อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องราวของนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.) กับฮะลีมะฮ์แม่นมของท่าน



ท่านเราะซูล เกิดวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบิอุ้ลเอาวัล ปีช้าง ตรงกับปีคริสตศักราชที่ 570 พระองค์อัลลอฮ์ ได้กำหนดให้เด็กที่เกิดใหม่นี้จะไม่ได้เห็นบิดา ซึ่งบิดาของท่านได้เสียชีวิตก่อนที่ท่านจะเกิด ขณะที่เดินทางไปทำธุระให้กับปู่ที่นครมะดีนะห์ อับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่ได้ให้การช่วยเหลืออามีนะฮ์ มารดาและทารกที่เกิดใหม่เป็นอย่างดี อับดุลมุฏฏอลิบได้ให้การต้อนรับด้วยความยินดีและตั้งชื่อว่า “มุฮัมหมัด”

การให้นม แก่นบีมุฮัมหมัด เป็นธรรมเนียมของชาวอาหรับที่จะส่งเด็กเกิดใหม่ให้ได้รับการเลี้ยงดูตามชนบท เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์และอาหารที่ดี และจะทำให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวอาหรับ ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันเป็นสัญลักษณ์ของชนชาติอาหรับ และพบว่าในทุกๆปีจะมีแม่นมจากชนบทเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อรับจ้างเลี้ยงทารกที่เกิดใหม่ เพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทน

ในปีที่ท่านนะบี เกิด ได้มีแม่นมจำนวนหนึ่งไปรับจ้างเลี้ยงเด็ก แต่เมื่อถูกเสนอให้รับเลี้ยงมุฮัมมัด พวกนางเหล่านั้นต่างปฏิเสธ เนื่องจากการกำพร้าพ่อ ดังที่ฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์ ได้กล่าวไว้ว่า "มารดาหรือลุงหรือปู่ของเด็กคงจะให้อะไรเราไม่ได้มาก" และฮาลีมะฮ์ซะอฺดียะห์เป็นแม่นมที่ไปถึงช้ากว่าใคร เพราะพาหนะที่นางขี่ไปนั้นผอมอ่อนแอ จึงทำให้เดินได้ช้า เมื่อนางไปถึงในเมืองก็พบว่าแม่นมต่างๆเลือกรับทารกที่เกิดใหม่ไปหมด เหลือแต่เพียงมุฮัมมัดเท่านั้นที่ไม่มีใครรับไปเลี้ยง ในตอนแรกนางไม่ต้องการเลี้ยงดูมุฮัมมัด แต่เมื่อนางได้ปรึกษากับสามีแล้ว นางจึงบอกกับสามีว่านางไม่ต้องการจะกลับไปแบบมือเปล่าไม่มีเด็กกลับไปเลี้ยง นางจึงสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่าต้องรับเอามุฮัมมัดไปเลี้ยง ทันทีที่นางให้นมมุฮัมมัดดูด ความประเสริฐได้ปรากฏขึ้นกับฮาลีมะฮ์ นางมีน้ำนมอย่างมากมาย จากที่เคยแห้งหรือเกือบจะแห้ง เช่นเดียวกับแพะของนางที่รังนมของมันแห้งเพราะความผอม ก็กลับมีน้ำนมอย่างมากมาย จึงทำให้นางและสามีได้ดื่มน้ำนมแพะและนอนหลับอย่างสบายในคืนนั้น สามีของนางจึงเข้าใจทันที่ว่าทารกน้อยคนนี้คงมิใช่ทารกธรรมดาแน่ จึงได้กล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า “ฮาลีมะฮ์ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า เราได้รับเด็กที่มีความประเสริฐไว้เลี้ยงดูแล้ว” เช่นเดียวกันพาหนะของนางที่ซูบผอมอ่อนแอ กลับแข็งแรงขึ้นสามารถเดินนำหน้าบรรดาแม่นมคนอื่นๆ จนสร้างความประหลาดใจให้กับพวกนางเหล่านั้นอย่างมาก ทำให้พวกนางถามขึ้นว่า "ฮะลีมะฮ์เกิดอะไรขึ้นกับพาหนะของเธอ ?" นางตอบว่า " ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่า ฉันได้เด็กที่มีศิริมงคลขี่บนหลังของมัน"

ความเป็นศิริมงคลของมุฮัมมัด ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของฮาลีมะฮ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อนางกลับถึงบ้าน หมู่บ้านของเธอในปีนั้นเป็นปีที่มีความแห้งแล้ง ฝูงแกะฝูงแพะที่ออกไปหาหญ้ากินอย่างหิวโหย ก็ต้องกลับมาอย่างหิวโหย เพราะทุ่งหญ้ามีน้อยมาก แต่ว่าแกะของฮาลีมะฮ์ออกไปอย่าหิวโหยแต่กลับมาอย่างอิ่มหนำ

และสามารถให้น้ำนมอย่างมากมาย โดยธรรมเนียมเมื่อครบ 2 ปี แม่นมจะนำเด็กที่รับมาเลี้ยง ไปส่งคืนให้แก่มารดาของเขา แต่ฮาลีมะฮ์และสามีของนางได้นำมุฮัมมัดไปหามารดาของเขามิใช่เพื่อไปส่งคืนให้ แต่ต้องการที่จะไปขอร้องให้อนุญาตเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป เพื่อที่เขาทั้งสองจะได้รับความเป็นศิริมงคลจากมุฮัมมัด อามินะฮ์มารดาของท่านก็ไม่ขัดข้องที่ทั้งสองจะรับเลี้ยงดูมุฮัมมัดต่อไป


 บทความโดย ดร.อัดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น