในหมู่คนไทยมุสลิมในดินแดนกันดารบริเวณ จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส แต่ปัจจุบันการแพทย์เจริญขึ้นประกอบทั้งเห็นว่าความเชื่อนี้ขัดกับหลักการ ทางศาสนา ความเชื่อนี้จึงแทบไม่เหลืออยู่อีกเลย

พิธีกรรม

๑. การแสดงตือรีจะประกอบด้วยบอมอ (หมอ) ซึ่งมีชื่อเรียกว่าโต๊ะมีโนะ มีหน้าที่ขับร้องรำนำสรรเสริญเชื้อเชิญเทพเจ้า วิญญาณของบรรพบุรุษหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเรียกกันว่า โต๊ะตือรี หรือคนทรงเจ้าทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารระหว่างดวงวิญญาณกับโต๊ะมีโนะ และมีคนเล่นดนตรีบรรเลงคู่กับการขับลำนำ ๕ - ๖ คน ได้แก่ คนซอ ๑ คน รำมะนา ๒ คน คนตีฆ้องใหญ่ ๑ คน คนตีโหม่งหรือฆ้องราง ๑ คน และอาจมีคนตีฉิ่งอีก ๑ คน โดยโต๊ะมีโนะและโต๊ะตือรีจะนั่งหันหน้าไปทางผู้ป่วย ผู้เล่นดนตรีทุกคนนั่งทางขวามือของโต๊ะมีโนะ

๒. การจัดเครื่องเซ่นหมอจะจัดเครื่องเซ่นที่ญาติผู้ป่วย เตรียมไว้ให้ใส่ถาด ๒ ใบ
ใบที่ ๑ เอาด้ายดิบมาขดภายในถาดให้รอบถาดแล้วเทข้าวสารเหลืองกระจายให้ทั่วถาด เอาเทียนไข ๑ เล่ม หมาก ๑ คำ เงิน ๕ บาท วางไว้บนข้าวสารเหลือง
ใบที่ ๒ เอาข้าวเหนียวเหลือง (นึ่งสุก) ใส่ลงในถาดทำให้เป็นรูปกรวยยอดแหลม เอาไข่ไก่ต้มสุกปอกเปลือกครึ่งฟองนำไปปักไว้บนยอดแหลมของข้าวเหนียว โดยให้ส่วนที่ปอกเปลือกอยู่ด้านบน จุดตะเกียง ๑ ดวง หรือเทียนไข ๑ เล่ม วางไว้ข้างข้าวเหนียวเหลืองแล้วนำถาดทั้งสองไปใส่สาแหรกแขวนไว้เหนือศีรษะ ของผู้ทำพิธี ส่วนเครื่องเซ่นอีกส่วนหนึ่งให้จัดใส่จานดังนี้ ข้าวตอกจัดใส่จาน ๒ ใบ ใบหนึ่งคลุกน้ำตาลทราย อีกใบหนึ่งไม่คลุกแล้วนำข้าวตอกทั้งสองจานมาวางไว้ตรงหน้าหมอ ขนมจีน ๓ จับ หมากพลู ๑ คำ กำยาน ถ่านไฟกำลังติดใส่จานอย่างละ ๑ ใบ ให้วางเรียงทางด้านซ้ายของจานข้าวตอก

๓. เมื่อจัดเครื่องเซ่นเรียบร้อยแล้วหมอจะให้คนทรงนั่งหันหน้าตรงกับหมอ วางเครื่องเซ่นอยู่ระหว่างกลาง ให้ผู้ป่วย (ที่เข้าใจว่าเกิดจากผีร้าย) นอนในที่จัดไว้ในห้องพิธี จากนั้นคนทรงจะหยิบกำยานใส่ลงในจานที่ใส่ถ่านกำลังติดไฟและร่ายมนตร์ ขณะที่คนทรงกำลังร่ายมนตร์อยู่นั้น หมอจะสีซอ(รือบะ) คลอไปด้วยเมื่อร่ายมนตร์เสร็จหมอจะหยุดสีซอ คืนซอให้กับนักดนตรี แล้วหมอกับคนทรงไหว้ครูพร้อมกันดังนี้ "อาโปง แนแนะ มาอะดีกูรู กูรูยาแงตูเลาะ พาปอ แนแนะยาแง มารือกอ ดายอ" พอไหว้ครูเสร็จหมอก็ร่ายมนตร์เรียกผีมารับเอาเครื่องเซ่นและอธิษฐานบอกกล่าว ให้เทวดามาเป็นสักขีพยานช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ป่วย

๔. คนทรงจะทำพิธีเสี่ยงทายว่าผู้ป่วยเป็นโรคเกิดจากผีร้ายที่ใดโดยมีวิธีเสี่ยง ทายอยู่ ๒ วิธี คือเสี่ยงทายจากข้าวตอกเครื่องเช่น วิธีหนึ่ง และเสี่ยงทายจากเทียนไขอีกวิธีหนึ่ง

๕. หลังจากนั้นก็จะทำพิธีเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คณะตือรีของตนนับถือให้เข้า สิงคนทรง แล้วให้คนทรงรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย โดยวิธีใช้ปากดูดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผู้ป่วยเพราะเชื่อว่าการดูดด้วยปากจะทำให้ผีที่ทำให้เกิดความเจ็บ ป่วยออกจากร่างผู้ป่วยได้ ซึ่งคนทรงจะต้องดูดผู้ป่วยถึง ๕ ครั้ง ครั้งแรกจะดูดปลายเท้าของผู้ป่วยพร้อมกับดนตรีบรรเลง เมื่อดูดเสร็จดนตรีจะหยุดแล้วหมอจะถามคนทรงว่า "ผีมาจากไหน" คนทรงก็ตอบว่า "ผีมาจากดิน" หมอก็สั่งคนทรงว่าเขาต้องการอะไรให้จัดการให้เขา เสร็จแล้วดนตรีจะบรรเลงต่อ คนทรงก็ดูดร่างกายของผู้ป่วยเป็นครั้งที่ ๒ ที่บริเวณท้องหรือลำตัว ครั้งที่ ๓ ที่ลำคอ ครั้งที่ ๔ ดูดที่ศีรษะหรือใบหน้าของผู้ป่วย ดูดเสร็จแต่ละครั้งหมอก็จะถามว่า "ผีมาจากไหน" คนทรงก็จะตอบว่ามาจากน้ำ ลม และไฟตามลำดับแล้วหมอก็สั่งให้คนทรงปฏิบัติเหมือนกับการดูดครั้งแรก การดูดครั้งที่ ๕ ให้ดูดตามที่คนทรงเสี่ยงทายข้าวตอกว่าคู่สุดท้ายหรือเม็ดสุดท้ายอยู่ที่ใด ถ้าตกอยู่ที่ดินให้ดูดซ้ำที่ปลายเท้า ถ้าตกที่น้ำให้ดูดซ้ำที่บริเวณท้องหรือลำตัว ถ้าตกที่ลมให้ดูดซ้ำที่ลำคอ ถ้าตกที่ไฟให้ดูดซ้ำที่บริเวณศีรษะหรือใบหน้า

๖. เมื่อคนทรงทำพิธีดูดผู้ป่วยเสร็จแล้วหมอไสยศาสตร์จะพูดกับผีในผู้ป่วยว่า "ขอให้ผีที่สิง อยู่ในร่างของผู้นี้ออกเสียเถิดแล้วเราจะจัดการสิ่งที่พวกเจ้าต้องการให้ ทุกอย่าง" เมื่อหมอพูดและให้สัญญากับผีที่อยู่ในร่างของผู้ป่วยแล้วเชื่อกันว่าจะทำให้ ผู้ป่วยหายเป็นปกติ
การประกอบพิธีไล่ผีรักษาความเจ็บป่วยนี้ จะกระทำกันในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ได้ ถ้าทำพิธีวันดียวหรือคืนเดียวไม่หาย ก็ให้ทำติดต่อกัน ๓ วัน ๓ คืน ถ้าผู้ป่วยยังไม่หายอีกให้เว้นสักระยะหนึ่ง แล้วหาตือรีคณะใหม่มาทำพิธีอีกจนกระทั่งผู้ป่วยหาย เชื่อกันว่าถ้าประกอบพิธีถูกต้อง ผู้ป่วยก็จะหายจากความเจ็บป่วยจริง ๆ






วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

คาถาอาคม คือ ความนิยมของมุชริกีน



اَمْحَمْدُُ لَُِِلُِ اُلََِّيْ يُُُِبَ اُمطَائِؼِيَْْ وَُيُكاَفُِِ اُمْمُخْلِصِيَْْ ،ُ وَُيُضَاغِفُ بُِرَهُ ػَُلََ اُمْمُحْسِ نِيَْْ ،ُُ
لاَ اُللُُ
ِ
لَََ اُ
ِ
وَأَشْيَدُ أَُنْ لُاَ اُ اُمْلَوِيُّ اُمْمَتِيُْْ ،ُُ وَُُأَشْيَدُ أَُنَ مُُحَمَدًا رَُسُوْلُ اُللِ اُمْمَبْؼُوْثُ رَُحَْْةًُ
نِلْؼَامَمِيَْْ ،ُ اَُنلَيُمَ صَُلِّ وَُسَلِِّْ ػَُلََ سَُ يِّدِنََ مُُحَمَدٍ وَُػَلََ أُٓلَِِ وَُصََْبِوِ وَُمَنْ تَُمَسَمَ بُِِلِّيْنِ وَُاىْتَدَىُ
بَِِدْيِوِ اُمْمُبِيَْْ .ُُُ
أَمَا بَُؼْدُ فَُيَا غُِبَادَ اُللِ :ُُ أُُُوْصِيْكُُْ وَُهَفْسِِْ أَُوَلاً بُِتَلْوَى اُللِ تَُؼَالََ وَُطَاغَتِوِ .ُُُفَلَدْ كَُالَُ
اللُ تَُؼَالََ فُِِ اُمْلُرْأٓنِ اُمْكَرِيِْْ :ُ مَُُنْ عََُِلَ صَُامِحًا مُِنْ ذَُنَرٍ أَُوْ أُُهْثََ وَُىُوَ مُُؤْمِنٌ فَُلَنُحْيِيَنَوُ حَُيَاةًُ
طَيِّبَةً وَُمَنَجْزِيَنََُّمْ أَُجْرَهُُْ بُِأَحْسَنِ مَُا كُاَهُوْا يَُؼْمَلُوْنَ .ُ
ท่านพี่นองร่วมศรัทธาที่รัก
อุลามาอ์ (اَمْؼُلَمَاءُُ ) ปวงปราชญ์ของอิสลามให้ทัศนะว่า นักเวทมนต์คาถา เป็นผู้ทาบาปใหญ่ถึงขั้นคาว่า ชิริก (شِِْكٌُ ) และกุโฟร (نُفْر ) อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ตรัสว่า

وَمَكِنَ اُمشَ يَاطِيَْ نَُفَرُواْ يُُؼَلِّمُونَ اُمنَاسَ اُمسِّحْرَُ: سُورة اُمبلرة :ُ اُلٓية 2ُ01ُ

ความว่า “แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธาโดยสอนมนุษย์ซึ่งวิชาไสยศาสตร์”
อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงบอกเล่าเรื่องของฮารูต ( ىَارُوْت ) และมารูต ( مَارُوْت ) ในกุอานว่า

وَاتَبَؼُواْ مَُا تَُتْلُواْ اُمشَ يَاطِيُْ ػَُلََ مُُلِْْ سُُلَيْمَانَ وَُمَا نَُفَرَ سُُلَيْمَُانُ وَُمَكِنَ اُمشَ يَاطِيَُْ
نَفَرُواْ يُُؼَلِّمُونَ اُمنَاسَ اُمسِّحْرَ وَُمَا أُُنزِلَ ػَُلََ اُمْمَلَكَيِْْ بُِبَابِلَ ىَُارُوتَ وَُمَارُوتَ وَُمَا يُُؼَلِّمَانِ مُِنُْ
همََا نََُْنُ فُِتْنَةٌ فَُلاَ تَُكْفُرْ فَُيَتَؼَلَمُونَ مُِنَُّْمَا مَُا يُُفَُ
بِضَارِّينَ بُِوِ مُِنْ أَُحَدٍ اُ مَنِ اُشْتَََاهُ مَُا لََُُُ
فِِ اُلٓخِرَةِ مُِنُْ خَُلاقٍ وَُمَبِئْسَ مَُا شََُِوْابِوِ أَُهفُسَيُمْ مَُوْ كَُاهُواْ يَُؼْلَمُونَ :ُ سُورة اُمبلرة :ُ اُلٓية 102

ความว่า “และพวกเขาได้กระทาตามสิ่งที่ชัยฏอนทั้งหลาย ในสมัยนบี สุลัยมานอะลัยฮิสสลามอ่านให้ฟัง ซึ่งนาวิชาไสยศาสตร์ออกเผยแพร่และปฏิบัติกัน และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธาโดยสอนผู้คนทั้งหลายซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอิกะฮ์ทั้งสอง คือ ฮารูตและมารูต ณ เมืองบาบี้ล (กล่าวคือวิชาไสยศาสตร์ที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงให้มะลาอีกะฮ์ทั้งสองนามาเพื่อทดสอบความ อีหม่านของบนีอิสรออีล และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย (กล่าวคือ จงอย่าศึกษามันเลยเพราะเป็นการปฏิเสธศรัทธา) และมนุษย์ทั้งหลายก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันสู่ความแตกแยกระหว่างคนหนึ่งกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทาให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงพวกเขารู้แล้วว่า แน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น (คือผู้ที่เชื่อไสยศาสตร์และยึดถือมัน) ในวันอาคิเราะฮ์ก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใดๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริงๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้นหากพวกเขารู้”
อาจจะมีพี่น้องของเราอีกส่วนหนึ่ง ที่เข้าร่วมและพัวพันกับเวทมนต์คาถา ซึ่งคิดเอาเองว่าเป็นบาปเล็ก แต่หารู้ไม่ว่า มันคือ บาปใหญ่ และเป็นการสร้างชิริกภาคีต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) ท่านพี่น้องทราบหรือไม่ว่า บทลงโทษในโลกดุนยาของผู้เล่นคาถาอาคมคือการถูกปลิดชีวิต

ท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

اِجْتَُنِبُوا اُمسَ بْعَ اُمْمُوْبِلَاتُِ فَُذَنَرَمِنََّْا اَُمسِّحْر: مُتفق ػُليوُ

ความว่า “ท่านทั้งหลายจงออกห่างไกลจากเจ็ดความพินาศหนึ่งใน เจ็ดคือ اَمسِّحْرُُ ไสยศาสตร์หรือคาถาอาคม”

และนบีมูฮาหมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า
حَدُّ اُمسَاحِرِضََْبُوُ بُِِمسَ يْفِ :ُُ رُواه اُمتَمذي
ความว่า “โทษทันต์ของ اَمسَاحِرُُ นักเวตมนต์เล่นคาถาอาคมคือการฟันเขาด้วยคมดาบ”

จากท่านบุญาละฮ์บินอับดะฮ์ (بَُُالََُ بُْنُ غَُبْدَةُُ ) กล่าวว่า
أَتاَنََ نُِتَابُ عََُُرَ رَُضَِِاُللُُ غَُنْوُ كَُبْلَ مَُوْتِوِ بُِسَ نَةٍ أَُنِ اُكْتُلُوْا كَُُُ سَُاحِرٍ وَُسَاحِرَةٍُ
ความว่า “ได้มีสารจากท่านค่อลีฟะฮ์ อุมัรบินค๊อฏฏ๊อบ ร่อฎิยั้ลลอฮุอันฮุ ก่อนการตายของท่านเพียงหนึ่งปีมายังพวกเรา มีใจความว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่าทุกนักเวทมนต์คาถาอาคมทั้งหญิงและชาย”

จากท่านอะลีบินอะบีฏอลิบกล่าวว่า
اَمْكاَىِنُ سَُاحِرٌُ وَُامسَاحِرُُ كُاَفِرٌُ
ความว่า “ผู้ทานาย ทายทักคือซาหิรและซาหิรคือผู้ปฏิเสธศรัทธา”

ท่านอะบีมูซา ร่อดิยัญลอฮุอัลฮุ กล่าวว่าท่านนบีมูฮาหมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า
ثَلاَثَةٌ لُاَ يَُدْخُلُوْنَ اُمْجَنَةَ مُُُدْمِنُ اُمْخَمْرِ وَُكَاطِعُ رَُحِمٍ وَُُمُصَدِّقٌ بُِِمسَاحِرُِ :ُُُ رُُواه اُحْدُ
وابن حُبان وُابويؼلَ وُالحاكمُ
ความว่า “สามจาพวกจะไม่ได้เข้าสวรรค์ 1. ผู้เสพสุรา 2. ผู้ตัดขาดเครือญาติ 3. ผู้ที่เชื่อต่อเวทมนต์ และในทานองเดียวกัน การรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยคาถาอาคมหรือแขวนเครื่องรางของขลังและการทาเสน่ห์ยาแฝด”
ดั่งท่านนบีมูฮาหมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า

أَمرُّقََ وَُامتَمَائُِِ وَُامتِّوَلََُ شُِِْكٌ :ُُ رُُواه اُحْد وُابوداود
ความว่า “การรักษาด้วยเวทมนต์ การแขวนเครื่องรางของขลัง การทาเสน่ห์ยาแฝด เป็นชิริก (شِِْكٌُ )”
ท่านค๊อฏฏอบีย์ (اَمْخَطَابُِ ) รอฮีมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า อนึ่งการรุกยะฮ์ชัรอียะฮ์ คือการรักษาโรคภัยไข้เจ็บหรือถูกทาของ (ไสยศาสตร์) ด้วยกุรอานหรือพระนามของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เป็นที่อนุญาต เนื่องจากท่านนบีได้ทาการรักษาและขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ให้แก่หลานของท่านนามว่า หะซันและหุซัยน์ ร่อฎิยั้ลลอฮุอันฮุ มาด้วยสานวณดังนี้

اُغِيْذُكُُمَبِكََِمَاتِ اُللِ اُمتَامَةِ مُِنْ كُُُِّ شَُ يْطَانٍ وَُىَامَةٍ وَُمِنْ كُُُِّ ػَُيٍْْ لُاَمَةٍ :ُُ رُواه اُمبخاري
ความว่า “และท่านกล่าวว่า ท่านนบีอิบรอฮีม ก็ปฏิบัตเช่นนี้แก่นบี อิสมาอีลและนบีอิสหากอะลัยฮิมัสสลาม”
أَكُوْلُ كَُوْلِِْ ىَُذَا وَُأَسْ تَغْفِرُ اُللَ اُمْؼَظِيَْْ لُِِْ وَُمَكُُْ وَُمِسَائِرِ اُمْمُسْلِمِيَْْ وَُامْمُسْلِمَاتُِ
هوَُ ىُُوَ اُمْغَفُوْرُ اُمرَحِيُُْْ
ِ
فَاسْ تَغْفِرُوْهُ اُ



ตะกรุดน้ำมันดุหยงหลงเหยื่อ ไม่มีในอิสลาม


มันคิดคาดไม่ถึง เมื่อได้อ่านบทความเรื่่องน้ำตาปลาพยูน หรือน้ำมันดุหยง บอกว่าถูกเสกเป่าโดยมุสลิม อันทำให้เพศตรงข้ามหลงเสน่ หลงรัก ว่ามีอยู่ในสังคมมุสลิมบ้านเรา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องไสยศาสตร์ การทำเสน่ห์ ยาแฝด ที่เป็นที่ต้องห้าม และเป็นบาทใหญ่ในอิสลาม

ท่านนบี มุหัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า

اِجْتَُنِبُوا اُمسَ بْعَ اُمْمُوْبِلَاتُِ فَُذَنَرَمِنََّْا اَُمسِّحْر: مُتفق ػُليوُ

ความว่า “ท่านทั้งหลายจงออกห่างไกลจากเจ็ดความพินาศหนึ่งใน เจ็ดคือ اَمسِّحْرُُ ไสยศาสตร์หรือคาถาอาคม”
(บันทึกหะดิษโดยอิมามบุคอรีย์ และมุสลิม)

ยังไงลองอ่านบทความนี้แล้วกัน

“สุดยอดน้ำมันเสน่ห์ในตำนาน ที่ร่ำลือว่าแรงไม่แพ้น้ำมันพราย”
น้ำตาปลาพยูน หรือปลาดุหยงที่คนทางมุสลิมเรียกนั้น เป็นที่ลือเลื่องมาแต่ครั้งโบร่ำโบราณมานานแล้วว่า เป็นยอดในเรื่องทางเสน่หา ผูกจิต มัดใจให้หลงรักคลั่งไคล้ดั่งต้องมนต์ ใครมีของแท้ๆพกติดตัวไว้แม้นปลายสำลี ไม่ต้องกลัวเรื่องขาดแคลนคนรักหรือคู่ครอง แถมยังอุดมไปด้วยโภคทรัพย์นานาประการ ทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย นับได้ว่าเป็นยอดปรารถนาของผู้รู้ในแถบแหลมมลายู ทั้งชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ซึ่งใครมีต่างหวงแหนและเก็บงำซ่อนเร้นไว้ เพราะกลัวจะมีคนมาขอ มาขโมยเอาไป พวกหมอเสน่ห์และอาจารย์ไสยเวทย์ทั้งหลายมักจะขวนขวายหามาทำพิธีปลุกเสก เพื่อให้บังเกิดเป็นยอดน้ำมันเสน่ห์ เพื่อเอาไว้สงเคราะห์ให้กับลูกศิษย์ลูกหาที่มีความต้องการด้านนี้เป็นการเฉพาะ

กล่าวถึงในการจัดสร้างตะกรุดน้ำมันดุหยงหลงเหยื่อครั้งนี้ ได้ผ่านพิธีกรรมการสร้างอย่าพิถีพิถันตามจารีตประเพณีโบราณ เริ่มตั้งแต่ได้รับมอบหัวเชื้อก้อนสำลีที่ใช้ซับน้ำตาปลาดุหยงมาจากบ้านคุณยาย(แม่แก่)หน่อเนื้อเชื้อสายโนราห์ ซึ่งคุณยายท่านนี้ได้รับหัวเชื้อนี้มาตั้งแต่สมัยท่านยังสาวๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้ก็กินเวลาล่วงเลยมากว่า 50ปีแล้ว ซึ่งท่านหวงแหนและเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีโดยได้ต่อเชื้อใส่น้ำมันหล่อเลี้ยงเอาไว้ ครั้นเมื่อได้หัวเชื้อน้ำตาปลาดุหยงมาแล้ว ก็ได้ทำการพลีกรรมบอกกล่าวครูบาอาจารย์ ผสมเข้ากับน้ำมันหอมสูตรเฉพาะ และบรรจุใส่หลอดแก้วขนาดตะกรุดเพื่อให้พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก

ซึ่งในส่วนของหลอดตะกรุดนั้นจัดสร้างด้วยเนื้อชนวนมงคลทองสัมฤทธิ์ แกะเดินลายฉลุแบบโบราณอย่างพิถีพิถัน คล้ายงานลงถมของทางภาคใต้ จึงทำให้เกิดความสวยงามทั้งในด้านรูปลักษณ์และดีไซน์ ที่แลดูโดดเด่นมองดูเรียบหรู แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเข้มขลังแบบโบราณ นับได้ว่าเป็นงานที่ความขลังมาพบพานกับความสวยงามได้อย่างลงตัวที่สุด

ตะกรุดน้ำมันดุหยงหลงเหยื่อ รุ่นนี้ได้ผ่านพิธีปลุกเสกกำกับพระเวทย์จากอาจารย์สายฆราวาสผู้เรืองเวทย์ถึง 3พิธีทั้งทางไทยพุทธและไทยมุสลิม

ครั้งที่ 1ได้รับการชุบอาคมจากท่านหมอแซม แห่งดอนหลา อาจารย์ฆราวาสผู้เรืองเวทย์ที่มีผู้นับถือมากมาย ผู้สืบทอดคาถาอาคมสายทวดถ้ำพระเขาเมือง ซึ่งหมอแซมท่านนี้ท่านนี้ดังเรื่องสายวิชาเสน่ห์เมตตามานานมากแล้ว วันนั้นท่านได้ชุบอาคมให้แบบเข้มขลังกินเวลานานหลายชั่วโมง จึงเชื่อขนมกินได้เลยว่าตะกรุดน้ำมันดุหยงหลงเหยื่อ แรงแน่นอน

ครั้งที่2ได้รับการปลุกเสกเดี่ยวจากท่านอาจารย์ชัย บ้านปากคลองเก่า ซึ่งอาจารย์ชัยท่านนี้เป็นผู้ที่ได้รับการสืบทอดตำราพิไชยสมบัติสายเขาอ้อ ท่านได้เมตตาปลุกเสกร่ายมนต์ครอบเสน่ห์ โภคสมบัติให้บังเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้ตะกรุดน้ำมันดุหยงรุ่นนี้ ตราบฉายแสงสุริยัน จนแลสิ้นแสงจันทรา

ครั้งที่3 ได้รับการมนต์และตบแป้งมหาเสน่ห์โดย โต๊ะยีผาด แห่งนาบินหลา โต๊ะครูผู้มีอำนาจจิตกล้าแข็ง สืบสายวิชามาจากแขกเล เคยเป็นถึงหมอไสยเวทย์ประจำคณะหนังตะลุง คณะแจ้งบอดอันโด่งดัง โต๊ะยีได้ทำการมนต์พร้อมตบแป้งอัดพลังใส่ตะกรุดดุหยงหลงเหยื่อนี้ตามศาสตร์ของทางมุสลิมให้เป็นพิเศษ เพราะวิชาน้ำมันดุหยงมหาเสน่ห์เป็นวิชาที่ท่านถนัดและชำนาญเป็นพิเศษ ว่ากันว่าขนาดของๆท่านที่ทำการมนต์เพียงชั่วครูเพียงไม่กี่นาที มีคนนำเอาไปใช้แล้วยังก่อประสบการณ์ด้านเสน่ห์มากมายนับไม่ถ้วน แต่นี่ท่านจัดเต็มให้ขนาดนี้ ไม่แรงก็ไม่รู้ว่าไงแล้ว

วิธีใช้ตะกรุดน้ำมันดุหยงหลงเหยื่อนี้ สามารถนำมาห้อยคอ คาดเอวหรือพกพาเป็นพวงกุญแจได้ทั้งนั้นเอาตามที่เราสะดวก ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องเปิดเอาน้ำมันข้างในออกมาใช้แต่ประการใด เพราะแต่โบราณนั้นเชื่อกันว่า “เพียงแค่ใช้ติดตัวพกพา จะมีวาสนาในเรื่องเพศตรงข้าม และคนที่หมายปอง จะหลงรักปักใจในเรา มิรู้สิ้น” และที่สำคัญน้ำมันชุดนี้ทำมาได้จำนวนน้อย หากใช้แล้วหมดไป นับว่าน่าเสียดายมากนักแลฯ
**ตะกรุดน้ำมันดุหยงหลงเหยื่อนี้ สามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ใช่มนต์ดำ ไม่มีเข้าตัว ปลอดภัยไร้กังวลทุกประการ
ตะกรุดน้ำมันดุหยงหลงเหยื่อ บูชาครูเพียงดอกละ 600 บาทเท่านั้น (พร้อมมีคาถาให้ไว้กำกับ)




โต๊ะบอมอ หมอผีอิสลาม


หมอผี เป็นหมอพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในสังคมมุสลิมได้เยอะที่สุด ในทางจิตเวชศาสตร์ ยังมีอีกหลายโรคในด้านนี้ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่หลายโรคก็สามารถอธิบายได้ ด้วยเรื่องของ ‘สารสื่อประสาท’ จึงได้มีการคิดค้นยาเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยทางจิตเวช แต่ที่นี้บ้านเรา ความรู้ในเรื่องนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจของชาวบ้านนัก ทำให้หลายคนเลือกที่จะใช้บริการโต๊ะบอมอแทนที่จะไปโรงพยาบาล

ปัญหาก็คือว่าโต๊ะบอมอพวกนี้ จะมีภาพลักษณ์อิงไปในทางของศาสนาอิสลาม แต่เนื้อแท้เป็นเช่นนั้นหรือปล่าวมิอาจทราบได้ หมอผีอิสลามใส่เสื้อโต๊ป ถือลูกประคำ อ่านอายะฮฺกุรอานบ้างบางส่วน แต่จริงแล้วในคำสวดก็มีการพูดถึงผีสาง บรรพบุรุษ เลยเถิดไปถึงการมีของปลุกเสก ผ้ายันต์อิสลาม (เขาอ้าง) ที่มีรูปดาบปลายสองแฉกของท่านอะลี มีรูปเสือ รูปงู (สัญลักษณ์ญิณ) อายะฮฺอัลกุรอาน รวมถึงข้อความพยัญชนะอาหรับแบบมั่ว ๆ ที่ที่ไม่ใช่ภาษาอาหรับ ! นี่ยังไม่นับรวมถึงพิธีกรรมที่ทำถึงขนาดให้ผู้ป่วยหญิงถอดหิญาบเห็นเอารัต แล้วให้ผู้ช่วยผู้ชายมานั่งล้อมวงคอยจับมือจับแขน โต๊ะบอมอพวกนี้อีกโฉมหน้าหนึ่งก็เป็นโต๊ะครูด้วย ถึงขนาดทำคลิปสอนวิธีการรักษาในลักษณะนี้เผยแพร่ด้วยซ้ำ

ที่น่ากลัวซ้ำซ้อนคือ โต๊ะบอมอพวกนี้ มักถูกปกป้องด้วยชาวบ้าน ถึงขั้นจะต่อยเตะผู้ที่จะมาทดสอบความจริงจากโต๊ะบอมอของพวกเขา ในเรื่องของการรักษานั้น บางอย่างก็ร้ายกาจและช่างอัปยศต่อสังคมเป็นที่สุด คือมีการหาแพะ! คู่กรณีที่พบบ่อยที่สุดในบ้านเราคือ การมีเมียน้อย พอสามีไปมีเมียน้อย ภรรยาคนแรกก็จะมีอาการเครียด และสุดท้ายก็มีอาการทางจิตเวช เช่นซึมเศร้า เห็นภาพหลอน เขาก็จะพาไปหาโต๊ะบอมอ โต๊ะบอมอก็จะทำพิธีต่าง ๆ แล้วก็จบลงด้วยคำกว่าหาจากหมดผีวว่า ถูกภรรยาอีกคนหนึ่งทำของใส่ ก็เลยเกิดฟิตนะฮฺความเกลียดชังระหว่างมุสลิมด้วยกัน เลยเถิดไปถึงมีการทำของกลับไป เกิดการเชื่อในของปลุกเสก จนอาจนำไปสู่ชิริกหรือการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺได้ ทั้งที่เรื่องนี้สามารถที่จะอธิบายได้ด้วยหลักการทางการแพทย์ เนื่องจากความเครียดทำให้สารสื่อประสาทในสมองแปรปรวน และกลายเป็นตัวกระตุ้น ทำให้คนบางคนมีอาการทางจิต ซึ่งสามารถที่จะรักษาได้ ด้วยการปรับสารสื่อประสาท ด้วยยาและการบำบัด ซึ่งเรื่องนี้ก็มีการรักษาในทางอิสลามที่ถูกต้องด้วย แต่ก็พบเจอได้น้อยในทางปฏิบัติ

ความนิยมในหมอผีอิสลามของบ้านเรา ผมคิดว่าส่วนหนึ่งก็เป็นความเข้าใจผิดของชาวบ้านที่เชื่อว่าการรักษากับหมอบ้าน จะได้ให้ศาสนาเข้ามาช่วยในการรักษามากกว่าการรักษาในโรงพยาบาล ทั้งที่การรักษาด้วยแนวทางการแพทย์สมัยใหม่บ่างเรื่องถูกปฏิเสธด้วยหลักการของอิสลาม และการรักษากับหมอบ้านในหลายกรณีก็เลยเถิดจากแนวทางของอิสลามด้วยซ้ำไป จนกลายเป็นฟิตนะฮฺและอาจจะนำไปสู่ซิริก แต่เมื่อมองอีกด้านก็ต้องยอมรับว่าเราขาดบุคลากรด้านการแพทย์นี้ซึ่งเป็นหมอมุสลิมที่เข้าใจหลักการศาสนา เวลารักษาก็สามารถที่จะเชื่อมโยงเข้ากับศาสนาได้ ทำให้ชาวบ้านไม่ไว้ใจ อีกทั้งชาวบ้านเองก็ถูกทำให้เชื่อและไปแยกความเข้าใจว่าหมอหรือโรงพยาบาลไม่มีทางเข้ากับศาสนาได้ ทั้งหมอมุสลิมและชาวบ้านมุสลิม จึงมีกลิ่นไอเซคคิวลาห์ติดตัวอยู่คนละนิด

เหตุการณ์ต่างๆที่ได้ยกตัวอย่างมา เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของปัญหาทางสาธารณะสุขและปัญหาสังคม โดยเฉพาะในสังคม 3 จังหวัด (ไม่แน่ว่าเป็นมากเฉพาะในหมู่มุสลิมด้วยมั้ย) แต่ผมเชื่อว่าปัญหาพวกนี้สามารถที่จะคลี่คลายได้ด้วยความรู้ศาสนาที่ถูกต้อง ตรรกะ และวิธีคิดในเชิงเหตุและผลและทัศนคติต่อสิ่งต่างๆที่ถูกต้อง และนี้เป็นสิ่งที่คนรุ่นเราจะต้องช่วยกันพัฒนาตัวเราเองและเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นในทางสาธารณะสุขหรือในทางอื่นก็ตาม


วัลลอฮุอะลัม.

เขียนโดย Narater









วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

บทดุอาอฺรักษาอาการป่วยหรือเจ็บปวดตามร่างกาย




วิธีที่ 1. ให้ทำการอ่าน ซูเราะฮ์อัลอิคลาศ(กุลฮุวัลลัลลอฮ์), ซูเราะฮ์อัลอะลัก, และซูเราะฮ์อันนาส หลังจากนั้นทำการเป่าที่ร่างกายหรือสถานที่มีอาการเจ็บปวดแล้วใช้มือขวาลูบ ตรงบริเวณดังกล่าว
วิธีที่ 2. เอามือขวาวางที่อวัยวะหรือสถานที่มีอาการเจ็บปวด แล้วกล่าวบิสมิลลาฮ์ 3 ครั้ง แล้วขอดุอาอีก 

7 ครั้งว่า
أَعُوذُ بِاللَّهِ وَقُدْرَتِهِ مِنْ شَرِّ مَا أَجِدُ وَأُحَاذِرُ
“อะอูซุลิลลาฮ์ วะกุดร่อติฮี มิน ชัรริ มาอะญิดุ้ วะอุหาษิรุ้”
ความหมาย “ฉันขอความคุ้มครองด้วยกับอัลเลาะฮ์และความเดชานุภาพของพระองค์จากความเลวร้ายที่ฉันได้พบและได้ระวัง”
วิธีที่ 3. เมื่อเจ็บป่วย เป็นไข้ และมีอาการเจ็บปวด ให้กล่าวดุอาว่า

بِسْمِ اللهِ الْكَبِيْرِ ، نَعُوْذُ بِاللهِ الْعَظِيْمِ مِنْ شَرِّ عِرْقٍ نَعَّارٍ وَمِنْ شَرِّ حَرِّ النَّارِ
“บิสมิลลาฮิลกะบีร นะอูษุบิลลาฮิลอะซีม มินชัรริอิรกินนะอฺอาร และว่ามินชัรริหัรรินนาร”
ความ หมาย “ด้วยพระนามของอัลเลาะฮ์ผู้ทรงเกรียงไกร เราขอความคุ้มครองด้วยกับอัลเลาะฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ จากความเลวร้ายของเลือดที่ขึ้นพุ่งสูง(เพราะหากเลือดขึ้นสูงอาจจะทำให้เส้น เลือดในสมองแตก)และความเลวร้ายจากความร้อนของไฟนรก”

ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ได้กล่าวว่า
أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ إِذَا اشْتَكَى يَقْرَأُ عَلَى نَفْسِهِ بِالْمُعَوِّذَاتِ وَيَنْفُثُ فَلَمَّا اشْتَدَّ وَجَعُهُ كُنْتُ أَقْرَأُ عَلَيْهِ وَأَمْسَحُ بِيَدِهِ رَجَاءَ بَرَكَتِهَا
“แท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อท่านป่วย ท่านจะอ่านซูเราะฮ์อัลอิคลาศ, ซูเราะฮ์อัลฟะลัก, และซูเราะฮ์อันนาส, บนตัวท่านและท่านก็เป่า ดังนั้นในขณะที่ท่านปวดศีรษะอย่างหนัก ฉันจะอ่านบนท่าน และลูบด้วยมือของท่านเพื่อหวังบะร่อกะฮ์(เพราะมือท่านนะบีย์มีบะร่อกะฮ์ยิ่ง กว่า)” รายงานโดยอัลบุคอรีย์, ฮะดีษลำดับที่ 5016, และมุสลิม, ฮะดีษลำดับที่ 2196.

ท่านอุษมาน บิน อะบีลอาศ อัษษะก่อฟีย์ ได้กล่าวว่า

أَنَّهُ شَكَا إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَجَعًا يَجِدُهُ فِي جَسَدِهِ مُنْذُ أَسْلَمَ فَقَالَ لَهُ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ضَعْ يَدَكَ عَلَى الَّذِي تَأَلَّمَ مِنْ جَسَدِكَ وَقُلْ بِاسْمِ اللَّهِ ثَلَاثًا وَقُلْ سَبْعَ مَرَّاتٍ أَعُوذُ بِاللَّهِ وَقُدْرَتِهِ مِنْ شَرِّ مَا أَجِدُ وَأُحَاذِرُ
“เขา ร้องทุกข์ยังท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงอาการเจ็บปวดที่ร่างกายตั้งแต่เขารับอิสลาม ดันนั้นท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจงวางมือ(ขวา)ของท่านตรงที่มีอาการเจ็บปวดบนร่างกายของท่าน และจงกล่าวว่า บิสมิลลาฮ์ 3 ครั้ง และจงกล่าวว่า อะอูซุลิลลาฮ์ วะกุดร่อติฮี มิน ชัรริ มาอะญิดุ้ วะอุหาษิรุ้” รายงานโดยมุสลิม, ฮะดีษลำดับที่ 2202.

รายงานจากท่านอิบนุอับบาส ความว่า
أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يُعَلِّمُهُمْ مِنَ الأَوْجَاعِ وَمِنَ الْحُمَّى أَنْ يَقُوْلَ : بِسْمِ اللهِ الْكَبِيْرِ ، نَعُوْذُ بِاللهِ الْعَظِيْمِ مِنْ شَرِّ عِرْقٍ نَعَّارٍ وَمِنْ شَرِّ حَرِّ النَّارِ
“แท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำการสอนพวกกเขากล่าวอันเนื่องจากอาการเจ็บปวดและเป็นไข้ว่า บิสมิลลาฮิลกะบีร นะอูษุบิลลาฮิลอะซีม มินชัรริอิรกินนะอฺอาร และว่ามินชัรริหัรรินนาร” รายงานโดยท่านอัลฮากิม, อัลมุสตัดร็อก, เล่ม 4 หน้า 414, ฮะดีษนี้ซอฮิห์, และท่านอัซซะฮะบีย์เห็นพร้อง.
"หากสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นไปตามที่ท่านปรารถนา ถือว่าท่านได้รับการอำนวยพร และหากว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ถือว่าท่านได้รับการอำนวยพรมากมายเช่นกัน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ" อัลฮัมดุลิลละฮฺ
"พวกเขาวางแผน หากแต่อัลลอฮฺก็ทรงวางแผนเช่นกัน อัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงวางแผนที่ดียิ่ง" (ซูเราะหฺอัลอิมรอน 54)