หลายครั้งที่ผมตกไปอยู่ในบรรยากาศของคนหนุ่มสาวมุสลิม ไม่ว่าในมหาวิทยาลัย ร้านอาหาร หรือร้านขายชา หัวข้อการสนทนาของคนรุ่นใหม่ที่เข้าหูผมจนชาชิน ไม่เป็นเรื่องวงการบันเทิง ก็เป็นวงการกีฬา น้อยครั้งที่จะมีหัวข้อที่มีกลิ่นไอ “อุดมการณ์”
บางครั้งผมได้ยินเสียงสนทนากันถึง “พี่แอ๊ด” [นักร้อง] กันด้วยความชื่นชอบสุดๆ บางครั้งผมได้ยินการสนทนาถึงการซื้อขายนักฟุตบอลบางคนที่ผมต้องบอกตรง ๆ ว่าผมไม่รู้จัก (อาจแก่เกินไป เหมือนที่น้อง ๆ มันว่ากัน) มีบางครั้งผมเห็นมีการซื้อขายเสื้อทีมบอลดังของอังกฤษกันบนโต๊ะที่ผมนั่งกินชากันเลยทีเดียว
ความรู้สึกผมบอกไม่ถูก เมื่อเห็นมุสลิมะฮฺคลุมฮิญาบที่ออกอาการ “กรี๊ด” ใส่ดารานักเรื่องชื่อดัง ตลอดไปจนถึงการวิ่งขอลายเซ็นและขอถ่ายรูปเป็นที่รำลึก แม้กระทั่งได้พบคำถามที่ว่า ขอดุอาอ์ให้บิ๊ก ดีทูบี ให้หายได้หรือไม่ ?
เหตุการณ์ทำนองนี้ทำให้ผมอดคิดไม่ได้เกือบทุกครั้งก็คือ ผมคิดถึง “อิสลาม” หมายถึงผมคิดว่าเด็กหนุ่มพวกนี้มองอิสลามเป็นแบบไหนกัน และทำไมพวกเขาไม่พูดคุยสนทนากันถึงเรื่องอิสลาม อุดมการณ์และวิถีทางอิสลาม รวมทั้งปัญหาของอุมมะฮฺ (ประชาชาติอิสลาม)
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นการแสดงถึงการสูญหายไปของหัวใจที่ภาคภูมิอิสลาม ดังนั้น เรื่องราวต่าง ๆ ที่แสดงถึงความภาคภูมิใจต่าง ๆ ไม่ว่าการกล่าวถึงประวัติศาสตร์ กล่าวถึงนักต่อสู้ทั้งหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดถึงหลักคำสอนในแง่มุมต่าง ๆ ถูกปล่อยให้เป็นที่ว่าง จนถูกแทนที่โดยเหล่าดารานักร้องและดาราลูกหนัง
การปลุกสำนึกแห่งความภาคภูมิใจจึงเป็นเรื่องใหญ่ แต่การปลุกสำนึกนี้เป็นคนละเรื่องกับการปลุกกระแสแบบคลั่งชาติคลั่งเผ่าพันธุ์ เพราะสำนึกในความภาคภูมิใจในอิสลาม เป็นคนละเรื่องกับ “ลัทธิมุสลิมนิยม” แม้คนภายนอกอาจมองดูว่าไม่แตกต่างกันก็ตาม
แต่ความจริงแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง “ลัทธิมุสลิมนิยม” วางอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์ บนความเป็นพวกพ้อง ที่สำคัญวางอยู่บนความอยุติธรรม ตรงกันข้ามความภาคภูมิใจในความเป็นอิสลามนั้น วางอยู่บนปัญญาที่ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าอิสลามคือคำตอบของมนุษยชาติ เป็นอุดมการณ์สากล และเน้นความยุติธรรม
ความภาคภูมิใจในอิสลาม เป็นความมั่นใจในความสมบูรณ์ของคำสอนอิสลาม ในฐานะเป็นระบอบที่พระเจ้าประทานให้เป็นครรลองแก่มนุษย์ ไม่ใช่ผลผลิตที่มนุษย์คิดค้นขึ้น แต่เป็นระบอบที่เป็นธรรมชาติ (ฟิตเราะฮฺ) อันสอดคล้องกลมกลืนกับจักรวาล
เป็นความภาคภูมิใจที่มีต่ออัล กุรอาน ในฐานะคัมภีร์ที่ถูกถ่ายทอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่าต่อเนื่องกว่าพันปี มีการเก็บรักษาไว้ในแบบการบันทึกต่อๆกันมาอย่างเคร่งครัด ดังอัล กุรอานที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกนั้นเป็นฉบับดั้งเดิมเหมือนการอ่านของท่านนบีมุฮัมมัด และมีการเก็บรักษาไว้ด้วยการท่องจำที่ต่อเนื่องกันมา จนถึงทุกวันนี้คาดว่ามีผู้ท่องจำอัลกุรอานได้ทั้งเล่มประมาณเก้าล้านคน
เป็นความภูมิใจในตัวของท่านนบีมุฮัมมัด ผู้ถูกส่งมาเป็น “แบบอย่าง” ให้แก่มนุษยชาติ ด้วยชีวิตที่หลากหลายมิติ เป็นชีวิตที่สะท้อนทั้งรายละเอียดทุกด้านกับความได้สัดส่วนลงตัว และเป็นชีวิตที่ถูกเก็บรายละเอียดด้วยกระบวนการมวลชนในยุคแรก ทั้งการท่องจำวจนะ (หะดีษ) ของท่าน พร้อม ๆ กับการนำไปสู่การปฏิบัติ จนสามารถกล่าวได้ว่า ท่านเป็นคนแรก (และคนสุดท้าย) ที่ถูกบันทึกชีวิตอย่างละเอียดที่สุด
ความภาคภูมิใจนี้สะท้อนให้เห็นในมุสลิมยุคแรก ๆ ผ่านบทกวีบทหนึ่งว่า
... พ่อของฉันคือ อิสลาม
... ไม่มีพ่อคนไหนอีกแล้วที่เหมือน
... ขณะที่คนอื่น ๆภาคภูมิใน เผ่ากอยสฺ หรือตะมีม
แม้ตลอดประวัติศาสตร์ของมุสลิมที่ผ่านมา จะมีรุ่งโรจน์และตกต่ำ มีการปฏิบัติอิสลามอย่างเข้าใจหรือทำตามอิสลามแบบบกพร่อง
แต่อุมมะฮฺหรือประชาชาติอิสลามก็ยังได้สะท้อนถึงความภาคภูมิใจต่ออิสลามได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่สากลที่ประกอบไปด้วยภราดรภาพของมนุษย์หลากหลายผิวพันธ์ภาษา ทั้งในแง่ความรุ่งเรืองในนามอิสลาม และการเข้ามาส่วนร่วมสร้างอุมมะฮฺนี้
ความภาคภูมิใจในคำสอนอิสลาม เป็นความมั่นใจในฐานะคำตอบให้แก่โลกที่กำลังประสบกับปัญหาซับซ้อน ไม่ว่าปัญหาทางจิตใจที่ว้าวุ่นสับสนของปัจเจกชน ปัญหาครอบครัวแตกแยก ตลอดจนถึงปัญหาสังคมที่ปั่นป่วนทั่วโลก
ยิ่งได้เห็นความเสื่อมของอุดมการณ์สมัยใหม่ที่ไม่สุดโต่งไปด้านใดก็ด้านหนึ่งเสมอ ซึ่งไม่เพียงแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ทำให้ผูกปมปัญหาเพิ่มหนักขึ้นไปอีก ก็ยิ่งมั่นใจในคำตอบของอิสลามที่มีต่อปัญหามนุษยชาติ
สิ่งที่ผมบรรยายมานี้เป็นความภาคภูมิใจที่สูญหายไปในหมู่คนหนุ่มสาวมุสลิมจำนวนมาก เป็นสำนึกที่จะต้องปลุกให้ตื่นขึ้นมา ดังที่อุละมาอ์จำนวนมากได้แนะนำเป็นเรื่องเบื้องต้นในการทำงานเพื่อฟื้นฟูอิสลาม
แน่นอนที่สุดว่า การปลุกสำนึกแห่งความภาคภูมิใจในอิสลามนั้น ต้องประกอบด้วยสองส่วน ส่วนแรกคือการทำความเข้าใจอิสลามที่แท้จริง เป็นอิสลามที่มาจากแหล่งกำเนิดที่ถูกต้อง เป็นอิสลามที่ครบถ้วน เป็นอิสลามที่ได้สมดุล ซึ่งสามารถเป็นคำตอบแก่มนุษยชาติได้ อิสลามแบบนี้เท่านั้นก่อให้เกิดความภาคภูมิใจได้
และส่วนที่สองก็คือการนำเสนอเรื่องราวแห่งการต่อสู้เพื่ออิสลามที่ต่อเนื่อง ตั้งแต่คนยุคแรกของอิสลามจนถึงยุคปัจจุบัน เพราะอิสลามที่ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจคืออิสลามที่มีการเสียสละทุ่มเท เป็นอิสลามมีการปฏิบัติในสนามจริง ไม่ใช่อิสลามที่แห้งแล้ว แต่เป็นอิสลามที่มีสีสัน
ความภาคภูมิใจในแบบที่ผมให้ความหมายมาข้างต้นนั้น เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนกล้าแสดงความเป็นมุสลิมออกมา ความภาคภูมิใจนี้เองทำให้เรากล้าละหมาดในห้องทำงานหรือห้องบรรยาย ความภาคภูมิใจนี้เองทำให้มุสลิมะฮฺกล้าใส่ฮิญาบ หรืออย่างน้อยที่สุดก็กล้าที่จะบอกใครๆได้ว่า “ฉันเป็นมุสลิม”
การเรียกร้องคนหนุ่มสาวมุสลิมสู่การปฏิบัติอิสลามในแบบที่ขาดการสร้างความภาคภูมิใจในอิสลาม เป็นการให้ปฏิบัติอิสลามบนฐานของความไม่มั่นใจ โอกาสน้อยมากที่จะทำ หากจะทำก็เหมือนถูกบังคับ และบางครั้งไม่เพียงแต่จะไม่ทำ แต่อาจเป็นเหตุให้เกิดอคติต่อคำสอนอิสลามอีกด้วย
---------
I อัล อัค
Robbanee RobbaniyaLah
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น