อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

จดหมายถึงในหลวง


บทความโดย: มัยมูน สะมะนี

ชีวิตคนเรามีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องราวฝังใจและประทับใจโดยไม่อาจลืม
ฉันเองก็เช่นกัน มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ฉันยังคงจดจำเรื่องราวของมันได้อย่างดีแม้ว่ามันจะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตาม
เมื่อประมาณปี18 ปีก่อน ฉันเป็นนิสิตของมหาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง ที่มีความฝันใน(ตอนนั้น)ไม่ต่างจากเพื่อนๆในคณะว่า อยากเข้าคณะดีๆ เรียนจบเกรดดี
และ อยากได้มีโอกาสรับพระราชทานปริญญาจากในหลวง สักครั้ง
จวบจนจบปีสี่ ความฝันได้บรรลุบางอย่าง อัลฮัมดุลลิลลาห์
จนวันขึ้นทะเบียนบัณฑิต เพื่อยืนยันสิทธิเจ้ารับพระราชทานปริญญา อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกเข้าไปพบ อาจารย์แจ้งให้ทราบว่า
มหาลัยเรามีกฎและระเบียบการแต่งกายชุดครุยว่าห้ามใส่ผ้าคลุมนะ ถ้าหากจะรับปริญญาต้องแต่งกายตามระเบียบของมหาลัยเท่านั้น
คือ แต่งกายตามภาพ (ที่อ.แนบให้ดู) เพื่อความเรียบร้อยและไม่ผิดระเบียบ ระคายเบื้องพระยุคลบาท ตอนนั้นฉันรู้สึก ผิดหวังเล็กๆเลยถาม อาจารย์กลับไปว่า แล้วชุดที่ฉันแต่งมันไม่เรียบร้อยตรงไหน?
ฉันก็เคารพในหลวง และฉันไม่ได้เพิ่งมาคลุมตอนรับปริญญา ฉันใส่มันมาเรียนทุกวันตั้งแต่ขึ้นปีสาม
อาจารย์ได้อ้างว่า ชุดครุยของมหาลัยเป็นชุดพระราชทานและห้ามมีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงหรือเหนือพระเกี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของมงกุฎของพระมหากษัตริย์
อาจารย์อยากให้เธอเอาไปคิดให้ดีนะ
ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ในหลวงจะพระราชทานปริญญาบัตร อาจารย์ไม่อยากให้เธอเสียสิทธิ เพราะหลังจากนี้ท่านจะไม่พระราชทานแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันวิ่งหาอาจารย์ที่ปรึกษาหลายครั้ง ท่านได้ช่วยประสานกับสภามหาลัยแต่ ก็ได้รับคำยืนยันคำตอบไม่ต่างจากเดิม ใกล้ถึงวันซ้อมเพื่อนๆที่จบก็นัดกันไปเช่าครุยถ่ายรูป ฉันเองตอนนั้นลังเล
สุดท้ายตัดสินใจไม่ไปรับหากตัองแลกกับการต้องถอดฮิญาบเพื่อเข้ารับปริญญาทั้งๆ ที่เคย่ฝันมาตลอดอยากเห็นในหลวงสักครั้งในชีวิต
เมื่อถึงวันรับจริงก็ได้มาถ่ายรูปกับเพื่อนๆและครอบครัวช่วงเช้า
พอช่วงบ่าย เพื่อนๆ บัณฑิตต้องเข้าหอประชุมเพิ่อเข้ารับพระราชทานโอวาท ฉันก็ได้แต่นั่งร้องไห้ดูเพื่อนๆผ่านกล้องวงจรปิด ด้านนอก แอบเสียใจที่ไม่ได้สิทธิตรงนั้น
หลังจากสิ้นสุดงานพระราชทานด้วยอัดอั้นปนกับน้อยใจทางมหาลัยตัดสินขอพึ่งพาพระบารมีของพระองค์ท่าน เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถวายฎีกาไปถึงในหลวง ขอพระราชทานอนุญาติให้ผู้หญิงมุสลิมสามารถแต่งกายและปฎิบัติตามความเชื่อของศาสนาที่ตนนับถือ เนื้อหาในจดหมายเขียนเล่าประวัติของฉันพร้อมอธิบายว่า ฮิญาบคืออะไร แนบจดหมายจากมหาลัยที่ชี้แจงว่า ผิดระเบียบเรื่องใส่ฮิญาบ และภาพถ่ายของบัณฑิตของมหาลัยต่างๆที่ถ่ายรูปรับพระราชทานปริญญาพร้อม ฮิญาบ
ตอนที่ส่งไปฉันไม่ทราบว่า จดหมายของฉันจะถึงพระองค์ท่านหรือไม่ แต่ความรู้สึกตอนนั้น อยากให้พระองค์ท่านได้รับรู้ ว่า คนคลุมฮิญาบก็คือ คนไทยและเป็นพสกนิกรของท่าน ที่รักแลจงรักภักดีแก่พระมหากษัตริย์และจะเป็นบัณฑิตที่ดี ซื่อสัตย์และสร้างความดีงามแก่แผนดินนี้และไม่เคยคิดจะสร้างความเสียหายใดๆ
จากนั้น 1 ปี ผ่านไป
ฉันได้กลับไปแสดงความยินดีกับน้องๆ โดยได้ลืมเรื่องจดหมายฉบับนั้นไปเสียสนิท
น้องๆ บัณฑิตได้รับแจ้ง ว่าสมเด็จพระเทพฯ ได้รับสั่งแก่ทางสภามหาวิทยาลัยแห่งนี้โดยพระราชทานอนุญาตให้บัณฑิตที่คลุมฮิญาบสามารถเข้ารับพระราชทานปริญญาได้เหมือนที่อื่นๆ ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น