อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ชิริกในสังคมมุสลิม



ตัวอย่างการกระทำที่เป็นชิริกในสังคมมุสลิม


1-การกราบไหว้ บูชาเจว็ด รูปปั้น รูปภาพ บุคคล ครูบาอาจารย์ กษัตริย์ เสาหรือธง หรือสิ่งใดๆนอกเหนือจากอัลลอฮฺ รวมถึง คนที่ทำอิบาดะฮฺ เช่น ละหมาด จ่ายซะกาต ถือศีลอด ทำหัจญ์ หรืออิบาดะฮฺใดๆ เพื่อบูชาให้สิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ อันนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการทำชิริก


การเคารพสักการะกุโบรฺหรือหลุมฝังศพ หรือการที่เชื่อว่าคนดีหรือคนศอลิหฺที่เสียชีวิตไปแล้วจะสามารถให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับคนที่มีชีวิตอยู่ได้ อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ ۞وَقَضَىٰ رَبُّكَ أَلَّا تَعۡبُدُوٓاْ إِلَّآ إِيَّاهُ﴾ [الإسراء: ٢٣] 

ความว่า “และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้น” [สูเราะฮฺอัล-อิสรออ์ อายะฮฺที่ 23]


3-การขอพร ขอดุอาอ์จากผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺ เช่น จากนบี มลาอิกะฮฺ ญิน ชัยฏอน คนตาย รูปเจว็ด รูปปั้น รูปภาพ หรือสิ่งถูกสร้างที่ประหลาด เช่น วัวสองหัว ควายห้าขา เป็นต้น แม้ว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วจะเป็นคนดีหรือคนศอลิหฺแค่ไหนหรือแม้แต่เป็นนบีก็ตามก็ถือว่าเป็นชิริกเช่นที่ร้ายแรงเช่นเดียวกัน อัลลอฮฺตรัสว่า
﴿ أَمَّن يُجِيبُ ٱلۡمُضۡطَرَّ إِذَا دَعَاهُ وَيَكۡشِفُ ٱلسُّوٓءَ وَيَجۡعَلُكُمۡ خُلَفَآءَ ٱلۡأَرۡضِۗ أَءِلَٰهٞ مَّعَ ٱللَّهِۚ قَلِيلٗا مَّا تَذَكَّرُونَ ٦٢ ﴾ [النمل: ٦٢] 
ความว่า “หรือผู้ใดเล่าจะตอบรับผู้ร้องทุกข์ เมื่อเขาวิงวอนขอต่อพระองค์ และทรงปลดเปลื้องความชั่วร้ายนั้น และทรงทำให้พวกเจ้า เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ?  ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ” [สูเราะฮฺอัน-นัมลฺ อายะฮฺที่ 62]


4-เฏาะวาฟกุโบรฺ ก็ถือเป็นชิริกเช่นกัน จนถึงขั้นที่บางคนจะทำการของผู้ที่ตนเองคิดว่าเป็นคนดีคนศอลิหฺหรือเป็นโต๊ะครูผู้มีความรู้หรือโต๊ะวลี ยืนเคารพกุโบรฺด้วยความคุชูอฺ นอบน้อมต่ำต้อยต่อหน้ากุโบรฺ บางคนเอาใบหน้าไปสัมผัสกับกุโบรฺหรือแม้แต่สุญูดต่อกุโบรฺ โดยอ้างว่าเป็นการแสวงหาบารอกัตแต่ไม่ได้เคารพบูชาแต่อย่างใด บางคนจะลูบเช็ดกุโบรฺ จูบกุโบรฺเสมือนว่าเป็นหินดำที่กะอฺบะฮฺ บางคนจะโกนหัวต่อหน้ากุโบรฺเสมือนว่าไปทำหัจญ์หรืออุมเราะฮฺ จนถึงขั้นที่ได้มีการแต่งหนังสือตำรับตำราในหัวข้อ “การทำหัจญ์ที่กุโบรฺและหลุมฝังศพบรรดาวลี” เพราะพวกเขาเชื่อว่า บรรดาวลีสามารถควบคุมดูแลสิ่งต่างๆในจักรวาล สามารถให้คุณให้โทษได้ทั้งๆที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴿ وَإِن يَمۡسَسۡكَ ٱللَّهُ بِضُرّٖ فَلَا كَاشِفَ لَهُۥٓ إِلَّا هُوَۖ وَإِن يُرِدۡكَ بِخَيۡرٖ فَلَا رَآدَّ لِفَضۡلِهِۦۚ يُصِيبُ بِهِۦ مَن يَشَآءُ مِنۡ عِبَادِهِۦۚ وَهُوَ ٱلۡغَفُورُ ٱلرَّحِيمُ ١٠٧ ﴾ [يونس: ١٠٧] 
ความว่า “และหากอัลลอฮฺจะทรงให้ทุกข์ภัยประสบแก่เจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ปลดเปลื้องมันได้นอกจากพระองค์ และหากพระองค์ทรงปรารถนาความดีแก่เจ้าแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดกีดกันความโปรดปรานของพระองค์ได้ พระองค์ทรงให้ประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” [สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 107]

บางคนถึงขั้นที่ขอดุอาอฺต่อกุโบรฺให้หายป่วย ให้ได้ลูก ให้ได้ริซกีทรัพย์สินเงินทอง บางคนจะกล่าวต่อกุโบรฺว่า โอ้ท่าน ฉันจากบ้านมาไกลมาหาท่าน ขอท่านจงอย่าได้ทำให้ฉันผิดหวังเลย ทั้งๆ ที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَمَنۡ أَضَلُّ مِمَّن يَدۡعُواْ مِن دُونِ ٱللَّهِ مَن لَّا يَسۡتَجِيبُ لَهُۥٓ إِلَىٰ يَوۡمِ ٱلۡقِيَٰمَةِ وَهُمۡ عَن دُعَآئِهِمۡ غَٰفِلُونَ ٥ ﴾ [الأحقاف: ٥] 

ความว่า “และใครเล่าจะหลงทางมากไปกว่าผู้ที่วิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺที่มันจะไม่ตอบรับ  (การวิงวอนของ)  เขาจนถึงวันกิยามะฮ์ และพวกมันเฉยเมยต่อการวิงวอนขอของพวกเขา” [สูเราะฮฺอัล-อะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 5]

ท่านนบีมุหัมมัดก็ยังได้เตือนมิให้กระทำเหล่านี้เพราะจะทำให้คนๆ นั้นต้องตกนรก 

«مَنْ مَاتَ وَهْوَ يَدْعُو مِنْ دُونِ اللَّهِ نِدًّا دَخَلَ النَّارَ» [البخاري]

“ผู้ใดที่เสียชีวิตในสภาพที่เขาดุอาอฺต่อสิ่งภาคีอื่นนอกจากอัลลฮฺจะตกนรก” [บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ]


4-เฏาะวาฟกุโบรฺ ก็ถือเป็นชิริกเช่นกัน จนถึงขั้นที่บางคนจะทำการของผู้ที่ตนเองคิดว่าเป็นคนดีคนศอลิหฺหรือเป็นโต๊ะครูผู้มีความรู้หรือโต๊ะวลี ยืนเคารพกุโบรฺด้วยความคุชูอฺ นอบน้อมต่ำต้อยต่อหน้ากุโบรฺ บางคนเอาใบหน้าไปสัมผัสกับกุโบรฺหรือแม้แต่สุญูดต่อกุโบรฺ โดยอ้างว่าเป็นการแสวงหาบารอกัตแต่ไม่ได้เคารพบูชาแต่อย่างใด บางคนจะลูบเช็ดกุโบรฺ จูบกุโบรฺเสมือนว่าเป็นหินดำที่กะอฺบะฮฺ บางคนจะโกนหัวต่อหน้ากุโบรฺเสมือนว่าไปทำหัจญ์หรืออุมเราะฮฺ จนถึงขั้นที่ได้มีการแต่งหนังสือตำรับตำราในหัวข้อ “การทำหัจญ์ที่กุโบรฺและหลุมฝังศพบรรดาวลี” เพราะพวกเขาเชื่อว่า บรรดาวลีสามารถควบคุมดูแลสิ่งต่างๆในจักรวาล สามารถให้คุณให้โทษได้ทั้งๆที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴿ وَإِن يَمۡسَسۡكَ ٱللَّهُ بِضُرّٖ فَلَا كَاشِفَ لَهُۥٓ إِلَّا هُوَۖ وَإِن يُرِدۡكَ بِخَيۡرٖ فَلَا رَآدَّ لِفَضۡلِهِۦۚ يُصِيبُ بِهِۦ مَن يَشَآءُ مِنۡ عِبَادِهِۦۚ وَهُوَ ٱلۡغَفُورُ ٱلرَّحِيمُ ١٠٧ ﴾ [يونس: ١٠٧] 
ความว่า “และหากอัลลอฮฺจะทรงให้ทุกข์ภัยประสบแก่เจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ปลดเปลื้องมันได้นอกจากพระองค์ และหากพระองค์ทรงปรารถนาความดีแก่เจ้าแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดกีดกันความโปรดปรานของพระองค์ได้ พระองค์ทรงให้ประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” [สูเราะฮฺยูนุส อายะฮฺที่ 107]

บางคนถึงขั้นที่ขอดุอาอฺต่อกุโบรฺให้หายป่วย ให้ได้ลูก ให้ได้ริซกีทรัพย์สินเงินทอง บางคนจะกล่าวต่อกุโบรฺว่า โอ้ท่าน ฉันจากบ้านมาไกลมาหาท่าน ขอท่านจงอย่าได้ทำให้ฉันผิดหวังเลย ทั้งๆ ที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَمَنۡ أَضَلُّ مِمَّن يَدۡعُواْ مِن دُونِ ٱللَّهِ مَن لَّا يَسۡتَجِيبُ لَهُۥٓ إِلَىٰ يَوۡمِ ٱلۡقِيَٰمَةِ وَهُمۡ عَن دُعَآئِهِمۡ غَٰفِلُونَ ٥ ﴾ [الأحقاف: ٥] 

ความว่า “และใครเล่าจะหลงทางมากไปกว่าผู้ที่วิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺที่มันจะไม่ตอบรับ  (การวิงวอนของ)  เขาจนถึงวันกิยามะฮ์ และพวกมันเฉยเมยต่อการวิงวอนขอของพวกเขา” [สูเราะฮฺอัล-อะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 5]

ท่านนบีมุหัมมัดก็ยังได้เตือนมิให้กระทำเหล่านี้เพราะจะทำให้คนๆ นั้นต้องตกนรก 

«مَنْ مَاتَ وَهْوَ يَدْعُو مِنْ دُونِ اللَّهِ نِدًّا دَخَلَ النَّارَ» [البخاري]

“ผู้ใดที่เสียชีวิตในสภาพที่เขาดุอาอฺต่อสิ่งภาคีอื่นนอกจากอัลลฮฺจะตกนรก” [บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ]



โชคราง



ความเชื่อของมุสลิมคือ ไม่ว่าจะสิ่งดีหรือสิ่งไม่ดีที่มาประสบกับเราล้วนแล้วแต่มาจากอัลลอฮ์ทั้งสิ้น ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับคำทำนายทายทัก โชคลาง ของขลัง ฮวงจุ้ย ล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อของญาฮิลียะห์ ที่อิสลามได้ยกเลิกและต่อต้านอย่างรุนแรง แต่ก็ยังคงหลงเหลือมาในยุคปัจจุบัน ด้วยกับความอุตสาหะพยายามของชัยฏอนในการเผยแพร่ให้ผู้คนหลงไหล และออกจากจากความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวที่ท่านนบี  ได้นำมาเผยแผ่ให้แก่เรา เพื่อจะดึงผู้คนที่หลงผิดไปอยู่กับพวกมันมากทีสุดในนรกญะฮันนัม



        ดังนั้นชัยฏอนจึงอาศัยหนทางแห่งความเชื่อในการดึงมนุษย์ให้หลงผิดในทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในสังคมมุสลิมยังหลงงมงายกับความเชื่อโชคลางดังกล่าวอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งใครที่มาเตือนด้วยกับหลักการที่ถูกต้อง ถึงกับต้องตัดขาดกันเลยทีเดียว




ในความจมปลักอยู่กับสิ่งงมงายดังกล่าว ได้มีคนถามผู้รู้เกี่ยวกับปัญหา ท่านเชคตอบคำถามดังกล่าวไว้ว่า



         คำถาม : สำหรับคนที่มีความเชื่อ หรือเชื่อลางร้าย หรือทำนายทายทัก หรือสงสัยว่าจะส่งผลเสียให้เกิดแก่เขา เช่นเจ็บไข้ได้ป่วย หรืออื่นๆ จากบางวัน หรือบางเดือน หรือบางตัวเลข และเวลาต่างๆ หรืออื่นจากนี้ หรือจากการเข้าบ้านนั้นจะเป็นอย่างนั้น สวมเสื้อสีนี้จะเป็นอย่างนี้ อนุญาติหรือไม่ ?



         คำตอบ : ทั้งหมดที่พูดมาไม่อนุญาติทั้งสิ้น ทว่ามันเป็นประเพณีของชาวญาฮิลียะห์ที่งมงาย(ยุคก่อนอิสลามจะมา) เมื่ออิสลามมาเพื่อปฏิเสธและล้มเลิกมัน  แน่นอนว่าหลักฐานมากมายชัดเจนว่าได้ห้ามสิ่่งดังกล่าว เพราะมันคือการตั้งภาคี และมันไม่มีผลใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หรือให้โทษ เพราะไม่มีผู้ที่ให้ หรือไม่ให้ ผู้ให้ประโยชน์ หรือให้โทษ นอกจากอัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น



พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า



"และหากว่าอัลลอฮ์ ทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า แล้วก็ไม่มีผู้ใดจะเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น

และหากพระองค์ทรงให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า แท้จริงพระองค์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง"



ในฮะดิษ อิบนิ อับบาส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮู่มา แท้จริง ท่านนบี  กล่าวว่า

         "หากประชาชาตินี้รวมตัวกันในการที่จะให้เกิดประโยชน์แก่เจ้าด้วยสิ่งใด พวกเขาก็ไม่ให้เกิดประโยชน์แก่เจ้าได้ เว้นเสียแต่ว่า อัลลอฮ์ได้บันทึกสิ่งนั้นไว้ให้แก่เจ้าแล้ว และหากประชาชาตินี้รวมตัวกันในการที่จะให้เกิดโทษแก่เจ้าด้วยกับสิ่งใด พวกเขาก็ไม่อาจให้เกิดโทษแก่เจ้าได้ เว้นแต่อัลลอฮ์จะบันทึกสิ่งนั้นไว้ให้แก่เจ้าแล้ว ปากกาถูกยกแล้ว และน้ำหมึดก็แห้งแล้ว"


จากอบีฮุร็อยเราะห์ แท้จริงท่านนบี  กล่าวว่า

"ไม่มีโรคระบาด ไม่มีลางร้าย ไม่มีนกฮูก และไม่มีเดือนซอฟัร"


ในบางรายงาน "และไม่มีดวงดาว (เชื่อดวงดาว) และไม่มีภูติผีปีศาจ"

(บันทึกโดยบุครีย์และมุสลิม)



        ท่านนบี  ได้ห้ามการเชื่อลางร้าย และได้กล่าวไว้ในฮะดิษ และบอกว่าแท้จริงแล้วมันไม่มีจริงและไม่มีผลร้ายใดๆ ทว่ามันคือความเข้าใจผิดและจินตนาการที่เลวร้ายเท่านั้น และคำกล่าวของท่านนบี  ที่ว่า "และไม่มีเดือนซอฟัร" ท่านนบี  ได้ห้ามในสิ่งที่บรรดาชนในยุคญาฮิลียะห์ได้เชื่อว่าจะเกิดลางร้ายขึ้นในเดือนซอฟัร(เดือนที่สองในปฏิทินอิสลาม) พวกเขากล่าวกันว่ามันคือ"เดือนแห่งความโชคร้าย" และท่านนบี  ก็ได้ห้ามสิ่งดังกล่าวและยกเลิกมัน



       และท่านก็ได้กล่าวว่า เดือนซอฟัร เหมือนเดือนอื่นๆจากเดือนทั้งหลาย ไม่มีผลใดๆในการได้รับความดีหรือผลักไสความชั่ว  เช่นเดียวกันกับวัน เดือน ปีทั้งหลายก็ไม่แตกต่าง ซึ่งปรากฏว่าชาวญาฮิลียะห์นั้นเชื่อลางร้ายในวันพุธ เชื่อว่าจะเกิดลางร้ายเกี่ยวกับการแต่งงานในเดือนเชาวาล(เดือนที่สิบ)แบบเจาะจง


จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ กล่าวว่า

ท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์  ได้ทำการแต่งงานกับฉันในเดือนเชาวาลและร่วมหอกับฉันในเดือนเชาวาล


ดังนั้น ณ ท่านนบี  แล้วจะมีภริยาของท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์คนใดเล่าจะโชคดีไปกว่าฉัน


อุรวะฮ์กล่าวว่า ท่านหญิงอาอิชะฮ์ชอบที่จะให้บรรดาสตรีของนางเข้า(เรือนหอ)ในเดือนเชาวาล"

รายงานโดยมุสลิม (2551)


        และนี่ก็เหมือนกันกับ ลางร้ายของพวกรอฟิเฎาะ ที่เรียกว่า อัลอะชะเราะห์ และความโกรธเกลียดของพวกเขาต่อวันนี้ และการเป็นศัตรูต่อพวกเขา คือ สิบคนที่ได้รับข่าวดีว่าเป็นชาวสวรรค์จากซอฮาบะห์ของท่านนบี  นี่คือความโง่และสติปัญญาที่เบาบางของพวกเขา และคำพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ท่าน อิบนุตัยมียะห์ได้เขียนไว้มากมายในหนังสือของท่าน (อัลมินฮาจ) ในการตอบโต้พวกรอฟิเฎาะห์


        เช่นเดียวกันกับบรรดาผู้ที่เชื่อในเรื่องดวงดาว เอามาอนุมานเข้ากับวันเวลา และรู้สึกว่าจะได้รับลางร้าย และเวลานั้นดี เวลานี้ไม่ดี ข้อตัดสินดังกล่าวในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับดวงดาวนั้นไม่ได้ถูกปิดบังเลยแม้แต่น้อยจากหลักการของอิสลามว่าเป็นเรื่องที่ต้องห้าม และมันคือสิ่งหนึ่งจากการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ และคำพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มีมากมาย ทุกเรื่องราวที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมของชาวญาฮิลียะห์ ซึ่งบทบัญญัติอิสลามได้ปฏิเสธและยกเลิกมันโดยสิ้นเชิง


        ท่านอิบนุก็อยยิม ร่อฮิมะฮุลลอฮ์ กล่าวว่า โชคลาง คือ ลางร้ายที่มาจากการมองเห็น หรือได้ยิน ดังนั้นเมื่อมนุษย์ถูกใช้งาน และเขาก็กลับมาจากการเดินทาง (ไปๆมาๆด้วยกับการเชื่อโชคลาง) หรือ ปฏิเสธที่จะทำมันอันเนื่องจากลางร้าย แน่นอนว่าเขาติดกับดักของการตั้งภาคีแล้ว ทว่าเขานั้นได้พึ่งพิงและเขาได้ถอนตัวออกจากการมอบหมายต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา และเปิดประสู่ความหวาดกลัว และผูกพันกับสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ และลางร้ายจากสิ่งที่เขาเห็น หรือ ได้ยิน ตัดขาดออกจากจุดยืนที่ว่า


{إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ} فاتحة 6

"เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ"

{فَاعْبُدْهُ وَتَوَكَّلْ عَلَيْهِ} هود 123

"ดังนั้นจงภักดีต่อพระองค์ และมอบหมายต่อพระองค์"

، {عَلَيْهِ تَوَكَّلْتُ وَإِلَيْهِ أُنِيبُ} هود 88

"แด่พระองค์ฉันขอมอบหมายและยังพระองค์เท่านั้นฉันกลับไปหา"


        หัวใจของเขาก็กลายเป็นว่าถูกแขวนไว้กับสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ ทั้งด้านเคารพภักดี และการมอบหมาย และก็จะมาทำลายหัวใจและความศรัทธา และเขายังคงมุ่งเป้าหมายไปสู่ลางร้าย และเขับเคลื่อนไปทุกทิศทางที่ชัยฏอนก็มีอำนาจเหนือเขา มันเป็นผู้ที่ทำลายศาสนาและดุนยา กี่มากน้อยแล้วที่ได้รับความวิบัติด้วยสาเหตุดังกล่าว และขาดทุนทั้งดุนยาและอาคิเราะห์ และหลักฐานห้ามจากโชคลางและลางร้ายเป็นที่รู้จักกันดีและมีอย่างมากมาย



       จากคำฟัตวาจากท่านเชคก็ได้ชี้ชัดแล้วว่า การเชื่อเรื่องโชคลางเป็นหนึ่งจากการตั้งภาคีที่นับว่าเป็นบาปที่พระองค์อัลลอฮ์จะไม่อภัยโทษให้แก่เขาเป็นอันขาด ดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า


"แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การที่สิ่งหนึ่งจะถูกให้มีภาคี ขึ้นแก่พระองค์ และพระองค์ทรงอภัยให้แก่สิ่งอื่นจากนั้น สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์

และผู้ใดให้มีภาคีขึ้นแก่อัลลอฮฺแล้ว แน่นอนเขาก็ได้อุปโลกน์บาปกรรมอันใหญ่หลวงขึ้น"

(นิสาอ์ 48)




       และถ้าหากเราจะศึกษาจริงๆ เราก็จะพบว่า การเชื่อโชคลางนั้นเป็นหลักคำสอนของศาสนาอื่น ที่ไม่ใช่ศาสนาอิสลามอย่างแน่นอน





วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การละหมาดคุซูฟ​(จันทรุปราคา)



- เป็นซุนนะฮ์มุอั๊กกะดะฮ์​ (ท่านนบีเน้นให้กระทำ)

- ซุนนะฮ์​ให้ทำการละหมาดแบบญะมาอะฮ์

- ให้ประกาศขณะจะละหมาดว่า​   اَلصَّلاَةُ جَامِعَةً

“อัซซอลาตุญามิอะฮ์” " ละหมาดรวมกัน"

- ให้ละหมาดเหมือนละหมาดซุนนะฮ์ร่อวาติ๊บทั่วๆไป

แต่มีการเพิ่มการรุกัวะ 1 ครั้ง ในแต่ละร๊อกอัต

#วิธีการละหมาด:

1. เหนียต
2. ยืนตรงหันหน้าเข้าหากิ๊บละฮฺ
3. ตักบี๊ร
4. อ่านดุอาอ์อิสติฟต๊าห์​ กล่าวอะอูซุบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรร่อญีม​ บิซมิลลาฮิรเราะห์มานิรร่อฮีม
5.อ่านอัลฟาติฮะฮ์​ ต่อด้วยซูเราะฮ์ยาวๆ
6. รุกัวะ
7. ยืนตรง กล่าวสะมิอั้ลลอฮุลิมันฮะมิดะฮ์ ร็อบบะนา​ ละกั้ลฮัมดุ
8. อ่านอัลฟาติฮะฮ์ต่อด้วยซูเราะฮ์​(ยาวน้อยกว่าครั้งแรก)​
9. รุกัวะ
10. ยืนตรง กล่าวสะมิอั้ลลอฮุลิมันฮะมิดะฮ์​ ร็อบบะนา​ ละกั้ลฮัมดุ
11. สุญูด
12.​ นั่งระหว่างสุญูด
13.​ สุญูด​
(ให้การอ่านซูเราะห์  การรุกัวะและการสุญูด ในครั้งที่ 2 นั้นนานน้อยกว่าครั้งแรก)​ เป็นอันเสร็จร๊อกอะฮ์ที่หนึ่ง
14.ทำเช่นขั้นตอนที่​ 2-13 อีกครั้ง นับเป็นร็อกอะฮ์ที่สอง
15. นั่งตะซะฮุด
16. อ่านอัตตะฮียาต ซอละวาตท่านนบี
17. ให้สลาม
18. คุฏบะฮ์โดยอิหม่าม ( เมื่อละหมาดเสร็จแล้ว)

#ชอบให้รำลึกถึงอัลลอฮ์_ขออภัยโทษต่อพระองค์

#และดุอาอ์ให้มากๆ