เมื่อชาวซีเรียอยู่ในอุ่มมือของเล่าปิศาจร้ายมาช้านาน พวกเขาได้ประสบกับมรสุมชีวิตมากมาย แต่ไม่มียุคไหนทีมีความโหดเหี้ยมและสร้างสะพรึงกลัวเหมือนในยุคลัทธิชีอะฮฺนุศ็อยรีย์ อะละวีย์อีกแล้ว เพราะมันเป็นการโหมโรงไฟแค้นของลัทธิมาญูซีย์(ลัทธิบูชาไฟ) ความป่าเถื่อนของคริสเตียนยุคโบราณ และความเจ้าเล่ห์เพทุบายของยิวมาผสมผสานในลัทธิเดียวกัน
โดยเฉพาะในยุคฮาฟิศ อะสัด ซึ่งมีความเชื่อตามลัทธิชีอะฮฺนุศ็อยรีย์ ยึดครองอำนาจล้มล้างรัฐบาลซีเรียโดยวิธีรัฐประหาร และตนถูกคัดเลือกเป็นประธานาธิบดีซีเรียตั้งแต่ ปี ค.ศ.1970 และเมื่อนายฮาฟิศเสียชีวิตก็มีนายบัชชาร์ อะสัด ลูกชายสืบทอดอำนาจผู้นำซีเรียจนถึงปัจจุบัน ผลงานของฮาฟิศอะสัด คือความเลวร้ายที่สุดให้แก่ประชาชนชาวซีเรีย ไม่ว่าเป็นการสถาปนารัฐแห่งความน่ากลัว มีการเข่นฆ่า เชือดคอ ปล้นสะดมทั่วทุ่งแห่ง ประชาชนไม่มีความปลอดภัยทางชีวิตและทรัพย์สิน สถาปนาซีเรียกลายเป็นทุ่งสังหารที่เต็มไปด้วยโสกนาฏกรรมอันน่าสยดสยองอันมากมาย อย่างทุ่งสังหารเมืองอิดลิบ ทุ่งสังหารเมืองตัดมุร ทุ่งสังหารสัรมาดา เป็นต้น และความโหยร้ายป่าเถื่อนของผู้นำที่มีความเชื่อตามลัทธิชีอะฮฺนุศ็อยรีย์ ยังสืบทอดเรื่อยมาจนถึงลูกนายบัชชาร์ อะสัด จนถึงปัจจุบัน
ครอบครัวอัลอะสัดผู้นับถือลัทธิชีิอะฮฺนุศ็อยรีย์ในซีเรีย |
นิยามและที่มาของลัทธิอันน-นุศ็อยริยะฮฺ(النصيرية)
อัน-นุศ็อยริยะฮฺ คือ กลุ่มลัทธิบาฏีนิยะฮฺ (คือลัทธิที่เชื่อว่าบทบัญญัติมีทั้งสิ่งที่เปิดเผยและสิ่งซ่อนเร้น และพวกเขาเท่านั้นที่สามารถรับรู้ถึงบทบัญญัติที่ซ่อนเร้น) ซึ่งอุบัติขึ้นในฮิจญ์เราะฮฺศตวรรษที่ 3 ผู้ทำตามแนวทางของกลุ่มนี้ถือเป็นชาวชีอะฮฺที่มีแนวคิดสุดโต่ง ซึ่งเชื่อว่าคุณลักษณะการเป็นพระผู้เป็นเจ้าแฝงตัวอยู่ในตัวท่านอะลีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ดังนั้นพวกเขายึดถือว่าอะลีย์เป็นพระเจ้า
บุคคลที่ก่อตั้งกลุ่มนี้คือ อบูชุอัยบฺ มุหัมหมัด เบ็น นุศ็อยรฺ อัล-บัศรีย์ อัน-นุมัยรีย์ ( เสียชีวิตเมื่อ ปี ฮ.ศ. 270 เขาผู้นี้ทันกับสมัยอิหม่ามชีอะฮฺ 3 ท่านด้วยกัน คือ อะลีย์ อัล-ฮาดีย์ (อิหม่ามคนที่ 10) อัล-หะสัน อัล-อัสกะรีย์ (อิหม่ามคนที่ 11) และมุหัมหมัด อัล-มะฮฺดีย์ (อิหม่ามคนที่ 12 – ผู้ที่ชีอะฮฺอ้างว่าได้หายตัวไปและจะปรากฏตัวอีกครั้งในยุคสุดท้ายของโลก)
อบูชุอัยบฺ อ้างตนว่าเป็นอัล-บาบ (ประตูความรู้) ของอิหม่าม อัล-หะสัน อัล-อัสกะรีย์ เป็นผู้สืบทอดวิชาความรู้ของเขา เป็นที่พึงหรือที่อ้างอิงด้านวิชาการของชาวชีอะฮฺ หลังจากอิหม่าม อัล-อัสกะรีย์ และอ้างว่าคุณสมบัติการเป็นที่อ้างอิงและอัล-บาบยังคงอยู่กับตัวของเขาหลังการสูญหายของอิหม่ามอัล-มะฮฺดีย์
อบูชุอัยบฺ อ้างตนเองว่าเป็นศาสนทูตและรับวิวรณ์(วะหฺยู) จากอัลลอฮฺ และเขาได้เทิดทูนบรรดาอิหม่ามของชีอะฮฺจนเกินเลยถึงขั้นพระผู้เป็นเจ้า อบูชุอัยบฺได้แต่งตั้งมุหัมหมัด เบ็น ญุนดุบ เป็นผู้นำลัทธิต่อจากเขา
ต่อมา อบูมุหัมหมัด อับดุลลอฮฺ เบ็น มุหัมหมัด อัล-ญินาน อัล-ญุนบะลานีย์ (ฮ.ศ. 235-287 ) ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำลัทธิต่อ เขามีถิ่นกำเนิดที่ เมืองญุนบะลา แคว้นเปอร์เซีย เขามีฉายานามว่า อัล-อาบิด อัซ-ซาฮิด และอัล-ฟาริสีย์ เขาได้เดินทางไปยังอียิปต์ และได้แนะนำเชิญชวนแนวคิดของเขาแก่อัล-เคาะศีบีย์
หุซัยนฺ เบ็น อะลีย์ เบ็น อัล-หุซัยนฺ เบ็น หัมดาน อัล-เคาะศีบีย์ เกิดเมื่อปี ฮ.ศ. 260 เป็นชาวอียิปต์โดยกำเนิด เขาได้เดินทางออกจากประเทศอียิปต์มายังเมืองญุนบะลาพร้อมกับอาจารย์ของเขา อับดุลลอฮฺ เบ็น มุหัมหมัด อัล-ญุนบะลานีย์ ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำหลังจากการเสียชีวิตของอาจารย์ เขาได้อาศัยอยู่ภายใต้อาณัติของอาณาจักรอัล-หัมดานิยะฮฺ ที่เมืองหะลับ (Aleppo) ผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ได้จัดตั้งศูนย์กลางแนวคิดอัน-นุศ็อยริยะฮฺจำนวน 2 แห่ง คือ ที่เมืองหะลับ โดยมีมุหัมหมัด อะลีย์ อัล-ญะลีย์ เป็นหัวหน้าศูนย์ และที่กรุงแบกแดด (Bagdad) มีอะลีย์ อัล-ญะสะรีย์ เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ
อัล-เคาะศีบีย์ ได้เสียชีวิต ณ เมืองหะลับ สุสานของเขาเป็นที่รู้จักของชาวเมืองเป็นอย่างดี เขาผู้นี้มีงานเขียนมากมายเกี่ยวกับแนวทางของเขา ตลอดจนมีบทกวีที่ชื่นชมวงศ์วานของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เขาผู้นี้เชื่อมั่นในทัศนะการว่ายเวียนตายเกิดของมนุษย์ ศูนย์กลางอัน-นุศ็อยริยะฮฺ ณ กรุงแบกแดดได้ล่มสลายหลังจากการรุกรานของกองทัพฮูลากู (Hulagu Khan) ส่วนศูนย์กลางอัน-นุศ็อยริยะฮฺ ณ เมืองหะลับ ได้ย้ายไปยังเมือง อัล-ลาซิกิยะฮฺ (Lattakia) โดยมีหัวหน้าศูนย์คนใหม่คือ อบูสะอัด อัล-มัยมูน สุรูร เบ็น กอสิม อัฏ-เฏาะบะเราะนีย์ (ฮ.ศ. 358-427) ชาวเคิร์ดและชาวเติร์กได้รุกรานพวกอัน-นุศ็อยริยะฮฺอย่างรุนแรงทำให้พวกเขาต้องร้องขอความช่วยเหลือจากอัล-อะมีรฺ หะสัน เบ็น ยูซุฟ อัล-มักซูน อัส-สินญารีย์ (ฮ.ศ. 583-638) เจ้าเมืองสินญารฺ (อยู่ทางตอนเหนือในประเทศอิรักติดพรมแดนประเทศซิเรีย) ทำให้เกิดการปะทะในพื้นที่ถึงสองครั้ง ซึ่งในครั้งแรกกองทัพอัน-นุศ็อยริยะฮฺประสบกับความล้มเหลว ส่วนในครั้งที่สองพวกเขาประสพความสำเร็จเอาชนะศัตรูที่มารุกรานได้ ซึ่งทำให้ลัทธิอัน-นุศ็อยริยะฮฺได้ปักหลักในพื้นที่เทือกเขาอัล-ลาซิกิยะฮฺอย่างถาวร
ในประวัติศาสตร์ลัทธินี้รู้จักกันในนาม อัน-นุศ็อยริยะฮฺ ซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมของกลุ่มนี้ แต่ครั้งเมื่อมีการก่อตั้งพรรคการเมืองหนึ่งในซีเรีย ชื่อว่าพรรคอัล-กุตละฮฺ อัล-วะเฏาะนิยะฮฺ (The National Bloc Party) พรรคการเมืองนี้มีเป้าหมายที่จะดึงพวกอัน-นุศ็อยริยะฮฺมาเป็นสมาชิก พวกเขาจึงตั้งชื่อลัทธินี้ใหม่ว่า กลุ่มอัล-อะละวิยีน ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกใจพวกเขาเป็นอย่างมากและใช้ชื่อนี้จนถึงปัจจุบัน อาณานิคมฝรั่งเศสได้สถาปนารัฐหนึ่งให้แก่พวกเขาโดยตั้งชื่อว่ารัฐอัล-อะละวิยีน ตั้งแต่ ค.ศ.1920 - ค.ศ. 1936
ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นผู้นำซีเรียลัทธินุศ็อยริยะฮฺกับผู้นำอิหร่านชีอะฮฺอิมามสิบสอง |
มุหัมหมัด อามีน ฆอลิบ อัฏ-เฏาะวีล เป็นบุคคลสำคัญของกลุ่มอัน-นุศ็อยริยะฮฺ เป็นผู้นำกลุ่มสมัยการล่าอาณานิคมฝรั่งเศสเหนือประเทศซิเรีย เขาผู้นี้ได้แต่งหนังสือ ตารีค อัล-อะละวิยีน ซึ่งกล่าวถึงประวัติศาสตร์และความเป็นมาของกลุ่มอัน-นุศ็อยริยะฮฺ
สุไลมาน อัล-อะหฺมัด ดำรงตำแหน่งสำคัญทางศาสนาสมัยอาณาจักรอัล-อะละวิยีน เมื่อปี ค.ศ. 1920
พวกอัน-นุศ็อยริยะฮฺ หรือ อัล-อะละวิยะฮฺสามารถแทรกซึมเข้าแฝงตัวในองค์กรและสมาคมต่างๆในซิเรีย และพวกเขากลายเป็นผู้มีอิทธิพลในรัฐบาลซิเรียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับชาวซุนนะฮฺ จากนั้นพวกเขาได้รวบรวมอำนาจจากแนวคิดสังคมนิยม ชาตินิยม และแนวคิดพรรคบาธ (Ba’ath Party-ฟื้นฟูสังคมนิยมอาหรับ) ด้วยการก่อปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1971 นับตั้งแต่บัดนั้นซิเรียก็ถูกปกครองโดยพวกอัล-อะละวิยีน(อัน-นุศ็อยริยะฮฺ) ภายใต้การนำของประธานาธิบดีฮาฟิซ อัล-อะสัด ซึ่งต่อมาบุตรชายของเขาบัชชารฺ อัล-อะสัด สืบทอดอำนาจหลังการเสียชีวิตของผู้เป็นบิดา
หลักความเชื่อของลัทธิอัน-นุศ็อยริยะฮฺ(Nosairis)
-นับถืออะลี เป้นพระเจ้า พวกเขายังเชื่อว่าการปรากฏตัวเป้นตัวตนของอาลี เปรียบเสมือนกับการปรากฏตัวของญิบรีลในรูปของมนุษย์
-พวกเขายย่องอับดุลเราะหฺมาน บิน มุลญิม ฆาตกรที่ฆ่าอะลี บิน อบีฏอลิบ เนื่องจากเขาเชื่อว่าคนๆนี้ ได้เปลี่ยนสถานะของอาลีจากมนุษย์ธรรมดาเป็นพระเจ้า และสถานะของความเป็นพระเจ้านี้สามารถสิงสถิตอยู่ในบุคคลอื่นเป็นการเฉพาะด้วย
- การที่พระเจ้าอวตารมาในรูปร่างของอะลีย์ที่เป็นมนุษย์นั้นไม่มีจุดประสงค์ใดนอกจากจะให้บ่าวของพระองค์รูสึกคุ้นเคยกับพระองค์
-พวกเขาเชื่อว่าท่านอาลีได้สิงสถิตอยู่ในดวงจันทร์ บางกลุ่มเชื่อว่าพำนักอยู่ในดวงอาทิตย์
- พวกเขาเชื่อว่าหลังจากที่อะลีย์เสียชีวิตวิญญาณหลุดจากร่างแล้ว วิญญาณนั้นจะสถิตอยู่ในหมู่เมฆ ดังนั้นเมื่อหมู่เมฆพัดผ่านต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า ขอความศานติจงประสบแด่ท่านด้วย โอ้บิดาของท่านอัล-หะสัน และพวกเขายังเชื่ออีกว่าฟ้าร้องคือเสียงของท่านอะลีย์ส่วนฟ้าแลบนั้นคือแส้ของท่านอะลีย์
- พวกเขาเชื่อว่าอะลีย์เป็นผู้สร้างท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และมุหัมมัดได้สร้างสัลมาน อัล-ฟาริสีย์ และสัลมาน อัล-ฟาริสีย์ได้สร้างเด็กกำพร้า 5 คน คือ
1. อัล-มิกดาด บิน อัล-อัสวัด และพวกเขาถือว่าผู้นี้เป็นพระเจ้า เป็นผู้สร้าง และรับหน้าที่ดูแลฟ้าร้อง
2. อบูซัรฺ อัล-ฆิฟารีย์ ถูกมอบให้ดูแลการโคจรของดาวเคราะห์และดวงดาวต่างๆ
3. อับดุลลอฮฺ บิน เราะวาหะฮฺ ถูกมอบให้ดูแลเรื่องลม และถอนวิญญาณมนุษย์
4. อุษมาน บิน มัซอูน ถูกมอบให้ดูแลเรื่องกระเพาะ ความร้อนของร่างกาย และโรคภัยต่างๆของมนุษย์
5. กุนบุร บิน กาดาน ถูกมอบให้ดูแลเรื่องการเป่าวิญญาณสู่ร่างกายมนุษย์
- พวกเขามีคืนหนึ่งที่ปะปนเพื่อสมสู่กันระหว่างชายหญิง เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มอัล-บาฏินียะฮฺ
- พวกเขาให้ความสำคัญกับสุรา ให้ความสำคัญกับต้นองุ่น และพวกเขาจะตำหนิการถอนหรือตัดต้นองุ่น อันเป็นที่มาของสุรา โดยพวกเขาตั้งชื่อสุราว่า อัน-นูรฺ
- พวกเขาละหมาดวันหนึ่ง 5 เวลา แต่ทว่าการละหมาดของเขาจะแตกต่างในจำนวนร็อกอะฮฺ ไม่มีการสุญูด แม้ว่าจะมีการรุกูอฺในบางครั้ง
- พวกเขาไม่ละหมาดวันศุกร์ และไม่ทำความสะอาดด้วยการอาบน้ำละหมาดหรืออาบน้ำยกหะดัษก่อนทำการละหมาด
- พวกเขาไม่มีมัสยิด แต่จะละหมาดตามบ้านของพวกเขา และในการละหมาดพวกเขาจะอ่านบทคาถางมงาย
- พวกเขามีพิธีการคล้ายพิธีการของศาสนาคริสต์ เช่น กุดดาสอัฏ-ฏีบ (ศีลน้ำหอม) กุดดาสอัล-บะคูรฺ (ศีลธูปจากไม้หอม) และกุดดาสอัล-อะซาน
- พวกเขาไม่ยอมรับพิธีหัจญ์ เพราะเชื่อว่าการเดินทางไปทำหัจญ์ที่มักกะฮฺเป็นการปฏิเสธศรัทธาและถือว่าเป็นการเคารพบูชารูปปั้น
- พวกเขาไม่ยอมรับในบทบัญญัติการจ่ายซะกาตตามที่ชาวมุสลิมทั่วไปยอมรับ แต่พวกเขาจะจ่ายส่วยภาษีแก่บรรดาปราชญ์ของพวกเขาด้วยอัตรา 1 ส่วน 5 จากทรัพย์ที่ครอบครองทั้งหมด
- การถือศีลอดในทัศนะของพวกเขาคือการงดเว้นจากการร่วมนอนหลับระหว่างสามีภรรยาตลอดทั้งคืนในเดือนเราะมะฎอน
- พวกเขามีความโกรธเคืองต่อบรรดาเศาะหาบะฮฺอย่างมาก พวกเขาจะสาปแช่งท่านอบูบักรฺ อุมัรฺ และอุษมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม
- พวกเขาอ้างว่า หลักการศรัทธานั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ อัซ-ซอฮิรฺ(เปิดเผย) และ อัล-บาฏิน(เร้นลับ) และพวกเขาเท่านั้นที่รู้เกี่ยวความลับของอัล-บาฏิน เช่น พวกเขาเชื่อว่า อัล-ญะนาบะฮฺ คือการภักดีต่อศัตรูและโง่เขลาต่อความรู้เกี่ยวกับส่วนที่เร้นลับ, อัฏ-เฏาะฮาเราะฮฺ(ความสะอาด) คือ การเป็นปฏิปักษ์กับศัตรูและรู้เกี่ยวกับส่วนที่เร้นลับ, อัศ-ศิยาม(การถือศีลอด) คือ การรักษาความลับที่เกี่ยวข้องกับชาย 33 คนและหญิง 33 คน , อัซ-ซะกาต คือสัญลักษณ์ตัวตนของ สัลมาน , อัล-ญิฮาด (การต่อสู้) คือการสาปแช่งต่อศัตรูและผู้เปิดโปงความลับ, อัล-วิลายะฮฺ (การปกครอง) คือความจริงใจต่อครอบครัวอัน-นุศ็อยรียะฮฺ และเกลียดชังผู้ที่เป็นศัตรูกับอัน-นุศ็อยรียะฮฺ , อัช-ชะฮาดะฮฺ (การกล่าวคำปฏิญาณ) คือการชี้ด้วยวาจาว่า อัยนฺ มีม สีน, อัลกุรอาน คือ บทนำสู่การมอบความบริสุทธิ์ใจต่ออิหม่ามอะลีย์ และสัลมาน ได้ปรากฏตนในร่างของญิบรีลมาสอนอัลกุรอานแก่ท่านนบีมุหัมมัด, อัศ-เศาะลาฮฺ (การละหมาด) คือสัญลักษณ์ของชื่อบุคคล 5 ท่าน คือ อะลีย์ หะสัน หุสัยนฺ มุหฺสิน และฟาฏิมะฮฺ มุหฺสิน คนนี้คือความลับ พวกเขาอ้างว่ามุหฺสินเป็นชื่อลูกของฟาฏิมะฮฺที่แท้ง การกล่าวชื่อทั้งห้าชื่อนั้นถือว่าเป็นการทำแทนการอาบน้ำญะนาบะฮฺ และการอาบน้ำละหมาด
นักปราชญ์มุสลิมเห็นพ้องว่า ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิมแต่งานกับพวกอัน-นุศ็อยรีย์ ห้ามรับประทานสัตว์เชือดของพวกเขา ไม่อนุญาตให้ละหมาดญะนาซะฮฺแก่พวกเขาที่ตาย ไม่อนุญาตให้ฝังศพร่วมกับบรรดาชาวมุสลิม และไม่อนุญาตให้เกณฑ์พวกเขาเป็นทหารประจำการบริเวณชายแดนหรือป้อมปราการต่างๆ
ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวว่า “กลุ่มชนที่เรียกตนว่า อัน-นุศ็อยรียะฮฺนั้น พวกเขาทั้งหมดและพวกอัล-เกาะรอมิเฏาะฮฺ อัล-บาฏินียะฮฺ เป็นพวกที่ปฏิเสธศรัทธาร้ายแรงยิ่งกว่าชาวยิวและคริสเตียนเสียอีก ซ้ำยังปฏิเสธศรัทธายิ่งกว่าชาวมุชริกีน ความอันตรายร้ายกาจของพวกเขายิ่งกว่ากุฟฟารฺที่รุกรานชาวมุสลิมอย่างพวกตะตาร์ (Tatars) และพวกฝรั่ง พวกเขาจะอยู่เคียงข้างศัตรูของชาวมุสลิมเสมอ พวกเขาเคียงข้างกับชาวคริสต์ในการรุกรานมุสลิม ความเจ็บปวดที่รุนแรงสำหรับพวกเขาคือการที่ชาวมุสลิมมีชัยชนะเหนือพวกตะตาร์ เนื่องจากพวกเขาอยู่เคียงข้างตะตาร์ ทุกครั้งที่พวกตะตาร์ยกทัพมารุกรานประเทศมุสลิมและสังหารเคาะลีฟะฮฺ ณ กรุงแบกแดดนั้นหรือกษัตริย์อื่นๆ ของชาวมุสลิมนั้นก็ด้วยความช่วยเหลือสนับสนุนจากพวกอัน-นุศ็อยรียะฮฺ”
วันเฉลิมฉลองของลัทธิอัน-นุศ็อยริยะฮฺ
วันอีด (วันเฉลิมฉลอง) ของพวกเขานั้นมีมากมาย ซึ่งสามารถบ่งบอกว่าหลักการความเชื่อมั่นของพวกเขาได้ ดังเช่นต่อไปนี้
- วันอีด อัน-นัยรูซ คือวันเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ของชาวเปอร์เซีย ซึ่งตรงกับวันที่ 4 ของเดือนเมษายน
- วันอีด อัล-เฆาะดีรฺ
- วันอีด อัล-ฟิรอชฺ การเยี่ยมเยียนในวันอาชูรออ์ ในวันที่สิบของเดือนอัล-มุหัรร็อม เพื่อรำลึกถึงวันเสียชีวิตของอัล-หุสัยนฺที่เมืองกัรฺบะลาอ์
- วันอัล-มุบาฮะละฮฺ หรือวันอัล-กิสาอ์ ในวันที่ 9 ของเดือนเราะบีอุ้ลเอาวัล เพื่อรำลึกถึงการที่ท่านนบี เชิญชวนชาวคริสเตียนนัจญ์รอนมาทำการมุบาฮาละฮฺ (สาบานต่ออัลลอฮฺว่าหากใครพูดเท็จผู้นั้นจะประสบกับความหายนะ)
- วันอีด อัล-อัฎหา พวกเขาจะเฉลิมฉลองในวันที่ 12 ของเดือนซุลฮิจญะฮฺ
พวกเขาเฉลิมฉลองในวันเฉลิมฉลองของชาวคริสต์ด้วย เช่น อีด อัล-ฆุฏอส อีด อัล-อุนศุเราะฮฺ อีดเซนต์บาร์บารา วันคริสต์มาส วันไม้กางเขน ซึ่งพวกเขานำมาเป็นฤกษ์ในการทำเกษตรและเก็บเกี่ยวไม้ผล อีกทั้งเป็นฤกษ์ในการทำมาค้าขาย และทำสัญญาเช่าหรือให้เช่า
พวกเขาเฉลิมฉลองในวันดะลาม คือวันที่ 9 ของเดือนเราะบีอุ้ลเอาวัล ซึ่งเป็นวันแห่งการสังหารท่านอุมัรฺ เบ็น อัล-ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีต่อการเสียชีวิตของอุมัรฺ และกล่าวด่าประณามท่านอุมัรฺ
รากเหง้าและที่มาของแนวคิด
-นำหลักความเชื่อของพวกบูชาเจว็ดมาผสมผสาน และบูชาดวงดาวต่างๆและเชื่อว่าดวงดาวเหล่านั้นเป็นที่สถิตของอิหม่ามอะลีย์
-ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากปรัชญาเพลโต โดยนำทฤษฎีการทอแสงของรัศมีบนวัตถุ
สร้างหลักความเชื่อบนพื้นฐานของหลักความเชื่อของนักปรัชญาเปอร์เซีย
-รับอิทธิพลความเชื่อจากชาวคริสต์ และชาวคริสต์นิกาย อัล-เฆาะนูศิยะฮฺ (Gnosticism) พร้อมกับศรัทธาต่อไม้กางเขน พิธีกรรมต่างๆ และอนุญาตให้ดื่มสุรา
-รับอิทธิพลความเชื่อเกี่ยวกับการว่ายเวียนตายเกิดจากหลักความเชื่อของชาวอินเดียหรือเอเชียตะวันออก
พวกเขาคือพวกชีอะฮฺที่สุดโต่ง ซึ่งทำให้หลักการและแนวคิดของพวกเขามาจากแนวคิดของชีอะฮฺ ตามทัศนะที่อัร-เราะฟิเฎาะฮฺส่วนใหญ่ยึดถือ หรือตามที่พวกอัส-สะบะอียะฮฺ (กลุ่มของอับดุลลอฮฺ บิน สะบาอ์ ชาวยิว) เป็นการเฉพาะ
สถานที่เผยแพร่แนวคิด
พวกอัน-นุศ็อยรีย์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเทือกเขาอัล-ลาซิกิยะฮฺ และในระยะหลังๆได้แพร่กระจายไปยังทุกพื้นที่ของประเทศซีเรียที่อยู่ใกล้เคียง
และพวกเขามีจำนวนที่ไม่น้อยอาศัยอยู่ในเขตอะนาฎูล (Anatolia-Turkey) ตะวันตก ซึ่งรู้จักกันในนามของกลุ่ม อัล-ตัคตะญิยะฮฺ (al-Takhtajiyah) และ อัล-หัฏฏอบูน (al-Hattaboun)
กลุ่มอัน-นุศ็อยรียะฮฺที่อาศัยอยู่ฝั่งตะวันออกของอัล-อะนาฎูล รู้จักกันในนาม อัล-เกาะซัล บาเชห์ ส่วนในเขตอื่นๆ ของตุรกีและแอลบาเนีย รู้จักพวกนี้นามของกลุ่ม อัล-บิกตาชิยะฮฺ (Bektashiyah)
บางพวกอาศัยอยู่ในเปอร์เซีย และตุรกิสถาน (Turkestan) รู้จักกันในนามกลุ่ม อัล-อะลีย์ อิลาฮิยะฮฺ และพวกเขาบางคนอาศัยอยู่ในประเทศเลบานอนและปาเลสไตน์
والله أعلم بالصواب
วิดีโอภาพอันน่าสยดสยองของลัทธิชีอะฮฺนุศ็อยริยะฮฺต่อชาวซีเีรีย
คลิปนี้พวกนุศ็อยรียะฮฺล้อเลียนการละหมาด
ที่มาของบทความบางส่วน
http://www.saaid.net/feraq/mthahb/35.htm
จากหนังสือ อัล-เมาสูอะฮฺ อัล-มุยัสสะเราะฮฺ ฟี อัล-อัดยาน วะ อัล-มะษาฮิบ โดยสภายุวมุสลิมโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น