อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เตาฮีด




 เตาฮีด คือ การยอมรับในการที่จะปฏิบัติอิบาดะฮฺ (เคารพบูชา) ต่ออัลลอฮ์แต่เพียงผู้เดียว ☝

เตาฮีดแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ :

🌸 1. เตาฮีด อัร-รุบูบียะฮฺ : คือการที่เราเชื่อว่าอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา คือผู้สร้าง การสร้างในที่นี้คือ การสร้างในสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างได้ ไม่สามารถลอกเลียนแบบอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ และมันเกินความสามารถของมนุษย์คนหนึ่งที่จะทำได้ เช่น การสร้างดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ชั้นฟ้า แผ่นดิน การให้ริสกี (ปัจจัยยังชีพ) การให้เป็น-ให้ตาย ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะสร้างได้ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่จะสร้างมดหรือแมลงวันได้ แม้เพียงตัวเดียว ไม่มีผู้ใดที่จะทำได้เทียบเท่าหรือเหมือนอัลลอฮ์ และถ้าเชื่อว่ามีผู้ใดสามารถทำได้เช่นนั้น นั่นคือการทำชิริก (ตั้งภาคี) ต่ออัลลอฮ์

นอกจากนี้ ในเรื่องของริสกี ก็ไม่มีผู้ใดสามารถให้ริสกีได้ นอกจากอัลลอฮ์ หากจะกล่าวว่ามนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้ให้ริสกี ย่อมต้องหาต้นตอที่มาของริสกีนั้นกันอย่างไม่จบไม่สิ้น และริสกีที่เราได้รับกันอยู่ทุกวันนี้ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็คืออากาศที่เราใช้หายใจ มีใครให้กับเราได้บ้าง นอกจากอัลลอฮ์

อนึ่ง จักรวาลที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว โคจรอย่างเป็นระบบตามรอบวงโคจร และมีรูปทรงเฉพาะของมัน หากไม่มีผู้สร้างและวางระบบมันแล้วไซร้ มันจะโคจรอย่างเป็นระบบ และมีรูปทรงเฉพาะของมันได้สมบูรณ์อย่างนี้หรือ? อยู่ดี ๆ ก้อนฝุ่นในอวกาศมันจะรวมตัวกันเองได้อย่างบริบูรณ์ โดยไม่มีผู้ควบคุมมันได้อย่างไร?

ดังนั้น เตาฮีด อัร-รุบูบียะฮฺ ก็คือ การที่เราเชื่อว่าอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงอภิบาลในทุก ๆ สรรพสิ่ง โดยไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทำไม่ได้ และไม่มีผู้ใดจะทำได้เหมือนกับพระองค์ หรือเทียบเท่ากับพระองค์

🌺 2. เตาฮีด อัล-อุลูฮียะฮฺ : คือเตาฮีดในเรื่องของการอิบาดะฮฺ กล่าวคือ บ่าวจะต้องกระทำการปฏิบัติอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่เพียงผู้เดียว จะทำต่อผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด และถ้าเราไปทำอิบาดะฮฺต่อผู้อื่น ก็เท่ากับว่าเราทำชิริก (ตั้งภาคี) ต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

การอิบาดะฮฺนั้น ไม่ได้หมายถึงเพียงการละหมาดอย่างเดียว แต่รวมอยู่ในหลาย ๆ เรื่องด้วยกัน เช่น "อัลฮัมดุ" (การสรรเสริญ) "อัลฮัมดุลิ้ลลาฮิร็อบบิ้ลอาละมีน" (มวลการสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก) เป็นต้น ดังนั้น เราจะสรรเสริญใคร ก็ต้องไม่เป็นการสรรเสริญที่เกินขอบเขตของความเป็นมนุษย์ แต่ถ้ายกระดับบุคคลคนหนึ่งเกินขอบเขตของความเป็นมนุษย์ กระทั่งมากกว่าอัลลอฮ์ หรือเทียบเท่าอัลลอฮ์ หรือสรรเสริญจนเลยเถิด ก็เท่ากับว่าเราได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์แล้ว เพราะเราไปอิบาดะฮฺต่อเขาด้วยกับการสรรเสริญจนเกินความพอดี

สำหรับการขอพร (อัด-ดุอาอฺ) นั้น เราจะขอสิ่งใด ก็ต้องขอต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่เพียงผู้เดียว จะไปขอผ่านสื่อกลาง (วะซีละฮฺ) ไม่ได้ จะไปขอต่อต้นไม้ ก้อนหิน เจว็ต หรือสิ่งไม่มีชีวิตอื่น ๆ ก็ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องขอจากอัลลอฮ์ ส่วนการขอจากมนุษย์ในดุนยาในสิ่งที่เป็นไปได้ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เช่นนี้สามารถทำได้ อาทิ การขอความช่วยเหลือ ขออาหาร ขอเงิน และอื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ เราจะมอบหมาย (อัต-ตะวักกุ้ล) ต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ไม่ได้

กล่าวได้ว่า การสรรเสริญ การขอดุอาอฺ การมอบหมาย การรุกั๊วะ การสุญูด รวมถึงการขอความคุ้มครอง ฯลฯ เหล่านี้ เป็นการปฏิบัติอิบาดะฮฺที่ต้องทำต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เท่านั้น

"อียากะนะอฺบุดุ วะอียากะนัสตะอีน" (เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราเคารพภักดี และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ) นี่คือสิ่งที่เรากล่าวในทุกครั้งที่อ่านซูเราะห์ อัล-ฟาติฮะฮฺ ในทุกเวลาละหมาด

🌼 3. เตาฮีด อัล-อัสมาอฺ วัศ-ศิฟาต : คือการเชื่อว่าอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีหนึ่งเดียวในด้านของคุณลักษณะต่าง ๆ และทรงมีหนึ่งเดียวในด้านของพระนามต่าง ๆ

คุณลักษณะของอัลลอฮ์ไม่ได้มีเพียงแค่ 20 คุณลักษณะ อย่างที่ใครหลาย ๆ คนเข้าใจ ทั้งนี้ คุณลักษณะของอัลลอฮ์และพระนามของอัลลอฮ์นั้น มีความสอดคล้องกัน

เช่น พระนาม "อัล-ฆ่อฟู๊ร" (ผู้ทรงให้อภัย) : เราก็จะต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงให้อภัยจริง ๆ ไม่ได้มีใครที่จะให้อภัยไปได้มากกว่าอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้ว และถ้าเชื่อว่ามีใครให้อภัยได้มากกว่าหรือเทียบเท่ากับอัลลอฮ์ ก็เท่ากับว่าคน ๆ นั้นตั้งภาคีต่อพระองค์

พระนาม "อัร-ร่อฮีม" (ผู้ทรงเมตตา) : เราก็ต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตาที่สุด ไม่มีใครเมตตามากไปกว่าหรือเทียบเท่ากับพระองค์อีกแล้ว เป็นต้น

ไม่มีผู้ใดที่จะมีลักษณะดีไปกว่าหรือเทียบเท่ากับอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

------------------

สรุปความจาก : "วิธีการจำแนกเตาฮีดแบบง่าย ๆ" โดย อ.รออีส ศรีทับทิม https://youtu.be/ZlFjuvJlhvY



ผู้รู้บิดเบือน ขายศาสนา



ผู้รู้บิดเบือน ขายศาสนา อ่านแล้วสะดุ้ง !!!
- อิบนุลอัฏฏ๊อร ปราชญ์จากมัศฮับอัชชาฟิอีย์ผู้ยึดมั่น
ในอะกีดะฮ์สะลัฟ กล่าวว่า : ถือเป็นความถูกต้องที่จะดูหมิ่นเหยียดหยาม
-พวกบิดเบือนในคราบอุละมาอ์(ผู้มีความรู้)
-พวกเปลี่ยนแปลงความรู้(ทำถูกให้เป็นผิด)
-พวกที่ไม่เห็นคุณค่าของความรู้
- พวกขายความรู้ด้วยราคาที่ไร้ค่าแลกกับความเพริดแพร้วและอารมณ์
ความใคร่ของดุนยา
และถ้าพิจารณาตามนัยยะของอัลกุรอานและอัลหะดีสแล้วถือว่าพวก
เหล่านี้ตกเป็นกาฟิรเลยทีเดียว ไม่ว่าพวกเหล่านี้จะเป็นพวกตีความหรือเป็น
พวกเจตนาบิดเบือนก็ตาม ส่วนคนที่ไปดูถูกเหยียดหยามคนพวกนี้ไม่ถือว่า
เป็นกาฟิรและไม่ถือว่าเป็นคนชั่วคนเลวแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายัง
ได้ผลบุญตอบแทนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเจตนา(ในการดู
หมิ่น)ให้เกิดการหนีห่างละทิ้งจากสิ่งที่พวกเหล่านั้นเป็นอยู่ และมุ่งให้
ศาสนานั้นปรากฏอย่างถูกต้องชัดเจน และดำรงไว้สืบไป.
.
(จากหนังสือ อัลเอี๊ยติก๊อด ของอินุลอัฏฏ๊อร อัชชาฟิอีย์ (หน้าที่ 175-176)
- ข้อสังเกตุ
- อิมาม อิบนุลอัฏฏ๊อร-ร่อฮิมุฮุลลอฮ์-(ตายปี ฮ.ศ. 724)
-เป็นปราชญ์ในมัสหับอิมามอัชชาฟิอีย์-ร่อฮฺมะฮุลลอฮ์(ตายปี ฮศ.204)
- เป็นศฺิษย์เอกท่านหนึ่งของอิมามอันนะวะวีย์-ร่อฮิมะฮุลลอฮ์-(ตายปี
ฮศ.676)

-ท่านอีมานยึดมั่นในเรื่องอิสติวาอ (การอยู่เหนือบัลลังก์ของอัลลอฮ์ตะอา
ลา)
-ท่านอีมานยืนยันการมีมือ ใบหน้า การเสด็จลงมาของพระองค์ยังฟ้าชั้นดุน
ยา การเห็นอัลลอฮ์ของชาวสวรรค์ด้วยตาเปล่า ตลอดจนความเชื่อต่างๆใน
คุณลักษณะของอัลลอฮ์ตะอาลา ตามที่อัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ได้
บอกเอาไว้ ไม่ตีความ บิดเบือน ปฏิเสธหรือเปรียบเทียบกับสิ่งถูกสร้างใดๆ
เหมือนที่บรรดาอิมามทั้งหลายที่ยึดแนวทางสะลัฟได้ถ่ายทอดกันมา
-ท่านได้เปิดโปงความชั่วร้าย ของพวกปฏิเสธลักษณะต่างๆของอัลลอฮ์เช่น
พวกญะฮ์มียะฮ์ ตำหนิ วิภาษอย่างรุนแรง พวกตีความและคลั่งในอิลมุลกะ
ลาม(ใช้ตรรกกะทางปัญญาในการตีความหรืออธิบายลักษณะของอัลลอฮ์
(เช่นพวกมวัะตะซิละฮ์ พวกอะชาอิเราะฮ์ พวกมาตุรีดียะฮ์ ......) และคำพูดนี้
ที่หยิบยกมา ก็มีที่มาจากพวกเหล่านี้
-ดังนั้น พวกนี้สมควรแล้วที่จะโดนลบหลู่ดูหมิ่น โดนดูถูกเหยียดหยาม.
- https://archive.org/stream/FP121879/121879…
- ขออัลลอฮตอบแทนความดีมากมายแด่เชค ยูนุส อัศศ่อบาฮีย์ -หะ
ฟิซ่อฮุลลอฮุวะร่ออาฮุ-ที่ได้กรุณาชี้นำให้เราได้เป็นข้อคิด สิ่งเตือนใจให้เรา
ตระหนักอยู่เสมอและตลอดไป.
- و جزى الله الشيخ أبا الحسين / يونس الصباحي خير الجزاء .

ทว่าแค่ร่อกะอัตเดียวที่มัสยิดอยู่ติดกับบ้านพวกเขากลายเป็นที่ที่ไกลสุด



ข้อคิดดีๆจากเชค ยูนุส อัศศ่อบาฮีย์ -หะฟิซ่อฮุลลอฮุตะอาลาวะร่ออาฮุ -

-พวกเขาพูดพร่ำร้องหาว่า : ซ่อลาฮุดดีน(แปลว่าคนศาสนาดี)อยู่ใหน?
-ฉันเลยพูดว่า : แล้วศ่อลาฮุนนัฟซ์บิดดีน(จิตใจดีด้วยการยึดมั่นในศาสนา
เล่าอยู่ใหน?
- พวกที่พูดเช่นนี้นี้ต้องการอยากไปละหมาดที่มัสยิดอัลอักศอกัน(แปลว่า
ไกลสุด)
แต่ทว่าแค่ร่อกะอัตเดียวที่มัสยิดอยู่ติดกับบ้านพวกเขากลายเป็นที่ที่ไกลสุด
สำหรับพวกเขา.

-ข้อคิดคือ
- การที่เราจะชนะศัตรูนั้นมิใช่เพียงเรามีแม่ทัพที่เก่งกาจอย่างท่านศ่อลาฮุด
ดีน อัลอัยยูบีย์เท่านั้น แต่ต้องเริ่มจากการขัดเกลาจิตใจให้เป็นบ่าวที่ดีขอ
งอัลลอฮ ยึดมั่นในหลักการอย่างถูกต้องเสียก่อน แล้วอัลลอฮจะทรงช่วย
เหลือให้เรามีชัยชนะเหนือศัตรู.
- บางคนอยากไปละหมาดที่มัสยิดอัลอักศอที่บัยตุลมักดิสอันไกลโพ้น แต่
มัสยิดที่อยู่ติดบ้านเขากลับไม่เคยจะโผล่หน้าไป.
เกร็ดความรู้
- ซ่อลาฮุดดีน อัลอัยยูบียคือชื่อแม่ทัพมุสลิมผู้พิชิตบัยตุลมักดิส มัสยิดอัล
อักศอ โดยมีชัยชนะเหนือพวกครูเสสที่พ่ายแฟ้อย่างย่อยยับในสมรภูมิ
หิฏฏีน (ปี 583 ฮศ. 1187 คศ.). ท่านเสียชีวิต 589 ฮ.ศ. 1193 คศ.


- ศ่อลาฮุดดีนแปลว่า ผู้มีศาสนาดี.แต่มักเรียกชื้อโดยไม่แปลกัน และได้นำ
มาเล่นคำในที่นี้.


วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

"เงิน"กับ"เวลา"



"เงิน"กับ"เวลา"ต่างกันมาก
"เงิน"ดูในบัญชียังพอรู้..
เหลือเท่ารัยแต่...
"เวลา"ที่เหลือสิ..
จะไปหาดูจากที่ไหน...
แล้วเราสะสมสเบียงเต็มรึยัง...!!




สวรรค์นั้นไปไม่ยากถ้าอยากจะไป


สวรรค์นั้นไปไม่ยากถ้าอยากจะไป
ก็ปฎิบัติในสิ่งที่อัลลอฮ์ใช้ แล้วก็ละเว้น
ในสิ่งที่อัลลอฮ์ห้าม เรื่องศาสนาไม่ใช่เรื่องยาก

อัลลอฮ์ทรงดำรัสว่า
และพระองค์ไม่ใด้ดลบันดาลให้มีความยากลำบากกับพวกท่านในเรื่องศาสนา(อัลฮัจย์:78)

ท่านนบี(ซ.ล)กล่าวว่า
แน่แท้ศาสนานั้นสะดวกง่ายดาย(บุคอรี:39)

มีชายคนหนึ่งใด้ถามท่านนบี(ซ.ล)ว่า ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร เมื่อฉันละหมาดตามที่ถูกกำหนด ฉันถือศิลอดในเดือนรอมาฏอน ฉันปฏิบัติสิ่งที่อนุมัติโดยถือว่าเป็นสิ่งอนุมัติ และฉันละเว้นสิ่งที่ต้องห้าม โดยถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม และฉันไม่เพิ่มสิ่งใดอีกแม้แต่น้อย ฉันใด้เข้าสวรรค์ใช่ไหม?ท่านนบี(ซ.ล)ตอบว่าใช่(รายงานโดย:มุสลิม)

อัลฮัมดุลิลลาฮ์
ยังไงก็อย่าลืมพาพี่น้องเราไปด้วยนะครับสวรรค์ เราจะขึ้นสวรรค์คนเดียวใด้ลงคอหรือ ขณะที่ท่านกำลังยืนมองพี่น้องท่านกำลังตกนรก อะไรที่ไม่ดีก็บอกกล่าวตักเตือนกันนะครับพี่น้องของเรา





อัลลอฮฺ มิได้สร้างรูปร่างของผักและผลไม้แบบไร้สาระ






هل تعلم ان الله سبحانه وتعالى لم يخلق اشكال الخضار والفواكه عبثا ~
ท่านรู้หรือไม่ว่า อัลลอฮฺ มิได้สร้างรูปร่างของผักและผลไม้แบบไร้สาระ

1. الجزر : يشبـه عدسة العين ..فعلاً أثبتت الأبحاث أن الجزر مفيد جداً للنظر.
1. แครอท(แกนกลาง) : อัลลอฮฺทรงสร้างแครอทให้คล้ายกับแก้วตา(กระจกตา) แน่นอน ผลการวิจัยได้พบว่า แครอทนั้น มีประโยชน์มากในเรื่องการ(บำรุงสาย)ตา(การมองเห็น)

2. الطماطم : لها أربع حجرات والقلب لونه أحمر وبه أربع حجرات:البطينين والأذينين..وكل الأبحاث الحديثة تؤكد أن الطماطم طعام القلب والــــدم.
2.มะเขือเทศ(แกนกลาง): จะแบ่งออกเป็นสี่ห้อง เหมือนหัวใจซึ่งมีสีแดงและมีสี่ห้องเช่นกัน สองห้องหัวใจสำหรับเลือดดำและแดงที่เข้าออก(ฟอก) และทุกการวิจัยปัจจุบันพบว่า มะเขือเทศเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจและเลือด.

3. العنب : يشبه الشكل الخارجي للقلب..وكل حبة عنب تشبه خلية دموية...!! ولقد أظهرت الأبحاث الآن أن العنب مفيد للقلب والدم أيضاً.
3. องุ่น : รูปร่างพวงอรุ่งดูด้านนอกนั้น เป็นทรงหัวใจ และทุกเมล็ดองุ่นนั้นเหมือนกับเซลล์เม็ดเลือด ...ผลการวิจัยปัจจุบัน พบว่า องุ่นนั้นมีประโยชน์ต่อหัวใจและเลือดเช่นกัน

4. عين جمل: يشبه جدا شكل الدماغ (المخ) بفصيه الأيمن والأيسر..حتى التلافيف الموجودة بداخله.. سبحان الله !! فعلا تؤكد الأبحاث أن تناول عين الجمل يساهم في نمو الكثير من الخلايا العصبية التي تساعد في أداء المهام الدماغية.
.
4. เมล็ดถั่ววอลนัท : คล้ายมากกับมันสมองคนมีซีกขวาซีกซ้าย ... มหาบริสุทธิ์ยิ่งนักเอกองค์อัลลอฮฺ ...แน่นอน ผลการวิจัยพบว่า การกิน เมล็ดถั่ววอลนัท นั้นช่วยพื้นฟูเซลล์ประสาทได้ดีมาก เพื่อช่วยต่อการทำงานของสมองได้ต่อไป

5. الفاصولياء : تشبــه الكلـى والفاصوليـآء تساعد الكلى في أداء مهامها.
.5. ถั่ว : (รูปร่างของมัน)เหมือนไต (ผลการวิจัยพบว่า) ถั่ว สามารถช่วยในเรื่อง(การบำรุง)ไตในเรื่องการทำงานของมันได้ดี

6. البصل : يشبه خلايا الجسم، وتظهر الأبحاث أن البصل يساعد في التخلص من فضلات الجسم، ويجعل عيون الانسان تدمع فتنظف طبقات العين.
6. หัวหอม : (รูปร่างมัน)เหมือนเซลล์ของร่างกาย และผลการวิจัยพบว่า หัวหอมสามารถช่วย ในการกำจัดของเสียในร่างกาย และหัวหอมทำให้ตาของมนุษย์มีน้ำตำไหลออกมาเมื่อสัมพัสกับมันมีผลดีในเรื่องการทำความสะอาดชั้นของตา

سبحان الله ♥
ขอการสรรเสริญจงมีแด่อัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้า
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ข้อมูลจาก... فن الديكور والرسم

แปลและเรียบเรียงโดย อาบู อับดุลบัร

เรียนภาษาอาหรับ تعلّم اللغة العربية



วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เมื่อพี่น้องโรฮิงญา ถูกเข่นฆ่า ถูกเผาทั้งเป็น ถูกข่มขืนรุมโทรม และถูกขับไล่จากบ้านเกิด
















ทหารพม่าติดอาวุธชาวบ้านยะไข่ บุกข่มขืนเด็กสาวโรฮิงญาเป็นว่าเล่น

Myanmar government arms non-Muslim civilians in Rakhine. They then raid Rohingya's villages, loot valuable things and rape women.

ทหารพม่าให้อาวุธคนยะไข่ เข้าไปหมู่บ้านมุสลิมโรฮิงญา ยะไข่มีอาวุธ ปืน มีด ดาบ เข้าไปแล้วก็ไปจับผู้หญิง คัดเลือกเอาคนที่อายุ 12-13ปี จากนั้นพวกยะไข่จะพาเข้าขึ้นไปบนบ้าน เอาผ้ามัดปาก แล้วข่มขืนเรียงคิว 3-4 คน จนหญิงสาวบางคนดิ้นตกลงมาจากบ้าน หญิงสาวเหล่านี้ตะโกนร้องไม่ได้เพราะมีผ้ามัดปากอยู่ พวกยะไข่จะมาค้นตัวผู้หญิงอีกหลาย ค้นทุกอย่าง ใครมีตุ้มหู หรือทรัพย์สินของมีค่า อะไรก็เอาไปหมด ถ้าไม่ให้จับไม่ให้ค้นจะทำร้ายร่างกาย เอาด้ามปืนตี พวกยะไข่ค้นบ้านกระจัดกระจาย โยนข้าวของทิ้ง ฉันขึ้นไปพบผู้หญิงที่โดนข่มขืน ชื่อเซตารา อีกคนชื่อซัมโบตานี อายุ 12-13 ปี พ่อชื่ออาบูบาชัร และอีก2คนมีชื่อว่า อาบูฮาชิมลูกสาวเขาก็อายุ 12-13ปีก็โดนข่มขืน เมื่อตอนที่พวกยะไข่ไปแล้ว ฉันคิดว่าผู้หญิงที่ถูกข่มขืนไม่น่ามีชีวิตรอด ก็เลยหนีออกจากบ้าน ผู้หญิงที่โดนข่มขืนอายุ ยังไม่ถึง 15ปีเลย พวกเขามีเลือดออกมาเยอะ บาดเจ็บคิดว่าไม่น่ารอดเลยทิ้งไว้ที่บ้าน

ที่มา
สำนักข่าว White News
https://www.facebook.com/WhiteNewstv/…

.........................
ชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 21 คนจาก 3 ครอบครัวรวมทั้งเด็กทารก ถูกสังหารโหดโดยทหารและตำรวจชายแดนพม่า
เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจชายแดนของพม่าได้บุกโจมตีสังหารโหดประชาชนชาวโรฮิงญาผู้บริสุทธิ์ทั้ง 3 ครอบครัว ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 คน รวมทั้งเด็กทารก ในคืนวันเสาร์ที่12 พ.ย. 59

...........................

สภาพศพชาวโรฮิงญาที่ถูกเผาทั้งเป็น ซึ่งรวมทั้งเด็กๆ และผู้สูงอายุที่ไม่สามารถวิ่งหนีออกมาทัน ขณะที่ทหารพม่าลงมือเผาหมู่บ้าน บอร์ กอซี บิล Yekay Chaung Kwasone (Bor Gozi Bil) ในทางทิศเหนือของหม่องดอว์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 พ.ย. 2559

..........................

ทหารพม่าโหดสุด! กระชากเด็กออกจากอ้อมกอดของคนเป็นแม่ แล้วโยนเข้าไปในกองไฟต่อหน้าผู้เป็นแม่
Rohingya Children burn alive in northern Maungdaw, Myanmar.
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2016 เกิดเหตุขึ้นใน Dha Gyi Zar (ราบาลิยะ) เมื่อทหารพม่าเผาหมู่บ้านชาวโรงฮิงญาอยู่ แล้วได้กระชากเด็กเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่โยนเข้าไปในกองไฟต่อหน้านาง ผู้เป็นแม่หนีตายออกมาเล่าให้ฟังทั้งน้ำตา

..........................
ดุอาอฺ ของเชค อับดุลมะญิด แก่พี่น้องโรฮิงยา
(พี่น้อง ขอให้กล่าวอามีน นะครับ อินชาอัลลอฮ์ อามีน)
เราช่วยพี่น้องเราได้ด้วยดุอาอ ยิวโดนไฟไหม้แล้ว ถึงคิวพม่าอันใกล้นี้ อินชาอัลลอฮ์
บะลาอฺอัลลอฮ์มาโดยไม่ตั้ตัวเสมอ ครับ

https://www.facebook.com/profile.php?id=100000059204170&fref=ts

................................
รายงานจากเมืองมองดอ รัฐยะไข่ ประเทศพม่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 25-11-59 หลังละหมาดญุมอะฮ์ ทหารพม่าเข้าไปในหมู่บ้าน ฮาติฟารา จับหญิงสาว ประมาณ 300 คนรวมกัน บังคับสั่งให้แก้ผ้า ต่อมาให้ถอดฮิญาบ ถอดเสื้อและผ้าถุง สายข่าวรายงานว่าถูกข่มขืนจำนวนยังไม่แน่ชัด แต่มีเสียชีวิต 40คน เป็นเด็กผู้หญิงและวัยรุ่น

นอกจากนี้ไล่ยิงชาวบ้าน จับผู้ต้องสงสัยไป 10 กว่าคนซ้อมและทำร้ายร่างกาย

บทความนักวิชาการ สงครามกับการข่มขืน
http://www.matichon.co.th/news/371889
#ขุนคมคำ

https://www.facebook.com/profile.php?id=100000059204170&fref=ts


วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความสันติ


ขอความสันติจงมีแด่ท่าน และความสันตินั้นจะมีแด่พวกเรา
ขอความสันติไปสู่ยังตัวท่าน และความสันตินั้นจะมาสู่ตัวเราได้เช่นกัน
ขอความสันติจงมีแด่ผู้ที่ได้ตอบรับซึ่งความสันตินั้น และขอความสันติจงมีแด่คนที่ไม่ตอบรับมันเช่นกัน
ความสันติที่มาจากพระนามของพระผู้เป็นเจ้าแห่งผู้ทรงสันติ
พระเจ้าของปวงบ่าวทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ทรงที่พึ่ง
ความสันติที่เราอยู่กับมันตลอดมา
ความสันติที่เคยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้
ความสันติที่เราไม่สามารถมองหามันเหมือนเช่นเคย
ความสันติที่มันไม่สามารถกลับมายังเราได้เช่นเดิม
ความสันติที่เราตามหามัน แต่มันกำลังจะเดินทางไป เพื่อที่จะหนีห่างออกไปจากแผ่นดินของเราอย่างช้า ๆ
สภาพการเป็นอยู่ของความสันติ จะมีการเป็นอยู่ที่แตกต่างกันไป
ไม่ว่าจะเป็นการมอบให้โดยไม่ยินยอม
และการมอบให้โดยยินยอม
ก็เพื่อที่จะหวังการยินยอมจากผู้คน
โดยที่ไม่มีการยินยอมที่เป็นการยินยอมที่แท้จริง (โดยที่ไม่มีอิสลาม)
เปรียบเสมือนว่าอิสลามของบรรพบุรุษเรา
ไม่เหลือค่าและความหมายใด ๆ อีกเลย
พวกท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าทำไม ความสันติถึงได้จากพวกเราไป ?
พวกท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าทำไม ความมืดมนถึงได้อยู่กับพวกเรา ?
เป็นคำตอบที่ง่ายมาก
ก็เพราะว่าพวกเราทั้งหลายเป็นสังคมที่ช่างหวาดกลัว
พวกเราเป็นสังคมที่ช่างหวาดกลัวในความแตกต่าง
คำพูดของฉันในวันนี้
ที่พวกคุณบางคน
หรือจำนวนที่มากกว่านั้น
หรือพวกคุณทุกคนที่ไม่ชื่นชอบเลย
หากแต่ว่าฉันก็จะพูดมันออกมา
ก็เพราะว่าตัวฉันไม่ต้องการความพังพินาศ
พวกเราเป็นสังคมที่คอยปฏิเสธกับความจริง
ก็เพราะว่าพวกเราเป็นสังคมที่ชอบใช้ชีวิตอย่างล้าสมัย
พวกเราเป็นสังคมที่คอยจะปาวประกาศให้ดัง ๆ
เพื่อให้ตัวเขาถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่มีความคิดที่หลากหลาย
พวกเราเป็นสังคมที่มัวแต่คิดในเรื่องยศหรือตำแหน่ง
เพื่อให้ตัวเขาถูกขนานนามว่าเป็นสังคมที่มีอุดมการณ์และสติปัญญา
โอ้ ความพังพินาศของฉัน สังคมของฉันกำลังติดโรคเรื้อนอะไรอยู่นี่ ?
การยอมรับของพวกเราในสิ่งที่ไม่เหมือนกันนั้น
ไม่มีเลย
เว้นแต่ภายนอกเท่านั้น
ความแตกต่างในหลากสี ทำให้เราต้องเจ็บปวด
ความแตกต่างของเรือนร่าง ทำให้เราต้องเจ็บปวด
ความแตกต่างในความคิดเห็น ก็ต้องทำให้เราต้องเจ็บปวด
ความแตกต่างในศาสนา ก็ยังทำให้เราต้องเจ็บปวด
แม้กระทั่งความแตกต่างเพศ ก็ยังทำให้เราต้องเจ็บปวด
ฉะนั้น
เราควรพยายามลบทุก ๆ ความแตกต่างที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่พวกเรา
พวกเราจึงได้ทำการเปลี่ยนแปลงสังคมบางส่วนที่ไม่ดี
พวกเราคือสังคมที่โง่เขลาที่สุด
ใช่แล้ว
พวกเราคือสังคมที่โง่เขลาที่สุด
พวกเรากำลังดูถูกกันและกัน
พวกเรากำลังสำราญสร้างในสิ่งที่ไม่ดีอยู่
พวกเรากำลังทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
และพวกเราก็ชอบปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา
เพื่อที่จะค้นหาความเป็นจริง
และฉันไม่อาจชำระคน ๆ หนึ่งให้สะอาดและบริสุทธิ์ได้
และฉันก็ไม่อาจชำระประชาชนคนธรรมดาและผู้นำทุกคนได้
และฉันก็ไม่อาจชำระผู้คนที่อ่อนแอในประเทศชาติที่เงียบสนิทได้ (จากความดี)
และไม่มีใครมาขนานนามเราว่าเป็นผู้ให้ความบริสุทธิ์แก่ผู้คน
ไม่มีใครที่เลือกจะตามยุโรปเหมือนคนตาบอด
และไม่มีใครต้องการระบบการปกครองที่ต่ำทราม ที่คอยจะตัดแขนตัดขาของผู้คน
พวกท่านจงปล่อยให้เราพยายามทำกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราในวันนี้เถิด
พวกท่านจงปล่อยให้เราโอบกอดจิตใจของเราเถิด
พวกท่านจงปล่อยให้เราโอบกอดจิตใจของคนที่มีความแตกต่างกับเราเถิด
นี่ไงตัวฉัน
ที่กำลังยืนอยู่หน้าพวกท่านทั้งหลาย
ด้วยสีของฉัน
ด้วยเส้นผมของฉัน
ด้วยบทกวีของฉัน
ด้วยชนชั้นของฉัน
และด้วยความคิดของฉัน
ฉัน ไม่กลัวพวกท่าน
ฉัน ไม่กลัวความแตกต่างของพวกท่าน
ก็เพราะว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งจากพวกท่าน
และพวกท่านก็เป็นส่วนหนึ่งจากฉันเช่นกัน
ฉะนั้น
จงปล่อยให้พวกเราสร้างศิลปะเถิด
จงปล่อยให้เราสร้างความใฝ่ฝันที่ดีเถิด
เพื่อให้เราได้ยืนอยู่บนความรูู้ที่ดี ที่ปราศจากจากความอวิชชา
เพื่อให้เกิดความอ่อนโยนระหว่างพวกเรา
และนี่แหล่ะคือการปกครองที่ดีที่สุด
ฉะนั้น
จงปล่อยให้พวกเราละลายชื่อเสียง
ระดับ
อำนาจ
ความคิด
สี
และศาสนา
และเราไม่อยากจะเห็นสิ่งใด ๆ อีกต่อไป
เว้นแต่เขาคือ อินซาน (มนุษย์)
.
กล่าวโดย : นักกวีอะนีส ชูชาน

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อิหร่าน (ชีอะห์) คือเพื่อนรักของอิสราเอล (ยิว) .



“อิหร่าน คือเพื่อนรักของอิสราเอล และเราไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงจุดยืน ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับกรุงเตหะราน” คุณอาจไม่เชื่อว่านี่คือคำพูดของ นายยิตซัค ราบิน อดีตนายกรัฐมนตรีของอิสราเอล
อิหร่าน (ชีอะห์) และ อิสราเอล (ยิว) สองประเทศที่เบื้องหน้าดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด แต่ภายใต้เรื่องราวความเกลียดชังและความวุ่นวายทั้งหมดยังมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ของการร่วมมือกัน หรือแม้กระทั่งมิตรภาพต่อกันในเมื่อครั้งอดีต
คลิปนี้เป็นบันทึกการพูดของนาย Trita Parsi บนเวที TED Talk ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความยุ่งเหยิงและความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล แถมยังโยงไปถึงสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง
Trita Parsi เป็นนักวิเคราะห์การเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายอิหร่าน ที่มักเปิดมุมมองใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่าง อิสราเอล อิหร่าน และสหรัฐอเมริกา
.
ชมคลิปดังกล่าว : https://goo.gl/mNKUEE

บรรดาผู้ที่ปรับปรุงแก้ไข



بسم الله الرحمن الرحيم

หากท่านพูดถึงเรื่องเตาฮีด ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มตั้งภาคี
หากท่านพูดถึงเรื่องซุนนะฮฺ ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มบิดอะฮฺ
หากท่านพูดถึงหลักฐานและเหตุผล ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มทียึดติดคลั่งไคล้กับมัศฮับ กลุ่มซูฟี และกลุ่มที่เขลาเบาปัญญา (ไม่เอาศาสนา)
หากท่านพูดเรื่องการเชื่อฟังผู้นำโดยสมควรปฏิบัติต่อเขาอย่างดี พร้อมกับขอดุอาและตักเตือนพวกเขา และสิ่งที่อะฮฺลิสซุนนะฮเชื่อมั่น ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มคอวาริจ และพวกกลุ่มก้อนการเมือง
และหากท่านพูดถึงอิสลามที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิต ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มที่แบ่งศาสนาออกจากการปกครอง และกลุ่มที่คล้ายๆกับพวกเขา ที่ต้องการแยกศาสนาออกจากการใช้ชีวิต
~~ ช่างแปลกเหลือเกินสำหรับอะฮฺลิสซุนนะฮฺ!!!
🕯พวกเขาสู้รบกับเรารอบด้าน
🕯พวกเขาสู้รบกับเราผ่านสื่อที่มาจากการฟัง(วิทยุ) สื่อที่เราดู (โทรทัศน์,อินเตอร์เน็ต) และที่ถูกบันทึก (หนังสือ)
ถึงกระนั้นก็ตาม..เราก็ยังมีความสุขกับเรื่องแปลกนี้อยู่ดี และเราก็ยังภาคภูมิใจอีกด้วย
นั่นเป็นเพราะว่าท่านร่อซู้ล ﷺ ได้ชมเชยคนแปลกหน้านี้ไว้ว่า:
🌧"แท้จริงศาสนาอิสลามได้เริ่มขึ้นอย่างคนแปลกหน้า
🌧และจะกลับอย่างคนแปลกหน้าเช่นเดียวกับที่ได้เริ่ม
🌧ขอแสดงความยินดีกับคนแปลกหน้า (อัลลอฮฺได้เตรียมสวรรค์และความสุขไว้สำหรับพวกเขา)
🌧มีคนถามว่าพวกเขาคือใครกันครับท่านร่อซู้ล?
🌧ท่านตอบว่า: คือบรรดาผู้ที่ปรับปรุงแก้ไขขณะที่มนุษย์ต่างก็สร้างความเสื่อมเสีย"

✍🏻️ เชค อัลบานีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ)
📋 อัซซิลซิละฮฺ อัศศอฮีฮะหฺ -السلسلة الصحيحة/ ١٢٧٣ -

เพราะเหตุใดมุสลิมจึงกล่าวคำว่า "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" ไม่ได้ ?


ไขข้อข้องใจ เพราะเหตุใดมุสลิมจึงกล่าวคำว่า
"ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" ไม่ได้ ?

"ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป"

ซึ่งคำว่า "ชาติ" ในที่นี้ หมายความว่า การกำเนิด ในประโยคนี้ จะมีนัยความหมายว่า ขอตามไปเป็นผู้ที่ได้รับใช้ท่านในทุกครั้งที่ท่านได้เกิดขึ้นไม่ว่าจะกี่รอบก็ตาม

แต่ทว่าในอิสลามของเรามีหลักความเชื่อในเรื่องการเกิด การเสียชีวิต ที่ชัดเจน เราเชื่อว่าเรานั้นเกิดมาเพื่อการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และต้องเสียชีวิตลง และจะถูกฟื้นคืนชีพในวันกิยาะมะฮฺอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะได้สอบสวนการงานต่างๆของเราที่ได้กระทำไว้ในโลกนี้ และหลังจากนั้นจะเดินทางสู่โลกอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งจะเป็นสวรรค์หรือนรกนั้นก็ขึ้นอยู่กับการงานที่ได้ปฏิบัติไว้ในโลกนี้

สรุปให้เข้าใจง่ายๆก็คือเราเกิดแค่ครั้งเดียวและตายเเค่ครั้งเดียว และจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาในวันกิยามะฮฺ(วันสิ้นโลก)อีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือในศาสนาอิสลามไม่ยอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีเพียงเเค่ลักษณะที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นเท่านั้น ดังนั้นนี่คือสิ่งที่มุสลิมจะต้องศรัทธาเเละเชื่อมั่นให้เป็นไปตามนี้ทุกประการ

ซึ่งต่างกับความเชื่อของชาวพุทธอย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า เกิดมาในโลกนี้เมื่อสิ้นอายุไขแล้วก็จะตายจากไป และจะเกิดขึ้นมาอีกในชาติต่อๆไป และตายไปอีก วนเวียนในสภาพนี้ตลอดไปไม่รู้จบ

ดังนั้นจากจุดนี้เราจึงเห็นถึงความแตกต่างทางความเชื่อของอิสลามและศาสนาพุทธในเรื่องอย่างนี้ชัดเจน และไม่มีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันเลย

ฉะนั้นแล้วเมื่อความเชื่อที่ผิดแปลกไปจากอิสลามก็ย่อมไม่ใช่อิสลาม จึงห้ามมิให้มุสลิมมีความเชื่อแบบนี้เป็นขาด เเละหากมุสลิมคนใดที่มีความเชื่อดังกล่าว เขาคนนั้นก็สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมอย่างไม่เป็นที่สงสัย(เพราะการศรัทธาต่อการวันกิยามะฮฺ เเละการฟื้นคืนชีพเพื่อการชั่งน้ำหนักความดีความชั่ว เป็นหลักศรัทธาพื้นฐานของมุสลิมทุกคน)

"เราเเค่พูด เเต่เราไม่ได้เชื่ออย่างนั้น" !!!

ในประเด็นที่มีพี่น้องบางท่านกล่าวว่า"เราพูดเเค่ลมปาก เเต่ในใจเราไม่ได้เชื่ออย่างที่พูด" กล่าวคือคนที่พูดประโยคดังกล่าวเขาพยายามจะสื่อว่า เขาพูดประโยคที่ว่า"ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป"ก็จริง เเต่เขาไม่ได้เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด อีกทั้งเขายังมีความเชื่อเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพอย่างถูกต้องตามหลักการศาสนาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งจากประเด็นนี้บ่งบอกให้เห็นว่าผู้ที่มีความคิดทำนองนี้ เขาไม่เข้าใจในเรื่องขององค์ประกอบหลักของอีหม่าน(การศรัทธา)

จึงขอทำความเข้าใจในประเด็นนี้ว่า การศรัทธาของคนเรานั้นประกอบไปด้วย 3 ประการคือ

1.ศรัทธาจากหัวใจ
2.การกล่าวปฏิญาณยืนยันด้วยคำพูด
3.พฤติกรรมการเเสดงออกทางด้านร่างกาย

ซึ่งทั้ง 3 ประการดังกล่าวนี้ถูกเรียกรวมว่า"อีหม่าน" หรือการศรัทธานั่นเอง ดังนั้นคนที่จะเป็นผู้ศรัทธาต้องมีทั้งสามองค์ประกอบนี้ในตัวของเขาโดยไม่ขาดตกบกพร่องในประการหนึ่งประการใด ดังนั้นเมื่อมีครบทั้งสามประการนี้เมื่อใด เมื่อนั้นเขาถึงจะเป็นผู้ศรัทธาที่ถูกต้อง

เเละเช่นเดียวกัน การที่คนๆหนึ่งจะสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) ก็ใช้องค์ประกอบทั้งสามประการนี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน นั่นคือผู้ใดที่ขาดองค์ประกอบข้อหนึ่งข้อใดไป ถือว่าเขาผู้นั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม ดังนั้นบางคนจึงสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมเพราะหัวใจปฏิเสธ ถึงเเม้ปากและการกระทำจะบ่งบอกว่าเป็นมุสลิมก็ตาม แต่ทว่าในเรื่องของหัวใจเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะตัดสินได้ จึงต้องยกให้เป็นเรื่องระหว่างเขากับอัลลอฮฺ เเต่ 2 ประการที่เหลือนั้น คือคำพูดเเละการปฏิบัติ จะเป็นตัวที่บ่งชี้ถึงสถานภาพความเป็นมุสลิมได้อย่างชัดเจน จึงมีบางคนที่สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับคำพูด หรือบางคนสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับการปฏิบัติ และหลักฐานจากอัล-กุรอานที่ยืนยันว่าการกระทำกับคำพูดจะต้องสอดคล้องกันคือ

وَمِنَ النَّاسِ مَن يَقُولُ آمَنَّا بِاللَّهِ وَبِالْيَوْمِ الْآخِرِ وَمَا هُم بِمُؤْمِنِينَ

ความว่า : จะมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮฺเเละเชื่อในวันอาคิเราะฮฺ หากแต่พวกเขาหาได้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ศรัทธา (อัล-บะกอเราะฮฺ : 8)

จากอายะฮฺนี้คือบุคคลที่ยืนยันเเค่ปากว่าเป็นผู้ศรัทธาเเต่มีพฤติกรรมที่เป็นการปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นผู้ศรัทธา เพราะไม่มีสามองค์ประกอบอย่างครบถ้วน

ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจประเด็นนี้อย่างเเจ่มเเจ้งเเล้ว เราจะเห็นได้ทันทีเลยว่า คำกล่าวที่ว่า "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" นั้นเป็นการกล่าวคำพูดที่เป็นการปฏิเสธศรัทธาอย่างชัดเจนดังที่ได้ชี้เเจงไปแล้วเมื่อตอนต้น เพราะฉะนั้นผู้ที่กล่าวประโยคนี้จึงถูกตัดสินว่าเขาผู้นั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับคำพูด ถึงเเม้ใจของเขาจะไม่ได้เชื่อตามที่เขาพูดออกมาก็ตาม ดังที่เราทราบกันมาเเล้วว่าการที่จะเป็นผู้ศรัทธาต้องมีทั้งสามองค์ประกอบดังกล่าวอย่างสมบูรณ์โดยไม่ขาดตกบกพร่องในข้อหนึ่งข้อใดไป เเละจำเป็นสำหรับผู้ที่กล่าวประโยคดังกล่าวจะต้องเตาบะฮฺ(กลับเนื้อกลับตัว) เเละกล่าวกะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺใหม่(กล่าวคำปฏิญาณตนใหม่)

ดังกล่าวข้างต้นนี้จึงเป็นที่เเน่ชัดเเล้วว่าไม่เป็นที่อนุญาตอย่างเด็ดขาดที่มุสลิมจะใช้ถ้อยคำนี้ในการเเสดงความเสียใจ

สุดท้ายนี้เราขอย้ำว่า เราในฐานะชาวมุสลิมเป็นประชาชนคนไทย ที่เกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ต่างมีความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้ไม่น้อยไปกว่าประชาชนที่นับถือศาสนาอื่นๆ เเต่ศาสนาของเราได้วางขอบเขตในการที่จะเเสดงออกถึงความเสียใจเอาไว้ นั่นคือจะต้องไม่มีการตีโพยตีพาย ตีอกชกตัว ทำร้ายตัวเอง เเละข้อห้ามอื่นๆในทำนองดังกล่าวนี้ เเต่เราขอเเสดงออกความเสียใจด้วยกับสิ่งที่ศาสนาอนุมัติเท่านั้น เเละการเเสดงออกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้คือการเจริญรอยตามสิ่งดีงามทั้งหลายที่ในหลวงได้ทรงปฏิบัติไว้เป็นเเบบอย่าง อาทิเช่น การร่วมมือกันในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองไปสู่ความสงบสุขสันติ อันเป็นผลให้ประชาชนมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรืออะไรทำนองนี้ เป็นต้น

วัลลอฮุอะลัม(อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด)

""""""""""""""""""
อิสลามตามแบบฉบับ



วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อิสลามในพม่า (เบอร์มาเนีย) และคาบสมุทรอินโดจีน



......................................
(เขียนโดย อ.อาลี เสือสมิง)
.....................................................................
...ในช่วงก่อนหน้าที่อิสลามจะมาถึงดินแดนแห่งนี้นั้นสถานภาพของผู้คนในแถบนี้ได้ตกต่ำลงจนถึงระดับชนชั้นของจัณฑาล ซึ่งหมายถึงพวกที่สังคมรังเกียจและเป็นวรรณะที่ต่ำสุด พวกพราหมณ์และฮินดู ก็ครอบงำและมีอำนาจเหนือชนพื้นเมืองเหล่านี้ แต่เมื่ออิสลามได้มาถึงดินแดนแห่งนี้ พร้อมกับความเอื้ออารีและความเสมอภาคมหาชนชาวเบงกอลและบีฮารก็พากันมุ่งสู่การยอมรับในศาสนาอิสลาม พวกเขาได้พบว่าในอิสลามมีความสูงส่งและการรับรู้ได้ถึงความเป็นมนุษย์

พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกฐานะของพวกเขาให้สูงขึ้นด้วยน้ำมือของเหล่ากษัตริย์มุสลิมในช่วงที่พวกคัลญีย์มีอำนาจและกษัตริย์กาฟูร ซึ่งเป็นอดีตข้าทาสรับใช้พวกคัลญีย์ปกครอง (ค.ศ.1290-1370) บางส่วนของอินเดียและแผ่ขยายอำนาจสู่ดินแดนแถบนี้ สถานภาพของผู้คนสูงขึ้น สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น และในที่สุดประชาชนพลเมืองที่ได้เข้ารับอิสลามก็เกิดความตื่นตัวในการประกอบสัมมาอาชีพ ความยากจนแร้นแค้นจึงได้บรรเทาลง

นอกจากนี้พวกเขายังได้มุ่งทำการแก้ไขปัญหาอุทกภัยด้วยการขุดคลองการชลประทาน การสร้างเขื่อน อันเป็นศาสตร์หรือวิทยาการที่พวกเขาได้ถ่ายทอดมาจากชาวอาหรับและเปอร์เซียที่เดินทางมาสู่ดินแดนของพวกเขา บ้านเมืองของพวกเขาก็เกิดความเจริญรุ่งเรือง และพลเมืองก็รู้สึกได้ถึงความผาสุกแห่งอิสลามที่มีเหนือพวกเขา

ผู้มีศรัทธาและกำลังทรัพย์จึงได้สร้างมัสยิดหลายต่อหลายแห่ง จนกลายเป็นดินแดนที่มีมัสยิดมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ถ้าชาวอาหรับพูดว่า กรุงไคโรคือนครแห่งพันมินาเร็ท (หออะซาน) ผู้คนในดินแดนนี้ก็จะกล่าวว่า ดักกา คือ นครแห่งสองพันมินาเร็ท ดินแดนส่วนนี้ก็คือส่วนที่แยกตัวออกจากประเทศปากีสถานและสถาปนาประเทศขึ้นใหม่ว่า บังคลาเทศ ซึ่งหมายถึง ดินแดนแห่งเบงกอล
...อ่านต่อตามเวปนี้
. คลิ๊กที่ลิ้งค์แล้วสลามในพม (เบอร and มาเน) และคาบสมทรอนโดจนี้
......................................
(ยนโดยเข.. We อสมอาลเส)
.....................................................................
... ในชวงกอนหน. าทสลามจะมาถนแดนแหงนงดนี้ได้นสถานภาพของผคนในแถบนตกตำลงจนถงระดบชนชนของจณฑาลงหมายถงพวกททาง line งคมรงเกยจและเปนวรรณะทำส.... #พวกพราหมณและฮนดครอบงำและมอำนาจเหนอชนพนเมองเหล. เท่านั้นแต่ออสลามไดมาถงดนแดนแห ดีละงนอมกบความเอออารและความเสมอภาคมหาชนชาวเบงกอลและบฮารก, พากงสการยอมรบในศาสนาอสลามพวกเขาไดพบวาในอสลามมงสงและการรบรมีความสุขได้ถ้างความเปนมนษย
พระผนเจาได and pineapple ทรงยกฐานะของพวกเขาใหงขนดวยนำมอของเหลากษตรสอบถาม and สลมในชวงทพวกคลญสอบถามตรอำนาจและกษ, and we กาฟรีนอดตขาทาสรบใชพวกค and ลญปกครอง (ค.ศ. 1290-1370) บางสวนของอนเดยและแผขยายอำนาจสนแดนแถบนละ สถานภาพของผคนสงขสภาพความเป stress and. the. line และในทดประชาชนพลเมองทเขได้ารสลามกเกบอนดความตวในการประกอบส. มมาอาชความยากจนแรนแคนจงไดบรรเทาลง
สอบถามนอกจากนพวกเขายงไดงทำการแกไขปญหาอทกภยดวยการขดคลองการชลประทานการสรางเขอนนเปนศาสตร. หรือถ้าอวทยาการทพวกเขาไดายทอดมาจากชาวอาหรบและเปอรยทนทางมาสเซเดละ, นแดนของพวกเขาานเมองของพวกเขากเกดความเจรญรงเรและพลเมองกรีองสีถ้ากไดงความผาสกแหงอสลามทเหนสอบถาม อพวกเขา
สอบถามผกี้งทรพยทธาและกำล. สร้างงไดางมสยดหลายต we อหลายแหจนกลายเปนดนแดนทสยสอบถามสีสอบถามดมากทดในโลกกว่านาไดถ้าาชาวอาหรบพดวแล้วกรงไคโรคอนครแห, งพนาเร free (หออะซาน) ผ. คนในดนแดนนจะกลาววกกา flower แล้วละ ., นครแหงสองพนาเรนแดนสวนนได้ที่ละ.. #สีวนทแยกตวออกจากประเทศปากสถานและสถาปนาประเทศขนใหม bulb.. ค่าส่งทางงคลาเทศงหมายถนแดนแหงเบงกอลละ
.... านตอตามเวปน photos. http://www.alisuasaming.com/main/index.php/writing-92/islamovercome/2479-islamovercome11

7 ขั้นตอนการปั่นป่วนในแถบอาหรับของชีอะห์ (อิหร่าน)



ด้วยแผนการอันแยบยลที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน
.
#Stepที่1 อิหร่านจับมือกับอเมริกาในการโค้นล้มชาวซุนนี่ในอีรัก เพื่อให้มีอำนาจปกครองในอีรักด้วยระบบการปกครองเเบบโคมัยนีย์,เเพร่ลัทธิชีอะห์,สร้างกองทัพในอีรัก เเล้วส่งไปที่ซีเรีย,ส่วนอเมริกาได้ผลประโยชน์ตามข้อตกลงกับอีหร่าน
.
#Stepที่2 อิหร่าน คือผู้วางเเผนให้กับรัฐบาลบัชชาร์ อัลอัซสัด ผู้นำของซีเรีย ตามคำขอของรัฐบาลชีอะห์ด้วยการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อให้เกิดชนวนสงครามในประเทศ เเละนั้นคือช่องประตูให้กับรัฐบาลชีอะห์นำโดยบัชชาร์ อัลอัสซัด ในการเข่นฆ่าสังหารชาวซุนนีในซีเรียให้สิ้นซากจนถึงทุกวันนี้ เเละเมื่อใดบรรลุถึงเป้าหมาย จึงมีพลังเป็นสองเท่าในการที่จะครองอำนาจในเเถบอาหรับ
.
#Stepที่3 อิหร่าน คือผู้บ่งการทั้งหมดต่อเหตุการณ์ในประเทศเยเมน ด้วยการสนับสนุนกบฎชีอะห์ฮูซีย์ในเยเมน โดยอิหร่านลักลอบส่งทหารเเละงบเพื่อใช้ในการก่อกบฏต่อรัฐบาลเยเมนที่เป็นรัฐบาลซุนนี
.
#Stepที่4 เมื่ออิหร่านได้ใช้งบประมาณมหาศาล เพื่อใช้ทุกวิธิทางให้ได้นำมาการครองอำนาจในเเถบอาหรับ ทั้งใช้งบในการทำสงคราม,เเพร่ลัทธิ,เเละซื้ออาวุธเเละผลิต ทางรัฐบาลจึงมองอนาคตของประเทศ หากยังดำเนินการด้วยตนเอง ประเทศอาจจะกระทบทางเศษฐกิจ จึงมีมาตรการขอจับมือกับพันธมิตรคือรัสเซีย โดยการเสนอข้อตกลงในด้านผลประโยชน์กับรัสเซีย อิหร่านเลยต้องใช้รัสเซียมาเป็นพละกำลังในการปั่นป่วนในเเถบอาหรับ โดยเฉพาะกับซีเรียคือที่เเรก เพราะซีเรียยังไม่บรรลุผลเหมือนที่อีรัก ซึ่งอิหร่านได้ทำสำเร็จเเล้ว
.
#Stepที่5 อิหร่านมีเเผนการจะผลิกเเผ่นดินชาม เเละเเถบคอลีจ (ประเทศซีเรีย) หากเมื่อวันใด ณ ที่ซีเรีย ถ้าอิหร่านได้เป็นพ่อเเห่งประเทศซีเรียเเล้ว นับจากวันนั้นอิหร่านจะเดินหน้าด้วย Step ต่อไปก็คือ
.
#Stepที่6 คือการเเพร่ลัทธิชีอะห์อย่างรุนเเรงในประเทศเเถบคอลีจ พร้อมกับสร้างความปั่นปวนต่างๆ โดยจะสร้างเเนวร่วมที่ถือศาสนาชีอะห์ให้เป็นกลุ่มเป็นก้อนในประเทศนั้นๆ (ได้ยินว่าประเทศเเรกทีอิหร่านจะก่อคือ ประเทศบาห์เรน) เเล้วหลังจากนั้นจะก่อกบฎเเละการหนองเลือดจะเกิดขึ้น ณ บัดนั้น ถึงขั้นนั้นคือประตูให้เเก่อิหร่านที่มีอเมริกา (ยิว) เเละรัสเซียจะคอยหนุนหลังในการสร้างความวุ่นวายระเบิดมัสยิดเเละสงครามกลางเมือง ต่อจากนั้นจะเห็นโดมิโนเอฟเฟ็กอีกครั้งในเเถบคอลิจ เเละหากอิหร่านเดินหน้าประสบความสำเร็จจนได้ อิหร่านจะทำ Step สุดท้ายก็คือ
.
#Stepที่7 คือการมีอำนาจการปกครองต่อบรรดาประเทศรอบๆประเทศซาอุดีอาหรับเบีย เวลานั้นคือเป้าหมายสูงสุดของชีอะห์ (อิหร่าน) เป็นเวลาที่ต้องการบุกรุกเมืองมักกะห์ตามเป้าหมายที่วางไว้นั่นก็คือ
1- นำธงชีอะห์ปักไว้ที่ญาบัลเราะห์มะห์ (ภูเขาเราะห์มะห์)
2- ขุดหลุ่มกูโบร์ท่านหญิงอาอีชะห์ เเละกุโบรท่านอุมัร
3- ทำลายมัสยิดนบีเเล้วสร้างโบสถ์ชีอะห์ข้างกูโบร์ท่านหญิงฟาตีมะฮ์
4- ทำหลายมัสยิดฮะรอม
5- ทุบทำลายอัล-กะอฺบะห์
6- นำหินดำไปยังเมืองกูฟะห์ (อีรัก)
7- สร้างประตูเมืองบานใหญ่บนซากมัสยิดฮะรอม เพื่อเตรียมต้อนรับอีมามมะฮ์ดีย์เดินทางมาจากกัรบาลาอฺ (อีรัก)
.
Credit : Ibnu Hasan
Save Islam : รายงาน


เปรียบเทียบโลกอิสลาม 45% กับทวีปเอเซียทั้งทวีป 55%




مقارنة مساحة العالم الإسلامي بمساحة آسيا
"""""""""""""""""""""""""""
อณาเขตของโลกอิสลามที่มีมุสลิม 50 % ของประเทศจะอยู่ในพื้นที่ทั้งหมด 35,500,000 กม.กว่าๆ
ใน ขณะที่ทวีปเอเซียกินพื้นที่ทั้งหมด 43,300،000 กม.
امتداد العالم الإِسلامي وحـدوده :
يقصد بالعـالم الإسلامي مجموعـة الـدول التي تزيد فيـها نسبة المسلمين على 50 %،
ويغطي العالم الإسلامي مساحة تقدر بـ 35,500,000 كـم2 (خمسة وثلاثين مليون
وخمسمائـة ألف كيلومتر مربع)
وهي تقارب مساحة قارة آسيا التي تبلغ 300،000،43 كـم2

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อิสลาม สำหรับผู้ที่เข้าอยู่ยังบ้านหลังใหม่




การจัดเลี้ยงเนื้องจากเข้าอยู่บ้านหลังใหม่ หากเป็นการเนื่องจากความดีใจ การขอบคุณพระเจ้า ผู้ประทานความโปรดปราน(เนียะอฺมะฮฺ)บ้านหลังนั้นให้กับเขา และไม่มีรูปแบบตายตัว หรือพิธีกรรมใดเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือมีการดูฤกษ์ยาม หรือเลียนแบบตามความเชื่อของคนต่างศาสนิกนั้นแล้ว ก็เป็นที่อนุญาต

นอกจากการจัดเลี้ยงอาหาร ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา ที่ประทานความโปรดปรานให้แก่เขาผู้นั้นแล้ว ก็ยังอาจกระทำด้วยวิธีอื่นได้ เช่น การบริจาคทาน การทำให้บ้านมีบรรยากาศอิสลามด้วยการอัลกุรอาน การซิกรุลลอฮฺ และการละหมาดซุนนะฮฺ เป็นต้น

และซุนนะฮ์ยังให้อ่านดุอาอ์ เมื่อเข้าไปยังสถานที่หรือบ้านหลังใหม่

รายงานจากท่านหญิงเคาละฮ์ บินติ ฮะกีม (ร่อฎียัลลอฮุอันฮา) ว่า
ฉันได้ยินท่านนบี (ศ็อลลัลลออูอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า

"ผู้ใดที่เข้าอยู่ยังบ้านหลังใหม่ และได้กล่าวดุออาอ์ว่า

أَعُوْذُبِكَلِمَاتِ اﷲِالتَّامَّاتِ
مِنْ شَرِّمَاخَلَقَ

คำอ่าน : อะอูซุ บิก้าลิมาติ้ลลา ฮิตตามมาติ มินชัรริมา ค่อลักกฺ
คำแปล :  ข้าพเจ้าขอความคุ้มครองด้วยดำรัสของอัลลอฮ์อันสมบูรณ์ ให้พ้นจากความชั่วร้ายของสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างด้วยเถิด

จะไม่มีภัยอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับเขา จนกว่าเขาจะย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าว"
(บันทึกโดย มุสลิม  ,หนังสือมุวัฏเฏาะอ์ของอิมามมาลิก)

--> และให้อ่านสูเราะฮ์อัลบะเกาะฮ์ในบ้าน

รายงานจากท่านอบูฮูรอยเราะฮ์ (ร่อฎียัลลอฮูอันฮุ)ว่า

ท่านนบี (ศ็อลลัลลออูอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า
"ท่านทั้งหลายอย่าทำให้บ้านของพวกท่านเป็นกุโบร เพราะชัยฏอนจะไม่อยู่ในบ้านที่มีการอ่านอัลกุรอานสูเราะฮ์ อัลบะกอเราะฮ์" 
(บันทึกโดย มุสลิม)

นอกจากนี้ให้พยายามรักษาการอ่านดุอาอ์เช้า-เย็น อย่างสม่ำเสมอ


والله أعلم بالصواب



วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ดุอาอฺที่ท่านนบีมูซาขอ




ดุอาอฺที่ท่านนบี. มูซาขอ..ในขณะที่มีคำสั่งจากอัลลอฮฺให้ท่านไปช่วยชาวบนีอิสรออีล. เเละปราบกำหราบฟาโรห์. รามเสสที่. 2. ที่อ้างตัวเองเป็นพระเจ้า. ท่านนบีมูซา. ท่านพูดไม่เก่ง
จึงขอดุอาอฺขอความมั่นใจจากอัลลอฮฺ. ในการทำงานชิ้นใหญ่..!
""""
(เวลาจะเจรจาการงานดุอาอบทนี้ดีมากเพราะอัลลอฮ์ทรงตอบรับดุอาอท่านนบีมูซากับดุอาอนี้)
"""
ในซูเราะฮฏอฮา. อายะฮที่. 25-28.
رَبِّ اشْرَحْ لِي صَدْرِي ﴿٢٥﴾ وَيَسِّرْ لِي أَمْرِي ﴿٢٦﴾ وَاحْلُلْ عُقْدَةً مِّن لِّسَانِي ﴿٢٧﴾ يَفْقَهُوا قَوْلِي ﴿٢٨﴾
“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดเปิดอกของข้าพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” (25)
“และทรงโปรดทำให้การงานของข้าพระองค์ ง่ายดายแก่ข้าพระองค์ด้วย (26)
“และทรงโปรดแก้ปม จากลิ้นของข้าพระองค์ด้วย” (27)
“เพื่อให้พวกเขาเข้าใจคำพูดของข้าพระองค์” (28)
#Ameen....


อิศรา โต๊ะก่ริม



กุรอานที่ยาวที่สุดคือ





อัลบากอเราะฮ. มีถึง. 286. อายะฮ. "
ในนี้ มีดุอาอฺที่อัลลอฮสอนให้บ่าวของพระองค์ขอ. เป็นการเรียงคำพูดที่สวยงามที่สุด.
อะไรที่เราคิดว่าหนักสำหรับเรา. พระองค์ทรงรู้ว่าบ่าวของพระองค์ไหวเเค่ไหน. พระองค์ทรงรู้. ว่าความผิดพลาดย่อมมีกับมนุษย์..
เเละนี่คือ. อายะฮสุดท้ายของ.!
อัล. บากอเราะฮ..!
เเละส่วนหนึ่งในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสอนดุอาอฺ.
"โอ้.. พระเจ้าของพวกเรา..โปรดอย่าเอาโทษกับพวกเราเลย.. หากพวกเราลืม. หรือ. ผิดพลาดไป..
โอ้.. พระเจ้าของพวกเรา..!. โปรดอย่าได้บรรทุกภาระหนักใดๆ.. เเก่พวกเรา.เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบรรทุกมัน.!เเก่บรรดาผุ้ที่อยู่ก่อนหน้าเรามาเเล้ว.!.
โอ้.. พระเจ้าของเราโปรดอย่าให้พวกเราเเบกมัน.. เเละได้โปรดทรงอภัยเเก่พวกเรา. เเละยกโทษให้เเก่พวกเรา..เเละเมตตาเเก่พวกเราด้วยเถิด..". อามีน.!
Ameen.


อิศรา โต๊ะการิม

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องราวของนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.) กับฮะลีมะฮ์แม่นมของท่าน



ท่านเราะซูล เกิดวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบิอุ้ลเอาวัล ปีช้าง ตรงกับปีคริสตศักราชที่ 570 พระองค์อัลลอฮ์ ได้กำหนดให้เด็กที่เกิดใหม่นี้จะไม่ได้เห็นบิดา ซึ่งบิดาของท่านได้เสียชีวิตก่อนที่ท่านจะเกิด ขณะที่เดินทางไปทำธุระให้กับปู่ที่นครมะดีนะห์ อับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่ได้ให้การช่วยเหลืออามีนะฮ์ มารดาและทารกที่เกิดใหม่เป็นอย่างดี อับดุลมุฏฏอลิบได้ให้การต้อนรับด้วยความยินดีและตั้งชื่อว่า “มุฮัมหมัด”

การให้นม แก่นบีมุฮัมหมัด เป็นธรรมเนียมของชาวอาหรับที่จะส่งเด็กเกิดใหม่ให้ได้รับการเลี้ยงดูตามชนบท เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์และอาหารที่ดี และจะทำให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวอาหรับ ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันเป็นสัญลักษณ์ของชนชาติอาหรับ และพบว่าในทุกๆปีจะมีแม่นมจากชนบทเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อรับจ้างเลี้ยงทารกที่เกิดใหม่ เพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทน

ในปีที่ท่านนะบี เกิด ได้มีแม่นมจำนวนหนึ่งไปรับจ้างเลี้ยงเด็ก แต่เมื่อถูกเสนอให้รับเลี้ยงมุฮัมมัด พวกนางเหล่านั้นต่างปฏิเสธ เนื่องจากการกำพร้าพ่อ ดังที่ฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์ ได้กล่าวไว้ว่า "มารดาหรือลุงหรือปู่ของเด็กคงจะให้อะไรเราไม่ได้มาก" และฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์เป็นแม่นมที่ไปถึงช้ากว่าใคร เพราะพาหนะที่นางขี่ไปนั้นผอมอ่อนแอ จึงทำให้เดินได้ช้า เมื่อนางไปถึงในเมืองก็พบว่าแม่นมต่างๆเลือกรับทารกที่เกิดใหม่ไปหมด เหลือแต่เพียงมุฮัมมัดเท่านั้นที่ไม่มีใครรับไปเลี้ยง ในตอนแรกนางไม่ต้องการเลี้ยงดูมุฮัมมัด แต่เมื่อนางได้ปรึกษากับสามีแล้ว นางจึงบอกกับสามีว่านางไม่ต้องการจะกลับไปแบบมือเปล่าไม่มีเด็กกลับไปเลี้ยง นางจึงสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่าต้องรับเอามุฮัมมัดไปเลี้ยง ทันทีที่นางให้นมมุฮัมมัดดูด ความประเสริฐได้ปรากฏขึ้นกับฮาลีมะฮ์ นางมีน้ำนมอย่างมากมาย จากที่เคยแห้งหรือเกือบจะแห้ง เช่นเดียวกับแพะของนางที่รังนมของมันแห้งเพราะความผอม ก็กลับมีน้ำนมอย่างมากมาย จึงทำให้นางและสามีได้ดื่มน้ำนมแพะและนอนหลับอย่างสบายในคืนนั้น สามีของนางจึงเข้าใจทันที่ว่าทารกน้อยคนนี้คงมิใช่ทารกธรรมดาแน่ จึงได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า “ฮาลีมะฮ์ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า เราได้รับเด็กที่มีความประเสริฐไว้เลี้ยงดูแล้ว” เช่นเดียวกันพาหนะของนางที่ซูบผอมอ่อนแอ กลับแข็งแรงขึ้นสามารถเดินนำหน้าบรรดาแม่นมคนอื่นๆ จนสร้างความประหลาดใจให้กับพวกนางเหล่านั้นอย่างมาก ทำให้พวกนางถามขึ้นว่า "ฮะลีมะฮ์เกิดอะไรขึ้นกับพาหนะของเธอ ?" นางตอบว่า " ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า ฉันได้เด็กที่มีศิริมงคลขี่บนหลังของมัน"

ความเป็นศิริมงคลของมุฮัมมัด ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของฮาลีมะฮ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อนางกลับถึงบ้าน หมู่บ้านของเธอในปีนั้นเป็นปีที่มีความแห้งแล้ง ฝูงแกะฝูงแพะที่ออกไปหาหญ้ากินอย่างหิวโหย ก็ต้องกลับมาอย่างหิวโหย เพราะทุ่งหญ้ามีน้อยมาก แต่ว่าแกะของฮาลีมะฮ์ออกไปอย่าหิวโหยแต่กลับมาอย่างอิ่มหนำ

และสามารถให้น้ำนมอย่างมากมาย โดยธรรมเนียมเมื่อครบ 2 ปี แม่นมจะนำเด็กที่รับมาเลี้ยง ไปส่งคืนให้แก่มารดาของเขา แต่ฮาลีมะฮ์และสามีของนางได้นำมุฮัมมัดไปหามารดาของเขามิใช่เพื่อไปส่งคืนให้ แต่ต้องการที่จะไปขอร้องให้อนุญาตเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป เพื่อที่เขาทั้งสองจะได้รับความเป็นศิริมงคลจากมุฮัมมัด อามินะฮ์มารดาของท่านก็ไม่ขัดข้องที่ทั้งสองจะรับเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป


 บทความโดย ดร.อัดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน


ท่านจงกลัวดุอาอฺของผู้ที่ถูกอธรรม


อินนาลิลลา วะอินนาอิลัยรอญิอูน - ข่าวในหน้าฟีตของผมตอนนี้ เป็นข่าวการโจมตีโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองฮาส จังหวัดอิดลิบ ซีเรีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตในขณะนี้ 20 ราย ล้วนเป็นเด็กตัวเล็กๆ นั่งดูแต่ล่ะรูป แต่ล่ะคลิปของเหตุการณ์ ทำไมมนุษย์ถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ เด็กบางคนเสียชีวิตในขณะที่มือยังคงจับกระเป๋านักเรียนอยู่ในมือ...อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ
.
ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :

اتَّقِ دَعْوَةَ الْمَظْلُومِ ، فَإِنَّهَا لَيْسَ بَيْنَهَا وَبَيْنَ اللَّهِ حِجَابٌ
“ท่านจงกลัวดุอาอฺของผู้ที่ถูกอธรรม เพราะแท้จริงไม่มีม่านกั้นระหว่างดุอาอฺของเขากับอัลลอฮฺ”
(รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม)
.
คลิปหลังเหตุโจมตีโรงเรียนในอิดลิบ :

https://goo.gl/M0ngQE

แหล่งอ้างอิงของข่าว :
https://goo.gl/sqPlqE






วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

จงนอบน้อมและชูโกร



คนรวยมองออกไปทางหน้าต่าง
เห็นคนยากจนหยิบของกินจาก
ถังขยะ อัลฮัมดุลิลลาฮ์ที่ฉัน
ไม่เป็นคนยากจน

คนยากจนมองไปรอบๆเหน
คนบ้าใส่เสื้อผ้าไม่ครบชิ้น
นั่งริมทาง อัลฮัมดุลิลลาฮ์
ฉันไม่เป็นคนบ้า

คนบ้ามองไปข้างหน้าเห็นรถ
พยาบาลพาคนเจ็บป่วยด้วย
รีบเร่ง อัลฮัมดุลิลลาฮ์ฉันไม่
เจ็บไข้ได้ป่วย

หลังจากนั้นคนป่วยที่โรงพยาบาล
เห็น จนท.เข็นศพไปห้องดับจิต
อัลฮัมดุลิลลาฮ์ ฉันยังไม่ตาย

เฉพาะคนตายเท่านั้นที่ขอบคุณ
ตูฮันไม่ได้ ทำไมเราไม่ชูโกรที่
พระองค์ยังให้โอกาสกับเราที่
ยังมีชีวิตในขณะนี้

เพื่อให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น
เราควรไป 3 สถานที่

1.โรงพยาบาล เราจะเข้าใจว่า
ไม่มีอะไรมีค่าไปมากกว่าสุขภาพ
ร่างกายดี ไม่มีโรคภัย

2.คุก เราจะเข้าใจว่าการเป็นอิสระ
มีค่ามากๆสำหรับชีวิตเรา

3.กุโบร์(สุสาน) เราจะเข้าใจว่า
ชีวิตในแต่ละวันไม่มีคุณค่าใดๆ
แก่นแท้ชีวิตวันนี้คือต้นทุน
ชีวิตวันพรุ่งนี้(หลังจากตาย)

ดังนั้นจงนอบน้อมและชูโกร
กับทุกสิ่งทุกอย่างเถิด

cr.เพจอุสตาซอัซเฮาร์อิดรุส


รวมบทดุอาจากซุนนะห์ของท่านนบีที่ใช้กล่าวในวาระต่างๆ




اللَّهُمَّ آتِني الحِكْمَةَ الَّتي مَنْ أُوتِيهَا فَقَدْ أُوتِيَ خَيْرًا كَثِيرًا.

อัลลอฮุมม่า อาตินิ้ล ฮิกมะตั้ล ละตีย์ มัน อูตียะฮา ฟะก็อด อูตีย่า ค็อยร็อน กะษีรอ

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดประทานการใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมให้แก่ฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใดก็ตามที่ได้รับมัน แน่แท้ เขาคือผู้ที่ได้รับความดีงามอย่างมากมาย



((اللَّهُمَّ ثَبِّتْنِي بِالْقَوْلِ الثَّابِتِ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَفِي الْآخِرَةِ)).

อัลลอฮุมม่า ซับบิตนีย์ บิ้ลเกาลิซซาบิต ฟิ้ล หะยาติ๊ดดุนยา วะ ฟิ้ล อาคิเราะห์

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดประทานให้ฉันเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในถ้อยคำอันมั่นคง (การยึดมั่นในอิสลาม) ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเถิด




اللَّهُمَ حَبَّبْ إِلَيْنَا الْإِيمَانَ وَزَيِّنْهُ فِي قُلُوبِنَا، وَكَرِّهْ إِلَيْنَا الْكُفْرَ وَالْفُسُوقَ وَالْعِصْيَانَ، وَاجْعَلْنَا مِنَ الرَّاشِدِينَ .

อัลลอฮุมม่า ฮับบิ๊บ อิลัยนั้ล อีมาน วะ ซัยยินหุ ฟี กุลูบินา วะ กัรริห์ อิลัยนั้ล กุฟร์ วั้ล ฟุซูก วั้ล อิศยาน วัจอั้ลนา มินัรรอชิดีน

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดทำให้เรามีความรักต่อการศรัทธาอีมาน และโปรดจรรโลงมันเข้าไปในหัวใจของเรา และได้โปรดทำให้เรารังเกียจการปฏิเสธศรัทธา , การทำความชั่ว , การทำสิ่งที่ฝ่าฝืน และได้โปรดดลบันดาลให้เราเป็นผู้หนึ่งที่ มีความรู้อันยังประโยชน์ และกระทำความดีงาม




اللَّهُمَّ قِنِي شُحَّ نَفْسِي وَاجْعَلْنِي مِنَ الْمُفْلِحِينَ

อัลลอฮุมม่า กินี ชั๊วะหะ นัฟซี วัจอั้ลนี มินั้ล มุฟลิฮีน

โอ้อัลลอห์ได้โปรดปกป้องฉันให้พ้นจากความตระหนี่และความเห็นแก่ตัวของฉัน และได้โปรดดลบันดาลให้ฉันเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับชัยชนะ



ربنا آتنا في الدنيا حسنة،وفي الآخرة حسنة وقنا عذاب النار

ร็อบบะนา อาตินา ฟิดดุนยา ฮะซะนะห์ วะฟิ้ลอาคิเราะห์ ฮะซะนะห์ วะกินาอะซาบันนาร

โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดประทานความดีงามทั้งมวลให้แก่เราในโลกนี้ และในโลกหน้า และได้โปรดปกป้องเราทั้งหลายให้พ้นจากการลงโทษในขุมนรก




اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ فِتْنَةِ النَّارِ وَعَذَابِ النَّارِ، وَفِتْنَةِ الْقَبْرِ، وَعَذَابِ الْقَبْرِ، وَشَرِّ فِتْنَةِ الْغِنَى، وَشَرِّ فِتْنَةِ الْفَقْرِ، اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ شَرِّ فِتْنَةِ الْمَسِيحِ الدَّجَّالِ، اللَّهُمَّ اغْسِلْ قَلْبِي بِمَاءِ الثَّلْجِ وَالْبَرَدِ، وَنَقِّ قَلْبِي مِنْ الْخَطَايَا كَمَا نَقَّيْتَ الثَّوْبَ الْأَبْيَضَ مِنْ الدَّنَسِ، وَبَاعِدْ بَيْنِي وَبَيْنَ خَطَايَايَ كَمَا بَاعَدْتَ بَيْنَ الْمَشْرِقِ وَالْمَغْرِبِ. اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ الْكَسَلِ وَالْمَأْثَمِ وَالْمَغْرَمِ


อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุบิก้า มิน ฟิตนะตินนาร วะ ฟิตนะติ้ลกอบร์ วะ ชัรริ ฟิตนะติ้ลฆินา วะ ชัรริ ฟิตนะติ้ลฟักริ อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน ชัรริ ฟิตนะติ้ลมะซีฮิดดัจญาล อัลลอฮุมมัฆซิล ก็อลบี บิมาอิษษัลญิ วั้ลบะร็อด วะ นักกิ ก็อลบี มินั้ลค่อตอยา กะมา นักก็อยตัษเษาบัลอับยัด มินนัดดะนัซ วะ บาอิด บัยนี วะ บัยน่า คอตอยาย่า กะมา บาอัดต้า บัยนัลมัชริก วัลมัฆริบ อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มินั้ลกะซัล วัลมะอฺซัม วัล มัฆร็อม

โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความโกลาหลในหลุมศพ และ ความชั่วร้ายที่มาจากความร่ำรวย และ ความชั่วร้ายที่มาจากความยากจน โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความเลวร้ายของดัจญาล โอ้อัลลอห์ได้โปรดชำระล้างจิตใจของฉันให้บริสุทธิ์ และได้โปรดปกป้องหัวใจของฉันให้ออกจากความผิดบาปทั้งหลาย ดังที่ พระองค์ได้ทรงปกป้องผ้าขาวให้สะอาด บริสุทธิ์จากคราบสกปรก และได้โปรดประทานให้ฉันห่างไกลจากความผิดบาป ดังที่ พระองค์ได้ทรงทำให้ทิศตะวันออกห่างไกลจากทิศตะวันตก โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความเกียจคร้าน ,การทำบาปและการมีหนี้สิน




اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنَ الْعَجْزِ، وَالْكَسَلِ، وَالْجُبْنِ، وَالْهَرَمِ، والْبُخْلِ، وَأَعُوذُ بِكَ مِنْ عَذَابِ الْقَبْرِ، وَمِنْ فِتْنَةِ الْمَحْيَا وَالْمَمَاتِ

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มินั้ลอัจซิ วั้ลกะซัล วั้ล ญุบนิ วั้ล หะร็อม วั้ล บุคลิ วะ อะอูซุ บิก้า มิน อะซาบิลก็อบร์ วะ ฟิตนะติ้ลมะห์ยา วั้ล มะมาต

โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการไร้ความสามารถ , ความเกียจคร้าน , ความขลาดกลัว , โรคหลงลืมจากความชรา , ความตระหนี่ถี่เหนียว และเห็นแก่ตัว โอ้อัลลอห์ ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้รอดพ้นจากการลงโทษในหลุมศพ และความวุ่นวายในการมีชีวิต และความตาย



اللهمَّ إنِّي أعُوذُ بِكَ مِنْ جَهْدِ الْبَلَاءِ، وَدَرَكِ الشَّقَاءِ، وَسُوءِ الْقَضَاءِ، وَشَمَاتَةِ الْأَعْدَاءِ

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน ญะห์ดิ้ลบะลาอฺ วะ ดะร่อกิชชะกออฺ วะ ซูอิ้ลกอฎอ วะ ชะมาตะติ้ลอะอ์ดาอฺ

โอ้อัลลอห์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการการทดสอบ และภัยพิบัติอันหนักหน่วง และ ความทุกข์ยากอันแสนสาหัส และ ชะตาชีวิตอันเลวร้าย และ การแตกพ่ายต่อบรรดาศัตรู





اللَّهُمَّ أَصْلِحْ لِي دِينِي الَّذِي هُوَ عِصْمَةُ أَمْرِي، وَأَصْلِحْ لِي دُنْيَايَ الَّتِي فِيهَا مَعَاشِي، وَأَصْلِحْ لِي آخِرَتِي الَّتِي فِيهَا مَعَادِي، وَاجْعَلِ الْحَيَاةَ زِيَادَةً لِي فِي كُلِّ خَيْرٍ، وَاجْعَلِ الْمَوْتَ رَاحَةً لِي مِنْ كُلِّ شَرٍّ

อัลลอฮุมมัศเลียะห์ลี ดีนิลละซี ฮุว่า อิศมะตุอัมรี วะ อัศเลียะห์ลี ดุนยายัลละตี ฟีฮา มะอาชี วะ อัศเลียะห์ลี อาคิเราะติ้ลละตี ฟีฮา มะอาดี วัจอะลิ้ลหะยาต้า ซิยาดะตั้ลลี ฟี กุลลิ ค็อยริน วัจอะลิ้ลเมาต้า รอหะตั้ลลี มิน กุลลิ ชัร

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดขัดเกลาฉันให้ตั้งมั่นอยู่ในศาสนาของฉัน อันเป็นสิ่งที่ปกป้องคุ้มครองกิจการงานทั้งหมดของฉันให้ปลอดภัย และ ได้โปรดขัดเกลาชีวิตในโลกนี้ของฉันอันเป็นโลกที่ฉันพักพิงอยู่ให้ดีงาม และได้โปรดขัดเกลาชีวิตในโลกหน้าของฉันอันเป็นบั้นปลายที่แท้จริงของฉันให้ดีงาม และได้โปรดดลบันดาลให้การมีชีวิตของฉัน เป็นการเพิ่มพูนความดีงามทั้งมวล และได้โปรดดลบันดาลให้ความตายของฉัน เป็นการหยุดพัก ออกจากความชั่วร้ายทั้งมวล




اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ الْهُدَى، وَالتُّقَى، وَالْعَفَافَ، وَالْغِنَى

อัลลอฮุมม่า อินนี อัซอะลุกัลหุดา วัตตุกอ วัลอะฟาฟ วัลฆินา

โอ้อัลลอห์ ฉันวิงวอนขอต่อพระองค์ให้ทรงประทานทางนำอันถูกต้อง และ ความยำเกรงต่อพระองค์ และ ความเรียบง่าย และ ความพอเพียง ให้แก่ฉัน




اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنَ الْعَجْزِ، وَالْكَسَلِ، وَالْجُبْنِ، وَالْبُخْلِ، وَالْهَرَمِ، وَعَذَابِ الْقَبْرِ، اللَّهُمَّ آتِ نَفْسِي تَقْوَاهَا، وَزَكِّهَا أَنْتَ خَيْرُ مَنْ زَكَّاهَا، أَنْتَ وَلِيُّهَا وَمَوْلَاهَا، اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ عِلْمٍ لَا يَنْفَعُ، وَمِنْ قَلْبٍ لَا يَخْشَعُ، وَمِنْ نَفْسٍ لَا تَشْبَعُ، وَمِنْ دَعْوَةٍ لَا يُسْتَجَابُ لَهَا

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มินัลอัจซิ วัลกะซัล วัลญุบนิ วัลบุคลิ วัลหะร็อม วะ อะซาบิลก็อบริ อัลลอฮุมม่า อาติ นัฟซี ตักวาฮา วะ ซักกิฮา อันต้า ค็อยรุ มัน ซักกาฮา อันต้า วะลียุฮา วะ เมาลาฮา อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน อิลมิน ลา ยันฟะอฺ วะ มิน ก็อลบิน ลา ยัคชะอ์ วะ มิน นัฟซิน ลา ยัชบะอ์ วะ มิน ดะอฺวะติน ลา ยุซตะญาบุ ละฮา

โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการไร้ความสามารถ , ความเกียจคร้าน , ความขลาดกลัว , โรคหลงลืมจากความชรา , ความตระหนี่ถี่เหนียว และเห็นแก่ตัว โอ้อัลลอห์ ได้โปรดประทานความยำเกรงต่อพระองค์ให้แก่ชีวิตของฉัน และได้โปรดขัดเกลาฉันให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะแท้จริง พระองค์คือผู้ทรงขัดเกลาที่ดีเลิศ พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือและผู้ทรงปกครองชีวิตของฉัน โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจาก ความรู้ที่ไม่มีประโยชน์ และ หัวใจที่ไม่ยำเกรง และ จิตใจที่ไม่เคยพอเพียง และ การวิงวอน(ดุอา)ที่ไม่ถูกตอบรับ





اللَّهُمَّ اهْدِنِي وَسَدِّدْنِي، اللَّهُمَّ إِنِّي أَسْأَلُكَ الْهُدَى وَالسَّدَادَ


อัลลอฮุมมะห์ดินี วะ ซัดดิ๊ดนี อัลลอฮุมม่า อินนี อัซอะลุกัลหุดา วัซซะดาด

โอ้อัลลอห์ ได้โปรดนำทางอันถูกต้องให้แก่ฉัน โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันวิงวอนขอทางนำอันถูกต้องจากพระองค์





اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ زَوَالِ نِعْمَتِكَ، وَتَحَوُّلِ عَافِيَتِكَ، وَفُجَاءَةِ نِقْمَتِكَ، وَجَمِيعِ سَخَطِكَ

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน ซะวาลิ เนียะมะติก วะ ตะเฮาวุลิ อาฟิยะติก วะ ฟุญาอะติ นิกมะติก วะ ญะมีอิ ซะค่อติก

โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการสูญเสีย ความโปรดปรานของพระองค์ และ การสูญเสียความสุขที่ได้รับจากพระองค์ และ การลงโทษอันฉับพลันของพระองค์ และความโกรธกริ้วทั้งหมดของพระองค์




اللَّهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ شَرِّ مَا عَمِلْتُ، وَمِنْ شَرِّ مَا لَمْ أَعْمَلْ

อัลลอฮุมม่า อินนี อะอูซุ บิก้า มิน ชัรริ มา อะมิลตู้ วะ มิน ชัรริ มา ลัม อะอ์มัล

โอ้อัลลอห์ แท้จริง ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจาก ความชั่วร้ายในสิ่งที่ฉันได้กระทำ และ ในสิ่งที่ฉันยังไม่ได้กระทำ





اللَّهُمَّ أكْثِرْ مَالِي، وَوَلَدِي، وَبَارِكْ لِي فِيمَا أعْطَيْتَنِي وَأطِلْ حَيَاتِي عَلَى طَاعَتِكَ، وَأحْسِنْ عَمَلِي وَاغْفِرْ لِي

อัลลอฮุมม่า อักษิรฺ มาลี วะ วะละดี วะ บาริก ลี ฟีมา อะอฺต็อยตะนี วะ อะติ้ล หะยาตี อะลา ตออะติก วะ อะห์ซิน อะมะลี วัฆฟิรลี
โอ้อัลลอห์ ได้โปรดประทานทรัพย์สินและลูกหลานอันมากมายให้แก่ฉัน และโปรดประทานความจำเริญและความดีงามในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แก่ฉัน และโปรดให้ฉันมีอายุที่ยืนยาวเพื่อการเคารพภักดีต่อพระองค์ และโปรดขัดเกลาการงานทั้งหมดของฉันให้ดีงาม และได้โปรดอภัยโทษให้แก่ฉันด้วยเถิด


แล้วจะมาลงเพิ่มให้อีกเรื่อยๆนะค้าบบบ อินชาอัลลอห์ ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด นอกจากดุอาที่ดีจากผู้อ่านคับป๋ม ใครอยากนำไปแชร์แบ่งปั

จงมองขึ้นชั้นฟ้า และอย่ามองลงดิน



نَحْنُ لَا نَمْلِكُ تَغْیِیْرَ الْمَاضِي

เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้
وَ لَا رَسْمَ الْمُسْتَقْبَلِ

และก็ไม่สามารถขีดเส้นอนาคตได้
فَلِمَاذَا نَقْتُلُ أَنْفُسَنَا حَسْرَةً

แล้วทำไมเราฆ่าตัวเราเองด้วยความผิดหวัง
عَلَى شَيْءٍ لَا نَسْتَطِیْعُ تَغْیِیْرَهُ؟

บนสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
اَلْحَیَاةُ قَصِیْرَةٌ، وَأَهْدَافُهَا كَثِيْرَةٌ

ชีวิตนี้สั้นนัก ขณะเดียวกันเป้าหมายมันนั้นมากมาย
فَانْظُرْ إِلَى السَّحَابِ
وَلَا تَنْظُرْ إِلَى التُّرَاب..
จงมองขึ้นชั้นฟ้า และอย่ามองลงดิน
إِذَا ضَاقَتْ بِكَ الدُّرُوْبُ
فَعَلَیْكَ بِعَلَّامِ الْغُیُوْبِ
وَقُلِ الْحَمْدُ للهِ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ

ถ้ารู้สึกว่าหนทางคับแคบ จงหวนคืนสู่อัลลอฮฺที่รอบรู้ถึงสิ่งเร้นลับ
และจงกล่าว อัลหัมดุลิลละต่อทุกอย่าง
سَفِيْنَةُ (تَايْتَنِكْ) بَنَاهَا مِئَاتُ الْأَشْخَاصِ

เรือไททานิคถูกสร้างโดยคนนับร้อย
وَسَفِيْنَةُ ( نُوْحٍ ) بَنَاهَا شَخْصٌ وَاحِدٌ

ในขณะที่เรือนบีนุฮฺถูกสร้างขึ้นแค่คนๆเดียว


اَلْأُوْلَى غَرِقَتْ، وَالثَّانِيَةُ حَمَلَتْ اَلْبَشَرِيَّةَ
แต่ ไททานิคจมน้ำ ส่วนเรือนบีนุฮฺสร้างความปลอดภัยแก่มนุษย์ชาติ

اَلتَّوْفِيْقُ مِنَ اللهِ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى

เตาฟีก มาจากอัลลอฮฺเท่านั้น
نَحْنُ لَسْنَا السُّكَّانَ الْأَصْلِيِّيْنَ
لِهَذَا الْكَوْكَبِ الْأَرْضِ !!
بَلْ نَحْنُ نَنْتَمِيْ إِلَى ( الْجَنَّةِ )

เราไม่ใช่ชาวโลกเดิมๆในดาวดิน เดิมๆเราคือชาวสวรรค์
حَيْثُ كَانَ أَبُوْنَا آدَمُ
يَسْكُنُ فِي الْبِدَايَةِ
لَكِنَّنَا نَزَلْنَا هُنَا مُؤَقَّتًا
لِكَيْ نُؤَدِّيَ اخْتِبَارُا قَصِيْرًا
ثُمَّ نَرْجِعُ بِسُرْعَةٍ ..

สถานที่ ที่พ่อเรา อาดัม อาศัยอยู่ในครั้งแรก
เราอาศัยที่นี่แค่ชั่วคราวเท่านั้น
เพื่อทำข้อสอบสั้นๆ แล้วก็รีบกลับ


فَحَاوِلْ أَنْ تَعْمَلَ مَا بِوُسْعِكَ
لِتَلْحَقَ بِقَافِلَةِ الصَّالِحِيْنَ
الَّتِيْ سَتَعُوْدُ إِلَى وَطَنِنَا الْجَمِيْلِ الْوَاسِعِ
وَلَا تُضَيِّعْ وَقْتَكَ فِيْ هَذَا الْكَوْكَبِ الصَّغِيْرِ

ดังนั้นจงพยายามเท่าที่ท่านจะทำได้
เพื่อให้ได้อยู่กับกอฟีละห์เหล่าคนดี ที่จะกลับสู่ประเทศที่งดงามกว้างขวาง
อย่าได้ปล่อยปะละเลยเวลาของท่านในดวงดาวเล็กใบนี้
اَلْفِرَاقُ: لَيْسَ السَّفَرَ، وَلَا فِرَاقَ الْحُبِّ، حَتَّى الْمَوْتِ لَيْسَ فِرَاقًا
سَنَجْتَمِعُ فِي الْآخِرَةِ
اَلْفِرَاقُ هُوَ: أَنْ يَكُوْنَ أَحَدُنَا فِي الْجَنَّةِ،
وَالْآخَرُ فِي النَّارِ
جَعَلَنِيَ رَبِّيْ وَإِيَّاكُمْ مِنْ سُكَّانِ جَنَّتِهِ..

การจากกันนั้น ไม่ใช่การเดินทางอันยาวไกล
หรือเพราะถูกคนรักทอดทิ้ง
มิหนำซ้ำ ความตายก็ไม่ใช่การจากกัน สาเหตุเพราะเราจะรวมตัวกันอีกในวันอาคีเราะ
การจากกันที่แท้จริงคือ เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกเราอยู่ในสวรรค์ และอีกคนอยู่ในนรก
ขอดุอาจากอัลลอฮฺโปรดทำให้เราเป็นคนหนึ่งจากชาวสวรรค์


وَالْحَيَاةُ مَا هِيَ إِلَّا قِصَّةٌ قَصِيْرَةٌ !!
( مِنْ تُرَابٍ .  تُرَابٌ . إِلَى تُرَابٍ )
( ثُمَّ حِسَابٌ . فَثَوَابٌ . أَوْ عِقَابٌ  )

ชีวิตนี้คือเรื่องเล่าแสนสั้น จากดิน บนดิน และหวนคืนสู่ดิน
แล้วสอบสวน (ที่ผลลัพธ์มีแค่สองความเป็นไปได้) ผลบุญ หรือบทลงโทษ
فَعِشْ حَيَاتَكَ للهِ - تَكُنْ أَسْعَدَ خَلْقِ ﷲ
اَللَّهُمَّ لَكَ الْحَمْدُ كَمَا يَنْبَغِيْ لِجَلَالِ وَجْهِكَ وَعَظِيْمِ سُلْطَانِكَ

ดังนั้น จงมีชีวิตเพื่ออัลลอฮฺ แล้วท่านจะเป็นมัคลูคที่มีความสุขที่สุด
โอ้อัลลอฮฺ สำหรับพระองค์การสรรเสริญทั้งมวลที่เหมาะสมแก่ความสูงส่งของใบหน้าของพระองค์ และความยิ่งใหญ่ของอำนาจของพระองค์

หิกมะฮฺอันงดงาม จาก ดร.อาฮิฎ อัลกอรนี
Sulaiman HU Rodnuan ถอดความ


วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับความตาย



เมื่อชีวิตของมนุษย์นั้น

นับกันด้วยนาทีและวินาที

ที่จะกลายเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นสัปดาห์

เป็นเดือนและเป็นปี

และพวกเราก็ไม่มีใครรู้ว่า

กำหนดความตายของตน จะสิ้นสุดลงเมื่อใดและที่ไหน

จึงไม่สมควรที่เราจะเพิกเฉย

แต่เราต้องมุ่งมั่น เตรียมพร้อมสำหรับความตาย

เราจะต้องมีความอดทน

ต่อสู้อย่างไม่ท้อแท้และสินหวัง จากความเมตตาของอัลลอฮฺตะอาลา

เพราะผู้สิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮ์นั้น

จะมีก็แต่พวกที่ไร้ศรัทธาเท่านั้น


มุสลิมเริ่มต้นที่พระเจ้าของเขาและจบที่พระองค์



หากการศรัทธาต่ออัลลอฮ์เป็นสถานีเริ่มต้นของทุกอย่าง

การศรัทธาต่อวันอาคีเราะฮ์ ก็คงเป็นสถานีสุดท้ายปลายทาง

เป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของมนุษย์

จบลงที่การพำนักอย่างถาวร ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง

ด้วยพระกรุณาและความเป็นธรรมของพระองค์

หลายคนอาจกล่าวว่า

"ตนกระทำดีต่างๆมามากมาย"

แต่พระองค์จะตรัสถามกลับว่า

ทั้งหมดนั้นทำเพื่อใคร?"

หากคำตอบ ไม่ใช่พระองค์เพียงองค์เดียว

เราจะไปถามหาความผาสุขและความรอดพ้นจากผู้ใด

มุสลิมเริ่มต้นที่พระเจ้าของเขาและจบที่พระองค์

ไม่ว่าสังคมจะนับว่าอะไรดีหรือไม่ดี

มุสลิมก็จะยังคงอยู่กับพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่เสื่อมคลาย






เรื่องการที่มุสลิมเสียชีวิตในวันศุกร์



คำถาม: อยากทราบว่า ท่านนบีได้พูดถึงการเสียชีวิตในวันศุกร์ไว้อย่างไรบ้าง ?

คำตอบ : คนที่เชื่อว่าใครที่เสียชีวิตในวันสุกร์ เขาผู้นั้น จะได้เข้าสวรรค์ เเละจะหลุดพ้นจากไฟนรกหรือเชื่อว่า ใครที่เสียชีวิตในวันสุกร์ หรือ คืนวันศุกร์เขาผุ้นั้นที่เสียชีวิต จะไม่ถูกสอบสวน หรือหลุดพ้นจาการลงโทษในหลุมฝังศพ เป็นต้น ซึงบุคคลที่มีความเชื่อดังกล่าวนั้นจะใช้ฮะดิษเป็นหลักฐานที่อ้างว่า ท่านนบี(ศ๊อล) ได้กล่าวว่า:
ما من مسلم يموت يوم الجمعة أو ليلة الجمعة إلا وقاه الله فتنة القبر.
ความว่า : ไม่มีมุสลิมคนหนึ่งคนใดตายในวันศุกร์ หรือคืนวันศุกร์เว้นแต่อัลลอฮฺจะทรงป้องกันเขาให้พ้นจากฟิตนะห์ในหลุมฝังศพ (กุบูร) ”

เเละอีกสำนวนหนึง : ท่านนบี( ศ๊อล) กล่าวว่า
من مات من المسلمين يوم الجمعة أمن من عذاب القبر
ความว่า: ไม่มีมุสลิมคนหนึ่งคนใดตายในวันศุกร์ เว้นแต่อัลลอฮฺจะทรงป้องกันเขาให้พ้นจากการลงโทษในหลุมฝังศพ (กุบูร) ”

เเละฮะดิษหนึงที่ท่านนบีกล่าวว่า : من مات يوم الجمعة حوسب يوم السبت
ความว่า : ผู้ใดเสียชีวิตในวันสุกร์เขาจะถูกสอบสวนในวันเสาร์ ( หมายถึงวันศุกร์เขาจะไม่ถูกสอบสวนเเละเขาจะหลุดพ้นจากบทลงโทษ

ทั้งหมด3 ฮะดิษข้างต้นที่กล่าวมา คือ

1- เป็นฮะดิษ ฎออิฟฺ หมายถึง ฮะดิษอ่อน เเละ ไม่ใช่ฮะดิษศอฮิห
2- เป็นฮะดิษ ขาดสายรายงาน
3- เป็นฮะดิษ " ฆอรีบ" หมายถึง เป็นฮะดิษที่มีผู้รายงานเพียงคนเดียว โดเดี่ยว ตลอดสายรายงาน หรือในบางช่วงของสายรายงาน

อนึง : เพิงทราบเถอะว่า ไม่ว่าใครที่จบชีวิตของเขาด้วยจุดจบที่ดี เเน่นอนอัลลอฮสัญญาเเก่เขาด้วยสวนสวรรค์ ไม่ว่าเขาเสียชีวิตวันสุกร์หรือวันอื่นๆ เเละเช่นกันผู้ใดที่เสียชีวิตด้วยจุดจบของเขามีเเต่สิ่งเลวร้ายความชั่ว อาทิ ตายในขนะตั้งภาคีต่ออัลลออฮ ตายในขนะทำมะห์ซิยัต เนรคุณต่ออัลลอฮ เเน่นอนอัลลอฮก็ได้สัญญาเเก่เขาด้วยไฟนรกอันร้อนเเรง ฯล

ดูเสริมได้ที่:
คำฟัตวา จากคณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการและการชี้ขาด
ปัญหาศาสนา (ประเทศซาอุดีอาระเบีย) เล่มที่ 14 หน้า : 164



ทำไมถึงห้ามเด็กๆ ออกนอกบ้านในขณะดวงตะวันลับขอบฟ้า หรือในเวลามักริบ?




 มักริบคือเวลาของการละหมาดฟัรดู 3 รอกาอัต ในขณะแผ่นดินกำลังจะเปลี่ยนช่วงเวลาจากกลางวันไปสู่กลางคืน เมื่อเข้าเวลามักริบ ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ ก็มักจะใช้ให้ลูกหลานเลิกเล่นและรีบกลับเข้าบ้านทันที เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า ในช่วงเวลามักริบนั้น ชัยตอนและญินกำลังเพ่นพล่านอยู่ตามสถานที่ต่างๆ และหลังจากมักริบพวกเขาถึงจะปล่อยให้ลูกหลานออกจากบ้านได้ ข้อห้ามนี้ได้ถูกห้ามกันมาตั้งแต่โบราณในอดีตกาลจากคนเฒ่าคนแก่จากรุ่นสู่รุ่น โดยที่เราหารู้ไม่ว่า ข้อห้ามเหล่านี้

 แท้จริงแล้วได้มีระบุในฮาดีษของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ดังที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้กล่าวไว้ว่า
 “ท่านทั้งหลายอย่าได้ปล่อยให้ลูกหลานของท่านอยู่นอกบ้านในขณะที่ดวงตะวันลับขอบฟ้าจนกระทั่งมืดเข้าสู่ยามค่ำคืน เพราะชัยตอนจะแตกเป็นเสี่ยง เมื่อดวงอาทิตย์จะตกจนกระทั่งมืดมิดของเวลากลางคืน” (รายงานโดย มุสลิม)

และท่านร่อซูลุลลอฮ์ยังได้กล่าวไว้ในซอเฮียะห์มุสลิมอีกว่า
 “หากช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะตกและเริ่มมืด จงดูแลทารกน้อยให้ดี เพราะอิบลีสจะเริ่มการหลอกหลอนในช่วงเวลานั้น หากช่วงเวลาที่ช่วงเวลานั้นผ่านไป ก็จงปล่อยพวกเขา, จงใส่กลอนประตูบ้าน และกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ เพราะชัยตอนไม่สามารถเปิดประตูที่ปิดไว้ได้ และจงปิดภาชนะใส่น้ำของท่านทั้งหลายให้สนิท และกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ และจงปิดภาชนะอาหารของท่านทั้งหลายพร้อมกับกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ แม้ว่าท่านต้องการได้สิ่งนั้นก็ตาม”

 ท่าน ศ.ดร. Osly Rachman ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า “The Science Of Solat” โดยท่านได้ชี้แจงไว้ว่า ในช่วงเวลามักริบ โลกจะเปลี่ยนเป็นแสงสเปกตรัมเป็นสีแดง แสงนี้จะมีคลื่นรังสี EM (electromagnet) ซึ่งประกอบไปด้วย สเปคตรัมสีต่างๆ และในแต่ละสีของสเปคตรัม ก็จะมีพลังงานคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน โดยในช่วงเวลามักริบ หรือช่วงเวลาที่ดวงตะวันจะลับขอบฟ้านั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสเปคตรัมคลื่นความถี่ ตามคลื่นความถี่ของอิบลีสและญิน นั่นก็คือ คลื่นความถี่ของสเปคตรัมสีแดง ในช่วงเวลานี้ ญินและอิบลีส จะมีพลังงานมากเนื่องจากมีได้รับคลื่นความถี่ตรงตามสเปคตรัมของแสงสีแดง  ดังนั้นในช่วงเวลามักริบจึงเกิดคลื่นความถี่ที่เป็นสัญญาณทับซ้อน จนบางครั้งอาจก่อให้เกิดภาพหลอนหรือภาพลวงตาได้ในช่วงเวลานั้น

ในอิสลาม ช่วงเวลามักริบ คือ ช่วงเวลาที่ชัยตอนกำลังมาพร้อมกับความมืดกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เพื่อหาสถานที่พักพิงและหลบซ่อน เพราะมีชัยตอนบางตัว ก็จะเกิดความกลัวต่อความชั่วร้ายของชัยตอนตัวอื่น จนทำให้พวกมันต้องวิ่งหาสิ่งคุ้มกันหรือเกราะป้องกันพวกมันจากชัยตอนที่ร้ายกาจตัวอื่น ดังนั้น พวกมันจึงได้คลื่นไหวด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ ชัยตอนบางตัวก็จะหลบซ่อนอยู่ในภาชนะที่ว่างเปล่า หลบซ่อนอยู่ในบ้านร้าง บางตัวก็จะหลบซ่อนอยู่กับกลุ่มคนที่นั่งกระจัดกระจายอยู่ในเวลานั้น เฉพาะผู้ที่มีพลังความเข้มแข็งเท่านั้นที่จะปลอดภัยจากการหลบซ่อนของชัยตอนในร่างกาย

ดังนั้น ทารกและ เด็กๆที่ยังอ่อนแอ จึงง่ายต่อการที่อิบลีสชัยตอนจะเข้าหลบซ่อนในร่างกาย จึงทำให้เด็กที่ถูกรบกวนจากชัยตอนเกิดอาการต่างๆต่าง ไม่ว่าจะร้องไห้งองแงโดยไม่ทราบสาเหตุ ในช่วงเวลามักริบ เรายังถูกใช้ให้ห่างไกลจากสัตว์เลี้ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแมว, นก หรือในขณะขับรถ ก็ควรลดความเร็วลง เนื่องจากในเวลานั้น อาจจะมีสุนัขหรือสัตว์อื่นๆกำลังถูกชัยตอนเข้าสิง จนทำให้พวกมันวิ่งกระจัดกระจายด้วยความกลัว และเช่นกัน ก็ไม่ควรเดินอยู่ตามลำพัง หรือนั่งอยู่คนเดียวในสถานที่เปลี่ยว หรือขว้างปาก้อนหิน เข้าในห้องน้ำ หรือในสวน หรือในทะเล



ชัยฏอน รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของชัยฏอน ที่มุสลิมทุกคนควรรู้



งานใหญ่ของมัน(ชัยฏอน)คือ ทำทุกวิธีไม่ให้มนุษย์ กราบไหว้พระผู้สร้าง อยากให้อ่านเเล้วปรับเเผนให้ทันเลห์เหลี่ยมมัน ชัยฏอน หรือ อิบลีส เป็นนามของญินตนหนึ่งที่หลอกลวงให้อาดัมและเฮาวาอ์ภรรยา ต้องออกจากสวนสวรรค์ และสาบานว่าจะตามล้างตามผลาญลูกหลานมนุษย์จนถึงวันโลกาวินาศ ในไบเบิลเรียกว่า ซาตาน ชัยฏอน อาจจะหมายถึง มารร้ายตนอื่น ๆ ที่เป็นพรรคพวกของอิบลีสก็ได้ คำว่า "ซาตาน" ในภาษายุโรปเป็นคำที่ยืมมาจากคำว่า "ชัยฏอน" ในภาษาอาหรับ
ช่องทางที่ทำให้ชัยฏอนสมความปรารถนา 1. ความโกรธและกระทำตามอารมณ์
ความโกรธจะทำลายความรับผิดชอบชั่วดี เมื่อมนุษย์มีความโกรธ เขาจะกลายเป็นของเล่นของชัยฏอน เสมือนฟุตบอลที่เป็นของเด็กเล่น 2. ความอิจฉาริษยา และความตระหนี่ (ละโมภ)
เมื่อบ่าวของพระองค์คนใดมีความตระหนี่ ตาของเขาจะมืดบอดและหูหนวกต่อการรักษาทรัพย์สินนั้น ถึงแม้จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของต้องตกอยู่ในความผิดก็ตาม

การตระหนี่ การอิจฉาริษยา เเละการหยิ่งยะโส ซึ่งการหยิ่งยะโสนั้น เป็นสาเหตุที่ห้ามไม่ให้อิบสิสก้มสุญุดต่อท่านอาดัม ความตระหนี่เป็นเหตุให้อาดัมต้องถูกอัปเปหิออกจากสวรรค์ ความอิจฉาเป็นสาเหตให้บุตรชายของอาดัมต้องฆ่าน้องชายตัวเอง

3. ความอิ่มจากการทานอาหาร ถึงแม้อาหารนั้นจะเป็นอาหารที่ฮาลาล แต่เนื่องจากความอิ่ม จะทำให้ความต้องการทางเพศมากขึ้น และความต้องการทางเพศเป็นอาวุธสำคัญของชัยฏอน
ท่านวาฮีบ บิน อัลวัรด กล่าวว่า พวกเราได้ยินว่า แท้จริงอิบลิสผู้สกปรกได้เข้าหาท่านนาบียะห์ยา บิน ซาการียา عليهما السلام และกล่าวกับท่านว่า แท้จริงฉันต้องการจะตักเตือนท่าน ท่านนาบีกล่าวว่า เจ้าโกหก ไม่ต้องมาเตือนอะไรฉัน แต่จงเล่าเรื่องราวของลูกหลานอาดัมให้ฉันฟัง
อิบลิสกล่าวว่า ในสายตาของพวกเราแล้ว จะแบ่งลูกหลานอาดัมออกเป็น 3 จำพวก
จำพวกที่หนึ่ง คือ พวกที่เรารับมามากที่สุด ซึ่งพวกนี้คือพวกที่เราหลอกลวงจนกระทั่งพวกเขาหลงผิด และเรามั่นใจว่าพวกเขาจะไม่กลับไปสู่แนวทางที่ถูกต้องอีก.. แต่ต่อมาพวกเขาก็ขออภัยโทษและกลับเนื้อกลับตัว พวกเขาจึงทำลายความพยายามของพวกเราจนสิ้นเชิง ซึ่งต่อมา เราก็จะเข้าหาเขาอีกครั้ง แต่อนิจจาเราไม่สามารถหลอกลวงเขาได้อีก พวกเขามิทำให้พวกเราสมความปรารถนาอีกต่อไป พวกเราจึงท้อแท้ที่จะพยายามหลอกลวงพวกเขาอีก

ส่วนจำพวกที่สอง คือ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในกำมือของพวกเรา เป็นเสมือนลูกฟุตบอลสำหรับเด็กๆ ของพวกเรา เราจะชี้ทางให้เขาทำตามที่เราปรารถนา พวกเขาจึงกลายเป็นผู้ปฏิเสธเนื่องจากการหลอกลวงของพวกเรา

อีกจำพวกที่สาม คือ พวกเขาเหมือนๆ กับท่าน คือ เป็นกลุ่มชนที่ไม่มีบาป พวกเราไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ ท่านนาบียะห์ยาจึงถามชัยฏอนว่า ดังนั้น เจ้าเคยยุแหย่อะไรฉันได้บ้าง? อิบลีส ตอบว่า ไม่เคย ยกเว้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือท่านเคยรับประทานอาหารที่ท่านชื่นชอบจนเกินอิ่ม และเข้านอนในค่ำคืนนั้นอย่างเต็มที่ จนไม่สามารถตื่นมาละหมาดเสมือนกับที่ท่านเคยปฏิบัติอยู่เสมอ
ท่านนาบียะห์ยากล่าวกับชัยตอนว่า ฉันจะไม่รับประทานอาหารจนอิ่มหนำอีกต่อไป จนกระทั่งชีวิตฉันจะหาไม่
อิบลีสผู้สกปรกจึงกล่าวกับท่านว่า ฉันจะไม่ตักเตือนลูกหลานอาดัมหลังจากท่านอีก

4. ความละโมภและความอยากได้สิ่งของจากผู้อื่น
เพราะเมื่อมนุษย์มีความละโมบและอยากได้สิ่งของจากผู้อื่น ชัยฏอนจะประดับประดาและยกย่องผู้ที่เขาอยากได้ ให้เขามีความรักต่อผู้ที่เขามีความหวัง ด้วยการเอาอกเอาใจ ยกย่องบูชาเพื่อหวังจะได้รับความดีความชอบ จนเป็นเสมือนบ่าวทาส

5. ความรีบเร่ง จนขาดความตั้งใจ
เนื่องจากความรีบเร่ง เป็นการเปิดโอกาสให้ชัยฏอนเข้าสู่มนุษย์ได้ง่ายดายขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทั้งนี้เนื่องจากความรีบเร่งมาจากชัยฏอน การพิเคราะห์พิจารณามาจากพระองค์อัลลอฮ์

6.การยึดมั่นในผู้รู้เพียงกลุ่มเดียว ทำตามอารมณ์ และทะเลาะเบาะแว้งกับบุคคลอื่นที่มีความคิดแตกต่างไปจากตน

7. เข้าใจมุสลิมด้วยกันอย่างผิดๆ
อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า (ผู้ที่มีอีหม่านทั้งหลาย จงห่างไกลจากส่วนใหญ่ของการสงสัย แท้จริงการสงสัยบางอย่างนั้นเป็นบาป (จะได้รับการลงโทษ)...) อัลหุญุรอต อายะห์ที่ 12

8. การตระหนี่ และวิตกต่อความยากจน ท่านซุฟยานกล่าวว่า ชัยฏอนไม่มีอาวุธใดๆ เสมือนกับการกลัวความยากจน เมื่อผู้ใดรับมันเข้าไป ก็จะตกอยู่ในความผิดพลาด และหวงห้ามมิให้ผู้อื่นได้รับในสิทธิที่เขาพึงได้ พูดจาตามอารมณ์ และสงสัยในเรื่องของพระเจ้าในทางที่ไม่ดี
ท่านฮาติม อาซ็อม กล่าวว่า ไม่มีตอนเช้าวันไหน ยกเว้นชัยฏอนจะพูดกับฉันว่า ท่านจะรับประทานอาหารอะไร? จะสวมเสื้อผ้าตัวไหน? และจะอาศัยอยู่ที่ใด? ฉันตอบว่า ฉันจะกินอาหารเหมือนกับคนที่กำลังจะตาย จะใช้ผ้าที่ห่อศพเป็นเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกาย และจะใช้สุสานเป็นที่พักอาศัย

การสัมผัสของญินและชัยตอน
คำว่า المس ซึ่งมีความหมายว่า สัมผัสนั้นถูกนำมาใช้กับผู้ที่ถูกญิน ชัยตอน หรือมนต์ดำทำร้าย โดยการที่ญินหรือชัยตอนนั้นจะเข้าสิงสถิตอยู่ในร่างมนุษย์ และแน่นอนคำนี้ได้ถูกนำมาใช้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านที่ว่า.... บรรดาผู้กินดอกเบี้ยนั้นจะไม่ทรงตัวยืนขึ้นได้ นอกเสียจากพวกเขาจะทรงตัวยืนประดุจดังผู้ที่ชัยตอนมารร้ายสิงสู่จากการสัมผัส (สิงสถิต) ได้รายงานมาจากท่านอิบนุอับบาสว่า แท้จริงมีหญิงคนหนึ่งมาพร้อมลูกชายของนาง แล้วนางก็ได้กล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ แท้จริงลูกชายของฉันคนนี้เป็นคนบ้า เขาจะมีอาการบ้าในตอนรับประทานอาหารกลางวัน และตอนรับประทานอาหารกลางคืน แล้วเขาก็ได้สร้างความเสียหายให้แก่เรา แล้วท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ก็ได้ลูบไปที่ตัวเด็กคนนั้นและขอดุอาให้กับเขา แล้วเด็กคนนั้นก็อาเจียนออกมาอย่างมาก สิ่งที่ออกมาจากท้องของเขาคล้ายกับลูกสัตว์สีดำ สาเหตุที่ญินจะมาสำผัสมนุษย์นั้นมีอยู่หลายสาเหตุ ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะญินนั้นมีความรักใคร่ต่อมนุษย์ผู้นั้น หรือไม่ก็เพราะต้องการที่จะล่อลวงให้หลงผิด และเนื่องจากดังกล่าวนี้ญินจะทำการล่อลวงมนุษย์ด้วยการสัมผัส(สิงสู่)ในร่างกายมนุษย์ พฤติกรรมอันชั่วร้ายของญินนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ นอกเสียจากมนุษย์จะต้องอยู่ในสภาพดังต่อไปนี้ โกรธจัด - กลัวจัด - ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ - ห่างไกลจากแนวทางของอัลลอฮฺ - หลงลืมอัลลอฮฺ - หวีดร้อง - ตบหน้าตัวเอง - การเข้าไปในกุโบร์ในยามค่ำคืน การสิงสู่ของญินนั้นมีขึ้นหลายรูปแบบ ซึ่งบางทีมันจะสิงสู่โดยการควบคุมประสาททั้งหมดของร่างกายมนุษย์ นั่นหมายถึงมันได้ควบคุมร่างกายทั้งหมด บางทีมนุษย์อาจถูกสิงสู่ในอวัยวะเพียงบางส่วน บางทีอาจจะสิงสถิตอยู่เป็นระยะเวลานาน หรือเพียงไม่กี่นาทีซึ่งจะมาในรูปของฝันร้าย...

ฝันดี มาจากอัลลอฮฺ ฝันร้าย มาจากชัยฏอน

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก อิศรา โต๊ะการิม


วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อิสลามกับการอาบน้ำวันศุกร์ (ญุมอะฮฺ)




การอาบน้ำสำหรับละหมาดญุมุอะฮฺเป็นสิ่งที่สุนัตมุอักกะดะฮฺ(ส่งเสริมอย่างยิ่งให้ทำ) และวาญิบต้องอาบน้ำสำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวรบกวนบรรดามะลาอิกะฮฺและคนอื่นๆ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า

«الغُسْلُ يَومَ الجُـمُعَةِ وَاجِبٌ عَلَى كُلِّ مُـحْتَلِـمٍ»

ความว่า “การอาบน้ำในวันญุมุอะฮฺนั้นเป็นสิ่งสำหรับผู้ที่บรรลุศาสนภาวะทุกคน”
(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 858 และมุสลิม เลขที่: 846)

และหลังจากอาบน้ำแล้วมีสุนัตให้ทำความสะอาดร่างกายส่วนอื่นๆ และให้ใส่น้ำหอม และสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม แล้วออกไปมัสญิดตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วให้เข้าไปอยู่ในที่ที่ใกล้อิมาม และละหมาด ดุอาอ์และอ่านอัลกุรอานให้มากๆ

ซาอุฯประหารเจ้าชาย เหตุยิงปชช.ตายจากการวิวาท



AFP รายงานจากกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคารที่ (18 ตุลาคม) ผ่านมาว่า เจ้าชายเตอร์กี บิน สอุด อัล-กาบีร์ ถูกประหารชีวิตในเมืองกรุงริยาด เมื่อวันอังคาร จากความผิดฐานฆาตกรรม โดยเจ้าชายได้ใช้อาวุธปืนยิง นายอับดุล อัล-มาเฮมิด ชาวซาอุดิ เสียชีวิต ในระหว่างการทะเลาะวิวาท เหตุเกิดที่แคมป์พักแรมในทะเลทราย ชานกรุงริยาด เมื่อเดือนธันวาคม 2555

เจ้าชายกาบีร์นับเป็นนักโทษประหารรายที่ 134 ทั้งชาวซาอุดิและชาวต่างชาติในปีนี้ ตามแถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบีย

อาหรับนิวส์ รายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ว่า ศาลกรุงริยาดมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต เจ้าชายสมาชิกราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย ที่ไม่เอ่ยพระนามท่านหนึ่ง จากความผิดฐานฆาตกรรมเพื่อน

โดยมีผู้บาดเจ็บอีก 1 คนจากการทะเลาะวิวาทและยิงปะทะกันที่แคมป์กลางทะเลทรายชานกรุงริยาด
นายอับดุล เราะห์มาน อัล-ฟาลาจ ลุงของผู้ตาย กล่าวว่า การประหารชีวิตครั้งนี้เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึง “ระบบยุติธรรมที่เที่ยงตรง” ของราชอาณาจักร

โดยกระทรวงมหาดไทยแถลงว่า เจ้าชายเตอร์กีรับสารภาพความผิดฐานฆ่าเพื่อนร่วมชาติ และรัฐบาลซาอุฯ ก็ “ยืนยันที่จะรักษาความมั่นคงปลอดภัย และธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม”

สำนักข่าว อัล-อาระบียะห์ รายงานว่า ครอบครัวของเหยื่อที่ถูกเจ้าชายเตอร์กีสังหารปฏิเสธที่จะรับเงินชดเชย เพื่อให้จำเลยได้รับการละเว้นโทษประหารชีวิต

ทั้งนี้ซาอุดีอาระเบียใช้หลักคำสอนทางศาสนา มาเป็นหลักกฎหมายในการบริหารประเทศ ช่วยทำให้ประเทศกลางทะเลทรายแห่งนี้เป็นประเทศที่มีสถิติอาชญากรรมน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศในระดับเดียวกันนี้ในตะวันตก

ที่มา http://i-newsmedia.net


วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตในวัยเด็กของท่านนบีมูฮัมหมัด



ชีวิตในวัยเด็กของท่านนบีมูฮัมหมัด(ซล.) 

ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซล.) เกิดวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบิอุ้ลเอาวัล ปีช้าง ตรงกับปีคริสตศักราชที่ 570 พระองค์อัลลอฮ์ ได้กำหนดให้เด็กที่เกิดใหม่นี้จะไม่ได้เห็นบิดา ซึ่งบิดาของท่านได้เสียชีวิตก่อนที่ท่านจะเกิด ขณะที่เดินทางไปทำธุระให้กับปู่ที่นครมะดีนะห์ อับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่ได้ให้การช่วยเหลืออามีนะฮ์ มารดาและทารกที่เกิดใหม่เป็นอย่างดี อับดุลมุฏฏอลิบได้ให้การต้อนรับด้วยความยินดีและตั้งชื่อว่า มูฮัมหมัด

 การให้นมและการผ่าหน้าอก

 เป็นธรรมเนียมของชาวอาหรับที่จะส่งเด็กเกิดใหม่ให้ได้รับการเลี้ยงดูตามชนบท เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์และอาหารที่ดี และจะทำให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวอาหรับ ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันเป็นสัญลักษณ์ของชนชาติอาหรับ และพบว่าในทุกๆปีจะมีแม่นมจากชนบทเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อรับจ้างเลี้ยงทารกที่เกิดใหม่ เพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทน ในปีที่ท่านนะบีเกิดได้มีแม่นมจำนวนหนึ่งไปรับจ้างเลี้ยงเด็ก แต่เมื่อถูกเสนอให้รับเลี้ยงมุฮัมมัด พวกนางเหล่านั้นต่างปฏิเสธ เนื่องจากการกำพร้าพ่อ
ดังที่ฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์ ได้กล่าวไว้ว่า:
"มารดาหรือลุงหรือปู่ของเด็กคงจะให้อะไรเราไม่ได้มาก"
และฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์เป็นแม่นมที่ไปถึงช้ากว่าใคร เพราะพาหนะที่นางขี่ไปนั้นผอมอ่อนแอ จึงทำให้เดินได้ช้า เมื่อนางไปถึงในเมืองก็พบว่าแม่นมต่างๆเลือกรับทารกที่เกิดใหม่ไปหมด เหลือแต่เพียงมุฮัมมัดเท่านั้นที่ไม่มีใครรับไปเลี้ยง ในตอนแรกนางไม่ต้องการเลี้ยงดูมุฮัมมัด แต่เมื่อนางได้ปรึกษากับสามีแล้ว นางจึงบอกกับสามีว่านางไม่ต้องการจะกลับไปแบบมือเปล่าไม่มีเด็กกลับไปเลี้ยง นางจึงสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่าต้องรับเอามุฮัมมัดไปเลี้ยง ทันทีที่นางให้นมมุฮัมมัดดูด ความประเสริฐได้ปรากฏขึ้นกับฮาลีมะฮ์ นางมีน้ำนมอย่างมากมาย จากที่เคยแห้งหรือเกือบจะแห้ง เช่นเดียวกับแพะของนางที่รังนมของมันแห้งเพราะความผอม ก็กลับมีน้ำนมอย่างมากมาย จึงทำให้นางและสามีได้ดื่มน้ำนมแพะและนอนหลับอย่างสบายในคืนนั้น สามีของนางจึงเข้าใจทันที่ว่าทารกน้อยคนนี้คงมิใช่ทารกธรรมดาแน่ จึงได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า ฮาลีมะฮ์ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า เราได้รับเด็กที่มีความประเสริฐไว้เลี้ยงดูแล้ว เช่นเดียวกันพาหนะของนางที่ซูบผอมอ่อนแอ กลับแข็งแรงขึ้นสามารถเดินนำหน้าบรรดาแม่นมคนอื่นๆ จนสร้างความประหลาดใจให้กับพวกนางเหล่านั้นอย่างมาก ทำให้พวกนางถามขึ้นว่า
 "ฮะลีมะฮ์เกิดอะไรขึ้นกับพาหนะของเธอ ?"
นางตอบว่า
"ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า ฉันได้เด็กที่มีศิริมงคลขี่บนหลังของมัน"
 ความเป็นศิริมงคลของมุฮัมมัด ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของฮาลีมะฮ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อนางกลับถึงบ้าน หมู่บ้านของเธอในปีนั้นเป็นปีที่มีความแห้งแล้ง ฝูงแกะฝูงแพะที่ออกไปหาหญ้ากินอย่างหิวโหย ก็ต้องกลับมาอย่างหิวโหย เพราะทุ่งหญ้ามีน้อยมาก แต่ว่าแกะของฮาลีมะฮ์ออกไปอย่าหิวโหยแต่กลับมาอย่างอิ่มหนำ และสามารถให้น้ำนมอย่างมากมาย โดยธรรมเนียมเมื่อครบ 2 ปี แม่นมจะนำเด็กที่รับมาเลี้ยง ไปส่งคืนให้แก่มารดาของเขา แต่ฮาลีมะฮ์และสามีของนางได้นำมุฮัมมัดไปหามารดาของเขามิใช่เพื่อไปส่งคืนให้ แต่ต้องการที่จะไปขอร้องให้อนุญาตเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป เพื่อที่เขาทั้งสองจะได้รับความเป็นศิริมงคลจากมุฮัมมัด อามินะฮ์มารดาของท่านก็ไม่ขัดข้องที่ทั้งสองจะรับเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป
 หลังจากนั้นอีก 4-5 เดือนได้เกิดเหตุการณ์ผ่าหน้าอกของท่านนะบี ขึ้น

 การผ่าหน้าอกครั้งแรก 

เมื่อมุฮัมมัดอายุได้ 3 ปี เหตุการณ์ผ่าหน้าอกจึงเกิดขึ้น ท่านอิม่ามมุสลิมได้รายงานเหตุการณ์ผ่าหน้าอกไว้ดังนี้
 : รายงานจากอนัส อิบนิ มาลิก ว่า
 : ท่านญิบรีลได้มาที่ท่านเราะซูล ขณะที่กำลังเล่นกับเพื่อนๆ ญิบรีลได้จับท่านให้นอนลง และผ่าหน้าอก เอาหัวใจออกมา แล้วเอาก้อนเลือดก้อนหนึ่งออกจากหัวใจ แล้วกล่าวขึ้นว่า "นี่เป็นส่วนของชัยฎอน แล้วญิบรีลได้นำหัวใจล้างด้วยน้ำซัมซัมในภาชนะที่ทำด้วยทองคำ เสร็จแล้วญิบรีลได้ประสานหัวใจแล้วนำกลับเข้าไว้ที่เดิม บรรดาเด็กๆ ที่เล่นอยู่ด้วยกัน รีบกลับไปหาแม่นมของท่าน แล้วบอกว่ามุฮัมมัดได้ถูกฆ่าแล้ว พวกเขาจึงรีบไป จึงพบว่าใบหน้าของท่านซีดเผือก ถอดสี อนัสได้เล่าว่า : ฉันเคยเห็นรอยเย็บที่หน้าอกของท่านนะบี
ศาสตราจารย์ อักรอม อัลอุมารี ได้วิเคราะห์เหตุการณ์การผ่าหน้าอกว่า
: การขจัดส่วนที่เป็นของชัยฏอนออกนั้น ถือได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งสำหรับการแต่งตั้งให้เป็นนะบี และเป็นการคุ้มครองให้พ้นจากความชั่วร้ายและการเคารพสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ เพื่อไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ เข้าไปในจิตใจ นอกจากการให้เอกภาพต่อพระองค์อัลลอฮ์ เท่านั้น และเหตุการณ์นั้นได้เห็นผลอย่างชัดเจน โดยที่ท่านนะบี ไม่เคยทำบาป ไม่เคยเคารพเจว็ด(รูปปั้น) ทั้งๆที่การเคารพเจว็ดนั้นแพร่สะพัดอยู่ในหมู่พวกของท่าน
 และเหตุการณ์ผ่าหน้าอกได้เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนที่ท่านอิสรออ์และมิอ์ร็อจญ์ จากมักกะฮ์ ไปยังบัยตุลมักดิส และขึ้นไปยังฟากฟ้า

 การสิ้นชีวิตของมารดาและปู่

มุฮัมมัดได้รับการเลี้ยงดูจากฮาลีมะฮ์(แม่นม) 4-5 ปี จึงได้ถูกส่งคืนกลับให้มารดาเพื่อที่จะได้รับความรักความอบอุ่น แต่อัลลอฮ์ มิทรงประสงค์ที่จะให้ท่านได้อยู่ร่วมกับมารดานานนัก แล้วมารดาของท่านได้เสียชีวิตระหว่างทางนครมักกะฮ์กับนครมะดีนะฮ์ หลังจากที่ได้กลับมาจากการไปเยี่ยมน้าของมุฮัมมัด ซึ่งขณะนั้นมุฮัมมัดอายุได้ 6 ปี การอุปการะเลี้ยงดูจึงต้องกลับไปที่อับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่จึงรับหน้าที่เลี้ยงดูมุฮัมมัดซึ่งเป็นเด็กกำพร้าอย่างเต็มตัว และท่านได้ให้สิทธิพิเศษซึ่งไม่เคยให้แก่ลูกหลานคนใดมาก่อน
มุฮัมมัดได้รับการเลี้ยงดูจากปู่ไม่นานนัก ปู่ก็เสียชีวิตหลังการเสียชีวิตของมารดาเพียง 2 ปี ขณะนั้นมุฮัมมัดมีอายุได้ 8 ปี
 เมื่อมารดาและปู่ต้องจากไป อบูฏอลิบลุงของท่านจึงได้รับอุปการะเลี้ยงดูมุฮัมมัดอย่างดีไม่ได้น้อยไปกว่ามารดาและปู่ของท่านเลย แน่นอนเหลือเกินการที่ท่านนะบี มิได้เห็นบิดา เพราะกำพร้าพ่อตั้งแต่เกิด และอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของมารดาเพียง 2 ปี เท่านั้น และเมื่อสูญเสียมารดาไปได้ไม่นาน ท่านก็ต้องสูญเสียปู่ของท่านไปอีก ทั้งหมดได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียง 8 ปี
ช่วงชีวิตดังกล่าวเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์อัลลอฮ์ ที่ต้องการจะดูแลมุฮัมมัดด้วยพระองค์เอง และเพื่อให้ท่านได้ยึดมั่นอยู่กับอัลลอฮ์ องค์เดียวตั้งแต่แรกเริ่มของชีวิต มิต้องพึ่งพาผู้อื่นผู้ใด หรือใครก็ตามที่ยึดมั่นอยู่กับอัลลอฮ จะทรงเป็นผู้ดูแลเขา ความดีงามและความสำเร็จต่างๆจะเป็นของเขาทุกอย่าง เป็นที่ยอมรับกันว่าเด็กกำพร้าจำนวนไม่น้อย ที่ต้องสูญเสียบิดาไป หรือสูญเสียทั้งบิดาและมารดา ทำให้ผู้ใกล้ชิดต้องอาลัยอาวรณ์ และเป็นห่วงเป็นใย เกรงว่าชีวิตของเขาจะเป็นไปในทางที่ไม่ดี แต่เมื่อเขายึดมั่นต่ออัลลอฮ์ อย่างแท้จริง พระองค์จะให้การดูแลและทำให้ชีวิตของพวกเขามีความสุข ซึ่งดีกว่าบางคนที่ได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดาเสียอีก

การเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ

หลังจากผู้เป็นปู่ได้จากไป มุฮัมมัดได้อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของ อบูฏอลิบผู้เป็นลุง ซึ่งมีลูกหลายคนฐานะก็ยากจน แม้กระนั้นก็ตาม ท่านยินดีรับอุปการะ และให้การเลี้ยงดูมุฮัมมัดอย่างดี มุฮัมมัดจึงไม่ต้องการที่จะสร้างภาระหนักให้แก่ลุง ท่านจึงแบ่งเบาภาระของลุง โดยไปรับจ้างเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะให้กับชาวมักกะฮ์ อาชีพเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะนั้นเป็นอาชีพหนึ่งในช่วงชีวิตของบรรดานะบี
ดังที่มีรายงานมาจากฮะดีษ(*7*) (مَابَعَثَ اللهُ نَبَيًّا إلاَّ رعَى الغَنَمَ) ความว่า อัลลอฮ์ มิได้ส่งนะบีท่านใดมา เว้นแต่เขาจะมีอาชีพเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ 


โดย ดร.อัดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน