อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทำไมถึงห้ามเด็กๆ ออกนอกบ้านในขณะดวงตะวันลับขอบฟ้า หรือในเวลามักริบ?




 มักริบคือเวลาของการละหมาดฟัรดู 3 รอกาอัต ในขณะแผ่นดินกำลังจะเปลี่ยนช่วงเวลาจากกลางวันไปสู่กลางคืน เมื่อเข้าเวลามักริบ ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ ก็มักจะใช้ให้ลูกหลานเลิกเล่นและรีบกลับเข้าบ้านทันที เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า ในช่วงเวลามักริบนั้น ชัยตอนและญินกำลังเพ่นพล่านอยู่ตามสถานที่ต่างๆ และหลังจากมักริบพวกเขาถึงจะปล่อยให้ลูกหลานออกจากบ้านได้ ข้อห้ามนี้ได้ถูกห้ามกันมาตั้งแต่โบราณในอดีตกาลจากคนเฒ่าคนแก่จากรุ่นสู่รุ่น โดยที่เราหารู้ไม่ว่า ข้อห้ามเหล่านี้

 แท้จริงแล้วได้มีระบุในฮาดีษของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ดังที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ได้กล่าวไว้ว่า
 “ท่านทั้งหลายอย่าได้ปล่อยให้ลูกหลานของท่านอยู่นอกบ้านในขณะที่ดวงตะวันลับขอบฟ้าจนกระทั่งมืดเข้าสู่ยามค่ำคืน เพราะชัยตอนจะแตกเป็นเสี่ยง เมื่อดวงอาทิตย์จะตกจนกระทั่งมืดมิดของเวลากลางคืน” (รายงานโดย มุสลิม)

และท่านร่อซูลุลลอฮ์ยังได้กล่าวไว้ในซอเฮียะห์มุสลิมอีกว่า
 “หากช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะตกและเริ่มมืด จงดูแลทารกน้อยให้ดี เพราะอิบลีสจะเริ่มการหลอกหลอนในช่วงเวลานั้น หากช่วงเวลาที่ช่วงเวลานั้นผ่านไป ก็จงปล่อยพวกเขา, จงใส่กลอนประตูบ้าน และกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ เพราะชัยตอนไม่สามารถเปิดประตูที่ปิดไว้ได้ และจงปิดภาชนะใส่น้ำของท่านทั้งหลายให้สนิท และกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ และจงปิดภาชนะอาหารของท่านทั้งหลายพร้อมกับกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ แม้ว่าท่านต้องการได้สิ่งนั้นก็ตาม”

 ท่าน ศ.ดร. Osly Rachman ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า “The Science Of Solat” โดยท่านได้ชี้แจงไว้ว่า ในช่วงเวลามักริบ โลกจะเปลี่ยนเป็นแสงสเปกตรัมเป็นสีแดง แสงนี้จะมีคลื่นรังสี EM (electromagnet) ซึ่งประกอบไปด้วย สเปคตรัมสีต่างๆ และในแต่ละสีของสเปคตรัม ก็จะมีพลังงานคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน โดยในช่วงเวลามักริบ หรือช่วงเวลาที่ดวงตะวันจะลับขอบฟ้านั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสเปคตรัมคลื่นความถี่ ตามคลื่นความถี่ของอิบลีสและญิน นั่นก็คือ คลื่นความถี่ของสเปคตรัมสีแดง ในช่วงเวลานี้ ญินและอิบลีส จะมีพลังงานมากเนื่องจากมีได้รับคลื่นความถี่ตรงตามสเปคตรัมของแสงสีแดง  ดังนั้นในช่วงเวลามักริบจึงเกิดคลื่นความถี่ที่เป็นสัญญาณทับซ้อน จนบางครั้งอาจก่อให้เกิดภาพหลอนหรือภาพลวงตาได้ในช่วงเวลานั้น

ในอิสลาม ช่วงเวลามักริบ คือ ช่วงเวลาที่ชัยตอนกำลังมาพร้อมกับความมืดกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เพื่อหาสถานที่พักพิงและหลบซ่อน เพราะมีชัยตอนบางตัว ก็จะเกิดความกลัวต่อความชั่วร้ายของชัยตอนตัวอื่น จนทำให้พวกมันต้องวิ่งหาสิ่งคุ้มกันหรือเกราะป้องกันพวกมันจากชัยตอนที่ร้ายกาจตัวอื่น ดังนั้น พวกมันจึงได้คลื่นไหวด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ ชัยตอนบางตัวก็จะหลบซ่อนอยู่ในภาชนะที่ว่างเปล่า หลบซ่อนอยู่ในบ้านร้าง บางตัวก็จะหลบซ่อนอยู่กับกลุ่มคนที่นั่งกระจัดกระจายอยู่ในเวลานั้น เฉพาะผู้ที่มีพลังความเข้มแข็งเท่านั้นที่จะปลอดภัยจากการหลบซ่อนของชัยตอนในร่างกาย

ดังนั้น ทารกและ เด็กๆที่ยังอ่อนแอ จึงง่ายต่อการที่อิบลีสชัยตอนจะเข้าหลบซ่อนในร่างกาย จึงทำให้เด็กที่ถูกรบกวนจากชัยตอนเกิดอาการต่างๆต่าง ไม่ว่าจะร้องไห้งองแงโดยไม่ทราบสาเหตุ ในช่วงเวลามักริบ เรายังถูกใช้ให้ห่างไกลจากสัตว์เลี้ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแมว, นก หรือในขณะขับรถ ก็ควรลดความเร็วลง เนื่องจากในเวลานั้น อาจจะมีสุนัขหรือสัตว์อื่นๆกำลังถูกชัยตอนเข้าสิง จนทำให้พวกมันวิ่งกระจัดกระจายด้วยความกลัว และเช่นกัน ก็ไม่ควรเดินอยู่ตามลำพัง หรือนั่งอยู่คนเดียวในสถานที่เปลี่ยว หรือขว้างปาก้อนหิน เข้าในห้องน้ำ หรือในสวน หรือในทะเล



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น