อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เมื่อพี่น้องโรฮิงญา ถูกเข่นฆ่า ถูกเผาทั้งเป็น ถูกข่มขืนรุมโทรม และถูกขับไล่จากบ้านเกิด
















ทหารพม่าติดอาวุธชาวบ้านยะไข่ บุกข่มขืนเด็กสาวโรฮิงญาเป็นว่าเล่น

Myanmar government arms non-Muslim civilians in Rakhine. They then raid Rohingya's villages, loot valuable things and rape women.

ทหารพม่าให้อาวุธคนยะไข่ เข้าไปหมู่บ้านมุสลิมโรฮิงญา ยะไข่มีอาวุธ ปืน มีด ดาบ เข้าไปแล้วก็ไปจับผู้หญิง คัดเลือกเอาคนที่อายุ 12-13ปี จากนั้นพวกยะไข่จะพาเข้าขึ้นไปบนบ้าน เอาผ้ามัดปาก แล้วข่มขืนเรียงคิว 3-4 คน จนหญิงสาวบางคนดิ้นตกลงมาจากบ้าน หญิงสาวเหล่านี้ตะโกนร้องไม่ได้เพราะมีผ้ามัดปากอยู่ พวกยะไข่จะมาค้นตัวผู้หญิงอีกหลาย ค้นทุกอย่าง ใครมีตุ้มหู หรือทรัพย์สินของมีค่า อะไรก็เอาไปหมด ถ้าไม่ให้จับไม่ให้ค้นจะทำร้ายร่างกาย เอาด้ามปืนตี พวกยะไข่ค้นบ้านกระจัดกระจาย โยนข้าวของทิ้ง ฉันขึ้นไปพบผู้หญิงที่โดนข่มขืน ชื่อเซตารา อีกคนชื่อซัมโบตานี อายุ 12-13 ปี พ่อชื่ออาบูบาชัร และอีก2คนมีชื่อว่า อาบูฮาชิมลูกสาวเขาก็อายุ 12-13ปีก็โดนข่มขืน เมื่อตอนที่พวกยะไข่ไปแล้ว ฉันคิดว่าผู้หญิงที่ถูกข่มขืนไม่น่ามีชีวิตรอด ก็เลยหนีออกจากบ้าน ผู้หญิงที่โดนข่มขืนอายุ ยังไม่ถึง 15ปีเลย พวกเขามีเลือดออกมาเยอะ บาดเจ็บคิดว่าไม่น่ารอดเลยทิ้งไว้ที่บ้าน

ที่มา
สำนักข่าว White News
https://www.facebook.com/WhiteNewstv/…

.........................
ชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 21 คนจาก 3 ครอบครัวรวมทั้งเด็กทารก ถูกสังหารโหดโดยทหารและตำรวจชายแดนพม่า
เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจชายแดนของพม่าได้บุกโจมตีสังหารโหดประชาชนชาวโรฮิงญาผู้บริสุทธิ์ทั้ง 3 ครอบครัว ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 คน รวมทั้งเด็กทารก ในคืนวันเสาร์ที่12 พ.ย. 59

...........................

สภาพศพชาวโรฮิงญาที่ถูกเผาทั้งเป็น ซึ่งรวมทั้งเด็กๆ และผู้สูงอายุที่ไม่สามารถวิ่งหนีออกมาทัน ขณะที่ทหารพม่าลงมือเผาหมู่บ้าน บอร์ กอซี บิล Yekay Chaung Kwasone (Bor Gozi Bil) ในทางทิศเหนือของหม่องดอว์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 พ.ย. 2559

..........................

ทหารพม่าโหดสุด! กระชากเด็กออกจากอ้อมกอดของคนเป็นแม่ แล้วโยนเข้าไปในกองไฟต่อหน้าผู้เป็นแม่
Rohingya Children burn alive in northern Maungdaw, Myanmar.
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2016 เกิดเหตุขึ้นใน Dha Gyi Zar (ราบาลิยะ) เมื่อทหารพม่าเผาหมู่บ้านชาวโรงฮิงญาอยู่ แล้วได้กระชากเด็กเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่โยนเข้าไปในกองไฟต่อหน้านาง ผู้เป็นแม่หนีตายออกมาเล่าให้ฟังทั้งน้ำตา

..........................
ดุอาอฺ ของเชค อับดุลมะญิด แก่พี่น้องโรฮิงยา
(พี่น้อง ขอให้กล่าวอามีน นะครับ อินชาอัลลอฮ์ อามีน)
เราช่วยพี่น้องเราได้ด้วยดุอาอ ยิวโดนไฟไหม้แล้ว ถึงคิวพม่าอันใกล้นี้ อินชาอัลลอฮ์
บะลาอฺอัลลอฮ์มาโดยไม่ตั้ตัวเสมอ ครับ

https://www.facebook.com/profile.php?id=100000059204170&fref=ts

................................
รายงานจากเมืองมองดอ รัฐยะไข่ ประเทศพม่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 25-11-59 หลังละหมาดญุมอะฮ์ ทหารพม่าเข้าไปในหมู่บ้าน ฮาติฟารา จับหญิงสาว ประมาณ 300 คนรวมกัน บังคับสั่งให้แก้ผ้า ต่อมาให้ถอดฮิญาบ ถอดเสื้อและผ้าถุง สายข่าวรายงานว่าถูกข่มขืนจำนวนยังไม่แน่ชัด แต่มีเสียชีวิต 40คน เป็นเด็กผู้หญิงและวัยรุ่น

นอกจากนี้ไล่ยิงชาวบ้าน จับผู้ต้องสงสัยไป 10 กว่าคนซ้อมและทำร้ายร่างกาย

บทความนักวิชาการ สงครามกับการข่มขืน
http://www.matichon.co.th/news/371889
#ขุนคมคำ

https://www.facebook.com/profile.php?id=100000059204170&fref=ts


วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความสันติ


ขอความสันติจงมีแด่ท่าน และความสันตินั้นจะมีแด่พวกเรา
ขอความสันติไปสู่ยังตัวท่าน และความสันตินั้นจะมาสู่ตัวเราได้เช่นกัน
ขอความสันติจงมีแด่ผู้ที่ได้ตอบรับซึ่งความสันตินั้น และขอความสันติจงมีแด่คนที่ไม่ตอบรับมันเช่นกัน
ความสันติที่มาจากพระนามของพระผู้เป็นเจ้าแห่งผู้ทรงสันติ
พระเจ้าของปวงบ่าวทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ทรงที่พึ่ง
ความสันติที่เราอยู่กับมันตลอดมา
ความสันติที่เคยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้
ความสันติที่เราไม่สามารถมองหามันเหมือนเช่นเคย
ความสันติที่มันไม่สามารถกลับมายังเราได้เช่นเดิม
ความสันติที่เราตามหามัน แต่มันกำลังจะเดินทางไป เพื่อที่จะหนีห่างออกไปจากแผ่นดินของเราอย่างช้า ๆ
สภาพการเป็นอยู่ของความสันติ จะมีการเป็นอยู่ที่แตกต่างกันไป
ไม่ว่าจะเป็นการมอบให้โดยไม่ยินยอม
และการมอบให้โดยยินยอม
ก็เพื่อที่จะหวังการยินยอมจากผู้คน
โดยที่ไม่มีการยินยอมที่เป็นการยินยอมที่แท้จริง (โดยที่ไม่มีอิสลาม)
เปรียบเสมือนว่าอิสลามของบรรพบุรุษเรา
ไม่เหลือค่าและความหมายใด ๆ อีกเลย
พวกท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าทำไม ความสันติถึงได้จากพวกเราไป ?
พวกท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าทำไม ความมืดมนถึงได้อยู่กับพวกเรา ?
เป็นคำตอบที่ง่ายมาก
ก็เพราะว่าพวกเราทั้งหลายเป็นสังคมที่ช่างหวาดกลัว
พวกเราเป็นสังคมที่ช่างหวาดกลัวในความแตกต่าง
คำพูดของฉันในวันนี้
ที่พวกคุณบางคน
หรือจำนวนที่มากกว่านั้น
หรือพวกคุณทุกคนที่ไม่ชื่นชอบเลย
หากแต่ว่าฉันก็จะพูดมันออกมา
ก็เพราะว่าตัวฉันไม่ต้องการความพังพินาศ
พวกเราเป็นสังคมที่คอยปฏิเสธกับความจริง
ก็เพราะว่าพวกเราเป็นสังคมที่ชอบใช้ชีวิตอย่างล้าสมัย
พวกเราเป็นสังคมที่คอยจะปาวประกาศให้ดัง ๆ
เพื่อให้ตัวเขาถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่มีความคิดที่หลากหลาย
พวกเราเป็นสังคมที่มัวแต่คิดในเรื่องยศหรือตำแหน่ง
เพื่อให้ตัวเขาถูกขนานนามว่าเป็นสังคมที่มีอุดมการณ์และสติปัญญา
โอ้ ความพังพินาศของฉัน สังคมของฉันกำลังติดโรคเรื้อนอะไรอยู่นี่ ?
การยอมรับของพวกเราในสิ่งที่ไม่เหมือนกันนั้น
ไม่มีเลย
เว้นแต่ภายนอกเท่านั้น
ความแตกต่างในหลากสี ทำให้เราต้องเจ็บปวด
ความแตกต่างของเรือนร่าง ทำให้เราต้องเจ็บปวด
ความแตกต่างในความคิดเห็น ก็ต้องทำให้เราต้องเจ็บปวด
ความแตกต่างในศาสนา ก็ยังทำให้เราต้องเจ็บปวด
แม้กระทั่งความแตกต่างเพศ ก็ยังทำให้เราต้องเจ็บปวด
ฉะนั้น
เราควรพยายามลบทุก ๆ ความแตกต่างที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่พวกเรา
พวกเราจึงได้ทำการเปลี่ยนแปลงสังคมบางส่วนที่ไม่ดี
พวกเราคือสังคมที่โง่เขลาที่สุด
ใช่แล้ว
พวกเราคือสังคมที่โง่เขลาที่สุด
พวกเรากำลังดูถูกกันและกัน
พวกเรากำลังสำราญสร้างในสิ่งที่ไม่ดีอยู่
พวกเรากำลังทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
และพวกเราก็ชอบปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา
เพื่อที่จะค้นหาความเป็นจริง
และฉันไม่อาจชำระคน ๆ หนึ่งให้สะอาดและบริสุทธิ์ได้
และฉันก็ไม่อาจชำระประชาชนคนธรรมดาและผู้นำทุกคนได้
และฉันก็ไม่อาจชำระผู้คนที่อ่อนแอในประเทศชาติที่เงียบสนิทได้ (จากความดี)
และไม่มีใครมาขนานนามเราว่าเป็นผู้ให้ความบริสุทธิ์แก่ผู้คน
ไม่มีใครที่เลือกจะตามยุโรปเหมือนคนตาบอด
และไม่มีใครต้องการระบบการปกครองที่ต่ำทราม ที่คอยจะตัดแขนตัดขาของผู้คน
พวกท่านจงปล่อยให้เราพยายามทำกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราในวันนี้เถิด
พวกท่านจงปล่อยให้เราโอบกอดจิตใจของเราเถิด
พวกท่านจงปล่อยให้เราโอบกอดจิตใจของคนที่มีความแตกต่างกับเราเถิด
นี่ไงตัวฉัน
ที่กำลังยืนอยู่หน้าพวกท่านทั้งหลาย
ด้วยสีของฉัน
ด้วยเส้นผมของฉัน
ด้วยบทกวีของฉัน
ด้วยชนชั้นของฉัน
และด้วยความคิดของฉัน
ฉัน ไม่กลัวพวกท่าน
ฉัน ไม่กลัวความแตกต่างของพวกท่าน
ก็เพราะว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งจากพวกท่าน
และพวกท่านก็เป็นส่วนหนึ่งจากฉันเช่นกัน
ฉะนั้น
จงปล่อยให้พวกเราสร้างศิลปะเถิด
จงปล่อยให้เราสร้างความใฝ่ฝันที่ดีเถิด
เพื่อให้เราได้ยืนอยู่บนความรูู้ที่ดี ที่ปราศจากจากความอวิชชา
เพื่อให้เกิดความอ่อนโยนระหว่างพวกเรา
และนี่แหล่ะคือการปกครองที่ดีที่สุด
ฉะนั้น
จงปล่อยให้พวกเราละลายชื่อเสียง
ระดับ
อำนาจ
ความคิด
สี
และศาสนา
และเราไม่อยากจะเห็นสิ่งใด ๆ อีกต่อไป
เว้นแต่เขาคือ อินซาน (มนุษย์)
.
กล่าวโดย : นักกวีอะนีส ชูชาน

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อิหร่าน (ชีอะห์) คือเพื่อนรักของอิสราเอล (ยิว) .



“อิหร่าน คือเพื่อนรักของอิสราเอล และเราไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงจุดยืน ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับกรุงเตหะราน” คุณอาจไม่เชื่อว่านี่คือคำพูดของ นายยิตซัค ราบิน อดีตนายกรัฐมนตรีของอิสราเอล
อิหร่าน (ชีอะห์) และ อิสราเอล (ยิว) สองประเทศที่เบื้องหน้าดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด แต่ภายใต้เรื่องราวความเกลียดชังและความวุ่นวายทั้งหมดยังมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ของการร่วมมือกัน หรือแม้กระทั่งมิตรภาพต่อกันในเมื่อครั้งอดีต
คลิปนี้เป็นบันทึกการพูดของนาย Trita Parsi บนเวที TED Talk ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความยุ่งเหยิงและความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล แถมยังโยงไปถึงสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง
Trita Parsi เป็นนักวิเคราะห์การเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายอิหร่าน ที่มักเปิดมุมมองใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่าง อิสราเอล อิหร่าน และสหรัฐอเมริกา
.
ชมคลิปดังกล่าว : https://goo.gl/mNKUEE

บรรดาผู้ที่ปรับปรุงแก้ไข



بسم الله الرحمن الرحيم

หากท่านพูดถึงเรื่องเตาฮีด ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มตั้งภาคี
หากท่านพูดถึงเรื่องซุนนะฮฺ ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มบิดอะฮฺ
หากท่านพูดถึงหลักฐานและเหตุผล ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มทียึดติดคลั่งไคล้กับมัศฮับ กลุ่มซูฟี และกลุ่มที่เขลาเบาปัญญา (ไม่เอาศาสนา)
หากท่านพูดเรื่องการเชื่อฟังผู้นำโดยสมควรปฏิบัติต่อเขาอย่างดี พร้อมกับขอดุอาและตักเตือนพวกเขา และสิ่งที่อะฮฺลิสซุนนะฮเชื่อมั่น ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มคอวาริจ และพวกกลุ่มก้อนการเมือง
และหากท่านพูดถึงอิสลามที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิต ~ ท่านก็จะขัดกับกลุ่มที่แบ่งศาสนาออกจากการปกครอง และกลุ่มที่คล้ายๆกับพวกเขา ที่ต้องการแยกศาสนาออกจากการใช้ชีวิต
~~ ช่างแปลกเหลือเกินสำหรับอะฮฺลิสซุนนะฮฺ!!!
🕯พวกเขาสู้รบกับเรารอบด้าน
🕯พวกเขาสู้รบกับเราผ่านสื่อที่มาจากการฟัง(วิทยุ) สื่อที่เราดู (โทรทัศน์,อินเตอร์เน็ต) และที่ถูกบันทึก (หนังสือ)
ถึงกระนั้นก็ตาม..เราก็ยังมีความสุขกับเรื่องแปลกนี้อยู่ดี และเราก็ยังภาคภูมิใจอีกด้วย
นั่นเป็นเพราะว่าท่านร่อซู้ล ﷺ ได้ชมเชยคนแปลกหน้านี้ไว้ว่า:
🌧"แท้จริงศาสนาอิสลามได้เริ่มขึ้นอย่างคนแปลกหน้า
🌧และจะกลับอย่างคนแปลกหน้าเช่นเดียวกับที่ได้เริ่ม
🌧ขอแสดงความยินดีกับคนแปลกหน้า (อัลลอฮฺได้เตรียมสวรรค์และความสุขไว้สำหรับพวกเขา)
🌧มีคนถามว่าพวกเขาคือใครกันครับท่านร่อซู้ล?
🌧ท่านตอบว่า: คือบรรดาผู้ที่ปรับปรุงแก้ไขขณะที่มนุษย์ต่างก็สร้างความเสื่อมเสีย"

✍🏻️ เชค อัลบานีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ)
📋 อัซซิลซิละฮฺ อัศศอฮีฮะหฺ -السلسلة الصحيحة/ ١٢٧٣ -

เพราะเหตุใดมุสลิมจึงกล่าวคำว่า "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" ไม่ได้ ?


ไขข้อข้องใจ เพราะเหตุใดมุสลิมจึงกล่าวคำว่า
"ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" ไม่ได้ ?

"ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป"

ซึ่งคำว่า "ชาติ" ในที่นี้ หมายความว่า การกำเนิด ในประโยคนี้ จะมีนัยความหมายว่า ขอตามไปเป็นผู้ที่ได้รับใช้ท่านในทุกครั้งที่ท่านได้เกิดขึ้นไม่ว่าจะกี่รอบก็ตาม

แต่ทว่าในอิสลามของเรามีหลักความเชื่อในเรื่องการเกิด การเสียชีวิต ที่ชัดเจน เราเชื่อว่าเรานั้นเกิดมาเพื่อการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และต้องเสียชีวิตลง และจะถูกฟื้นคืนชีพในวันกิยาะมะฮฺอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะได้สอบสวนการงานต่างๆของเราที่ได้กระทำไว้ในโลกนี้ และหลังจากนั้นจะเดินทางสู่โลกอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งจะเป็นสวรรค์หรือนรกนั้นก็ขึ้นอยู่กับการงานที่ได้ปฏิบัติไว้ในโลกนี้

สรุปให้เข้าใจง่ายๆก็คือเราเกิดแค่ครั้งเดียวและตายเเค่ครั้งเดียว และจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาในวันกิยามะฮฺ(วันสิ้นโลก)อีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือในศาสนาอิสลามไม่ยอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีเพียงเเค่ลักษณะที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นเท่านั้น ดังนั้นนี่คือสิ่งที่มุสลิมจะต้องศรัทธาเเละเชื่อมั่นให้เป็นไปตามนี้ทุกประการ

ซึ่งต่างกับความเชื่อของชาวพุทธอย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า เกิดมาในโลกนี้เมื่อสิ้นอายุไขแล้วก็จะตายจากไป และจะเกิดขึ้นมาอีกในชาติต่อๆไป และตายไปอีก วนเวียนในสภาพนี้ตลอดไปไม่รู้จบ

ดังนั้นจากจุดนี้เราจึงเห็นถึงความแตกต่างทางความเชื่อของอิสลามและศาสนาพุทธในเรื่องอย่างนี้ชัดเจน และไม่มีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันเลย

ฉะนั้นแล้วเมื่อความเชื่อที่ผิดแปลกไปจากอิสลามก็ย่อมไม่ใช่อิสลาม จึงห้ามมิให้มุสลิมมีความเชื่อแบบนี้เป็นขาด เเละหากมุสลิมคนใดที่มีความเชื่อดังกล่าว เขาคนนั้นก็สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมอย่างไม่เป็นที่สงสัย(เพราะการศรัทธาต่อการวันกิยามะฮฺ เเละการฟื้นคืนชีพเพื่อการชั่งน้ำหนักความดีความชั่ว เป็นหลักศรัทธาพื้นฐานของมุสลิมทุกคน)

"เราเเค่พูด เเต่เราไม่ได้เชื่ออย่างนั้น" !!!

ในประเด็นที่มีพี่น้องบางท่านกล่าวว่า"เราพูดเเค่ลมปาก เเต่ในใจเราไม่ได้เชื่ออย่างที่พูด" กล่าวคือคนที่พูดประโยคดังกล่าวเขาพยายามจะสื่อว่า เขาพูดประโยคที่ว่า"ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป"ก็จริง เเต่เขาไม่ได้เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด อีกทั้งเขายังมีความเชื่อเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพอย่างถูกต้องตามหลักการศาสนาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งจากประเด็นนี้บ่งบอกให้เห็นว่าผู้ที่มีความคิดทำนองนี้ เขาไม่เข้าใจในเรื่องขององค์ประกอบหลักของอีหม่าน(การศรัทธา)

จึงขอทำความเข้าใจในประเด็นนี้ว่า การศรัทธาของคนเรานั้นประกอบไปด้วย 3 ประการคือ

1.ศรัทธาจากหัวใจ
2.การกล่าวปฏิญาณยืนยันด้วยคำพูด
3.พฤติกรรมการเเสดงออกทางด้านร่างกาย

ซึ่งทั้ง 3 ประการดังกล่าวนี้ถูกเรียกรวมว่า"อีหม่าน" หรือการศรัทธานั่นเอง ดังนั้นคนที่จะเป็นผู้ศรัทธาต้องมีทั้งสามองค์ประกอบนี้ในตัวของเขาโดยไม่ขาดตกบกพร่องในประการหนึ่งประการใด ดังนั้นเมื่อมีครบทั้งสามประการนี้เมื่อใด เมื่อนั้นเขาถึงจะเป็นผู้ศรัทธาที่ถูกต้อง

เเละเช่นเดียวกัน การที่คนๆหนึ่งจะสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) ก็ใช้องค์ประกอบทั้งสามประการนี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน นั่นคือผู้ใดที่ขาดองค์ประกอบข้อหนึ่งข้อใดไป ถือว่าเขาผู้นั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม ดังนั้นบางคนจึงสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมเพราะหัวใจปฏิเสธ ถึงเเม้ปากและการกระทำจะบ่งบอกว่าเป็นมุสลิมก็ตาม แต่ทว่าในเรื่องของหัวใจเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะตัดสินได้ จึงต้องยกให้เป็นเรื่องระหว่างเขากับอัลลอฮฺ เเต่ 2 ประการที่เหลือนั้น คือคำพูดเเละการปฏิบัติ จะเป็นตัวที่บ่งชี้ถึงสถานภาพความเป็นมุสลิมได้อย่างชัดเจน จึงมีบางคนที่สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับคำพูด หรือบางคนสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับการปฏิบัติ และหลักฐานจากอัล-กุรอานที่ยืนยันว่าการกระทำกับคำพูดจะต้องสอดคล้องกันคือ

وَمِنَ النَّاسِ مَن يَقُولُ آمَنَّا بِاللَّهِ وَبِالْيَوْمِ الْآخِرِ وَمَا هُم بِمُؤْمِنِينَ

ความว่า : จะมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮฺเเละเชื่อในวันอาคิเราะฮฺ หากแต่พวกเขาหาได้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ศรัทธา (อัล-บะกอเราะฮฺ : 8)

จากอายะฮฺนี้คือบุคคลที่ยืนยันเเค่ปากว่าเป็นผู้ศรัทธาเเต่มีพฤติกรรมที่เป็นการปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นผู้ศรัทธา เพราะไม่มีสามองค์ประกอบอย่างครบถ้วน

ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจประเด็นนี้อย่างเเจ่มเเจ้งเเล้ว เราจะเห็นได้ทันทีเลยว่า คำกล่าวที่ว่า "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" นั้นเป็นการกล่าวคำพูดที่เป็นการปฏิเสธศรัทธาอย่างชัดเจนดังที่ได้ชี้เเจงไปแล้วเมื่อตอนต้น เพราะฉะนั้นผู้ที่กล่าวประโยคนี้จึงถูกตัดสินว่าเขาผู้นั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมด้วยกับคำพูด ถึงเเม้ใจของเขาจะไม่ได้เชื่อตามที่เขาพูดออกมาก็ตาม ดังที่เราทราบกันมาเเล้วว่าการที่จะเป็นผู้ศรัทธาต้องมีทั้งสามองค์ประกอบดังกล่าวอย่างสมบูรณ์โดยไม่ขาดตกบกพร่องในข้อหนึ่งข้อใดไป เเละจำเป็นสำหรับผู้ที่กล่าวประโยคดังกล่าวจะต้องเตาบะฮฺ(กลับเนื้อกลับตัว) เเละกล่าวกะลิมะฮฺชะฮาดะฮฺใหม่(กล่าวคำปฏิญาณตนใหม่)

ดังกล่าวข้างต้นนี้จึงเป็นที่เเน่ชัดเเล้วว่าไม่เป็นที่อนุญาตอย่างเด็ดขาดที่มุสลิมจะใช้ถ้อยคำนี้ในการเเสดงความเสียใจ

สุดท้ายนี้เราขอย้ำว่า เราในฐานะชาวมุสลิมเป็นประชาชนคนไทย ที่เกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ต่างมีความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้ไม่น้อยไปกว่าประชาชนที่นับถือศาสนาอื่นๆ เเต่ศาสนาของเราได้วางขอบเขตในการที่จะเเสดงออกถึงความเสียใจเอาไว้ นั่นคือจะต้องไม่มีการตีโพยตีพาย ตีอกชกตัว ทำร้ายตัวเอง เเละข้อห้ามอื่นๆในทำนองดังกล่าวนี้ เเต่เราขอเเสดงออกความเสียใจด้วยกับสิ่งที่ศาสนาอนุมัติเท่านั้น เเละการเเสดงออกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้คือการเจริญรอยตามสิ่งดีงามทั้งหลายที่ในหลวงได้ทรงปฏิบัติไว้เป็นเเบบอย่าง อาทิเช่น การร่วมมือกันในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองไปสู่ความสงบสุขสันติ อันเป็นผลให้ประชาชนมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรืออะไรทำนองนี้ เป็นต้น

วัลลอฮุอะลัม(อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด)

""""""""""""""""""
อิสลามตามแบบฉบับ