อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

เจ๊กตาบอดเกี่ยวอะไรกับการแต่งงานและการหย่าในอิสลาม


คำว่า เจ๊ก หรือ แต้จิ๋ว มาจากภาษาจีน แปลว่า อา แล้วอาจเรียกติดปากมาเรื่อย  จนกลายเป็น คำแสลง ที่่หมายถึงคนจีน

สำหรับคำว่า จินอบูตอ(cina buta) เป็นภาษามลายู คำว่า จีนอ แปลว่า จีน และ บูตอ แปลว่า บอด รวมคำแล้ว แปลว่า จีนบอด หรือจีนตาบอด เมื่อนำมาใช้กับภาษาไทย ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า เจ๊กตาบอด นั้นเอง

สำหรับคำว่า จินอบูตอ หรือเจ๊กตาบอด ซึ่งกล่าวถึงคนจีนที่ตาบอดนั้น เกี่ยวกันอย่างไรกับการหย่าร้างในอิสลาม? จริงๆแล้ว ชาวจีนที่ตาบอดเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการหย่าร้างตามบทบัญญัติอิสลามแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการเปรียบเทียบกับผู้หนึ่งที่ต้องยอมเป็นคนที่โง่เขล่า ยอมมองไม่เห็น ทำเป็นไม่รู้เพื่อกระทำการใดให้ผู้หนึ่งสำเร็จตามเป้าหมายโดยได้รับมีค่าตอบแทนหากสำเร็จตามจุดประสงค์นั้น แต่ไม่ทราบเหตุผลที่ชาวมลายูนำคนจีนมาเปรียมเปรยเช่นนี้

สาเหตุที่เป็นบุคคลจินอบูตอ หรือเจ๊กตาบอด

ตามบทบัญญัติอิสลาม หากหญิงผู้เป็นภริยาถูกชายผู้เป็นสามีทำการหย่า 3 เฏาะล๊าก(ครั้งที่ 3) อิสลามได้กำหนดบทลงโทษสามีผู้นั้นไว้โดยการไม่อนุญาตให้กลับมาแต่งงานกับภริยาที่ตัวเองหย่าไปแล้วได้อีก จนกว่าภรรยาของตนไปแต่งงานกับชายอื่นและอยู่กินฉันสามีภรรยาจริง ๆ ก่อน ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ภรรยาได้เลือกสามีใหม่  เพราะการหย่าที่จะคืนดีกันได้นั้นมีเพียง 2 ครั้ง ภายในเวลาอิดดะฮฺนั้น หากหญิงที่ถูกหย่า 3 เฏาะล๊าก ไปแต่งงานกับชายคนใหม่อยู่กินกันฉันสามีภริยา โดยมีเจตนาอยู่กินฉันสามีภริยากันจริงๆ กล่าวคือ สามีมีเจตนาที่อุปการะเลี้ยงดูภริยา ด้วยความสมัครรักใคร่ซึ่งกันและกัน  ช่วยกันสร้างครอบครัว มีลูกสืบสกุล ช่วยกันตักเตือนและปฏิบัติอยู่ในกรอบอิสลาม และมีการร่วมหลับนอนและมีเพศสัมพันธ์์กัน เป็นต้น

รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎีญัลลอฮุอันฮา ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่ภริยาของริฟาอะฮฺ ว่า
"ไม่ได้ จนกว่าได้ดื่มน้ำผึ่งของเขา และเขาจะได้ดื่มน้ำผึ้งของเธอ" (บันทึกหะดิษโดย อัลบุคอรีย์ และมุสลิม)
และหากนางไม่สามารถอยู่กินฉันสามีภริยากับสามีคนใหม่ได้ และสามีคนใหม่บอกเลิกหย่านาง และเลยเวลาอิดดะฮฺ คือ 3 เดือน นับแต่เวลาที่ถูกสามีใหม่หย่า หญิงผู้นั้นก็สามารถกลับไปแต่งงานกับชายผู้เคยเป็นสามีเดิมได้ เมื่อนางกลับไปหาสามีคนเดิมด้วยความสัมพันธ์ใหม่ และฝ่ายชายก็มีสิทธิครอบครองหย่าใหม่ทั้ง 3 เฏาะล๊าก นั้นก็เพราะสามีคนที่สองของนางได้ทำให้การอนุญาตอันแรกได้สิ้นสุดไป แล้วเมื่อนางได้กลับมาแต่งงานกับสามีคนเดิมใหม่ การอะกัดนิกะฮฺก็จะทำให้เกิดอนุญาตใหม่ๆขึ้น

พระองค์อัลลอฮ ศุบฮานาฮูวะตาอาลา ตรัสว่า
"الطَّلَاقُ مَرَّتَانِ" ความว่า "การหย่านั้นมี 2 ครั้ง"(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ 2:229)

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานาฮูวาตะอาลา ตรัสว่า
فَإِن طَلَّقَهَا فَلَا تَحِلُّ لَهُ مِن بَعْدُ حَتَّىٰ تَنكِحَ زَوْجًا غَيْرَهُ فَإِن طَلَّقَهَا فَلَا جُنَاحَ عَلَيْهِمَا أَن يَتَرَاجَعَا إِن ظَنَّا أَن يُقِيمَا حُدُودَ اللَّهِ وَتِلْكَ حُدُودُ اللَّهِ يُبَيِّنُهَا لِقَوْمٍ يَعْلَمُونَ ( 230 ) 
"ถ้าหากเขาได้หย่านางอีก(ครบ 3 เฏาะล๊าก)  นางก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขาหลังจากนั้น จนกว่าจะแต่งงานกับสามีอื่นจากเขา แล้วหากสามีนั้นหย่านาง ก็ไม่มีบาปใด ๆ แก่ทั้งสอง ที่จะคืนดีกันใหม่ หากเขาทั้งสองคิดว่า จะดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์ได้และนั่นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ทรงแจกแจงมันอย่างแจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้ดี" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ 2:230)

ตามบทบัญญัติศาสนาดังกล่าว จึงทำให้ชายผู้เป็นสามีที่บอกเลิกหย่า จนครบ 3 เฏาะล๊าก ไม่สามารถกลับมาคืนดีกับหญิงผู้เคยเป็นภริยาได้ และกลัวว่าจะไม่มีชายใดมาสู่ขอหญิงที่ตนบอกหย่าขาด หรือไม่ยอมให้ชายใดมาแตะต่องนาง แต่ต้องการให้เข้าเงื่อนไขอิสลาม จึงหาช่องทางเพื่อกลับคืนดีกับภริยาของตน จึงไปว่าจ้างชายอื่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาเป็นสามีคนใหม่  โดยอาจมีข้อตกลงเงื่อนไขไว้ว่า ห้ามสัมผัสนาง ห้ามหลับนอนและมีเพศสัมพันธ์กับนาง หรือเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับนางครั้งหนึ่งก็ให้บอกหย่านางทันที เป็นต้น และหลังจากได้เสียกันแล้ว หรือไม่มีการการเสียตัวกับสามีคนใหม่เลยก็ตาม ก็ให้หย่านางเพื่อที่ตนจะได้แต่งงานหลังจากการหย่าร้างของคนที่ถูกจ้างเมื่อครบอิดอะฮฺ  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า แต่งงานกันหลอกๆ หรือเล่นๆ นั้นเอง ชายผู้ที่ถูกจ้างให้เป็นสามีคนใหม่ของนางนี้แหละ ที่เขาเรียกว่า จีนอบูตอ หรือ เจ๊กตาบอด หรือที่เรียกในภาษาอาหรับว่า มุฮัลลิ้ลฺ  (مُحَلِّلٌ)  ส่วนผู้รับทำ(ฝ่ายภริยาที่ถูกหย่า 3 เฏาะล๊าก) เรียกว่ามุฮัลละละฮฺ  ซึ่งดูเหมือนว่าชายที่รับจ้างนั้นต้องเป็นคนที่โง่เง่าเบาปัญญาที่สุดในละแวกนั้น   และการแต่งงานเช่นนี้เรีกว่า นิกาฮฺตะฮฺลีล ซึ่งหูกุมคือฮารอม การแต่งงานดังกล่าวนั้นเสียหาย ใช้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เพราะการที่อัลลอฮฺสาปแช่งนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ไม่อนุมัติในหลักศาสนา คือหญิงคนนั้นก็ไม่เป็นที่อนุญาตให้แก่สามีคนแรกของนาง ถึงแม่ว่าจะได้วางเงื่อนไขที่จะทำให้นางเป็นที่อนุมัติขณะทำอะกัด(สัญญา)ก็ตาม ตราบที่เขามีความตั้งใจอย่างนั้น เพราะการพิจารณานั้น ถือตามเป้าหมาย และการตั้งเจตนา(เหนียต)

หลักฐานการนิกาฮฺตะฮฺลีล (จีนอบูตอ หรือ เจ๊กตาบอด) เป็นที่ต้องห้าม

รายงานจากอบีฮุร็อยเราะฮฺ รอฎีญัลลอฮุอันฮุม ว่า แท้จริงท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"อัลลฮฺได้ทราบแช่ง มุฮัลลิ้ล (ผู้ทำจินอบุตอ) และมุฮัลละละฮฺ (ผู้รับทำจินอบุตอ)"(บันทึกหะดิษโดยอะหฺมัด ด้วยสายรายงานที่ดี)

รายงานจากอิบนุ อับบาส รอฎีญัลลอฮุอันฮุม  เล่าว่า
แท้จริงท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถูกถามเกี่ยวกับ มุฮัลลิล ท่านตอบว่า "ใช้ไม่ได้ นอกจากเป็นการแต่งงานที่เกิดจากความปรารถนา ไม่ใช่แต่งงานเล่นๆ และไม่ใช่แต่งงานแบบเหยียดหยามคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงสูงส่ง จนกว่านางจะลิ้มรสน้ำผึ้งของเขา(มีเพศสัมพันธ์)"(บันทึกหะดิษโดยอบูอิสหาก อัลญูซญานี)
รายงานจากอับดุลลอฮฺ บุตรมัสอู๊ด รอฎีญัลลอฮุอันฮุม ว่า
"ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทราบแช่งมุฮัลลิล และมุฮัลละละฮฺ (บันทึกหะดิษโดยอัตติรฺมีซีย์ โดยกล่าวว่า เป็นหะดิษหะซัน เศาะเฮียะฮฺ หะดิษนี้ถูกรายงานมาจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หลายสายรายงาน)

รายงานจากอุกบะฮฺ บุตรเอามิร เล่าว่า แท้จริง ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
"เอาไหม ฉันจะบอกให้พวกท่านทราบถึงก้นที่เช่ามา" เหล่าเศาะหะบะฮฺตอบว่า "เอาสิครับ ท่านรสูลของอัลลอฮฺ" ท่านกล่าวว่า "มันคือมุฮัลลิล ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งมุฮัลลิลและมุฮัลละละฮฺด้วยเถิด" (บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ และอัลฮากิม โดยอบูซุร่ออะฮฺ และอบูฮาติม ได้วิจารณ์ว่า เป็นหะดิษมุรซัล(สายรายสุดที่ตาบีอีน , อัลบุคอรีย์ ไม่ชอบหะดิษบทนี้ เพราะในสายรายงานมีญะฮฺยา บุตรอุษมาน ซึ่งถือเป็นผู้อ่อนหลักฐาน)

รายงานจากท่านอุมัรฺ  รอฎีญัลลอฮุอันฮุม ได้กล่าวว่า
"มุฮัลลิล และมุฮัลละละฮฺ จะไม่ถูกนำมา นอกจากฉันต้องขว้างเขาทั้งสอง" มีผู้ถามท่านถึงเรื่องดังกล่าว ท่านตอบว่า "ทั้งสองคนนั้นเป็นผู้ทำซินา"(บันทึกหะดิษโดยอิบนุลมุนษิร และอิบนุ อบีชัยบะฮฺ และอับดุรร็อซซ๊าก)

ทัศนะของนักวิชาการ

ชายคนหนึ่งได้ถามท่านอิบนุอุมัรฺ ว่า ท่านจะว่าอย่างไรกับหญิงคนหนึ่งที่ฉันแต่งงานกับนาง เพื่อเป็นที่อนุมัติแก่สามีคนเดิมของนาง ซึ่งเขามิได้ใช้ฉัน และไม่ได้ให้ฉันรู้?"
ท่านอิบนิ อุมัรฺ ได้กล่าวแก่เขาว่า "ไม่ได้ นอกจากเป็นการแต่งงานที่เกิดจากความปรารถนาหากท่านชอบนาง ก็ให้เอานางไว้ และหากท่านไม่ชอบนาง ก็ให้ท่านแยกจากนาง และความจริงเราถือว่าการทำอย่างนั้นถือเป็นฆาตรกรในสมัยท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม"
และท่านกล่าวว่า "ทั้งสองยังคงเป็นผู้ทำซินา ถึงแม้เขาจะอยู่ด้วยกันถึง 20 ปีก็ตาม โดยที่เขาทราบดีว่า เขาต้องการให้นางเป็นที่อนุมัติ"

ท่านอบูยูซุป ถือว่า การอะกัด(สัญญา)นั้น เป็นอะกัดที่ชั่ว ใช้ไม้ได้ เพราะมันเป็นการแต่งงานชั่วคราว"

ท่านอิมามชาฟีอี กล่าวว่า "มุฮัลลิลที่ทำให้อะกัดนิกะฮฺเสียนั้น คือ ผู้แต่งงานกับนาง เพื่อให้นางเป็นที่อนุมัติ หลังจากนั้นเขาก็หย่านาง ส่วนการที่ชายคนหนึ่งมิได้ระบุเงื่อนไขในอะกัดนิกาฮฺ การอะกัดนั้น ถือว่าถูกต้องใช้ได้"

อิบนุล ก็อยยิม กล่าวว่า "ไม่มีการจำแนก สำหรับชาวมะดีนะฮฺ และนักวิชาการหะดิษและนิติศาสตร์อิสลาม ในการตั้งเงื่อนไขดังกล่าว ด้วยระบุออกมาเป็นคำพูดแหรือด้วยการตั้งใจ เพราะเป้าหมายของการทำสัญญา (อะกัด) สำหรับพวกเขานั้นเป็นที่ยอมรับ และการกระทำนั้นขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา
...ความจริงแล้ว การแต่งงานนั้นเป็นเพียงพิธีการ และรูปแบบเท่านั้น ถือเป็นการโกหก หลอกลวง ซึ่งอัลลอฮฺมิได้บัญญัติไว้ในศานาและไม่อนุญาตให้แก่ผู้ใด ซึ่งมีแต่ผลเสีย และอันตราย ไม่เป็นที่ซ่อนเร้นแก่ผู้ใด"

ท่านอิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า "ศาสนาของอัลลอฮฺนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากมลทินเกินกว่าการที่จะให้อวัยวะเพศหนึ่งอวัยวะเพศใดเป็นที่ต้องห้าม จนกระทั้งจะต้องมีการเช่ากันเช่นนั้น พระองค์ไม่ทรงชอบการแต่งงาน การผูกพันธ์กับทางครอบครัว หรือการคงอยู่กับสตรี ในกรณีเช่นนั้น การทำให้เป็นที่อนุญาตเช่นนั้น เป็นการฆาตกรรม และการซินา ดังที่บรรดาสาวกของท่านนรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขนานามเอาไว้..."

สรุปว่า
เจ๊กตาบอด หรือจีนอ-บูตอ หรือที่ภาษาอาหรับเรียกว่า มุฮัลลิ้ลฺ คือชายที่ถูกรับจ้างให้เป็นสามีคนใหม่กับหญิงที่ถูกสามีเดิมหย่าครบ 3 เฎาะล๊าก เพื่อให้นางเป็นที่อนุมัติที่จะกลับไปแต่งงานกับสามีคนเดิมหลังจากสามีใหม่ได้หย่าและเลยเวลาอิดดะฮฺแล้ว ซึ่งการแต่งานเช่นนี้เรียก นิกาฮฺตะฮฺลีล ซึ่งเป็นหูกุมต้องห้ามตามบทบัญญัติอิสลาม ซึ่งท่านนบีเปรียบกับก่นที่ถูกเช่า และท่านสาปแช่งการกระทำดังกล่าว การแต่งงานเช่นนี้เป็นการเยียดหยามคัมภีร์ของพระองค์อัลลอฮฺ และทำให้ศาสนาของอัลลอฮฺอันสะอาดบริสุทธิ์เป็นที่เสื่อมเสียเป็นอย่างมาก


والله أعلم بالصواب

ดาวน์โหลด PDF เจ็กตาบอด หรือ จีนอบูตอ...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น