อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ฝูงนก



أَلَمْ يَرَوْا إِلَى الطَّيْرِ مُسَخَّرَاتٍ فِي جَوِّ السَّمَاءِ مَا يُمْسِكُهُنَّ إِلَّا اللَّهُ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَآيَاتٍ لِّقَوْمٍ يُؤْمِنُونَ 
 
"พวกเขาไม่เห็นฝูงนกดอกหรือว่า

 พวกมันได้รับความสะดวกในห้วงอากาศแห่งชั้นฟ้า

 ไม่มีผู้ใดดึงพวกมันไว้ได้นอกจากอัลลอฮ์

 แท้จริงในการนั้น

 แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับกลุ่มชนผู้ศรัทธา"

(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัน-นะห์ลฺ16:79)









อย่าวิงวอนจากคน



อย่าพยายาม "เรียกร้อง"
อะไรจาก "มนุษย์"
เพราะคำตอบที่ได้คือคำว่า "ไม่"

แต่จงวิงวอน
ทุกอย่างจาก "อัลลอฮฺ"
เพราะสิ่งที่ได้ทุกอย่างคือที่เราได้จาก "พระองค์"

บางครั้ บางคราว อารมณ์คนเรานั้น
มักจะอยู่เหนือเหตุผลไมมากก็น้อย

บางเหตุการณ์ กับบางเรีื่อง แม้จะอดกลั้นและอดทนแค่ไหน
แต่คนเราก็มักจะไม่ค่อยได้อดทนให้ถึงที่สุด
และหลาย ๆ คน ก็อดทนอะไรไม่ได้นานมากนัก

แต่ต่างจากผู้ศรัทาธายิ่งนัก ที่เค้าได้อดทน อดทน จนถึงที่สุด
เพราะเค้ามั่นใจ และรับรู้ว่า อัลลอฮฺ จะอยู่เคียงข้างกับผู้อดทนเสมอ

......................................
จากหนังสือ : LOVE STORY 4
เขียนและเรียบเรียงโดย : นูรีฮัน มาเลเซีย
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส



จงทำตามนบี แล้วอัลลอฮฺ จะรักท่าน



เมื่อท่านรัก "อัลลอฮฺ" ท่านจงทำตาม "นบี" เถิด
อย่าเอาผู้ใดผู้หนึ่ง มาเป็นแบบอย่าง
ผู้นั้นจะยังไม่รัก "อัลลอฮฺ" หากเค้าคนนั้น ไม่ทำอย่าง "นบี"

หากท่านทำตาม "นบี"
"อัลลอฮฺ" จะประกาศให้ "ญิบรีล" ว่า
"โอ้ ญิบรีลคนนี้รักอัลลอฮฺ"
และ "อัลลอฮฺ" ก็รักคนนี้ด้วย

..........................
จากหนังสือ : LOVE STORY 4
เขียนและเรียบเรียงโดย : นูรีฮัน มาเลเซีย
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส






พยายาม



ต่อให้ พยายาม แค่ไหน
มันก็ท้อได้
ต่อให้ อดทน เท่าไหร่

แต่ความพยายาม และความอดทนนั้น
จะมีผลที่ดียิ่งสำหรับเรา
ความพยายาม ทำให้เรารู้จักสู้
ความอดทน ทำให้เราแข็งแกร่ง

จงมีความพยายาม และความอดทนเถิด หากท่านคือหนึ่งในผู้ศรัทธา

......................................
จากหนังสือ : LOVE STORY 4
เขียนและเรียบเรียงโดย : นูรีฮัน มาเลเซีย
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส





ฉันจะมั่นใจในตัวเค้าได้อย่างไร ?



คำถามที่ "ผู้หญิง" ส่วนใหญ่ตั้งไว้ก่อนที่จะ "ตัดสินใจ" จะนิกะฮฺ

หากคุณคือ "ผู้หญิง" คนหนึงที่เลือก "คู่ครอง" ตามหลักสูตรที่ "อัลลอฮฺ" และ "รอซู้ล" ได้วางไว้

คุณไม่ต้องสงสัยหรือไม่มั่นใจในตัว "ผู้ชาย) คนนั้น คนที่คุณจะ "เดินร่วมทาง" ด้วย

แต่คุณจงมั่นใจในอัลลอฮฺเพราะพระองค์ไดเกำหนดสิ่งที่ "คู่ควร" กับ "ตัวตน" ของคุณเสมอ

เพราะอัลลอฮฺได้กำหนดคู่ครองจาก "ชายที่ดี" เหมาะกับ "หญิงที่ดี" เสมอ

หากคุณมั่นใจว่าคุณเป็น "ผู้หญิง" คนหนึ่งที่ีมีความ "ศรัทธา" และความ "ยำเกรง"

ก็จงมั่นใจเถิดว่า "อัลลอฮฺ" ได้เลือก "คู่ครอง" ที่เหมือนคุณ คือ

"หญิงที่ดี" เหมาะกับ "ชายที่ดี" "หญิงที่ศรัทธา" เหมาะกับ "ชายศรัทธา"

คุณจงมั่นใจเถิดว่า หากคุณเป็น "หญิงที่ชั่ว" คุณก็จะคู่ควรกับ "ชายที่ชั่วช้า" เช่นกัน

"คู่ครอง" คุณก็เหมือน "กระจกเงา" ของคุณ ที่ "สะท้อน" ให้เห็น "ความเป็นตัวตน" ของคุณ


......................................
จากหนังสือ : LOVE STORY 4
เขียนและเรียบเรียงโดย : นูรีฮัน มาเลเซีย
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส




ท่านลืม แนวทางของท่านรอซู้ลแล้วหรือ ?


เปล่าเลยใช่ไหม ท่านยังคงยืนยันว่าท่านคือ 1 คนที่ยืนหยัดบนแนวทางที่ถูกต้อง คือ

อยู่บนแนวทางของบรรดา รอซู้ลทั้งหลาย

อยู่บนแนวทางของบรรดา ผู้ที่เที่ยงตรง

อยู่บนแนวทางของบรรดา ผู้ที่ตายเพื่ออัลลอฮิ

อยู่บนแนวทางของบรรดา ผู้ที่ทำตามอัลลอฮฺ และรอซู้ล

อยู่บนแนวทางของบรรดา สหายที่ดี ๆ และ ซอและห์และอื่น ๆ ที่ดีและดี่ยิ่ง (ไม่ออกนอกลู่นอกทาง)

แต่ทำไมเล่า การขัดแย้งจึงได้เกิดขึ้นกับกลุ่มที่ยืนหยัด ในแนวทางเหล่านั้น ?



......................................
จากหนังสือ : LOVE STORY 4
เขียนและเรียบเรียงโดย : นูรีฮัน มาเลเซีย
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส





ข้อแนะนำ 15 อย่าง สำหรับชีวิตในแต่ละวันของมุสลิม


1. เริ่มต้นในแต่ละวันด้วยการ "ซูกุร ขอบคุณต่ออัลลอฮ" สำหรับการตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

2. ให้ "อัลลอฮฺ มาเป็นอันดัยหนึ่ง" ในชีวิต

3. หากมีใครพูดอะไรก็ตามที่กระทบคุณ "ไม่ต้องสนใจมัน" และโต้ตอบอย่างเป็นมิตร ด้วยความสุภาพ จากนั้นก็วิงวอน ขอดุอาอฺให้อัลลอฮฺทรงอภัยให้กับพวกเขา

4. เมื่อคุณ "โกรธจงรำลึกถึงอัลลอฮฺ" แล้วลองคิดดูว่า มันช่างสั้น และไร้ค่าสักเพียงใดที่เสียเวลาไปกับอาการโกรธ

5. เมื่อคุณมีความสุขลอง "แบ่งปันความสุขของคุณ" ให้คนอื่นรับรู้ แล้วขอบคุณอัลลอฮฺสำหรับสิ่งดี ๆ เหล่านั้น และละหมาด วิงวอน เพื่อเป็นการขอบคุณพระองค์อย่าให้ขาด

6. "ทำสิ่งดี ๆ ที่พิเศษ ๆ สักครั้งหนึ่ง" อย่างเช่น การให้ทาน เลี้ยงอาหารแก่คนยากไร้ หรือ เพียงลูบหัวของเด็กกำพร้าด้วยความเอ็นดู

7. "ใช้เวลา" รำลึกถึงความยิ่งใหญ่ การรังสรรค์ มัคลูก ของอัลลอฮฺ

8. "แสดงความเป็นตัวตนของคุณ ด้วยความถูกต้อง เที่ยงตรง" และหากคุณคิดว่า สิ่งที่คุณจะพูดนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แล้วละก็จงรักษามันไว้ (นั่นล่ะยอดเยี่ยม!)

9. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป "ให้เวลาพักกับตัวเองบ้าง" ลองไปเล่นกีฬา อยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง แต่จงรำลึกถึงอัลลอฮฺอยู่เสมอ และจงจำไว้ว่าพระองค์ทรงเฝ้ามองเราอยู่เสมอ

10. "วิงวอนต่ออัลลฮฮฺ ขอพระองค์ทรงเมตตาต่อผู้ที่คิดร้ายต่อคุณ" และ วิงวอนต่อพระองค์ให้ทรงประทานแนวทางที่ถูกต้อง เที่ยงตรงให้กับพวกเขา

11. "กอดพ่อ แม่ ของคุณ" หอมมือและหน้าผากของท่านทั้งสอง และจงเชื่อฟังท่านทั้งสอง และจงทำตามคำสั่่งใช้ คำสั่งห้ามของอัลลอฮเป็นอันดับแรก

12. "ยิ้มให้กับทุกคน" บางครั้งยิ้มของคุณ ทำหให้เกิดสิ่งที่ต่างไปจากเดิมกับพวกเขาและคุณยังได้รับรางวัลตอบแทนอีกด้วย

13. "ให้อภัย ลิืม และยิ้ม" อยู่เสมอ

14. "อย่าไปหลงความนิยมชมชอบ" เพราะมันไม่จีรังยั่งยิืน และคุณอาจจะมีโอกาสสูยเสียมันไปมากกว่าเดิม

15. "จงอย่าดูถูกคนอื่น" เพราะเค้าอาจจะเป็นคนที่มีเกียรติ ณ ที่อัลลอฮฺก็ได้ แบ่งปันสิ่งเหล่านี้ไปยังพี่น้องของเรา เพื่อการสร้างสรรค์สังคมแห่งการรักอัลลอฮฺ และทำอาม้าล อิบาดะฮฺ ต่อพระองค์ เพื่อหวังรางวัลตอบแทนจากพระองค์เท่านั้น

เครดิต : 1 bigfamity

......................................
จากหนังสือ : LOVE STORY 4
เขียนและเรียบเรียงโดย : นูรีฮัน มาเลเซีย
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส




วันที่นิกะฮฺ





คุณจับมือเธอครั้งแรกในวันที่นิกะฮฺ...
แล้ววันนี้ล่ะ คุณจับมือเธอบ้างไหม ?

เคยรู้สึกว่ามือเธอหยาบกว่าวันนั้นบ้างหรือป่าว ?
เคยรู้สึกไหม ? ว่ามือเธอได้แตกต่างจากวันแรกหรือป่าว ?
เคยมองเธอ แล้วเห็นข้อแตกต่างจากใบหน้าเธอหรือป่าว ?
หากคุณมองเห็ แว้บแรกคุณอาจจะมองสิ่งทีีไม่ดีของเธอ
มือเธอหยาบกว่าวันนั้น หน้าเธอมีรอยตีนกา ไม่สดใสเหมือนวันนั้น

รูปร่างเธอ อาจจะอวบอ้วนกว่าวันนั้น

แต่คุณอย่าได้สนใจสิ่งนั้นเลยนะ

หากมือเธอหยาบก็คงเป็นเพราะว่า เธอทำงานบ้านหนัก เพราะดูแลคุณและลูก ๆ
หากใบหน้าเธอไม่สดใส ก็อาจจะเป็นไปได้ เธอเหน็ดเหนื่อย ๆ แต่เธอไม่พูดให้คุณฟัง
เธออาจจะอ้วน ก็เป็นไปได้ ทุกครั้งที่เธอทำอาหารให้คุณทาน เธอต้องชิม และต้องทานอาหารเป็นเพื่อนคุณ

คุณจงมืองสิ่งที่ดี ๆ ในตัวเธอเถิด
คุณงามความดีในตัวเธอ ความรักที่เธอมอบให้คุณและลูก
ความศรัทธาและตักวาที่เธอมี สามารถทำให้บ้านหลังน้อย ๆ ของคุณมีแต่ความสุขด้วยอิสลาม

คุณเคยมองหาคนที่เข้าใจคุณ คอยรับฟังสิ่งที่คุณพูด
คอยเป็นกำลังใจให้กับคุณ คอยตักเตือนคุณ

แต่คุณเคยทำสิ่งนี้ให้ใครบ้างหรือยัง ?

......................................
จากหนังสือ : LOVE STORY 4
เขียนและเรียบเรียงโดย : นูรีฮัน มาเลเซีย
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส







ไม่ต้องรอ



ไม่ต้องรอให้จามก่อนที่จะกล่าว อัลหัมดุลิลลาฮฺ
ไม่ต้องรอให้โกรธก่อนที่จะกล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ
ไม่ต้องรอให้เห็นสิ่งที่สวยงามก่อนที่จะกล่าว ซุบหานัลลอฮฺ
ไม่ต้องรอตักบีรละหมาดก่อนที่จะกล่าว อัลลอฮุอักบัร
ไม่ต้องรอให้ตัวคุณถูกอธรรมก่อนที่จะกล่าว หัสบิยัลลอฮุวะนิอฺมัลวะกีล

แต่จงนึกถึงอัลลอฮฺและซิเกรฺต่อพระองค์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณกำลังโศกเศร้าอยู่ กำลังดีใจ พึงพอใจ ถูกอธรรม เมื่อยามว่างและเมื่อยามยุ่งอยู่ก็ตาม

จงนึกถึงพระองค์ให้มาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและในเวลาใดก็ตาม

.
......................................................
บทความดี ๆ จากเพจ : دعاء Douaa
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ



การไม่ยอมรับของอิหม่ามชาฟิอี ต่อ อะฮลุลกะลาม



อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ กล่าวว่า

ابْنُ أَبِيْ حَاتِمٍ : حَدَّثَنَا يُوْنُسُ ، قُلْتُ لِلشَّافِعِيِّ : صَاحِبُنَا اللَّيْثُ يَقُوْلُ : لَوْ رَأَيْتُ صَاحِبَ هَوَى يَمْشِيْ عَلَى الْمَاءِ مَا قَبِلْتُه ُ. قَالَ : قَصَّرَ ، لَوْ رَأَيْتُهُ يَمْشِيْ فِي الْهَوَاءِ لَمَا قَبِلْتُهُ

อิบนุอบีหาติม กล่าวว่า ยุนูสได้เล่าเรา ว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ชาฟิอี ว่า “สหายของเราอัลลัยษุ กล่าวว่า “ ถ้าหากฉันเห็น คนตามอารมณ์ (ในที่นี้หมายถึงอะฮลุลกาลาม) เดินบนน้ำ ได้ ฉันก็จะไม่ยอมรับเขา
แล้วเขา(หมายถึงอิหม่ามชาฟิอี)กล่าวว่า “มันน้อยไป ถ้าข้าพเจ้าเห็นเขาเดิน อยู่ในอากาศ แน่นอนข้าพเจ้า ก็ไม่ยอมรับเขา – ดู สิยัรอะลามุลนุบะลาอฺ ของ อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ เล่ม 3 หะดิษหมายเลข 2382

ข้างต้นแสดงให้เห็นถึง การไม่ยอมรับของอิหม่ามชาฟิอี ต่อ อะฮลุลกะลาม หรือกลุ่มมุตะกัลลิมีน (Mutakallimin) คือกลุ่มนักวิภาษวิทยาที่เน้นการเอาเหตุผลทางปัญญา และทางตรรกวิทยามาอธิบายหลักความเชื่อในอิสลามจนทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนและเบี่ยงเบนจากความถูกต้อง
แม้ว่า คนเหล่านี้จะเดินบนน้ำ หรือ เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ไม่รับ

...................................
Ah-lulquran Was-sunnah



กลัวว่าผู้คนจะไม่มีการให้อภัยกันอีก




ครั้งหนึ่ง
มีชายหนุ่มสองคนได้จับลากตัวชายอาหรับเร่ร่อนจาก
ทะเลทรายมาหาท่านอุมัร เพื่อตัดสินลงโทษ
ท่านอุมัรถามว่า เขาทำอะไรผิดหรือ
ชายหนุ่มทั้งสองตอบว่า เขาฆ่าบิดาของเราทั้งสอง ท่านอุมัรจึงถามชายผู้เป้นฆาตกรว่า ทำไมจึงฆ่าเขา และฆ่าอย่างไร

เขาจึงเล่าเหตุการ์นทั้งหมดให้ท่านอุมัรฟังว่า ผู้ตายได้นำอูฐเข้ามาในที่ของเขา เขาจึงได้ขับไล่ผู้ตายและอูฐออกจากที่ของเขา แต่ผู้ตายไม่ยอมออก เขาจึงเอาก้อนหินขว้างไป
โดนที่ศรีษะ ทำให้ผู้ตายได้เสียชีวิต

ท่านอุมัรจึงตัดสินให้ประหารชีวิตเขาทันที แต่เขาได้กล่าวขอกับท่านอุมัรว่า เขายินดีรับโทษตาม
ความผิด แต่ขอให้เขาได้กลับไปหาร้ำลาครอบครัวลูกๆ
ที่ยังเล้กๆ และกำลังรออาหารจากเขาก่อนได้หรือไม่ เพราะครอบครัวของเขารอเขากลับบ้านอยู่และอาจจะอดตาย

ท่านอุมัรจึงถามทุกคนว่า ในที่นี้ใครจะรับประกันเขาได้บ้าง ทุกคนเงียบ ไม่มีใครที่จะรับประกันชายแปลกหน้าเผ่าเร่ร่อน
อย่างเขาได้ ท่านอุมัรจึงให้พาเขาไปยังที่ประหาร ท่านอุมัรรู้สึกเป้นกังวลถึงครอบครัวของเขามาก เพราะการประหารเขา อาจเท่ากับประหารชีวิตครอบครัว ลูกๆเล้กๆของเขาด้วย

เมื่อถึงที่ประหารท่านอุมัรจึงถามบุตรชายทั้งสองของผู้ตาย
อีกครั้งว่าท่านทั้งสองคิดเช่นไร บุตรชายทั้งสองก้ยังยืนยันที่ต้องการให้ประหารเขาเลย ท่านอุมัรจึงถามคนอื่นๆอีกว่า จะมีใครกล้าค้ำประกันให้เขากลับไปหาครอบครัว
ก่อนประหารไหม ทุกคนเงียบ
ยกเว้นผู้เฒ้าคนหนึ่งที่ชื่อ อบูซัรริน ซอฮาบะฮ์ผู้อาวุโสของรอซูลุ้ลลอฮ์(ซล)
ท่านได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า ฉันขอรับประกันเขาเอง ท่านอุมัรจึงถามว่า ท่านรู้จักเขาหรือ
อบูซัรริน กล่าวฉันไม่รู้จักเขา
ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างไหม ท่านอุมัรถาม
ท่านอบูซัรรินกล่าวว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ท่านอุมัรจึงกล่าวว่าแล้วท่านกล้ารับประกันเขาหรือ อบูซัรรินก้ยังยืนยันรัปประกันเขาเหมือนเดิม

ท่านอุมัรจึงให้เวลาเขาสามวันที่จะกลับไปหาครอบครัว
และให้กลับมาก่อนดวงอาทิตย์ตกของวันที่สาม โดยมีอบูซัรรินเป้นผู้ค้ำประกันด้วยชีวิต

และสามวันหลังจากนั้น หลังละหมาดอัสริ ชายผู้นั้น
ก้ยังไม่กลับมา ท่านอุมัรมองท่านอบูซัรรินที่นั่ง
อยู่ข้างหน้าด้วยความกังวลใจเป้นที่สุด แต่ท่านอบูซัรรินกลับนั่งอย่างสงบนิ่ง และทุกคนต่างเฝ้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า
ด้วยหัวใจที่คิดว่าวันนี้ทำไมดวงอาทิตย์จึงเดินเร้ว

แต่ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ก้ปรากฏชายอาหรับเร่ร่อนผู้นั้นได้กลับมาทันตามสัญญา ท่านอุมัรได้กล่าว อัลลอฮุอักบัรๆ ด้วยเสียงอันดัง พร้อมการกล่าวอัลลอฮุอักบัรของผู้ที่อยู่ในมัสยิดทั้งหมด

หลังจากนั้นท่านอุมัรจึงถามเขาว่า ทำไมเจ้าจึงกลับมา เขากล่าวตอบว่า ถ้าฉันไม่กลับมาฉันกลัวว่าผู้คนจะไม่รักษา
สัญญากันอีก แล้วท่านอุมัรจึงได้หันไปถามท่านอบูซัรรินว่า แล้วทำไมท่านจึงกล้ารับประกันให้เขา ท่านอบูซัรรินได้กล่าวตอบว่า เพราะฉันกลัวความดีของผู้คนจะหายไป ท่านอุมัรจึงได้หันไปถามบุตรชายทั้งสองของผู้ตายว่า แล้วท่านทั้งสองคิดว่าอย่างไร บุตรชายทั้งสองของผู้ถูกตายก้กล่าวว่า
เราทั้งสองอภัยให้เขาแล้ว ด้วยความดีของเขา อย่าประหารเขาเลย
ท่านอุมัรจึงถามว่า ทำไมท่านทั้งสองจึงอภัยแก่เขา บุตรทั้งสองของผู้ตายจึงกล่าวว่า เพราะเรากลัวว่าผู้คนจะไม่มีการให้อภัยกันอีก

เมื่อทั้งสองกล่าวตอบแก่ท่านอุมัรดังนั้นแล้ว
เสียงกล่าว อัลลอฮุอักบัรได้ดังกฮึ่มไปทั้วมัสยิด พร้อมกับน้ำตาแห่งการให้อภัยซึ่งกันและกันบนใบหน้า
และสองแก้มของคนทั้งมัสยิด อัลลอฮุอักบัรๆๆๆๆๆๆ



วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นี่หรืองานฮาลาล




"มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัล ลอฮฺ (สุบหานะฮูวะตะอาลา) ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลกขอความจำเริญและสันติจงประสบแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน"



ภาพไวนิลติดทั่วเมืองปัตตานี สร้างการวิพากษ์วิจารณ์คนโลกอินเตอร์เน็ต ดูการแสดงความคิดเห็นที่ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10204650739488827&set=a.3589519657067.169151.1245604111&type=1&theater

ผู้เขียนไปประขุมสัมมนาที่อำเภอเมืองปัตตานีพบว่ามีไวนิล เขียนว่า มหกรรมสินค้าฮาลาล 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีคำกำกับภาษาอังกฤษว่า Halal Expo ข้างบนมีสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงศาสนาอิสลามแต่ ข้างล่างข้อความ

เต็มไปด้วยนักร้องดังๆ มีทั้งชายและหญิง (ไม่สวมหิญาบ)ซึ่งจะจัดในวันที่ 19-23 กันยายน 2557 ก่อนวันอีดิลอัฎฮาประมาณ สองอาทิตย์  สร้างการวิพากษ์วิจารณ์แก่ผู้พบเห็นและในโซเซียนมีเดยถึงความไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เช่นเสนอให้กรรมการอิสลามปัตตานี หรือผู้รู้ศาสนาออกมาจัดการกับป้ายที่สับสนใช้คำว่าฮาลาลโน้มน้าวชาวบ้านร่วมงานและข้อเสนอแนะอื่นๆอีกมากมาย

เป็นที่ทราบกันดีว่าคำว่า  "ฮาลาล" เป็นคำมาจากภาษาอารบิก แปลว่า อนุมัติ , อนุญาตในหมายว่า อาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งอนุมัติตามบัญญัติศาสนาอิสลามให้มุสลิมบริโภคหรือใช้ประโยชน์ได้ หรือกล่าวอีกในหนึ่งว่าการผลิต การให้บริการ หรือการจำหน่ายใด ๆ ที่ไม่ขัดต่อบัญญัติของศาสนาฮาลาลในอิสลามจึงมิได้หมายความเพียงการบริโภคอาหารเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงวิถีการดำเนินชีวิตในทุกด้าน เพราะอิสลามคือระบอบแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์เช่นการแสดงวงดนตรีที่ไร้ขอบเขต

จริงอยู่ในป้ายจะมีการจัดมหกรรมมหกรรมสินค้าฮาลาล 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีคำกำกับภาษาอังกฤษว่า Halal Expo อยู่บนหัวงาน แต่ข้างล่างมีการจัดขับร้องเพลงของนักร้องดังที่มีส่วนเบี่ยงแบนไปสู่ไม่ฮาลาล

ผู้เขียนจึงเรียกร้องผู้จัดและผู้สนับสนุนที่มีโลโก้ (ศอ.บตหากผมดูไม่ผิด)และภาคีข้างบนป้ายให้นำป้ายนี้พิจารณาเอาลงซึ่งถ้าไม่เอาลงคงค้านกับพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวว่า เข้าใจ เข้าถึง   พัฒนา เละอาจจะนำไปสู่การปะทะทางวัฒนธรรมอาจจะนำไปสู่เหตุความรุนแรงที่มุคาดฟันก็เป็นไปได้




.......................................................................................
โดย อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บิน ชาฟิอีย์  (อับดุลสุโก ดินอะ)
อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยทักษิณ
ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ  อ.จะนะ  จ.สงขลา      
Shukur2003@yahoo.co.uk
http://www.oknation.net/blog/shukur






คำพูดที่ถูกนำไปแอบอ้างอบูหะนีฟะฮ


มีผู้ อ้างว่าเป็นคำพูดอบูหะนีฟะฮ

ท่านเป็นอิมามของมัชฮับหะนาฟีย์ ซึ่งเป็นอุลามาอฺซะลัฟ ท่านกล่าวว่า
قلت: أرأيت لو قيل أين الله تعالى؟ فقال : يقال له كان الله تعالى ولا مكان قبل أن يخلق الخلق، وكان الله تعالى ولم يكن أين ولا خلق ولا شىء، وهو خالق كل شىء
"ฉันขอกล่าวว่า ท่านจะบอกว่าอย่างไร หากถูกกล่าว(แก่ท่าน)ว่า อัลเลาะฮฺอยู่ใหน ? ดังนั้น เขา(อบูหะนีฟะฮฺ)กล่าวว่า ก็กล่าวตอบแก่เขาว่า ?อัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีสถานที่ ก่อนที่พระองค์จะสร้างมัคโลก และอัลเลาะฮฺทรงมีมาแล้ว โดยที่ไม่มีคำว่า ที่ใหน (ให้กับพระองค์) ไม่มีมัคโลก และไม่มีสิ่งใด(พร้อมกับพระองค์) โดยที่พระองค์นั้นทรงสร้างทุกๆ สิ่ง" ชัรหฺ อัลฟิกหฺ อัลอักบัร ของท่าน มุลลา อะลีย์ อัลกอรีย์ หน้า 138
@@@@@@
ชี้แจง
คำพูดข้างต้น
มันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่ออีกคำพูดหนึ่งของอบูหะนีฟะฮคือ
อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ กล่าวว่า

وَكَلَامُ السَّلَفِ فِي إِثْبَاتِ صِفَةِ الْعُلُوِّ كَثِيرٌ جِدًّا : فَمِنْهُ : مَا رَوَى شَيْخُ الْإِسْلَامِ أَبُو إِسْمَاعِيلَ الْأَنْصَارِيُّ فِي كِتَابِهِ " الْفَارُوقِ " ، بِسَنَدِهِ إِلَى أَبِي مُطِيعٍ الْبَلْخِيِّ : أَنَّهُ سَأَلَ أَبَا حَنِيفَةَ عَمَّنْ قَالَ : لَا أَعْرِفُ رَبِّي فِي السَّمَاءِ أَمْ فِي الْأَرْضِ ؟ فَقَالَ : قَدْ كَفَرَ ، لِأَنَّ اللَّهَ يَقُولُ : الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى [ طه : 5 ] وَعَرْشُهُ فَوْقَ سَبْعِ سَمَاوَاتٍ ، قُلْتُ : فَإِنْ قَالَ : إِنَّهُ عَلَى الْعَرْشِ ، وَلَكِنْ يَقُولُ : لَا أَدْرِي آلْعَرْشُ فِي السَّمَاءِ أَمْ فِي الْأَرْضِ ؟ قَالَ : هُوَ كَافِرٌ ، لِأَنَّهُ أَنْكَرَ أَنَّهُ فِي السَّمَاءِ ، فَمَنْ أَنْكَرَ أَنَّهُ فِي السَّمَاءِ فَقَدْ كَفَرَ

“และคำพูด สะลัฟ เกี่ยวกับการรับรองคุณลักษณะการอยู่เบื้องสูง นั้นมากมายยิ่งนัก และส่วนหนึ่ง จากมันคือ สิ่งที่ ชัยคุลอิสลาม อบูอิสมาอิลอันอันศอรีย์ ในหนังสือของเขา ชื่อ อัลฟารูก ด้วยสายรายงาน สืบไปยัง อบีอัลมุเฏียะ อัลบัลคีย์ ว่า “แท้จริงเขาได้ถาม อบูหะนีฟะฮ เกี่ยวกับผู้ที่ กล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าของฉัน อยู่บนฟ้าหรืออยู่บนพื้นดิน? แล้วเขา(อบูหะนีฟะอ)กล่าวว่า “เขาได้ปฏิเสะศรัทธาแล้ว เพราะแท้จริง อัลลอฮตรัสว่า “ พระเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงประทับบน/เหนืออะรัช – ฏอฮา/๕ และอะรัช ของพระองค์ อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด ,ข้าพเจ้า กล่าวว่า “ถ้าเขากล่าวว่า “ แท้จริงพระองค์ทรงอยู่บนอะรัช แต่ เขากล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่า อะรัช อยู่บนฟ้า หรืออยู่บนพื้นดิน ? เขา(อบูหะนีฟะฮ)กล่าวว่า “ เขาเป็นกาเฟร “ เพราะเขา คัดค้าน ว่าแท้จริงพระองค์ อยู่บนฟากฟ้า เพราะผู้ใด คัดค้าน ว่า แท้จริง พระองค์ อยู่บนฟากฟ้า แน่นอน “เขาได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม ๒ หน้า ๓๘๗

อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ กล่าวอีกว่า
وَلَا يُلْتَفَتُ إِلَى مَنْ أَنْكَرَ ذَلِكَ مِمَّنْ يَنْتَسِبُ إِلَى مَذْهَبِ أَبِي حَنِيفَةَ ، فَقَدِ انْتَسَبَ إِلَيْهِ طَوَائِفُ مُعْتَزِلَةٌ وَغَيْرُهُمْ ، مُخَالِفُونَ لَهُ فِي كَثِيرٍ مِنَ اعْتِقَادَاتِهِ
และอย่าไปสนใจผู้ที่คัดค้านดังกล่าว จากผู้ที่อ้างทัศนะอบีหะนีฟะฮ ,แท้จริง บรรดาพวกมุอฺตะซิละฮ และอื่นจากพวกเขา ได้อ้างเขา(อบูหะนีฟะฮ) ,พวกเขามีความแตกต่างกับอบูหะนีฟะฮ มากมายจากบรรดาอะกีดะฮของเขา(ของอบูหะนีหะฮ) - ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม ๒ หน้า ๓๘๗
กล่าวคือ พวกมุอตะซิละฮ ที่ค้านการอยู่เหนือฟากฟ้าของอัลลอฮ จะอ้างทัศนะอบูหะนีฟะฮ ซึ่งความจริง เป็นการแอบอ้าง เพราะพวกเขามีอะกีดะฮแตกต่างจากอะกีดะฮของอบูหะนีฟะฮหลายเรื่อง
อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ กล่าวอีกว่า
. وَقَدْ يَنْتَسِبُ إِلَى مَالِكٍ وَالشَّافِعِيِّ وَأَحْمَدَ مَنْ يُخَالِفُهُمْ فِي بَعْضِ اعْتِقَادَاتِهِمْ . وَقِصَّةُ أَبِي يُوسُفَ فِي اسْتِتَابَتَةِ لِبِشْرٍ الْمَرِيسِيِّ ، لَمَّا أَنْكَرَ أَنْ يَكُونَ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ فَوْقَ الْعَرْشِ - : مَشْهُورَةٌ . رَوَاهَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ أَبِي حَاتِمٍ وَغَيْرُهُ .
และ ได้มีการแอบอ้าง มาลิก ,ชาฟิอี และ อะหมัด โดยผู้ที่มีความเห็นขัดแย้งกับพวกเขาในบางส่วนของอะกีดะฮของพวกเขา (ของ มาลิก ,ชาฟิอี และ อะหมัด) และเรื่องราวอบียูซุบ ในการขอให้ บะชีร อัลมะรีสีย์ ทำการเตาบัต เมื่อเขาได้คัดค้าน ว่า อัลลอฮ ผู้ทรง สูงส่ง และ ทรงเลิศยิ่ง อยู่หนืออะรัช (เป็นเรื่องราว) ที่รู้กันแพร่หลาย ,อับดุรเราะหมาน บิน อบีหาติม และอื่นจากเขาได้รายงานมัน- ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ เล่ม ๒ หน้า ๓๘๗
@@@@
บะชีร อัลมะรีสีย์ เป็นพวกญะฮมียะฮ ที่คัดค้าน การอยู่เหนืออะรัช ของอัลลอฮ จึงถูกขอให้ทำการเตาบัต เราจะสังเกตได้ว่า พวกที่คัดค้าน เรื่อง การอยู่เบื่องสูงของอัลลอฮ พยายามทุกอย่างที่จะลบล้างหะดิษ และอายะฮ อัลกุรอ่าน โดยนำ ทัศนะคนนั้น คนนี้ แม้แต่หะดิษเฎาะอีฟ ก็เอามาอ้าง


เห็น พี่น้องอะชาอีเราะฮบางท่าน เอาคำพูดที่อ้างว่าเป็นคำพูดอบูหะนีฟะฮ ปฏิเสธ การอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ มาใส่กรอบ...โดยเข้าใจว่าเป็นหลักฐานเด็ด ทั้งๆที่เป็นหลักฐานเฏาะอีฟ

อิหม่ามอบูหะนีฟะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
لا ينبغي لأحد أن ينطق في ذات الله بشيء بل يصفه بما وصف به نفسه ولا يقول فيه برأيه شيئاً تبارك الله وتعالى رب العالمين
"ไม่สมควรแก่คนหนึ่งคนใด กล่าวในเรื่องซาต(อาตมัน)ของอัลลอฮ ด้วยสิ่งใด แต่ ให้เขาพรรณาคุณลักษณะ พระองค์ ด้วยสิ่งที่พระองค์ได้ทรงพรรณาคุณลักษณะแก่พระองค์เอง ด้วยมัน และเขาจะไม่กล่าวสิ่งใดๆในเรื่องนั้น ด้วยความเห็นของเขา อัลลอฮทรงบริสุทธิ์และพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล ทรงสูงส่งยิ่ง (1)
................
(1) شرح العقيدة الطحاوية 2/427 . تحقيق د . التركي , جلاء العينين ص368


อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์อัดดัมชะกีย์ (ฮ.ศ 731-792) ปราชญมัซฮับหะนาฟีย์กล่าวว่า
قَالَ أَبُو حَنِيفَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ فِي ( ( الْفِقْهِ الْأَكْبَرِ ) ) : لَهُ يَدٌ وَوَجْهٌ وَنَفْسٌ ، كَمَا ذَكَرَ تَعَالَى فِي الْقُرْآنِ مِنْ ذِكْرِ الْيَدِ وَالْوَجْهِ وَالنَّفْسِ ، فَهُوَ لَهُ صِفَةٌ بِلَا كَيْفٍ ، وَلَا يُقَالُ : إِنَّ يَدَهُ قُدْرَتُهُ وَنِعْمَتُهُ ، لِأَنَّ فِيهِ إِبْطَالَ الصِّفَةِ ، انْتَهَى
อบู หะนีฟะฮ (ร.ฎ) กล่าวในฟิกฮอัลอักบัรว่า “ พระองค์ทรงมี พระหัตถ์ , พระพักต์และ ตัวตน ดังสิ่งที่อัลลอฮตะอาลา ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอ่านจากการระบุ เกี่ยวกับ พระหัตถ์ , พระพักต์และตัวตน ดังนั้นมันคือ คุณลักษณะของพระองค์ โดยไม่ถามว่าเป็นอย่างไร และจะไม่ถูกกล่าวว่า “แท้จริง พระหัตถ์ของพระองค์นั้น คือ พลังอำนาจและความโปรดปราณของพระองค์ เพระว่า ในมัน(หมายถึงในการกล่าวเช่นนั้น) เป็นการทำให้สิฟัตนั้นเป็นโมฆะ (หมายถึง หาว่าสิฟัตนั้นใช้ไม่ได้)- ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฎาะฮาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 265


อิบนุอะบิลอิซ อัลหะนะฟีย์อัดดัมชะกีย์ (ฮ.ศ 731-792) กล่าวอีกว่า
. وَهَذَا الَّذِي قَالَهُ الْإِمَامُ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ ، ثَابِتٌ بِالْأَدِلَّةِ الْقَاطِعَةِ ، قَالَ تَعَالَى : مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ ( ص : 75 ) . وَالْأَرْضُ جَمِيعًا قَبْضَتُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَالسَّماوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ ( الزُّمَرِ : 67 ) . وَقَالَ تَعَالَى : كُلُّ شَيْءٍ هَالِكٌ إِلَّا وَجْهَهُ ( الْقَصَصِ : 88 ) . وَيَبْقَى وَجْهُ رَبِّكَ ذُو الْجَلَالِ وَالْإِكْرَامِ ( الرَّحْمَنِ : 27 ) . [ ص: 265 ] وَقَالَ تَعَالَى : تَعْلَمُ مَا فِي نَفْسِي وَلَا أَعْلَمُ مَا فِي نَفْسِكَ ( الْمَائِدَةِ : 116 ) . وَقَالَ تَعَالَى : كَتَبَ رَبُّكُمْ عَلَى نَفْسِهِ الرَّحْمَةَ ( الْأَنْعَامِ : 54 ) . وَقَالَ تَعَالَى : وَاصْطَنَعْتُكَ لِنَفْسِي ( طَهَ : 41 ) . وَقَالَ تَعَالَى : وَيُحَذِّرُكُمُ اللَّهُ نَفْسَهُ ( آلِ عِمْرَانَ : 28 ) . وَقَالَ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حَدِيثِ الشَّفَاعَةِ لَمَّا يَأْتِي النَّاسُ آدَمَ فَيَقُولُونَ لَهُ : خَلَقَكَ اللَّهُ بِيَدِهِ وَأَسْجَدَ لَكَ مَلَائِكَتَهُ وَعَلَّمَكَ أَسْمَاءَ كُلِّ شَيْءٍ ، الْحَدِيثَ
และนี้คือ ที่อิหม่าม(อบูหะนีฟะฮ) ร.ฎ ได้กล่าวไว้ ,คือ การยืนยันที่มั่นคง ด้วยหลักฐานที่เด็ดขาด อัลลอฮตาอาลากล่าวว่า
مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ
! อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้ากราบสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยพระหัตทั้งสองของข้า – ศอด/75
. وَالْأَرْضُ جَمِيعًا قَبْضَتُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَالسَّماوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ
และ แผ่นดินนี้ทั้งหมดเป็นเพียงกำพระหัตถ์หนึ่งของพระองค์ในวันกิยามะฮฺ และชั้นฟ้าทั้งหลายจะม้วนกลิ้งด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ – อัซซุมัร/67
อัลลอฮตะอาลาตรัสว่า
كُلُّ شَيْءٍ هَالِكٌ إِلَّا وَجْهَهُ
ทุกสิ่งย่อมพินาศนอกจากพระพักตร์ของพระองค์ – เกาะศอศ/88
..................
แล้วท่านอิบนุอะบิลอิซ ได้กล่าวหะดิษที่ว่า
وَقَالَ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حَدِيثِ الشَّفَاعَةِ لَمَّا يَأْتِي النَّاسُ آدَمَ فَيَقُولُونَ لَهُ : خَلَقَكَ اللَّهُ بِيَدِهِ وَأَسْجَدَ لَكَ مَلَائِكَتَهُ وَعَلَّمَكَ أَسْمَاءَ كُلِّ شَيْءٍ ، الْحَدِيثَ
นบี ศอ็ลฯ ได้กล่าวในหะดิษอัชชะฟาอะฮ ว่า “เมื่อบรรดามนุษย์ ได้มายัง อาดัม (อ.) พวกเขากล่าวแก่อาดัมว่า “อัลลอฮได้สร้างท่านด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ , ทรงให้บรรดามลาอิกะฮสุญูดแก่ท่าน และทรงสอนบรรดานามของทุกสิ่งแก่ท่าน- จนจบหะดิษ- ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฎาะฮาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 265
..............
ข้าง ต้น ปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์ ได้อธิบายอะกีดะฮของอิหม่ามอบูหะนีฟะฮ จริงๆ โดยท่านได้อ้างหลักฐานมากมาย ผมได้แปลส่วนหนึ่ง เพราะมันเยอะมาก


ท่านอิบนุอะบิลอิซ ได้กล่าวว่า

وَلَا يَصِحُّ تَأْوِيلُ مَنْ قَالَ : إِنَّ الْمُرَادَ بِالْيَدِ الْقُدْرَةُ ، فَإِنَّ قَوْلَهُ : لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ ( ص : 75 ) . لَا يَصِحُّ أَنْ يَكُونَ مَعْنَاهُ بِقُدْرَتِي مَعَ تَثْنِيَةِ الْيَدِ
การตีความ(ตะอวีล)ของผู้ที่กล่าวว่า “ ความหมายของคำว่ามือนั้นคือ พลังอำนาจ นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะแท้จริงคำตรัสของพระองค์ที่ว่า
لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ
สิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยพระหัตทั้งสองของข้า- ศอด/75
การที่ความหมายของมันคือ ด้วย สองพลังอำนาจของข้า พร้อมกับการเป็นทวิพจน์ของคำว่ายัดนั้น ไม่ถูกต้อง
..................
คือ การไปตีความคำว่า “สองมือ ไปเป็นสองพลังอำนาจ” นั้นไม่ถูกต้อง นี่คือ การยืนยันของอิบนุอะบิลอิซ ขอให้พี่น้องศึกษากัน การนำเสนอทางวิชาการดีกว่าการเอาชนะ ด้วยการทำลายใส่ร้ายคนที่เห็นต่าง อย่างที่อะชาอิเราะบางส่วนทำกันขณะนี้

……………………………
ชี้แจงโดย อ.หะสัน หมัดอะดั้ม
รวบรวมโดยทหารของอัลลอฮฺ แบบฉบับนบี










การรับรองสถานที่สำหรับอัลลอฮ



เท่าที่เห็นมาตลอด มีคนกลุ่มหนึ้ง ปฏิเสธหัวชนฝา ว่าอัลลอฮไม่มีสถานที่ ไม่มีทิศสำหรับอัลลอฮ
และพยายามตีความและเปลี่ยนความหมายทุกหลักฐาน ไม่ว่าจะมากจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เพื่อปฏิเสธความเชื่อแบบนี้
...............
จึงของชี้แจง ด้วยหลักฐานดังต่อไปนี้ว่า อัลลอฮทรงมีสถานที่ นั้นคือ ทรงอยู่เบื้องสูงบนฟากฟ้าเหนืออะรัช เหนือมัคลูค
عَنْ جَابِرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ الأَنْصَارِيِّ ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : إِنَّ اللَّهَ يَنْزِلُ كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا لِثُلُثِ اللَّيْلِ ، فَيَقُولُ : " أَلا عَبْدٌ مِنِ عِبَادِي يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ ، أَوْ ظَالِمٌ لِنَفْسِهِ يَدْعُونِي فَأَغْفِرَ لَهُ ، أَلا مُقَتَّرٌ عَلَيْهِ فَأَرْزُقَهُ ، أَلا مَظْلُومٌ يَسْتَنْصِرُ فَأَنْصُرَهُ ، أَلا عَانٍ يَدْعُونِي فَأَفُكَّ عَنْهُ " ، فَيَكُونُ ذَلِكَ مَكَانَهُ حَتَّى يُصَلَّى الْفَجْرُ ، ثُمَّ يَعْلُو رَبُّنَا عَزَّ وَجَلَّ إِلَى السَّمَاءِ الْعُلْيَا عَلَى كُرْسِيِّهِ .
รายงานจากญาบีร บิน อับดุลลอฮ อันอันศอรีย์ ว่า แท้จริง รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
แท้จริง ทุกคืน อัลลอฮทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา สำหรับหนึ่งในสามของกลางคืน แล้วพระองค์ตรัสว่า
“ มีไหม บ่าวของข้า ที่วิงวอนต่อข้า แล้วข้าจะได้ตอบรับแก่เขา หรือ มีใหม ผู้อธรรม ต่อตัวเขาเอง วิงวอนต่อข้า แล้วข้าจะได้อภัยโทษแก่เขา , มีไหม ผู้ที่ขัดสน ข้าจะได้ประทานปัจจัยยังชีพแก่เขา ,มีไหม ผู้ที่ถูกอธรรม ขอความช่วยเหลือ ข้าจะได้ให้การช่วยเหลือเขา และมีใหม ผู้ที่เจ็บป่วย แล้วข้าจะได้ให้มันหายจากเขา แล้วดังกล่าวนั้น เป็นสถานที่ของพระองค์ จนกระทั้ง การละหมาดฟะญัร(ละหมาดศุบฮิ)ได้ถูกละหมาด(หมายถึงจนกระทั้งถึงเวลาละหมาด ศุบฮี) หลังจากนั้นพระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเลิศยิ่ง ทรงขึ้นไปยังฟากฟาสูงสุด เหนืออะรัช – ดู หะดิษนูซูล ของอิหม่ามดารุลกุฏนีย์ หะดิษหมายเลข 3
ดูสายรายงานหะดิษ เป็นหะดิษเศาะเฮียะ
(1) عبد الرحمن بن صخر
| (2) همام بن منبه
| | (3) معمر بن راشد
| | | (4) عبد الرزاق بن همام
| | | | (5) إسحاق بن منصور
| | | | | (6) محمد بن إسماعيل
| | | | | | (7) الكتاب: النزول للدارقطني [الحكم: إسناده متصل، رجاله ثقات، على شرط الإمام البخاري]
มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ
’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........................
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์
อิบนุอุษัยมีน กล่าวว่า
.إن الله في جهة العلو؛ لأن الرسول صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ « قال للجارية: (أين الله؟) » وأين يستفهم بها عن المكان؛ فقالت: في السماء".
แท้จริง อัลลอฮ อยู่ในทิศเบื้องสูง เพราะว่า รอซูล ศอ็ลฯ ได้กล่าวแก่ ท่าสหญิงคนนั้นว่า (อัลลอฮอยู่ใหน) และคำว่า อัยนะ (อยู่ใหน) เป็นการขอให้นางอธิบายเกี่ยวกับสถานที่ แล้วนางกล่าวตอบว่า “อยู่บนฟ้า”
ดู ฟัตวา อิบนุอุษัยมีน เล่ม 10 คำถามหมายเลข 1131
.............
เพราะฉะนั้น การรับรอง การอยู่บนฟากฟ้าเบื้องสูง เหนืออะรัช เหนื่อมัคลูคทั้งหลายของอัลลอฮนั้น
เป็นอะกีดะฮอิสลาม ไม่ใช่อะกีดะฮเฉพาะศาสนายิว ที่พวกเขาเชื่อตามคัมภีร์เตารอต อย่างเดียว และการเชื่อแบบนี้ ทำให้พี่น้องเราที่ถูกฉายาว่า “วะฮบีย” ถูกบุคคลกลุ่มหนึ่ง กล่าวหาว่า “มีพระเจ้าคนละองค์กับพวกเขา” วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب



ข้ออ้างของคนที่ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
โต๊ะครูคนหนึ่งในห้องอะชาอิเราะฮกล่าวว่า
ตอบอย่างไรกับคำถามยอดฮิดว่า : อัลเลาะห์อยู่ไหน ?
เมื่อเราได้รับคำถามเฉกเช่นนี้ ให้เราตอบกลับไปอย่างที่อัลกุรอานได้สอนไว้ ก็คือ
وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ
ความว่า "และเมื่อบ่าวของเราได้มาถามเจ้าถึงเราแล้ว ก็(จงตอบเถิดว่า)แท้จริงนั้นรานั้นเอยู่ใกล้เขา"(ซูเราะห์ อัลบากอเราะห์ อายะห์ที่ 186)
..................
ขอชี้แจงว่า อายะฮข้างต้นที่มาของมันไม่ได้เกี่ยวกับการถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน” ตามที่ท่านครูนำมาบิดเบือน
แต่หะดิษเกี่ยวกับการถามว่า อยู่ใกล้หรืออยู่ใกล มาดูเต็มๆ
وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ
และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้า (เข้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า .....
قَالَ ابْنُ أَبِي حَاتِمٍ : حَدَّثَنَا أَبِي ، حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ الْمُغِيرَةِ ، أَخْبَرَنَا جَرِيرٌ ، عَنْ عَبْدَةَ بْنِ أَبِي بَرْزَةَ السِّجِسْتَانِيِّ عَنِ الصُّلْبِ بْنِ حَكِيمِ بْنِ مُعَاوِيَةَ بْنِ حَيْدَةَ الْقُشَيْرِيِّ ، عَنْ أَبِيهِ ، عَنْ جَدِّهِ ، أَنَّ أَعْرَابِيًّا قَالَ : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، أَقَرِيبٌ رَبُّنَا فَنُنَاجِيهِ أَمْ بَعِيدٌ فَنُنَادِيهِ ؟ فَسَكَتَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَأَنْزَلَ اللَّهُ : وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ
อิบนุอบีหาติม กล่าวว่า บิดาของฉัน ได้เล่าเราว่า ยะหยา บิน อัลมุฆีเราะฮ ได้เล่าเราว่า ญะรีร ได้เล่าเราว่ารายงานจากอับดะฮ บิน อบี บัรซะฮ อัสสะญิสตานีย์ จากอัศศอ็ลบิ บิน หากีม บิน มุอาวิยะฮ บิน หัยดะฮ อัลกุชัยรีย์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ว่า แท้จริง ชาวอาหรับชนบทคนหนึ่ง กล่าวว่า “โอ้รซูลุลลอฮ พระผู้อภิบาลของเรา อยู่ใกล้ใช่ไหม เราจะได้กระซิบกับพระองค์ หรือว่าพระองค์อยู่ใกล เราจะได้ตะโกนเรียกพระองค์ ? ท่านนบี ศอ็ลฯ นิ่งเงียบ แล้วอัลลอฮ ทรงประท่านอายะฮที่ว่า
وَإِذَا سَأَلَكَ عِبَادِي عَنِّي فَإِنِّي قَرِيبٌ أُجِيبُ دَعْوَةَ الدَّاعِ إِذَا دَعَانِ
และเมื่อมวลบ่าวของข้าได้ถามถึงข้า (เข้าก็จงตอบไปเถิดว่า) แท้จริงข้าเป็นผู้ใกล้ชิด (กับพวกเจ้า) ข้าคอยสนองตอบคำวอนของผู้วอนขอ เมื่อเขาได้วอนขอต่อข้า .....ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 1 หน้า 506
ส่วนที่คำตอบที่ถามว่า อัลลอฮอยู่ใหน ? เป็นหะดิษเศาะเฮียะ แต่ท่านครูกลับไปเอามาอ้าง เพราะกลัวว่า
จะเสียรังวัดคือ
ตัวอย่างคือ หลักฐานจากหะดีษที่รายงานโดยท่านมุอาวิยะฮฺ บิน อัล-หะกัม อัส-สุลัยมีย์ ด้วยสำนวนของมุสลิม
وَكَانَتْ لِي جَارِيَةٌ تَرْعَى غَنَمًا لِي قِبَلَ أُحُدٍ وَالْجَوَّانِيَّةِ فَاطَّلَعْتُ ذَاتَ يَوْمٍ فَإِذَا الذِّيبُ قَدْ ذَهَبَ بِشَاةٍ مِنْ غَنَمِهَا وَأَنَا رَجُلٌ مِنْ بَنِي آدَمَ آسَفُ كَمَا يَأْسَفُونَ لَكِنِّي صَكَكْتُهَا صَكَّةً فَأَتَيْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَعَظَّمَ ذَلِكَ عَلَيَّ قُلْتُ: يَا رَسُولَ اللَّهِ أَفَلَا أُعْتِقُهَا قَالَ: "ائْتِنِي بِهَا" فَأَتَيْتُهُ بِهَا فَقَالَ لَهَا: "أَيْنَ اللَّهُ؟" قَالَتْ: فِي السَّمَاءِ، قَالَ: "مَنْ أَنَا؟" قَالَتْ: أَنْتَ رَسُولُ اللَّهِ، قَالَ: "أَعْتِقْهَا فَإِنَّهَا مُؤْمِنَةٌ
ฉันมีทาสคนหนึ่งที่เคยเลี้ยงแพะของฉันในพื้นที่ระหว่างอุฮุดและอัล-ญะวานิ ยยะฮฺ วันหนึ่งเขาได้กระทำความผิดบางอย่าง เขาได้ออกโดยเอาแพะไปตัวหนึ่ง ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดา แน่นอนว่าต้องมีอารมณ์โกรธ ฉันจึงตบหน้าเขา แล้วท่านเราะสูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็มา(เห็น) และสิ่งนี้ทำให้ฉันกังวลใจ ฉันจึงอธิบายกับท่านว่า ‘โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮ ฉันควรปล่อยทาสของฉันคนนี้เป็นอิสระไหม?’ ‘พาเขามาหาฉัน’ ท่านเราะสูลุลลอฮฯ กล่าว ฉันจึงรีบพาเขามาหาท่าน แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้ถามทาสของฉันคนนี้ว่า
أَيْنَ اللَّهُ
“อัลลอฮอยู่ที่ไหน?”
นางตอบว่า
فِى السَّمَاءِ
“อยู่บนฟากฟ้า”
แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ถามต่อไปอีกว่า “ฉันคือใคร?” นางตอบว่า “ท่านคือศาสนฑูตของอัลลอฮ”
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
أَعْتِقْهَا فَإِنَّهَا مُؤْمِنَةٌ
“ปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด แท้จริงนางคือผู้ศรัทธา”[12]
อิมามอัซ-ซะฮะบีย์ กล่าวว่า “นี่คือความเห็นของฉัน ว่า ผู้ใดก็ตามที่ถูกถามว่า อัลลอฮอยู่ที่ไหน? ก็จะถูกฉายภาพให้แก่เขาด้วยธรรมชาติของเขาว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือฟากฟ้า ในรายงานนี้มี 2 เรื่องสำคัญ คือ [1]อนุญาตให้คนๆหนึ่งถามว่า ‘อัลลอฮอยู่ที่ไหน?’ แล�
แล้วท่านอัซ-ซะฮะบีย์ ก็กล่าวว่า “ผู้ใดปฏิเสธสองสิ่งนี้ หมายความว่า เขาได้สิ่งที่สวนทางท่านมุศเฏาะฟา(ท่านนบีมุหัมมัด) ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม”[1]
.......................
.... .[1] บันทึกโดยอะหฺมัด 5/447 , มาลิกในอัล-มุวัฏฏออ์ 666 , มุสลิม 537 , อบูดาวูด 3282 , อัน-นะสาอีย์ ในอัล-มุจญ์ตะบา 3/15 , อิบนุ คุซัยมะฮฺ 178-180 , อิบนุ อบีอาศิม ในอัส-สุนนะฮฺ 1/215 , อัล-ละลิกะอีย์ ในอุศูล อะฮฺลิสสุนนะฮฺ 3/392 , อัซ-ซะฮะบีย์ ในอัล-อุลุวฺ 81
[13] มุคตะศ็อร อัล-อุลุวฺ , ชัยคฺ อัล-อัลบานีย์ , อัซ-ซะฮะบีย์ , ตรวจทานโดย ชัยคฺ มุหัมมัด นาศิรุดดีน อัล-อัลบานีย์ , หน้า 81 , อัล-มักตับ อัล-อิสลามีย์ , พิมพ์ครั้งที่ 2 , 1412
………………..
อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์กล่าวว่า
قِصَّةِ الْجَارِيَةِ الَّتِي سَأَلَهَا النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْتِ مُؤْمِنَةٌ؟ قَالَتْ نَعَمْ ، قَالَ فَأَيْنَ اللَّهُ ؟ قَالَتْ فِي السَّمَاءِ ، فَقَالَ أَعْتِقْهَا فَإِنَّهَا مُؤْمِنَةٌ ، وَهُوَ حَدِيثٌ صَحِيحٌ أَخْرَجَهُ مُسْلِمٌ
เรื่องราวของทาสหญิง ที่นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถามนางว่า เธอเป็นผู้ศรัทธาใช่ไหม ? นางกล่าวว่า “ค่ะ ,ท่านนบีถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน?นางตอบว่า อยู่บนฟากฟ้า ,แล้วท่านนบีกล่าวว่า “จงปล่อยนางให้เป็นอิสระ เพราะแท้จริงนาง เป็นผู้ศรัทธา ,โดยที่มันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดย มุสลิม – ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม ๑๓ หน้า ๓๕
..............
ตัวอย่างข้างต้น ผู้อ่านลองพิจารณาดู ว่า ใครจริง ใครเท็จ ใครสร้างสรรค์ ใครฟิตนะฮ



อิบนุอุษัยมีนอิบนุอะษัยมีน กล่าวว่า

" فالجهة إثباتها لله فيه تفصيل، أما إطلاق لفظها نفيا وإثباتا فلا نقول به ؛ لأنه لم يرد أن الله في جهة، ولا أنه ليس في جهة، ولكن نفصل ، فنقول : إن الله في جهة العلو؛ لأن الرسول صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قال للجارية: (أين الله؟) وأين يستفهم بها عن المكان؛ فقالت: في السماء

แล้ว คำว่าทิศ ที่รับรองมันแก่อัลลอฮนั้น มีรายละเอียดในมัน ,สำหรับการกล่าวมันอย่างกว้างๆ ในเชิงปฏิเสธ และ การรับรองนั้น เราจะไม่กล่าวด้วยมัน เพราะแท้จริง มันไม่มีรายงานว่า อัลลอฮอยู่ในทิศใดๆ และไม่มีรายงานว่า พระองค์ไม่ได้อยู่ในทิศใดๆ แต่เราะจะแจกแจกรายละเอียด โดยเรากล่าวว่า “ แท้จริงอัลลอฮอยู่ในทิศเบื้องสูง เพราะแท้จริงรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวแก่ทาสหญิงคนนั้นว่า (อัลลอฮอยู่ใหน? )คำว่า “อยู่ใหน “ นั้น มันถูกขอทราบด้วยมันเกี่ยวกับสถานที่ แล้วนางกล่าวตอบว่า “อยู่บนฟ้า” – อัลเกาลุลมุฟีด อะลากิตาบิตเตาฮีด เล่ม 2 หน้า 543



ท่านอับดุลเกาะดีร อัลญัยลานีย์ นักวิชาการตะเศาวูฟ กล่าวว่า

وهو بجهة العلو مستو على العرش، محتو على الملك، محيط علمه بالأشياء، {إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه})

และ พระองค์อยู่ทิศเบื้องสูง ทรงเป็นผู้สถิตเหนือบัลลังค์ ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือการปกครอง ความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมบรรดาสรรพสิ่ง (บรรดาถ้อยคำ ที่ดีจะ (ถูกพา) ขึ้นสู่พระองค์ และการงานที่ดีก็จะ (ถูก) ยกขึ้นสู่พระองค์เช่นกัน” (ฟาฏิร/10) –

ดู الغنية لطالبي طريق الحق لعبد القادر الجيلاني (ج1 ص121 و123

อะกีดะฮอิบนุญะรีร เกี่ยวกับการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
อ้างจาก: al-azhary ที่ พ.ค. 03, 2008, 01:22 PM
ท่านอิมาม อิบนุ ญะรีร อัฏฏ็อบรีย์ อุลามาอ์สะลัฟและอิมามปราชญ์นักตัฟซีร ได้กล่าวสนับสนุนอีกว่า
يَعْنِي تَعَالَى ذِكْره بِذَلِكَ : وَإِذَا سَأَلَك يَا مُحَمَّد عِبَادِي عَنِّي أَيْنَ أَنَا ؟ فَإِنِّي قَرِيب مِنْهُمْ أَسْمَع دُعَاءَهُمْ , وَأُجِيب دَعْوَة الدَّاعِي مِنْهُمْ
ความหมายของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ด้วยกับอายะฮ์ดังกล่าวนั้น คือ "โอ้ มุฮัมมัด เมื่อบรรดาปวงบ่าวของข้าได้ถามเจ้าถึงข้าว่า ข้าอยู่ใหน? ดังนั้น (เจ้าจงตอบว่า) แท้จริงข้าใกล้ชิดพวกเขา ข้าได้ยินการวอนขอของพวกเขา และข้าจะตอบรับการวอนขอของผู้วอนขอจากพวกเขา" ตัฟซีรอัฏฏ็อบรีย์ อายะฮ์ที่ 186 ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์
……………..
ชี้แจง
การนำคำพูดข้างต้นมาอ้าง เพื่อจะให้เข้าใจว่า อิหมาม อิบนุญะรีร สนับสนุนทัศนะที่ไม่ยอมรับในการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮนั้น เป็นการกระทำที่ไม่มีอามานะฮต่อนักวิชาการ
เพราะทัศนะของอิบนุญะรีรนั้น ท่านไม่ได้ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
อิหม่ามอิบนุญะรีร อธิบาย อายะฮที่ 17 ซูเราะฮอัลมุ้ลกิ ว่า
أمْ أمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّماءِ وهو الله { أنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حاصِباً } وهو التراب فيه الحصباء الصغار
“หรือพวกเจ้าปลอดภัย(จาก)ผู้อยู่บนชั้นฟ้า และพระองค์คือ อัลลอฮฺ (ที่จะส่งลมหอบหินลงมาทับถมเหนือพวกเจ้า) มันคือดิน ที่มี ก้อนกรวดเล็กๆอยู่ในนั้น "
- ดูตัฟสีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายอายะฮที่ 17 ซูเราะฮอัลมุ้ลกิ .
@@@@
มันเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านเป็นผู้กล่าวเองว่า ผู้ที่อยู่บนฟากฟ้าคือ อัลลอฮ แต่กลับไมเชื่อตามนั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้
ส่วนคำอธิบายของท่านอิบนุญะรีรที่ว่า
يَعْنِي تَعَالَى ذِكْره بِذَلِكَ : وَإِذَا سَأَلَك يَا مُحَمَّد عِبَادِي عَنِّي أَيْنَ أَنَا ؟ فَإِنِّي قَرِيب مِنْهُمْ أَسْمَع دُعَاءَهُمْ , وَأُجِيب دَعْوَة الدَّاعِي مِنْهُمْ
ความหมายของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ด้วยกับอายะฮ์ดังกล่าวนั้น คือ "โอ้ มุฮัมมัด เมื่อบรรดาปวงบ่าวของข้าได้ถามเจ้าถึงข้าว่า ข้าอยู่ใหน? ดังนั้น (เจ้าจงตอบว่า) แท้จริงข้าใกล้ชิดพวกเขา ข้าได้ยินการวอนขอของพวกเขา และข้าจะตอบรับการวอนขอของผู้วอนขอจากพวกเขา" ตัฟซีรอัฏฏ็อบรีย์ อายะฮ์ที่ 186 ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์
การอธิบายข้างต้น ไม่ได้ค้านและไม่ได้ปฏิเสธ การอยู่เบื้องสูง เหนือฟากฟ้าแต่อย่างใด
มาดูอายะฮต่อไปนี้
(إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ وَالْعَمَلُ الصَّالِحُ يَرْفَعُهُ)
“คำกล่าวที่ดีจะ (ถูกพา) ขึ้นสู่พระองค์”และการงานที่ดีก็จะ (ถูก) ยกขึ้นสู่พระองค์เช่นกัน (ฟาฏิร/10)
ท่านอิบนุญะรีรอธิบายว่า
وَقَوْلُهُ ( إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ ) يَقُولُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - : إِلَى اللَّهِ يَصْعَدُ ذِكْرُ الْعَبْدِ إِيَّاهُ وَثَنَاؤُهُ عَلَيْهِ
คำตรัสของพระองค์ที่ว่า(และการงานที่ดีก็จะ (ถูก) ยกขึ้นสู่พระองค์เช่นกัน) หมายถึง ผู้ซึ่ง การสดุดีพระองค์สูงส่งยิ่ง ตรัสว่า “ การสดุดี(การซิกริลละฮ)ของบ่าวต่อพระองค์ และการสรรเสริญของบ่าวแก่พระองค์ ขึ้นไปยังอัลลอฮ – ตัฟสีรอิบนุญะรีร
คำว่า “ขึ้นไป” แสดงให้เห็นการอยู่เบื้องสูง ไม่ใช่อยู่เบื้องล่าง หรืออยู่ทุกหนทุกแห่ง
والله أعلم بالصواب

..............................................
ชี้แจงโดย อ.หะสัน หมัดอะดั้ม
รวบรวมโดยทหารของอัลลอฮฺ แบบฉบับนบี






เขาอ้างว่าการยกมือขึ้นสู่ฟากฟ้า ไม่ได้แสดงบอกว่าทรงอยู่เบื้องสูง



ไปอ่านข้อความของ อ.อะหมัดรอซีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ เขาอ้างว่า
การยกมือขอดุอาอฺขึ้นบนฟากฟ้า มิใช่มูลเหตุที่ยืนยันว่า อัลลอฮฺตะอาลาเจ้าของเรานั้นทรงประทับ(นั่ง)อยู่บนฟากฟ้าหรือบนบัลลังก์ แนวทางของอะลุสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ในการวิเคราะห์อัลกุรอ่านและอัลหะดีษผ่านการลงมติของนักวิชาการของเรานั้น พวกเขาเชื่อมั่นและเผยแพร่หลักอะกีดะฮ์ที่ว่า “ อัลลอฮฺเจ้าของเรานั้น ทรงมี โดยไม่มีสถานที่ ไม่มีเวลา ไม่มีสัดส่วนอวัยวะ หรือคุณลักษณะที่บกพร่องและที่เป็นรูปธรรม ” (ซึ่งหลักการเชื่อมั่นตรงนี้สวนทางกับแนวทางของกลุ่มคณะใหม่วะฮาบีย์โดยสิ้น เชิง)
..................................
เดือนเราะมะฎอน เป็นเดือนที่ไม่ได้ห้ามเผยแพร่ศาสนา และไม่ได้ห้ามไม่ให้ปกป้องศาสนาอัลลอฮ ในต่างกลับกัน มันเป็นเดือนที่ประเสริฐที่เราจะต้องทำความดี และส่วนหนึ่งจากความดีนั้นคือ การเผยแพร่ศาสนา และการปกป้องศาสนาอัลลอฮ เพราะฉะนั้น จึงขอขอชี้แจง ข้างอ้างข้างต้นดังนี้
การกระทำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เช่นการที่ท่านชี้นิ้วขึ้นไปยังฟากฟ้าขณะที่ท่านคุฏบะฮฺกับผู้คนจำนวนมาก ดังกล่าวนั้นคือ วันอะรอฟะฮฺ ปีหัจญ์วะดาอฺ (หัจญ์อำลา) แสดงถึงการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
فقال علية الصلاة والسلام «ألا هل بلغت؟» . قالوا : نعم «ألا هل بلغت؟» قالوا: نعم «ألا هل بلغت؟» قالوا : نعم . وكان يقول : «اللهم ! أشهد» ، يشير إلى السماء بأصبعه ، ثم يُشير إلى الناس.
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ "พึงรู้เถิด ฉันได้แจ้งให้ทราบแล้วหรือยัง ?" พวกเขากล่าวว่า ใช่ และท่านก็กล่าวว่า "โอ้อัลลฮฺได้โปรดเป็นพยานด้วยเถิด" โดยท่านชี้นิ้วยกขึ้นไปยังฟากฟ้า และจากนั้นก็ชี้ไปยังผู้คน -รายงานโดยมุสลิม จาก หะดิษญาบีร เรื่อง หัจญ์
คำพูดของอิหมามอบู หะสัน อัลอัชอะรีย์ อิหม่ามอะชาอิเราะฮ ต่อไปนี้ แสดงให้เห็นว่า ท่านได้ยืนยันยันการอยู่เบื้องสูงเหนือฟากฟ้าของอัลลอฮ
ورأينا المسلمين جميعا يرفعون أيديهم إذا دعوا نحو السماء؛ لأن الله تعالى مستو على العرش الذي هو فوق السماوات، فلولا أن الله عز وجل على العرش لم يرفعوا أيديهم نحو العرش، كما لا يحطّونها إذا دعوا إلى الأرض
และเราเห็นชาวมุสลิมทั้งหลายต่างยกมือของพวกเขาขึ้นสู่ฟ้ายามที่พวกเขาขอดุ อาอ์ เพราะอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง อยู่เหนืออะรัชที่อยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งหลาย ถ้าหากว่าอัลลอฮฺไม่ได้อยู่เหนืออะรัช แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยกมือของพวกเขาขึ้นไปยังอะรัช เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่ได้ชี้มือลงไปยังพื้นดินยามที่พวกเขาขอดุอาอ์ – อัลอิบานะฮ อะลาอุศูลิดดิยานะฮ บทที่ 5 ว่าด้วยเรื่อง อิสติววาอฺ อะลัลอะรัช
อายะฮและหะดิษมากมาย ที่ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัล ขอยกมาอย่างละ หลักฐานเพื่อยืนยัน การอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮคือ
และเช่นพระดำรัสที่ว่า
﴿تعرج الملائكة والروح إليه﴾ المعارج/4.
ความว่า “มาลาอิกะฮฺและอัรรูหฺ (ญิบรีล) จะขึ้นไปหาพระองค์ ” (อัลมะอาริจญฺ / 4)
หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ
’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........................
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์
อิหม่ามอัดดาริมีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ได้อธิบาย หะดิษอัลญารียะฮว่า
وفي قول رسول الله صلى الله عليه وسلم أين الله؟ تكذيب لقول من يقول: هو في كل مكان، ولا يوصف ب أين، لأن شيئا لا يخلو منه مكان يستحيل أن يقال أين هو، ولا يقال أين إلا لمن هو في مكان يخلو منه مكان، ولو كان الأمر على ما يدعي هؤلاء الزائغة لأنكر عليها رسول الله قولها وعلمها، ولكنها علمت به فصدقها رسول الله وشهد لها بالإيمان بذلك،
“และในคำพูดของรซูลุลลอฮที่ว่า “อัลลอฮยู่ใหน? เป็นการยืนยันความเท็จ คำพูดของผู้ที่กล่าวว่า “พระองค์อยู่ทุกสถานที่ ,พระองค์ไม่ทรงคุณลักษณะ ด้วยคำว่า “อยู่ที่ใหน? เพราะแท้จริงสิ่งใดๆ สถานที ย่อมไม่เป็นอิสระจากมัน เป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “พระองค์อยู่ใหน และจะไม่ถูกกล่าวว่า อยู่ใหน นอกจากผู้ที่เขาอยู่ในสถานที่ ซึ่งสถานที่เป็นอิสระจากเขา และถ้าเรื่องนี้ เป็นไปตามที่พวกเบี่ยงเบนเหล่านี้อ้าง แน่นอน ท่านรซูลุลลอฮ ย่อมจะคัดค้าน คำพูดและการกระทำของนาง(หมายถึงทาสหญิงตามที่ระบุในหะดิษ) แต่ในทางกลับกัน นางรู้ด้วยมัน แล้วรซูลุลลอฮ ก็ยืนยันความถูกต้องแก่นาง และเป็นพยานให้แก่นาง ว่านางมีศรัทธา ด้วยดังกล่าวนั้น – ดู รอดอะลัลญะมียะฮ ของ อิหม่ามอัดดาริมีย์ หน้า 47
..............
ท่านอิหม่ามอัดดารีมีย์ ได้ยืนยันว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ให้การรับรอง คำตอบของนางที่ว่า อัลลอฮทรงอยู่บนฟากฟ้า เมื่อท่านถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน เพราะถ้าสิ่งที่นางตอบ ไม่ถูกต้อง ตามที่พวกเบี่ยงเบนบางกลุ่มอ้าง ว่า ไม่มีสถานที่เกี่ยวข้องกับ อัลลอฮ แน่นอนท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯต้องคัดค้านคำพูดของนางแล้ว แต่..ท่านไม่ได้ค้าน นอกจากให้การรับรองคำพูดของนางอีกต่างหาก
..............................
والله أعلم بالصواب


คำว่า “ทรงอยู่บนฟ้า หมาย ถึงทรงอยู่เหนือฟากฟ้า เหนือมัคลูค คำว่า “ฟากฟ้านั้น ชั้นสูงสุดของมัน คือ ฟากฟ้าชั้นที่เจ็ด เพราะฉะนั้นเมือทรงอยู่เหนือฟากฟ้า ก็คือ ทรงอยู่เหนือฟากฟ้า ชั้นที่เจ็ด ซึ่งก็มีความหมายในตัวของมันอยู่แล้ว
เช่น
การระบุว่าพระองค์ทรงอยู่บนชั้นฟ้า ดังพระดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
أأمنتم من في السماء أن يخسف بكم الأرض الملك /1
ความว่า “พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากการที่พระผู้ทรงสถิตอยู่ ณ ฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้า” (อัลมุลกฺ / 16)
และคำว่า “อะรัช “ ก็พิสูจฯได้ว่า ทรงอยู่เหนือฟากฟ้าชั้นที่เจ็ด เพราะอะรัช อยู่เหนือฟากฟ้าชั้นที่เจ็ด และพระองค์อยู่เหนืออะรัช
หลัก ฐานชัดเจนที่กล่าวว่า อัลลอฮทรง อิสตะวา(ประทับ)บนอรัช. อรัช-บัลลังก์ คือ สิ่งถูกสร้างของอัลลอฮที่อยู่สูงที่สุด ตัวอย่างในเรื่องนี้ เช่นในอายะฮฺที่ว่า
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์
(สูเราะฮฺฏอฮา 20 : 5)

คำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ว่า
لَمَّا قَضَى اللَّهُ الْخَلْقَ كَتَبَ فِى كِتَابِهِ ، فَهْوَ عِنْدَهُ فَوْقَ الْعَرْشِ إِنَّ رَحْمَتِى غَلَبَتْ غَضَبِى
“ครั้น ที่อัลลอฮทรงกำหนดแก่สิ่งถูกสร้างของพระองค์นั้น พระองค์ทรงบันทึกลงในบันทึกของพระองค์ ซึ่งมันอยู่ ณ พระองค์ เหนือบัลลังก์(อะรัช) ว่า : แท้จริง ความเมตตาของข้ามาก่อนความโกรธกริ้วของข้า” –บุคอรี


รายงานจากยูสุฟ บิน มูซา อัล-เฆาะดาดียฺ กล่าวว่า

قيل لأبي عبد الله احمد بن حنبل الله عز و جل فوق السمآء السابعة على عرشه بائن من خلقه وقدرته وعلمه بكل مكان قال نعم على العرش و لايخلو منه مكان

อิ มามอะหฺมัด บิน หัมบัล เคยถูกถามว่า “อัลลอฮทรงอยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งเจ็ด เหนืออรัชของพระองค์ แยกจากสิ่งถูกสร้างอของพระองค์ ในขณะที่เดชานุภาพและความรอบรู้ของพระองค์นั้นทรงอยู่ในทุกพื้นที่หรือ?” อิมามอะหฺมัด ตอบว่า “ถูกต้องแล้ว อัลลอฮทรงอยู่เหนืออรัช และไม่มีที่ใดหลุดรอดจากความรอบรู้ของพระองค์” ] ดู อิษบะตุ ศิฟะตุล อุลูวฺ หน้า 116


“อบู บักร อัล-ค็อลลาล กล่าวว่า อัล-มะรูซียื ได้เล่าแก่ฉันว่า เขากล่าวว่า มุหัมมัด บิน ศอบะฮฺ อัน-นัยสะบูรีย์ ได้เล่าแก่เราว่า เขากล่าวว่า อบูดาวูด อัล-เคาะนัฟ สุลัยมาน บิน ดาวูด ได้เล่าแก่เราว่า เขากล่าวว่า อิสหาก บิน เราะหุวะฮฺ กล่าวว่า ‘อัลลอฮ สุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงตรัสว่า
, الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
ผู้ทรง กรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์ [18] บรรดาอุละมาอ์มีมติเอกฉันท์ว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนืออรัชและอิสตะวา-ประทับอยู่เหนือมัน แต่ทว่า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างล่าง แม้จะอยู่ใต้ผืนดินชั้นที่เจ็ดก็ตาม
ดู อัล-อุลูวฺ ลิล อะลิยยิล ฆ็อฟฟาร หน้า 179 ดู มุคตะศ็อรฺ อัล-อุลูวฺ หน้า 194


อิบนุอัลมุบาร็อก (ฮ.ศ.181)

روى ابن شقيق أنه قيل لابن المبارك: "كيف نعرف ربنا؟"
قال: ;بأنه فوق السماء السابعة على العرش، بائن من خلقه

อิบ นุชะกีก ได้รายงานว่า มีผู้กล่าวแก่อิบนุอัลมุบารอ็กว่า "ท่านรู้จักพระเจ้าของเราอย่างไร เขากล่าวว่า " พระองค์ทรงอยู่เหนือฟากฟ้าชั้นเจ็ด บนอะรัช แยกจากมาคลูคของพระองค์ (1)

..........
(1) الرد على الجهمية للدارمي (ص39-40) بسند حسن، عن الحسن بن الصباح البزاز ثنا علي بن الحسن بن شقيق. وعبد الله بن أحمد بن حنبل في كتابه "السنة" (ص175) عن عبد الله بن شبويه عن ابن شقيق. ورواها غيرهما كثير بعضهم نقلا عن هؤلاء وبعضهم بأسانيدهم
......
คำว่า แยกออกจากมัคลูค

معنى أن الله بائن من خلقه: أي أنه منفصل عن المخلوقات، فليس في ذاته شيء من مخلوقاته، ولا في مخلوقاته شيء من ذاته. ولا يحويه أو يُحيط به شيء من خلقه.

ความ หมายคำว่า อัลลอฮแยกออกจากมัคลูคของพระองค์ หมายถึง พระองค์ทรงแยกออกจากบรรดามัคลูค ไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์ อยู่ในซาต(ตัวตน)ของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากซาตของพระองค์ อยู่ในมัคลูค และไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์บรรจุและห้อมล้อม พระองค์


อบูบักร อัลอิสมาอีลีย์ (อศ 371) กล่าวเกี่ยวกับอะกีดะฮอะลุลหะดิษว่า

وأنه عز وجل استوى على العرش بلا كيف، فإن الله تعالى أنهى إلى أنه استوى على العرش، ولم يذكُر كيف كان استواؤه

แท้ จริงพระองค์ทรงประทับเหนือบัลลังค์ โดยไม่มีการอธิบายรูปแบบวิธีการ เพราะอัลลอฮหยุดอยู่ที่คำว่า "แท้จริงพระองค์ทรงประทับเหนือบัลลังค์ และพระองค์ไม่ได้ระบุว่า การประทับของพระองค์เป็นอย่างไร (1)

.............

(1) اعتقاد أهل السنة لأبي بكر الإسماعيلي (ص36)
الامام ابن بطة العكبري شيخ الحنابلة ( 304-387
กล่าวว่า
اجمع المسلمون من الصحابة والتابعين وجميع اهل العلم من المؤمنين ان الله تبارك وتعالى على عرشه فوق سمواته .انظر الابانة 3/ 136

เป็นมติของบรรดามุสลิม จากบรรดาเศาะหาบะอ บรรดาตาบิอีน และ บรรดานักวิชาการ จากบรรดาผู้ศรัทธา ว่า แท้จริงอัลลออ(ซ.บ)ทรงประทับบนบัลลังก์ บนฟากฟ้า - ดูอัลอินาบะฮ 3/136


อัลลอฮทรงกล่าวถึงการสถิตย์เหนืออะรัชไว้
สถิตย์'
จำนวน ที่พบ = 7 แห่ง
--------------------------------------------------------------------------------

ซูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ (Al-Araf) อายะหฺที่ 54 (7:54)
ซูเราะฮฺ อัรเราะอฺดฺ (Ar-Rahdu) อายะหฺที่ 2 (13:2)
... แล้วทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์(*1*) ...
ซูเราะฮฺ ฏอฮา (Ta-Ha) อายะหฺที่ 5 (20:5)
... ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์(*1*) ...
ซูเราะฮฺ อัลฟุรกอน (Al-Furqan) อายะหฺที่ 59 (25:59)
... แล้วพระองค์ทรงสถิตย์อยู่บนบังลังก์ ...
ซูเราะฮฺ อัลหะดีด (Al-Hadid) อายะหฺที่ 4 (57:4)
... แล้วพระองค์ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ ...
ซูเราะฮฺ อัลมุลกฺ (Al-Mulk) อายะหฺที่ 16 (67:16)
... จากการที่พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ ...
ซูเราะฮฺ อัลมุลกฺ (Al-Mulk) อายะหฺที่ 17 (67:17)
... หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ...
และอายะฮนี้ก็ชัดเจน ที่ยืนยันการอยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด
إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ يُدَبِّرُ الأَمْرَ مَا مِن شَفِيعٍ إِلاَّ مِن بَعْدِ إِذْنِهِ ذَلِكُمُ اللّهُ رَبُّكُمْ فَاعْبُدُوهُ أَفَلاَ تَذَكَّرُونَ
แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินใน เวลา 6 วันแล้วพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ ทรงบริหารกิจการ ไม่มีผู้ให้ความช่วยเหลือคนใด เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์ นั่นคืออัลลอฮ์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจงเคารพภักดีต่อพระองค์เถิด พวกท่านมิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ? ยูนูส/๓


หะดิษต่อไปนี้ก็แสดงถึงการอยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ดคือ
มีรายงานจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ- เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ- ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม-ได้กล่าวว่า
إِنَّ فِي الْجَنَّةِ مِائَةَ دَرَجَةٍ أَعَدَّهَا اللَّهُ لِلْمُجَاهِدِينَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ مَا بَيْنَ الدَّرَجَتَيْنِ كَمَا بَيْنَ السَّمَاءِ وَالأَرْضِ فَإِذَا سَأَلْتُمُ اللَّهَ فَاسْأَلُوهُ الْفِرْدَوْسَ فَإِنَّهُ أَوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأَعْلَى الْجَنَّةِ وفَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَنِ وَمِنْهُ تَفَجَّرُ أَنْهَارُ الْجَنَّةِ
แท้ จริง ในสวรรค์นั้นมีหนึ่งร้อยชั้นที่อัลลอฮฺเตรียมไว้สำหรับผู้ที่ต่อสู้ในหนทาง ของอัลลอฮฺ ช่วงระหว่างสองชั้นนั้นมีระยะห่างราวฟ้ากับดิน ดังนั้น เมื่อพวกท่านขอสวรรค์ ก็จงขออัลลอฮฺให้ประทานสวรรค์ฟิรดาวส์ เพราะมันคือสวรรค์ที่อยู่ตรงกลางและสูงที่สุด " (อบูฮุร็อยเราะฮฺกล่าวว่า) ฉันรู้สึกว่าท่านยังกล่าวว่า "และเบื้องบนของมันคือบรรลังค์ของอัลลอฮฺผู้ทรงปรานี และจากที่นั่นเช่นกันที่แม่น้ำแห่งสรวงสวรรค์สายต่าง ๆ พุ่งกำเนิดขึ้น"
(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลข 2790)
“”””””””””””””
เป็น ที่ทราบกันดีว่า สวรรค์นั้น อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด และ หะดิษระบุว่า เหนือสวรรค์นั้นคือ อะรัช และอัลกุรอ่านบอกว่า ทรงอยู่เหนืออะรัช ก็เท่ากับพระองค์อยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด


ซูเราะฮอัลอะรอฟ อายะฮที่ ๕๔
พระองค์ตรัสว่า
]إِنَّ رَبَّكُمُ اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ[………
แท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกเจ้านั้น คืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผนดินภายในหกวันแล้วทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์
อิบนุกะษีรอธิบายว่า
فَلِلنَّاسِ فِي هَذَا الْمَقَامِ مَقَالَاتٌ كَثِيرَةٌ جِدًّا ، لَيْسَ هَذَا مَوْضِعَ بَسْطِهَا ، وَإِنَّمَا يُسْلَكُ فِي هَذَا الْمَقَامِ مَذْهَبُ السَّلَفِ الصَّالِحِ : مَالِكٌ ، وَالْأَوْزَاعِيُّ ، وَالثَّوْرِيُّ ، وَاللَّيْثُ بْنُ سَعْدٍ ، وَالشَّافِعِيُّ ، وَأَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ ، وَإِسْحَاقُ بْنُ رَاهَوَيْهِ وَغَيْرُهُمْ ، مِنْ أَئِمَّةِ الْمُسْلِمِينَ قَدِيمًا وَحَدِيثًا ، وَهُوَ إِمْرَارُهَا كَمَا جَاءَتْ مِنْ غَيْرِ تَكْيِيفٍ وَلَا تَشْبِيهٍ وَلَا تَعْطِيلٍ . وَالظَّاهِرُ الْمُتَبَادَرُ إِلَى أَذْهَانِ الْمُشَبِّهِينَ مَنْفِيٌّ عَنِ اللَّهِ
สำหรับ มนุษย์นั้น ในประเด็นนี้ มีบรรดาทัศนะมากมายจริงๆ ,ในที่นี้ ไม่ใช่ที่ที่จะต้องอธิบายมันให้กว้างออกไป และในประเด็นนี้ ได้ถูกให้ดำเนินตามมัซฮับของสะละฟุศศอลิหฺ คือท่านมาลิก , ท่านอัลเอาซะอีย์ , ท่านอัษเษารีย์ , ท่านอัลลัยษ์ บิน สะอัด , ท่านอัชชาฟิอีย์ , ท่านอะหฺมัด บิน หัมบัล , ท่านอิสหาก ร่อฮุวัยฮ์ , และท่านอื่น ๆ จากนักปราชญ์บรรดามสุลิมีนทั้งอดีตและปัจจุบัน ซึ่งมันคือ การปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนที่มันได้มีมา โดยไมอธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่ยืนยันการคล้ายคลึง และไม่ปฏิเสธคุณลักษณะ(ซีฟัต) และความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ที่เข้ามาอยู่ในความเข้าใจของบรรดาพวกมุชับบิฮะฮ์ โดยทันที(คือพวกที่เข้าใจว่าอัลลอฮคล้ายคลึงมัคลูค)นั้น ถูกปฏิเสธจากอัลเลาะฮ์..." ดู ตัฟซีร อิบนุ กะษีร ซูเราะฮ์ อัลอะร๊อฟ อายะฮ์ที่ 54
อิบนิ กะษีร ได้บอกต่อไปอีก
فَإِنَّ اللَّهَ لَا يُشْبِهُهُ شَيْءٌ مِنْ خَلْقِهِ ، وَ ( لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ ) [ الشُّورَى : 11 ] بَلِ الْأَمْرُ كَمَا قَالَ الْأَئِمَّةُ - مِنْهُمْ نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ الْخُزَاعِيُّ شَيْخُ الْبُخَارِيِّ - : " مَنْ شَبَّهَ اللَّهَ بِخَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ ، وَمَنْ جَحَدَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فَقَدْ كَفَرَ " وَلَيْسَ فِيمَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا رَسُولَهُ تَشْبِيهٌ ، فَمَنْ أَثْبَتَ لِلَّهِ تَعَالَى مَا وَرَدَتْ بِهِ الْآيَاتُ الصَّرِيحَةُ وَالْأَخْبَارُ الصَّحِيحَةُ ، عَلَى الْوَجْهِ الَّذِي يَلِيقُ بِجَلَالِ اللَّهِ تَعَالَى ، وَنَفَى عَنِ اللَّهِ تَعَالَى النَّقَائِصَ ، فَقَدْ سَلَكَ سَبِيلَ الْهُدَى
คำแปล
. โดยแท้จริงนั้น อัลลอฮ จะไม่ถูกนำมา เปรียบกับสิ่งใดๆ จาก มัคลูคของพระองค์ และจะไม่มีสิ่งใด เสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์นั้น คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็นเสมอ แต่ทว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ตามที่ อิหม่าม ของประชาชาตินี้ได้กล่าวเอาไว้ หนึ่งในพวกเขาก็คือ ท่าน นุอัยมฺ บิน ฮัมมาด อัลคุซาอีย์ชัยคุ้ลบุคคอรี ท่านกล่าวว่า ผู้ใดที่นำเอาอัลลอฮมาเปรียบกับสิ่งถูกสร้างของพระองค์ เขาคือ กาเฟร และผู้ใดที่ปฎิเสธ ดื้อดึง ในสิ่งที่ อัลลอฮได้ให้คุณลักษณะ กับพระองค์เอง โดยแท้จริง เขาคือ กาเฟร และจะไม่นับว่า สิ่งใดที่พระองค์ได้ให้คุณลักษณะของพระองค์เอาไว้ หรือ รอซูลของพระองค์ เป็นการเปรียบเทียบ ผู้ใดที่ยืนยันต่ออัลลอฮ ในสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโองการที่ชัดเจน หะดีษที่ซอเหี๊ยะ ตามความเหมาะสม และปฎิเสธในสิ่งที่จะทำให้เกิด ความบกพร่อง แท้จริงเขาผู้นั้นกำลังดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้อง)" ดูตัฟซีรอิบนุกะษีร ซูเราะฮ์อัลอะร๊อฟอายะฮ์ที่54..............สรุปจากคำอธิบายของอิบนุกะษีร คือ ให้ยึดตามแนวทางสลัฟ สอง- การยึดถือตามที่อัลลอฮและรอซูลบอก ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ (การเปรียบว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค) สาม- ผู้ใดที่ยืนยันต่ออัลลอฮ ในสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโ?


จุดประสงค์จริงของอิหม่ามอิบนุกะษีร ที่บอกว่า

إمرارها كما جاءت من غير تكييف ولا تشبيه ولا تعطيل

ปล่อยมันให้เป็นไปตามที่มันได้มีมา โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่ยืนยันการคล้ายคลึง และไม่ปฏิเส คำว่า
إمرارها كما جاءت
หมายถึง ปล่อยมันให้เป็นไปตามที่ได้มีมา หมายถึงยอมรับตามที่ปรากฏในอัลกุรอ่านโดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการ ไม่ยืนยันการคล้ายคลึง และไม่ปฏิเสธคุณลักษณะ(ซีฟัต)

ดังที่อัลหาฟิซ อบีบักร อัลเคาะฏิบ (ฮ.ศ.463) กล่าวว่า

إِثباتها وإِجراؤها عَلَى ظاهرها ، ونفي الكيفية عنها

คือ การยืนยันมันและปล่อยมันบนความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธ การอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – อะลามุลนุบะลาอ เล่ม 18 หน้า 284
คำว่าปล่อยให้ผ่านไป ไม่ใช่ไมรู้ความหมาย ไม่ใช่ห้ามแปลอย่างที่บางกลุ่มเข้าใจ


คำว่า

والظاهر المتبادر إلى أذهان المشبهين منفي عن الله
และความหมายที่ปรากฏตามตัวบท ที่เข้ามาอยู่ในความเข้าใจของบรรดาพวกมุชับบิฮะฮ์ โดยทันทีนั้น ถูกปฏิเสธจากอัลเลาะฮ์
ความหมายคำพูด ข้างต้นคือ
ความหมายตามที่ปรากฏตามตัวบท ที่ทำให้เกิดจินตนาการของผู้ที่เข้าใจว่าทรงคล้ายคลึงกับมัคโลคนั้น จะถูกปฏิเสธจากอัลลอฮ
ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เพราะอัลลอฮได้ปฏิเสธไว้แล้วว่า “ทรงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์” ซึ่งคนบางกลุ่มพยายามที่จะยัดเยียด คำว่า
“المشبهين (พวกที่เชื่อว่าอัลลอฮคล้ายคลึงกับมัคลูค)
มาป้ายสี พี่น้องมุสลิมที่เขาตั้งฉายาว่า “วะฮาบีย”
วัลอิยาซุบิลละฮ


อัลลอฮตะอาลาตรัส่ว่า
الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
[20.5] ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตอยู่เหนือบัลลังก์
1. อิหม่ามอัฏฏอ็บรีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) อรรถาธิบายว่า

وَقَوْله : { الرَّحْمَن عَلَى الْعَرْش
اسْتَوَى } يَقُول تَعَالَى ذكْره : الرَّحْمَن عَلَى عَرْشه ارْتَفَعَ وَعَلَا
และอัลลอฮ ตรัสว่า
ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ ) พระองค์ผู้ซึ่งการกล่าวถึงพระองค์สูงส่งยิ่ง ตรัสว่า
ผู้ทรง กรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ หมายถึง อยู่บน (อะรัช)และ อยู่สูง(เหนืออะรัช) - ดูตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 5 ซูเราะฮ ฏอฮา
คำแปลนักวิชาการมาเลย์
Imam Ibn Jarir al-Tabari r.h, Syeikhul Mufassirin wal Muarrikhin dalam tafsir beliau dengan jelas menetapkan makna bagi sifat Allah Taala antaranya sifat al-Istiwa’ sebagaimana yang saya nyatakan tadi:
وقوله( الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى ) يقول تعالى ذكره: الرحمن على عرشه ارتفع وعلا.
Maksudnya: “dan firmanNya: ( الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى ) (maksudnya: al-Rahman yang bersemayam di atas Arasy), Allah Taala menyatakan bahawa: Dialah al-Rahman yang berada di atas Arasy meninggi di atasnya”. [Tafsir al-Tabari, 18/270]

2. อัลกุรฏุบีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وَاَلَّذِي ذَهَبَ إِلَيْهِ الشَّيْخ أَبُو الْحَسَن وَغَيْره أَنَّهُ مُسْتَوٍ عَلَى عَرْشه بِغَيْرِ حَدّ وَلَا كَيْفَ كَمَا يَكُون اِسْتِوَاء الْمَخْلُوقِينَ
และ ที่เช็คอบูหะซัน(อัลอัชอะรีย์)และอื่นจากท่าน ได้ให้ทัศนะไว้คือ แท้จริงพระองค์ทรง ประทับเหนือบัลลังก์ของพระองค์ โดยไม่มีขอบเขตและไม่มีรูปแบบวิธีการ เหมือนกับการประทับของบรรดามัคลูค - ดู ตัฟสีร อัลกุรฏุบีย์ อรรถาธิบาย อายะฮที่ 5 ซูเราะฮ ฏอฮา


อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ ได้รายงานว่า

عَنْ أَنَسٍ أَنَّ زَيْنَبَ بِنْتَ جَحْشٍ كَانَتْ تَفْخَرُ عَلَى أَزْوَاجِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَلَّمَ ، تَقُولُ : " زَوَّجَكُنَّ أَهَالِيكُنَّ وَزَوَّجَنِي اللَّهُ مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَوَاتٍ " . وَلَفْظُ عِيسَى ، كَانَتْ تَقُولُ : " إِنَّ اللَّهَ أَنْكَحَنِي فِي السَّمَاءِ " . وَفِي لَفْظٍ ، أَنَّهَا قَالَتْ لِلنَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " زَوَّجَنِيكَ الرَّحْمَنُ مِنْ فَوْقِ عَرْشِهِ " . هَذَاْ حَدِيثٌ صَحِيحٌ أَخْرَجَهُ الْبُخَارِيُّ
รายงาน จาก อะนัส ว่าแท้จริง ซัยหนับ บินติ ญะฮชิน นางได้โอ้อวดแก่บรรดาภรรยาของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยนางกล่าวว่า “ครอบครัวของพวกเธอ ได้จัดการแต่งงานให้พวกเธอ และอัลลอฮ จากเบื้องบนเจ็ดชั้นฟ้า ได้จัดการแต่งงานให้แก่ฉัน “และสำนวนที่รายงานโดยอีซา(หมายถึงอิซา บิน เฏาะมาน)) ระบุว่า ปรากฏว่านางกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ ได่จัดการแต่งงาน(นิกะห)ให้แก่ฉัน บนฟากฟ้า และในสำนวนหนึ่งกล่าวว่า “ แท้จริงนางได้กล่าวแก่นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า “ พระเจ้าผู้ทรงเมตตาจากเบื้องบนอารัชของพระองค์ ได้จัดการแต่งงานฉันกับท่าน– นี่คือหะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรี – อัลอะลูว หะดิษหมายเลข 11


อบูอุษมาน อัศศอบูนีย์ (ฮ.ศ 499) กล่าวว่า
ويعتقد أصحاب الحديث ويشهدون أن الله سبحانه وتعالى فوق سبع سمواته على عرشه مستوٍ، كما نطق به كتابه في قوله عز وجل في سورة يونس: إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
บรรดา นักหะดิษเชื่อมั่น และเป็นพยานว่า แท้จริงอัลลอฮ (ซ.บ) อยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ ทรงเป็นผู้สถิตย์บนอะรัชของพระองค์ ดังที่คัมภีร์ของพระองค์ ได้กล่าวด้วยมัน ในคำตรัสของพระองค์ ผู้ทรงเกรียงไกรและทรงสูงส่ง ในซูเราะฮ ยูนูสว่า
إِنَّ رَبَّكُمُ اللّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْشِ
แท้ จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินใน เวลา 6 วันแล้วพระองค์ทรงสถิต บนบัลลังก์ - อะกีดะฮอัสสะลัฟ วะอัศหาบิละดีษ หน้า 44


กุตัยบะฮ บิน สะอีด (ฮ.ศ 240) กล่าวว่า
ونعرف الله في السماء السابعة على عرشه، كما قال: {الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى * لَهُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ وَمَا بَيْنَهُمَا وَمَا تَحْتَ الثَّرَى} [طه : 5 ، 6].
และเรารู้จักอัลลอฮ บนฟากฟ้าที่เจ็ด บน อะรัชของพระองค์ ดังที่ทรงตรัสว่า
{الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى * لَهُ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ وَمَا بَيْنَهُمَا وَمَا تَحْتَ الثَّرَى} [طه : 5 ، 6]
ผู้ทรง กรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ @ กรรมสิทธิ์ของพระองค์นั้นคือ สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง และสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน – ฏอฮา 5-6
شعار أصحاب الحديث لأبي أحمد الحاكم (ص40-41)، قال: سمعت محمد بن إسحاق الثقفي (أبو العباس السراج) قال: سمعت أبا رجاء قتيبه بن سعيد. إسناده صحيح.


หะดิษเศาะเฮียะยืนยัน การอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ : " لَمَّا خَلَقَ اللَّهُ الْخَلْقَ كَتَبَ فِي كِتَابِهِ وَهُوَ يَكْتُبُ عَلَى نَفْسِهِ وَهُوَ وَضْعٌ عِنْدَهُ عَلَى الْعَرْشِ : إِنَّ رَحْمَتِي تَغْلِبُ غَضَبِي
dari Abu Hurairah radhiyallahu ‘anhu, Rasulullah shallallahu ‘alaihi wa sallam bersabda, “Tatkala Allah menciptakan para makhluk, Dia menulis dalam kitab-Nya, yang kitab itu terletak di sisi-Nya di atas ‘Arsy, “Sesungguhnya rahmat-Ku lebih mengalahkan kemurkaan-Ku
รายงาน จากอบีฮุรัยเราะฮ (ร.ฎ) จากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ขณะที่อัลลอฮฺได้สรรค์สร้างมัคลูก อัลลอฮฺได้ทรงบันทึกในกิตาบของพระองค์ และพระองค์ก็ทรงบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอง ซึ่งมันถูกวางไว้ ณ พระองค์ บนบัลลังก์(อารัช)ว่า “แท้จริงความเมตตาของฉัน นำหน้าซึ่งความโกรธกริ้วของฉัน”- บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม

รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ กล่าวว่า
أَلَا تَأْمَنُونِي وَأَنَا أَمِينُ مَنْ فِي السَّمَاءِ يَأْتِينِي خَبَرُ السَّمَاءِ صَبَاحًا وَمَسَاءً
พวก ท่านไม่ไว้วางใจฉันดอกหรือ ทั้งๆทีฉันเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจของผู้ที่อยู่บน ฟากฟ้า ? รายงานของผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า จะมายังฉัน ในเวลาเช้าและเวลาบ่าย – บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม


อัลลอฮตรัสว่า
أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ فَإِذَا هِيَ تَمُورُ
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ จากการที่พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้าจะให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าแล้วขณะนั้นมันจะหวั่นไหว
أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا ۖ فَسَتَعْلَمُونَ كَيْفَ نَذِيرِ
หรือ ว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าการตักเตือนของข้าเป็นเช่นใด ?
…………
ใครคือผู้สถิต อยู่บนฟากฟ้า ?
มาดูคำอธิบายของ ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ ปราชญ์นักตัฟสีรยุคสะลัฟ
( أَمْ أَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ ) وَهُوَ اللَّهُ ( أَنْ يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا )
(หรือ ว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า ) และพระองค์คือ อัลลอฮ (จะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า ) ดูตัฟสีรอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายซูเราะฮอัลมุลกุ อายะฮ ที่ 17
...........
ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ ปราชญ์นักตัฟสีรยุคสะลัฟ ยืนยันว่า พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้า ) พระองค์คือ อัลลอฮ


และอิหม่ามอัซซะฮะบีย์เอง กล่าวว่า
مقالة السلف وأئمة السنة بل الصحابة والله ورسوله صلى الله عليه وسلم والمؤمنين : وأن الله فوق سماواته
คำพูดสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามสุนนะฮ โดยเฉพาะ เศาะหาบะฮ และ,อัลลอฮ ,รอซูลของพระองค์ (ศอลฯ) และบรรดาผู้ศรัทธา คือ
แท้จริงอัลลอฮ อยู่บนฟากฟ้าของพระองค์ – อัลอะลูว์ หน้า 107


……………………………………………………………………………………………………………
ชี้แจงโดย อ.หะสัน หมัดอะดั้ม
รวบรวมโดย ทหารของอัลลอฮฺ แบบฉบับนบี







นบีไม่มีอำนาจเหนือพวกท่าน ท่านเป็นเพียงผู้ตักเตือน


ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ไม่มีอำนาจเหนือพวกท่าน อย่างมากที่สุดที่ท่านสามารถทำได้สำหรับพวกท่าน ก็คือ การตักเตือนพวกท่านด้วยความปรารถนาดี แต่มันก็ขึ้นอยู่กับพวกท่านจะยอมรับคำแนะนำหรือปฏิเสธคำเตือนของท่าน ในฐานะที่พวกท่านจะต้องรับผิดชอบต่ออัลลอฮฺ มิใช่ท่านที่จะต้องมารับผิดชอบแทนพวกท่าน

ดังนั้น พวกท่านควรจะเกรงกลังพระองค์ และห่วงเว้นจากการกระที่เสียหายของพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านศรัทธาในพระองค์อย่างแท้จริง

พระองค์อัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า

بَقِيَّتُ اللَّهِ خَيْرٌ لَّكُمْ إِن كُنتُم مُّؤْمِنِينَ وَمَا أَنَا عَلَيْكُم بِحَفِيظٍ ( 86 )
"สิ่งที่เหลืออยู่ของอัลลอฮ์นั้น(หลังจากการชั่งตวงที่ครบจำนวน) ดียิ่งสำหรับพวกท่าน หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา และฉันมิใช่ผู้คุ้มกันพวกท่าน”  (อัลกุรอาน สูเราะฮฺฮูด 11:86)



والله أعلم بالصواب


วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การบอกรักที่มีค่าที่สุด



สามีรู้สึกน้อยใจ ที่ภรรยาไม่เคยบอกรัก...
วันนี้ สามีเลยถามภรรยาสุดที่รักไปว่า

สามี : "หากครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราต้องอำลา
คุณรู้สึกอย่างไร เเล้วมีอะไรจะบอกผมไหม?"

ภรรยา : "หากครั้งนี้คือครั้งสุดท้ายที่เราอำลาจากกัน
ฉันจะบอกคุณว่า หากคุณออกไป ในหนทางของอิสลาม
ออกไปในสนามรบของอิสลาม (ของอัลลอฮ)

ฉันจะดีใจที่สุด เเละจะไม่ร้องไห้ ให้ใครเห็น
ฉันจะจำคุณในความทรงจำตลอดไป ฉันขอดุอาอให้เราได้พบกัน
คุณรอฉัน ณ ที่นั้น ที่ไม่มีในโลกดุนยา

ฉันจะจดประวัติศาสตร์ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราได้รับรู้ถึงการออก
ญีฮาดของคุณ

เเต่... หากคุณจากไป ในหนทางที่ไร้สาระ
ฉันจะไม่มีคุณในความทรงจำที่ดี

ฉันจะไม่เอ๋ยชื่อคุณให้ลุกหลานอีก
เเต่ฉันจะขอจากอัลลอฮให้อภัยโทษให้เเก่คุณ

เเล้วสามีก็ร้องไห้ เเล้วบอกกับภรรยาไปว่า...
"นี้เป็นการบอกรักที่มีค่าที่สุดสำหรับผม"

ผมไม่ต้องการคำว่ารัก... เเต่ผมต้องการให้คุรดุอาอให้ผม
ยามผมกระทำผิด ตักเตือนผม ในยามที่ผม... "หลงเเห่งดุนยา"


.....................................................
"บทความ หนูชื่อเจ๊ นูีฮัน มาเลเซีย"
อับดุลรอมาน หะระตี โพส





การเยียวยา


มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความล้มเหลว ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ความพยายาม

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความริษยา ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ความเมินเฉย

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความยากจน ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ความพอเพียง

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความอ่อนแอ ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ความศรัทธา

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความน่ารังเกียจ ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ จรรยามารยาท

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความอวิชชา ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ต้องแสวงหาความรู้

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความโง่เขลา ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ควรวางตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความเหนื่อยล้า ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ การพักผ่อนและนอนหลับอย่างเพียงพอ

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความโกลาหล ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ความสงบนิ่ง

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความเป็นศัตรู ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ทำความดีให้แก่ผู้คน

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความต้องการของนัฟซู ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ การหักห้าม

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความเศร้าหมอง ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ การสร้างรอยยิ้ม

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากความรังเกียจ ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ ความรัก

มีผู้คนได้ถามฉันเกี่ยวกับการเยียวยาจากบททดสอบ ฉันก็ได้บอกเขาไปว่ามันคือ การขอบคุณต่อเอกองค์อัลลอฮฺซุบหานะฮุวะตะอาลา

.
........................................................
บทความดี ๆ จากเพจ : اللَّـهُمَّ آعز الآسلَّام
ถอดความและเรียงคำโดย : อูลุล อัลบ๊าบ



ญะมาอะฮฺ คือการอยู่บนสัจธรรม



ท่าน อิบนุ มัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า:

الجماعة ما وافق الحق وإن كنت وحدك فإنك أنت الجماعة حينئذ

ความว่า: "อัล-ญะมาอะฮฺ คือสิ่งที่เห็นพ้องต้องกันด้วยกับสัจธรรม แม้ว่าท่านจะมีเพียงตัวคนเดียว เมื่อนั้นท่านก็คือ อัล-ญะมาอะฮฺ"

ญะมาอะฮฺ คือการอยู่บนสัจธรรม แม้ว่าท่านจะตัวคนเดียว






วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความตาย (ยาหัวใจ)


*** ยาของหัวใจ ***

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงความตายที่พวกท่านหนีจากมันนั้น มันจะพบกับพวกท่านอย่างแน่นอน" (ซูเราะฮฺอัลญุมอะฮฺ อายะฮฺที่ 8)

ขณะเดียวกัน กาลเวลาก็ยิ่งคืบคลานผ่านเป็นวัน เป็นเดือนและแรมปี ในที่สุด แต่บางคนก็ยังไม่มีความรู้สึกว่า ดวงตาเขาเมื่อไหร่จะหลั่งน้ำตารออกมาเนื่องจากการพิจารณาโองการอัลกุรอาน หรือระลึกถึงความตายสักครั้ง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหัวใจของเขานั้นมีโรคอยู่ ก็คือโรคแห่งความกระด้างและแห้งแล้งนั้นเอง

ฉะนั้น การตรวจสอบเช็คหัวใจหรือการจะทำให้มันสะอาด และขจัดความสกปรก และโรคร้ายต่าง ๆ ที่ม้นคอยปิดบังจากการระลึกถึงอาคิเราะฮฺเป็นทางรอดที่ปลอดภัยทางหนึ่งที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากการวิตกเฉพาะเรื่องทางโลกที่ล่อลวงให้เขาเพิกเฉยต่อความยินดีของอัลลอฮฺ ตะอาลา

มุอฺมินผู้ศรัทธาคือผู้ที่มุ่งสู่ต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา ด้วยการปฏิบัติอิบาดะฮฺ (การภักดี) ด้วยรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเขาออกห่างไปจากทุกสิ่งที่ทำให้หัวใจกระด้างกระเดื่องต่อพระองค์ และเพื่อเขาจะได้รู้สึกดื่มต่ำต่อสิ่งที่ทำให้มันมีแต่ความอ่อนน้อมตลอดไป

รายงานจากมุฮัมมัด บินศอและฮฺ อัตตัมมารฺ กล่าวว่า

"ครั้่งหนึ่งท่าน ศ็อฟวาน บินสะลีม (1) ได้ไปเยี่ยมสุสานอัลบะเกียะฮฺอยู่หลายวัน ก่อนไปเาได้ผ่านสถานที่ฉันอยู่ ฉันจึงได้ติดตามเขาไปด้วย และในวันหนึ่ง เพื่อจะได้ทราบว่าท่านทำอะไรบ้าง ฉันเห็นเขาเชิดศีรษะขึ้นแล้วนั่งลงใกล้สุสานหลุมหนึ่งและร้องไห้อย่างมาก จนกระทั่งฉันรู้สึกสงสารฉันคิดว่ามันคงเป็นสุสานของคนใดคนหนึ่งในครอบครัวของเขาเป็นแน่ แต่เขากล่าวว่าชาวสุสานทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นญาติและครอบครัวของตนทั้งสิ้น แท้จริงเขาเป็นบุคคลหนึ่งที่กระตุ้นความรู้สึกให้ระลึกถึงความตายอยู่ตลอด โดยเฉพาะเมื่อใดก็ตามที่ท่านรู้สึกว่าจิตใจของตนเองนั้นกำลังจะแข็งกระด้าง"

ดั่งบทกลอนอาหรับที่ว่า

"การระลึกถึงความตายทำให้ฉันนั้นอ่อนโยน
ฉันขอความสุขจากน้ำตา ดังนัั้นมันก็ให้ฉัน
แม้ฉันไม่ร้องไห้ต่อตัวเองก่อนจะตาย
แล้วใครเล่าจะร้องไห้เสียใจต่อมัน
โอ ผู้ใกล้ตาย ที่ไม่ยอมสำนึกเอ๋ย
เมื่อท่านเองยังไม่เศร้าแล้วใครเล่าจะเศร้าต่อท่าน"
.................................................

****หนทางยังยาวไกล แต่เสบียงนั้นมีน้อย ****

เมื่อตอนที่ท่านอะหมัด บินอบีหิวารีย์ ใกล้จะเสียชีวิต ท่านเอามือออกมาจากม่านกั้นไว้และร้องไห้ ยกมือขึ้นสู่ฟ้าแล้วกล่าวว่า

"โอ....อันตรายแล้ว....อันตรายแล้ว"

คำพูดที่ท่านกล่าวขึ้นตอนนั้น ช่างออกมาจากความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อความตายที่กำลังใกล้เข้ามา และความเป็นไปหลังจากนั้นท่านจินตนาการเห็นภาพของอาคิเราะฮฺอยู่เบื้องหน้า เสมือนดั่งท่านได้ไปถึงมันแล้วทั้ง ๆ ที่ความจริงท่านยังคงอยู่ในดุนยา

เช่นกันตามประวัติระบุว่าท่านอุมัรฺ บินอับดิลอะซีซ ในทุกๆ ค่ำคืนท่านจะเรียกบรรดาผู้รู้มานั่งประชุม และให้พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องเกี่ยวกับความตาย กิยามะฮฺ และเรื่องโลกอาคิเราะฮฺ จนกระทั้งบางคืนพวกเขาพากันร้องไห้เสมือนหนึ่งว่ามีศพตายอยู่เบื้องหน้า ชีวิตที่ผ่านมาของท่านอุมัรฺนับตั้งแต่วัยเด็กถูกสอนให้มีความสมถะ ท่านมักคำนึงถึงความตายอยู่เสมอในขณะที่เด็กอื่นฝักใฝ่อยู่กับการละเล่นสนุกสนานตามประสาครั้งหนึ่งในวัยเยาว์ท่านได้ร้องไห้ขึ้นมา ดังนั้น จึงถูกนำตัวไปหามารดาของท่าน

มารดาท่านถาม

"ร้องไห้ทำไมหรือ ?"

ท่านตอบว่า

"ฉันระลึกถึงความตาย"

ประวัติระบุว่าตอนนัั้นท่านเป็นคนหนึ่งที่จดจำอัลกุรอานทั้งเล่มแล้ว ดังนั้นเมื่อมารดาได้รับทราบเช่นนั้นางก็ร้องไห้ด้วยความตื้่นตันใจ

และปรากฏว่าท่านฟะฎอละฮฺ บินศัยฟีย์ ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่มักจะร้องไห้อยู่เกือบตลอดเวลา วันหนึ่งมมีชายผู้หนึ่งเข้าไปหาท่านท่านกำลังร้องไห้อยู่ เขาถามภรรยาของท่านว่า

"อะไรเกิดขึ้นกับท่านหรือ ?"

นางตอบว่า

"ท่านฟะฏอละฮฺ มักกล่าวอยู่เสมอว่า ท่านจะต้องเดินทางไกล (สู่อาคิเราะฮฺ) ขณะที่ท่านไม่มีเสบียงที่เพียงพอ"

เช่นกันเมื่อตอนที่ท่านอบูฮูร็อยเราะฮฺ กำลังใกล้จะเสียชีวิต ท่านก็ร้องไห้ มีคนถามว่า "ท่านร้องไห้ทำไมหรือ ?"

ท่านตอบว่า

"หนทางยังยาวไกลในขณะที่เสบียงนั้นช่างมีอยู่น้อยเหลือเกิน อีกทั้งความเชื่อมั่นก็อ่อนแอเต็มที"

และครั้งหนึ่งท่านเคาะลีฟะฮฺสุลัยมาน บินอับดิลมาลิก ได้ส่งคนไปหาท่านอบีหาซิม ดังนั้นท่านก็ได้มาพบและท่านสุลัยมานถามว่า

"โอ้ อบูหาซิม ทำไมเราต่างก็รังเกียจความตายกันเล่า ?"

อบูหาซิมตอบ "ก็คงเพราะว่าพวกท่านสร้างแต่ดุนยา แต่กลับทำให้อาคิเราะฮฺนั้นพังพินาศไปนะซิ"

ท่านสุลัยมานกล่าว

"ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ดังนั้นจะเดินทางไปหาอัลลอฮฺอย่างไรเล่า ?"

อบูหาซิม

"สำหรับคนดี เขาย่อมเหมือนดั่งผู้พลัดถิ่น ที่กลับไปยังครอบครัวของตน ส่วนคนชั่วนั้น เสมือนดั่งทาสที่หลบหนีเจ้านาย เมื่อถูกส่งตัวกลับ"

ท่านสุลัยมานเมื่อได้ยินก็ร้องไห้ และกล่าวออกมาว่า

"โอ้ อนิจจา หากตัวฉันได้ทราบว่าอะไรคือสิ่งที่เราจะได้รับ ณ อัลลอฮฺ ?"

อบูหาซิม

"ก็จงเทียบการกระทำของท่านกับกิตาบุลลอฮฺ (อัลกุรอา) ซิครับ"

ท่านสุลัยมาน "ฉันสามารถพบได้ตรงไหนล่ะ ?"

อบูหาซิมตอบด้วยอายะฮฺที่ว่า

"แท้จริงบรรดาผู้ทรงคุณธรรมนั้นจะอยู่ในความโปรดปราน และแทิ้จริงบรรดาคนชั่วจะอยู่ในนรกที่ลุกโชน" (ซูเราะฮฺ อัลอิมฟิฏอรฺ ฮายะฮฺที่ 13 - 14)

"แล้วไหนล่ะความเมตตาของอัลลอฮฺ ? โอ้ อบูหาซิม"

อบูหาซิมตอบอีกด้วยอายะฮฺ

"แท้จริงความเมตตาของอัลลอฮฺนั้น ใกล้แก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย" (ซูเราะฮฺ ิัลอะอฺร็อฟ อายะฮฺที่ 56)

ดั่งบทกลอนหนึ่งว่า

"หากเราตายไปเหมือนลาจากแล้วไซร้
ความตายคงเป็นการพักผ้อนแก่ทุกชีวิตค
แต่ทว่าเมื่อเราตายยังจะถูกให้ฟื้นขึ้นอีก
และถูกสอบสวนในทุกอย่างหลังจากนั้น"

...............................
(1) ศ็อฟวาน บินสัลัยมฺ เป็นผู้เคร่งครัดในอิบาดะฮฺ / หาฟิซ/ ฟะดีฮฺ สิ้นชีวิต ปี ฮ.ศ. 132




........................................

(จากหนังสือ : เมื่อผู้ศรัทธาร้องไห้)
เขียน : อับดุรเราะฮฺมาน บินอับดิลลาฮฺ อัลละอฺบูน
แปล : นัศรุลลอฮฺ ต็อยยิบ
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส





อย่าได้เสียดายที่ได้รู้จักใครบางคนในชีวิต



لا تندم على معرفة أي شخص في حياتك
อย่าได้เสียดายที่ได้รู้จักใครบางคนในชีวิตของคุณ

فالناس الجيدون يعطونك السعادة

เพราะการได้รู้จักกับคนดีๆ มันทำให้คุณมีความสุข

والناس السيئون يعطونك التجربة

และการได้รู้จักกับคนชั่วๆ มันทำให้คุณได้มีประสบการณ์

أمّا أسوأ الناس يعطونك درساً

แม้การได้รู้จักกับคนที่เลวที่สุด ก็ยังทำให้คุณได้รับบทเรียน

وأفضل الناس من يجملون حياتك بأروع ذكريات

ส่วนคนที่ประเสริฐที่สุด
คือคนที่แต่งแต้มชีวิตของคุณด้วยความทรงจำที่ดี


...............................................................
cr.โรงเรียนพัฒนาภาษาอาหรับอัลมุนญิด —




นิอฺมัติของการพูด


นิอฺมัตความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์นั้นมีมากมายและเกินที่จะพรรณนาได้ หนึ่งในนิอฺมัติอันยิ่งใหญ่ ก็คือ "นิอฺมัติของการพูด" ที่ทำให้มนุษย์สามารถบอกถึงความต้องการของตนเองได้ สามารถกล่าวคำพูดที่ดี สั่งใช้ให้ทำความดี และห้ามปรามความชั่ว ผู้ใดที่ขาดนิอฺมัติส่วนนี้ก็จะไม่สามารถกระทำสิ่งดังกล่าวได้ และไม่อาจสื่อสารกับผู้อื่นได้ นอกจากด้วยภาษามือ หรือการเขียน หากเาสามารถเขียนได้

อัลลออฺ อัซซะวะญัลลา ได้ดำรัสว่า :

"และอัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์ชายสองคน หนึ่งในสองคนเป็นใบ้ เขาไม่สามารถในสิ่งใด และเขาเป็นภาระแก่นายของเาอีกด้วยไม่ว่าแห่งใดที่นายจะส่งเขาไป เขาจะไม่นำความดีใด ๆ มาเลย เขาจะเท่าเทียมกับผู้กำชับในทางที่เที่ยงธรรม และเขาอยู่ในทางที่เที่ยงตรงกระนั้นหรือ?" (ซูเราะฮฺ อัน-นะหลุ 16 : 76)

นักวิชาการบางท่านได้อรรถาธิบายอายะฮฺดังกล่าวนี้ว่า คือการยกตัวอย่างเปรียบเทียบของอัลลอฮฺระหว่างพระองค์เองกับบรรดารูปเจว็ด แต่นักอรรถาธิบายบางท่านมีทัศนะว่าเป็นการยกตัวอย่างเปรีัยบเทียบระหว่างผู้ปฏิเสธศรัทธากับผู้ศรัทธา

อิมามอัล-กุรฏุบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือตัฟสีรของท่าน (ตัฟสีรอัล-กุรฏูบีย์ 9/149) ว่า "(การอรรถาธิบายนี้) เป็นรายงานจากท่านอิบนุอับบาส ซึ่งเป็นการอธิบายที่ดี เพราะมันมีความหมายครอบคลุมการยกตัวอย่างเปรียบเทียบดังกล่าวนั้น ได้อธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ ทาสที่เป็นใบ้ซึ่งมิอาจให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นใดและนายของเขาก็มิือาจใช้ประโยชน์จากเขาได้เต็มที่"

และพระองค์ได้ดำรัสว่า

"ดังนั้น จึงขอสาบานต่อพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า แท้จริง (สิ่งที่ถูกสัญญาไว้นั้น) เป็นความจริงอย่างแน่นอน เสมือนกับที่พวกเจ้ากล่าวคำพูดออกมา" (ซูเราะฮฺอัช-ซาริยาต 51 : 23)

ดังนั้น แท้จริงแล้ว อัลลอฮฺทรงกล่าวสาบานด้วยพระองค์เองว่าการฟื้นคืนชีพ และวันแห่งการตอบแทนที่ถูกสัญญาไว้นั้น จะเกิดขึ้นจริงแน่นอน เช่นเดียวกับที่กา่รกล่าวคำพูดออกมานั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้สนทนาทั้งหลายและ ณ จุดนี้ เป็นการกล่าวถึงนิอฺมัตการพูดเช่นกัน

และพระองค์ ได้ดำรัสอีกว่า :

"ทรงสร้างมนุษย์ และทรงสอนการเปล่งเสียงพูด" (ซูเราะฮฺ อัร-เราะหฺมาน 55 : 3-4)

และพระองค์ทรงตรัสอีกว่า

"เรามิได้ให้เขามีดวงตาสองดวงดอกหรือ และ (เรามิได้ให้เขามี) ลิ้น และริมฝีปากทั้งสองดอกหรือ" (ซูเราะฮฺอัล-บะลัต 90 : 8-9)

ท่านอิบนุกะษีร กล่าวอธิบายว่า : ดำรัสของอัลลอฮฺว่า "เรามิได้ให้เขามีดวงตาสองดวงดอกหรือ?" หมายถึง : เพื่อให้เขาใช้มันมอง ส่วน "ลิ้น" หมายถึง : เพื่อให้เขาได้พูด บอกกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ส่วน "ริมฝีปากทั้งสอง" หมายถึง : เพื่อช่วยให้เขาพูดออกมาได้ ทานอาหารได้ และเพื่อสร้างงดงามแก่ใบหน้าและริมฝีปากของเขา

และเป็นที่ทราบกันดีว่า นิอฺมัตนี้จะเป็นความโปรดปรานที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเราใช้มันไปในทางที่ถูกต้อง แต่เมื่อใดที่เราใช้มันในทางที่ไม่ดี มันก็จะเป็นภัยต่อตัวเราเอง และบางทีผู้ที่ปราศจากนิอฺมัตนี้ก็อาจจะมี่สภาพที่ดีกว่าผู้ที่มีมัน (แต่ใช้มันในทางที่ไม่ดี ) ก็เป็นไปได้



.............................................................................
(จากหนังสืิอ : นุ่มนวลเถิด โอ้พี่น้องอะฮฺลุสสุนนะฮฺ)
โดย : ชัยคฺอับดุลมุหฺสิน บินหะมัด อัล-อับบาด
แปลและเรียบเรียงโดย : ZUNNUR
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส