อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

สรุปข้ออ้างของผู้ที่ถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนของต่างประเทศ



อีดิ้ลฟิฏรี้ตามจุฬาอิดิลอัฎหาอฺตามซาอุ
.มะห์มูด (ปราโมทย์ศรีอุทัย 
บทที่1 สรุปข้ออ้างของผู้ที่ถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนของต่างประเทศ
อันเนื่องมาจากข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้  ผมได้เคยเขียนวิเคราะห์และอธิบายพร้อมด้วยข้อโต้แย้งข้ออ้างดังกล่าวมาอย่างละเอียดแล้วในหนังสือเรื่อง  เราจะถือศีลอดและออกอีดกันอย่างไร และหนังสือ  อธิบายหะดีษกุร็อยบ์ .. เรื่องศีลอดรอมะฎอนไม่ต้องตามการเห็นเดือนต่างประเทศ  ... 
แต่ก็อาจจะมีผู้อ่านบางท่านที่ไม่เคยได้อ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้  ผมจึงขอสรุปเนื้อหาจากหนังสือทั้ง 2 เล่มดังกล่าว พร้อมด้วยข้อมูลเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย ดังต่อไปนี้ ...
ผู้ที่ถือศีลอดและออกอีดในประเทศไทยด้วยการตามการเห็นเดือนจากต่างประเทศนั้น นอกจากหลักฐานจากหะดีษเพียงบทเดียวแล้ว  บางครั้งพวกเขาจะอ้าง  ข้อมูลมั่ว  และบางครั้งจะอ้าง  ข้อมูลเท็จ  มาประกอบเพื่อหวังว่าจะสร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติของพวกตน ...
ข้อมูลมั่ว  ก็อย่างเช่นการอ้างว่า ในยุคสมัยของท่านศาสดา ยังไม่มีประเทศเหมือนปัจจุบัน  การถือศีลอดและออกอีดโดยยึดหลัก  ประเทศใครประเทศมัน อย่างที่ปรากฏในหะดีษของท่านกุร็อยบ์  และประชาชนส่วนใหญ่ปฏิบัติกันตามคำแนะนำของนักวิชาการซุนนะฮ์จริงๆในปัจจุบันนี้  จึงเป็นสิ่งไม่มีหลักฐาน ...
ข้ออ้างดังกล่าวเป็นข้ออ้างมั่วและไร้สาระ  เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นประเทศต่างๆเคยมีมาตั้งแต่ก่อนยุคท่านศาสดาแล้ว ... 
เพียงแต่อาจจะเรียกกันว่าเป็น  แคว้น  หรือ  อาณาจักร  หรือ จักรวรรดิ .. ไม่เรียกกันว่า  ประเทศ  เช่นปัจจุบันเท่านั้น ...
แคว้นโกศล,  แคว้นมัลละ,  แคว้นกุสินารา เป็นต้น .. ในประเทศอินเดียโบราณก่อนอิสลามร่วม 1122  ปี  ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันก็คือประเทศดีๆนี่เอง  เพราะแต่ละแคว้นเหล่านั้น ล้วนมี  เมืองหลวง  เป็นของตนเองทั้งสิ้น ...  
 مِصْرُ  หรือ อียิปต์ ในยุคสมัยที่ท่านนบีย์มูซา นำชาวบนีย์อิสรออีลหลบหนีออกมาจากเงื้อมมือของฟิรฺอูนก็ดี ... หรือแม้กระทั่ง  อาณาจักรเปอร์เซีย  และ  อาณาจักรโรมัน  ที่ทำสงครามกันในสมัยของท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  จนเป็นที่มาของซูเราะฮ์ที่ 30  คือซูเราะฮ์ อัรฺ-โรม ก็ดี ...
ถ้าไม่เรียกว่า  ประเทศอียิปต์,  ประเทศเปอร์เชีย,  ประเทศโรมัน แล้ว จะให้เรียกว่าอะไรมิทราบ ? ... 
ส่วน  ข้ออ้างเท็จ  ก็คือ ข้ออ้างที่ว่า  สาเหตุที่พวกเขาไม่ยอมถือศีลอดและออกอีดตามการประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรี (และประชาชนส่วนใหญ่ภายในประเทศ)  ก็เพราะตัวท่านจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบันมีพฤติการณ์บางอย่างที่ไม่ถูกต้อง จึงยอมรับเป็นผู้นำไม่ได้ ...
ข้ออ้างดังกล่าวนี้ -- ในประเด็นที่ว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่ถือศีลอดและออกอีดตามสำนักจุฬาราชมนตรีก็เพราะรังเกียจ  พฤติการณ์บางอย่าง  ของตัวผู้เป็นจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบัน  เป็นข้ออ้างเท็จอย่างไม่ต้องสงสัย ... 
ผมไม่มีหน้าที่แก้ต่างให้กับใครในสิ่งที่พวกเขากล่าวหา  แต่อยากจะขอถามว่า
สมมุติว่าถ้าในอนาคต  มีการเปลี่ยนตัวจุฬาราชมนตรีคนใหม่เป็น ชาวซุนนะฮ์ เหมือนพวกเขา,  เป็นผู้ที่มีพฤติการณ์ทุกอย่างโปร่งใส,  มีคุณธรรมศาสนา, และไม่มีข่าวราคีด่างพร้อยเหมือนตัวจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบัน ... 
อย่างเช่นถ้าท่าน ดร.อิสมาอีล ลุฏฟีย์ ได้ถูกเลือกตั้งและถูกแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีคนต่อไป (ขออภัยที่ต้องสมมุติชื่อของท่านในที่นี้.. ซึ่งท่านผู้นี้ก็เป็นชาวซุนนะฮ์,  เป็นนักวิชาการที่เคร่งครัด,  และเป็นผู้รอบรู้เชี่ยวชาญในวิชาการศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง (ยิ่งกว่านักวิชาการบางคนที่พวกเขากำลัง  ตักลีด อยู่ในปัจจุบันหลายเท่า.. จนเป็นที่ยอมรับทั้งภายในและภายนอกประเทศ ... 
ทว่า, ท่านผู้นี้ ยึดหลักการถือศีลอดและออกอีดจากการเห็นเดือนภายในประเทศตามการประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรี ...
อยากรู้นักว่า  พวกเขา – ที่ไม่ยอมถือศีลอดและออกอีดตามท่านจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบันเพราะอ้างความน่ารังเกียจในพฤติการณ์บางอย่างของท่าน  จะยอมถือศีลอดและออกอีดโดยยึดถือการเห็นเดือนภายในประเทศตามท่านจุฬาราชมนตรีคนใหม่ดังที่ตั้งสมมุติฐานมานี้หรือไม่ ? ...
แน่นอน คำตอบก็คือ  ไม่!.. อีกนั่นและ  เพราะหัวเด็ดตีนขาดยังไงพวกเขาก็จะยังคงถือหลัก ยอมตายดาบหน้า  คือ ยืนหยัดถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนของประเทศซาอุฯ ดังที่ได้รับทราบข่าวจากอินเตอร์เน็ตต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ...
การอ้างพฤติการณ์ไม่เหมาะสมของตัวจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบัน จึงเป็นเพียง  ภาพลวงตา  และเป็น  ข้ออ้างเท็จ” ดังกล่าวมาแล้ว ... 
ส่วนที่เป็น หลักฐานจริงๆ ในการปฏิบัติของพวกเขา จะมาจาก “หะดีษเพียงบทดียว .. และจาก  เหตุผลประกอบ  อีก 3 หรือ 4 ประการดังต่อไปนี้ ...  
1. หลักฐานจากหะดีษ  
ได้แก่คำกล่าวของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่ว่า  ---
صُوْمُوْالِرُؤْيَتِهِ،  وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ........              
--- ซึ่งมีความหมายว่า  พวกท่านทั้งหลายจงถือศีลอดเมื่อเห็นเดือนเสี้ยว และจงออกอีดเมื่อเห็นมัน ....  โดยอธิบายว่า  คำว่า  พวกท่าน  ในหะดีษบทนี้เป็นคำสั่งใช้มุสลิมทั่วไปหรือ خِطَابٌ عَامٌّ .. คือไม่จำกัดผู้เป็นมุสลิมว่าจะอาศัยอยู่ ณ ส่วนใดของโลก  เมื่อรับทราบข่าวการเห็นเดือนจากที่ใด ก็วาญิบจะต้องถือศีลอดหรือออกอีดตามการเห็นเดือนนั้น ...
 แล้วผมก็ได้โต้แย้งทัศนะดังกล่าว ด้วยข้อมูลหลายประการซึ่งสรุปได้ดังนี้คือ 
 1. ความเข้าใจดังกล่าว  ขัดแย้งกับความเข้าใจของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ ได้รายงานหะดีษบทนี้ต้วยตัวเอง .. ดังการบันทึกของท่านอัน-นะซาอีย์ หะดีษที่ 2124,  ท่านอัด-ดาริมีย์ หะดีษที่ 1686  และท่านอะห์มัด เล่มที่ 1 หน้า 221 ...
 การที่ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ผู้รายงานหะดีษบทนี้ ปฏิเสธที่จะออกอีดตามการเห็นเดือนของท่านมุอาวิยะฮ์ที่เมืองชาม  แสดงว่าท่านถือว่าคำสั่งใช้ของท่านศาสดาในหะดีษข้างต้น ด้วยคำว่า  พวกท่าน  เป็น خِطَابٌ خَاصٌّ ..  คือเป็นคำสั่งใช้เฉพาะ เมืองใครเมืองมัน .. โดยไม่จำเป็นต้องไปตามการเห็นเดือนของเมืองหรือประเทศอื่น 
 ความเข้าใจของผู้รายงานหะดีษบทใด ย่อมมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือกว่าความเข้าใจของผู้อื่นในหะดีษบทเดียวกัน ดังกฎเกณฑ์ที่ว่า ...

اَلرَّاوِىْ أَدْرَى بِمَعْنَى مَا رَوَى                            
 ผู้รายงานหะดีษใด ย่อมเข้าใจดีที่สุดในความหมายของหะดีษที่เขารายงานนั้น 
เฉกเช่นเดียวกับเจ้าของบ้านหลังใด ก็ย่อมรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในบ้านของตนเองว่ามีอะไรบ้าง .. ดีกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา ...  
ยิ่งกว่านั้น ข้ออ้างของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ที่ว่า .. อย่างนี้แหละที่ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมได้สั่งใช้เรา .. ก็เป็นการยืนยันว่า  หลักการที่ให้แต่ละเมืองดูเดือนเพื่อกำหนดวันถือศีลอดและออกอีดเอง โดยไม่จำเป็นต้องไปตามการเห็นเดือนเมืองอื่นนั้น .. เป็นคำสั่งมาจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
ข้ออ้างของท่านอิบนุอับบาสดังกล่าว จึงเป็นข้อชี้ขาดความขัดแย้งในกรณีนี้ ... 
 2. การมองคำสั่งในหะดีษบทนี้ที่ว่า  พวกท่านจงถือศีลอด ว่า เป็น خِطَابٌ عَامٌّ  แล้วก็ เข้าใจเอาเอง ต่อมาว่า เป็นการอนุญาตให้ถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนต่างประเทศได้อย่างอิสระ ขัดแย้งกับความเข้าใจของ ญุมฮูรฺ และ นักวิชาการซุนนะฮ์ ผู้ได้รับความเชื่อถืออย่างสูงทั้งในอดีตและปัจจุบันจำนวนมาก ...
เพราะญุมฮูรฺและนักวิชาการซุนนะฮ์เหล่านั้น  แม้บางท่านจะมองคำสั่งใช้ให้ถือศีลอดจากคำว่า صُوْمُوْا .. ในหะดีษบทนี้ว่าเป็น خِطاَبٌ عَامٌّ เหมือนดังทัศนะข้างต้น  แต่ก็ไม่มีพวกท่านคนใดที่จะอนุญาตให้มีการถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนต่างประเทศได้อย่างอิสระ .. ดังที่พวกเราบางกลุ่มปฏิบัติกัน ...  
ตรงกันข้าม พวกท่านต่างกล่าวสอดคล้องกันว่า  การถือศีลอดและการออกอีด จะต้อง พร้อม กับผู้นำและประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศของตนเอง .. โดยพวกท่านได้อ้างหะดีษอีกบทหนึ่งมาเป็นหลักฐานยืนยันทัศนะดังกล่าวของพวกท่านตรงกัน นั่นคือหะดีษที่ว่า .. วันถือศีลอด ก็คือวันที่พวกท่าน (ส่วนใหญ่ถือศีลอด,  วันอีดิ้ลฟิฏรี่ ก็คือวันที่พวกท่าน (ส่วนใหญ่ออกอีดิ้ลฟิฏรี่ .............
เพราะฉะนั้น การตามการเห็นเดือนจากต่างประเทศตามทัศนะของนักวิชาการซุนนะฮ์เหล่านี้ก็คือ  ข่าวการเห็นเดือนนั้น จะต้องได้รับการยอมรับ,  และประกาศให้ถือศีลอดและออกอีดจากผู้นำของพวกเราเองเสียก่อน ...
(โปรดดูคำพูดดังกล่าวของท่านอิหม่ามอะห์มัดจากหนังสือ  อัล-มุฆนีย์  ของท่านอิบนุกุดามะฮ์ เล่มที่ 3  หน้า 8,   คำพูดของท่านอบุลหะซัน อัซ-ซินดี้ย์จากฟุตโน้ตในหนังสือ  สุนัน อิบนุมาญะฮ์  เล่มที่ 1  หน้า 531,   คำพูดของท่านอัล-อัลบานีย์จากหนังสือ ตะมามุ้ล มินนะฮ์  หน้า398,   คำฟัตวาของท่านเช็คบินบาส จากหนังสือ  เมาซูอะฮ์ อัล-อะห์กาม อัช-ชัรฺอียะฮ์  เล่มที่ 2 หน้า 21  เป็นต้น...
 3. ความเข้าใจจากหะดีษ صُوْمُوْالِرُؤْيَتِهِ ....  เพียงบทเดียวว่า  วาญิบ  จะต้องตามการเห็นเดือนของต่างประเทศ  ขัดแย้งกับความเข้าใจของนักวิชาการหะดีษที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูงจำนวนมาก อาทิเช่น ท่านมุสลิม,  ท่านอัต-ติรฺมีซีย์,  ท่านอบูดาวูด,  ท่านอันนะซาอีย์,  ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์,  ท่านอิหม่ามนะวะวีย์,  ท่านเช็คมุบาร็อกปูรีย์ เป็นต้น ที่มองเนื้อหาจากหะดีษอีกบทหนึ่งอันเป็นการสนทนาระหว่างท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. และท่านกุร็อยบ์มาประกอบกับหะดีษบทนี้  แล้วสรุปว่า  อนุญาตให้แต่ละเมือง มีสิทธิดูเดือนเพื่อกำหนดวันถือศีลอดและวันออกอีดของตนเองได้ ...
 การอ้างหะดีษบท  صُوْمُوْالِرُؤْيَتِهِ ....  เพื่อเป็นหลักฐานในการถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนจากต่างประเทศ โดยอิสระ ของบุคคลบางคน จึงรับฟังไม่ขึ้น ...
2. การอ้างเหตุผล 
 (1). อ้างเหตุผลว่า การวาญิบตามการเห็นเดือนจากต่างประเทศ เป็นทัศนะของญุมฮูรฺ คือนักวิชาการส่วนใหญ่ใน 3 มัษฮับ คือมัษฮับหะนะฟีย์,  มัษฮับมาลิกีย์ และมัษฮับหัมบะลีย์ ...
 ซึ่งผมก็ได้โต้แย้งเหตุผลข้อนี้ด้วยข้อมูล 3 ประการคือ ...
 ก. หลักฐานของญุมฮูรฺในเรื่องนี้มิใช่อื่นใด  แต่เป็นหะดีษเพียงบทเดียวคือหะดีษ  صُوْمُوْالِرُؤْيَتِهِ ....  ดังที่ได้กล่าวชี้แจงมาแล้วพร้อมด้วยข้อโต้แย้งในตอนต้น  จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายซ้ำอีก ...
 ข. การที่ญุมฮูรฺมีทัศนะว่า วาญิบจะต้องตามการเห็นเดือนจากต่างประเทศนั้น  ญุมฮูรฺได้ กำหนดเงื่อนไข ไว้ว่า  ข่าวการเห็นเดือนจากต่างประเทศ จะต้องถูกต้องตามวิธีการที่วาญิบให้ถือศีลอด .. นั่นคือ จะต้องมีผู้ที่มีคุณธรรมอย่างน้อย 2 คนจากประเทศที่เห็นเดือนมายืนยันต่อ ผู้นำมุสลิมในประเทศของเรา ว่า  ในประเทศของเขามีการเห็นเดือนกันจริง  และผู้นำในประเทศของเรา ก็รับรองการเห็นเดือนนั้นด้วยการประกาศให้ประชาชนในประเทศ ถือศีลอดหรือออกอีดตามข่าวการเห็นเดือนนั้น ...
 เมื่อนั้น  พวกเราจึงจะวาญิบถือศีลอดหรือออกอีดตามการเห็นเดือนของต่างประเทศได้ตามการประกาศของผู้นำในประเทศของเรา ...
แต่ถ้าข่าวการเห็นเดือนต่างประเทศ มาจากแหล่งข่าวธรรมดา  อย่างเช่นจากวิทยุ  โทรทัศน์,  หรืออินเตอร์เน็ต เป็นต้น  ก็ไม่วาญิบ ให้ปฏิบัติตามข่าวการเห็นเดือนนั้น
นี่คือ เงื่อนไขในการตามการเห็นเดือนต่างประเทศของญุมฮูรฺ! ... 
(ดูข้อมูลจากหนังสือ  อัล-ฟิกฮ์ อะลัลมะษาฮิบ อัล-อัรฺบะอฺะฮ์  เล่มที่ 1  หน้า 550,  หนังสือ  อัล-มันฮัลฯ  เล่มที่ 10  หน้า 51,   และหนังสือ  อัล-ฟิกฮุ้ล อิสลามีย์ เล่มที่ 2  หน้า 606  หรือจากหนังสือ วิเคราะห์หะดีษกุร็อยบ์ ของผม หน้า 49-51...
 การตามการเห็นเดือนต่างประเทศของบุคคลบางกลุ่มในประเทศไทยด้วยการอ้างทัศนะของญุมฮูรฺ จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง!   เพราะเป็นการปฏิบัติตามทัศนะญุมฮูรฺเพียงบางส่วน  แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธส่วนสำคัญ คือ เงื่อนไข ที่ญุมฮูรฺได้กำหนดเอาไว้ 
การอ้างปฏิบัติตามญุมฮูรฺดังกล่าวจึงไม่แตกต่างอันใดกับ พฤติการณ์ของพวกยะฮูด ที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงตำหนิในอายะฮ์ที่ 85 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์ว่า ...
          أَفَتُؤْمِنُوْنَ بِبَعْضِ الْكِتَابِ وَتَكْفُرُوْنَ بِبَعْضٍ                             
 พวกสูเจ้าจะศรัทธาแต่เพียงบางส่วนของคัมภีร์นั้น และจะปฏิเสธบางส่วน (ของมันกระนั้นหรือ
 ค. หากจะอ้างการตามทัศนะของญุมฮูรฺในกรณีตามการเห็นเดือนจากต่างประเทศ  พวกเขาก็ควรจะตามญุมฮูรฺในอีกกรณีหนึ่งด้วย  เพราะมีน้ำหนักในด้าน  ปริมาณความเป็นญุมฮูรฺ  และน้ำหนักในด้าน หลักฐาน มากกว่าในกรณีนี้ด้วยซ้ำ ...
 นั่นคือ ในกรณีผู้ซึ่งหย่าภรรยาของตนเองรวดเดียว 3 ครั้ง ...
 เพราะญุมฮูรฺที่ถือว่าการหย่ารวดเดียว 3 ครั้งมีผลบังคับเป็นการหย่าขาด  มิใช่จะมีแค่ 3 มัษฮับ ... 
 แต่ทั้ง 4 มัษฮับ  มีทัศนะตรงกันหมดในเรื่องนี้ ...
 ความเห็นสอดคล้องกันของ 4 มัษฮับ ย่อมมีน้ำหนักมากกว่า 3 มัษฮับแน่นอน ...
 ยิ่งกว่านั้น ญุมฮูรฺทั้ง 4 มัษฮับ  ยังได้อ้างหลักฐานในเรื่องการ  หย่าสาม- ตกสาม ว่า  เป็น  อิจญมาอฺ สุกูตีย์ หรือ มติเงียบ ของบรรดาเศาะหาบะฮ์ทั้งหมดที่ยอมรับการตัดสินหย่าสาม- ตกสาม ของท่านอุมัรฺ อิบนุ้ลค็อฏฏอบ ร.ฎ. โดยไม่มีผู้ใดคัดค้านในเรื่องนี้ ... 
 การอ้าง  อิจญมาอฺ  หรือมติเงียบ ของเศาะหาบะฮ์  ย่อมมีน้ำหนักในด้านความเป็นหลักฐานมากกว่าการอ้าง อิจญติฮาด หรือ การวิเคราะห์ ของนักวิชาการว่า  คำสั่งใช้ด้วยคำว่า  พวกท่าน ในหะดีษ صُوْمُوْا..  เป็น  خِطَابٌ عَامٌّ หรือคำสั่งใช้มุสลิมทั่วไปโดยไม่จำกัดว่าจะอยู่ ณ ที่ใดดังกล่าวมาแล้ว ... 
 แล้วทำไมผู้ที่อ้างว่าตามญุมฮูรฺ (ซึ่งมีแค่ 3 มัษฮับ)ในเรื่องการตามการเห็นเดือนจากต่างประเทศ  จึงไม่ยอมปฏิบัติตามญุมฮูรฺหรือนักวิชาการส่วนใหญ่จริงๆ (คือ 4 มัษฮับในเรื่องการ  หย่าสาม- ตกสาม  ด้วย ? ...
 มิหนำซ้ำ  พวกเขายังคัดค้านและต่อต้านทัศนะญุมฮูรฺในเรื่องการ “หย่าสาม - ตกสาม  อีกต่างหาก ...
 (2).  อ้างเหตุผลว่า จุฬาราชมนตรี ไม่ได้เป็นผู้นำของมุสลิมในประเทศไทย  แต่เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาขององค์พระมหากษัตริย์ในเรื่องของศาสนาอิสลามเท่านั้น ...
การอ้างเหตุผลดังกล่าว  แสดงว่าผู้อ้างไม่เคยเปิดดูข้อกฎหมายเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามในประเทศไทยมาก่อนเลย  ซึ่งผมจะได้นำเอาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาชี้แจงในตอนที่จะถึงต่อไป ...
และในการตั้งสมมุติฐานว่า  ตำแหน่งจุฬาราชในตรี ไม่ใช่ตำแหน่งผู้นำมุสลิมในประเทศไทย  แต่เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า  สำนักจุฬาราชในตรี เป็นองค์กรเดียวในประเทศไทยที่  ได้รับการยอมรับจากชาวไทยมุสลิมมากที่สุด ยิ่งกว่าทุกองค์กร..ในเรื่องการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันถือศีลอดและออกอีด ...
การปฏิบัติตามสำนักจุฬาราชมนตรีในกรณีนี้  จึงเท่ากับเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่ให้คำนึงถึง เอกภาพ ในการถือศีลอดและออกอีด ดังในหะดีษที่ผ่านมาแล้ว ...
 (3).  อ้างเหตุผลว่า  สมมุติถ้าท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.เกิดทันในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารทั่วโลกสามารถรับรู้กันได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์,  ทางวิทยุหรือทีวี,  ทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้น  ท่านก็คงจะต้องยอมรับการเห็นเดือนของท่านมุอาวิยะฮ์ที่เมืองชามมาตั้งแต่ต้นเดือนรอมะฎอนแล้ว ...
การอ้างเหตุผลข้อนี้เป็นเพียง  ความเห็นล้วนๆ ของผู้อ้าง โดยไม่มีหลักฐานจากอัล-กุรฺอ่าน,  จากอัล-หะดีษ  หรือแม้กระทั่งจากทัศนะของนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับท่านใดมาอ้างอิงเอาไว้เลย  ความเห็นดังกล่าวจึงปราศจากทั้ง  คุณค่า  และ ราคา  ใดๆทั้งสิ้นในเชิงปฏิบัติของศาสนา ...
ยิ่งกว่านั้น  การที่ท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.บอกท่านกุร็อยบ์ว่า  สาเหตุที่ท่านปฏิเสธที่จะ  “ออกอีด ด้วยการยึดถือวันเห็นเดือนตอนต้นรอมะฎอนของท่านมุอาวิยะฮ์ที่เมืองชามเป็นเกณฑ์  ตามการถามเชิงแนะนำของท่านกุร็อยบ์ -- นั้น ... 
เพราะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
การอ้างคำสั่งท่านศาสดาของท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.ในเรื่องนี้  จึงเป็นการลบล้างความเห็นดังกล่าวให้กลายเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไปในทันที ...
(4).  อ้างเหตุผลว่า  ดวงจันทร์ของโลกนี้ทั้งโลกมีดวงเดียว  เพราะฉะนั้น เมื่อที่ใดในโลกเห็นจันทร์เสี้ยวของดวงจันทร์ดวงนี้  ก็วาญิบสำหรับมุสลิมทั่วโลกจะต้องปฏิบัติตาม ...
ก็ไม่ทราบว่าผู้อ้างเหตุผลดังกล่าว  คงมองท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ -- ซึ่งปฏิเสธที่จะออกอีดตามการเห็นเดือนของท่านมุอาวิยะฮ์ที่เมืองชาม ด้วยการอ้างคำสั่งของท่านศาสดาดังข้างต้น -- ว่า เป็นคนซื่อบื้อและงี่เง่า, ..จนไม่รู้ว่า  เดือนที่ชาวเมืองชามเห็นในคืนวันศุกร์และชาวเมืองมะดีนะฮ์เห็นในคืนวันเสาร์นั้น  เป็นเดือนดวงเดียวกัน .. กระมัง 
ความจริง เรื่อง  เดือนดวงเดียว .. ไม่ต้องถึงขั้นท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ.หรอกที่จะรู้ ...  
ต่อให้เด็กนักเรียนชั้นประถมก็ยังรู้  เหมือนที่ท่านผู้อ้าง  รู้ นั่นแหละ ...
แต่เมื่อเรารู้ว่าเดือนหรือดวงจันทร์มีดวงเดียว  เราก็ต้องรับรู้ความจริงต่อไปด้วยว่าดวงจันทร์ดวงเดียวนี่แหละ  แต่เวลาการขึ้น-การตกของมัน ในคืนเดียวกัน แต่เป็นคนละประเทศ ในโลกนี้จะไม่พร้อมกัน  ซึ่งจะส่งผลต่อการเห็นจันทร์เสี้ยวในคืนเดียวกันของแต่ละประเทศ ไม่พร้อมกันด้วย ...  
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงกล่าวไว้ในอายะฮ์ที่ 189  ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์ว่า 
 يَسْئَلُوْنَكَ عَنِ اْلأَهِلَّةِ  قُلْ هِىَ مَوَاقِيْتُ لِلنَّاسِ وَالْحَجِّ ..                 
พวกเขาจะถามเจ้าถึงเรื่องเดือนเสี้ยวทั้งหลาย  จงบอกเถิดว่า มันคือสิ่งกำหนดเวลาสำหรับปวงมนุษย์ และเป็นสิ่งกำหนดเวลาทำหัจญ์
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ไม่ได้ทรงกล่าวว่า พวกเขาจะถามเจ้าถึงเรื่อง هِلاَلٌ  หรือ เดือนเสี้ยวดวงเดียว ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งอันเป็นนามเอกพจน์  แต่พระองค์กล่าวว่า พวกเขาจะถามเจ้าถึงเรื่อง اَلأَهِلَّةُ  หรือ เดือนเสี้ยวทั้งหลาย  อันหมายถึงเดือนเสี้ยวในหลายๆตำแหน่ง .. อันเป็นนามพหูพจน์ ...
คำว่า  เดือนเสี้ยวทั้งหลาย  ในโองการบทนี้ นอกจากจะหมายถึงเดือนเสี้ยวในตอนต้นเดือนของแต่ละเดือนแล้ว  ยังบ่งบอกความหมายว่า  ในคืนเดียวกันนั้น อาจจะมีการเห็นเดือนเสี้ยวได้ในหลายตำแหน่งและหลายเวลาจนดูประหนึ่งว่ามันจะมีเดือนเสี้ยวอยู่หลายดวง .. ตามสภาพของกาลเวลาที่แตกต่างกันของแต่ละเมือง,  แต่ละประเทศ  หรือแต่ละทวีป .. อีกด้วย ... 
แม้ว่าข้อเท็จจริง มันจะเป็นเดือนเสี้ยวจากดวงจันทร์ดวงเดียวกันก็ตาม ...
สำหรับในเรื่องของการถือศีลอดและออกอีด  ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งพวกเรา ให้ถือศีลอดและออกอีดด้วยการดู  الْهِلاَلُ  (เดือนเสี้ยว .. ซึ่งท่านอิบนุอับบาส ร.ฎ. ได้อธิบายโดยนัยในหะดีษของท่านกุร็อยบ์ว่า หมายถึงการดู เดือนเสี้ยว ดวงที่ปรากฏขึ้นตอนหัวค่ำที่เมืองหรือประเทศของเราเองเท่านั้น) ...
ท่านศาสดาไม่ได้สั่งว่า  ถ้าไม่เห็น هِلاَلٌ (เดือนเสี้ยว) ดวงที่ปรากฏขึ้นในประเทศของเราเองตอนหัวค่ำ  ก็ให้พวกเราอดหลับอดนอนคอยฟังข่าว  أَهِلَّةٌ หรือเดือนเสี้ยวทั้งหลาย (ที่ปรากฏขึ้นหลายๆตำแหน่งยังเมืองอื่นๆหรือประเทศอื่นๆ...
ตรงกันข้าม ท่านศาสดากลับสั่งว่า  ถ้าไม่เห็น هِلاَلٌ หรือเดือนเสี้ยว .. (ที่ปรากฏตอนหัวค่ำในเมืองหรือประเทศของเราเอง.. ก็ให้เรานับเดือนนั้นให้ครบ  30  วัน ... 
 เพราะฉะนั้น  แต่ละเมือง, แต่ละประเทศ จึงมีสิทธิดู  هِلاَلٌ หรือเดือนเสี้ยว  ดวงที่ปรากฏขึ้นตอนหัวค่ำ ในประเทศของตนเองเพื่อถือศีลอดหรือออกอีดในวันรุ่งขึ้น,  และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องอดตาหลับขับตานอนนั่งเฝ้าโทรศัพท์ตลอดทั้งคืน,  หรือเปิดอินเตอร์เน็ตค้างเอาไว้จนเลยเที่ยงคืน  เพื่อคอยรับฟังข่าวการเห็น أَهِلَّةٌ หรือ “เดือนเสี้ยวทั้งหลาย จากประเทศอื่นใดอีก ... 
นี่คือ  ความสะดวก  ที่อิสลามมอบให้กับพวกเรา ...
แต่พวกเราบางคนกลับสร้างความยุ่งยากให้ตัวเอง .. (และแก่ชาวบ้านธรรมดาๆจำนวนมากด้วยการกำหนดให้พวกเขาถ่างตารอฟังข่าวการเห็นเดือนทางอินเตอร์เน็ตจากประเทศอื่นที่ตนจะแจ้งมา .. ซึ่งนั่นก็คือความยากลำบาก!... 
ทั้งนี้  เพราะกว่าข่าวการเห็นเดือนในตอนหัวค่ำของประเทศอื่น จะถึงมายังพวกเรา  ก็อาจจะเป็นเวลา  5  ทุ่ม, หรือเที่ยงคืน, หรือเลยเที่ยงคืนของประเทศเราไปแล้ว  และมันก็เป็นเวลา  นอนหลับของพวกเราส่วนมากไปนานแล้ว ..
แถมบางครั้งไม่มีข่าวการเห็นเดือนถูกแจ้งมา ก็เลยกลายเป็นการคอยเก้อไปก็มี ...
ดังนั้น  การกำหนดให้ต้องถ่างตาคอยรับฟังข่าวการเห็น أَهِلَّةٌ หรือ เดือนเสี้ยวทั้งหลาย จากประเทศนั้น,  ประเทศนี้,  หรือประเทศนู้นจากทุกๆประเทศมุสลิมทั่วโลก  ทั้งอยู่ใกล้และอยู่ไกล,  จนถึงเวลาดึกดื่นเที่ยงคืน -- จึงเป็นเรื่องยุ่งยากลำบาก และไม่น่าจะเป็นเจตนารมณ์ของท่านศาสดาผู้เปี่ยมเมตตา ในการกำหนดวันเริ่มถือศีลอดหรือวันออกอีดแก่อุมมะฮ์ของท่าน ...
พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ได้ทรงกล่าวไว้ในอายะฮ์ที่ 185 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์ (ก็เป็นโองการที่เกี่ยวกับการถือศีลอดนั่นแหละ)ว่า ..                                          
                           يُرِيْدُ اللهُ بِكُمُ الْيُسْرَ وَلاَ يُرِيْدُ بِكُمُ الْعُسْرَ
       พระองค์อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกเจ้า  และพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า
ระหว่างการปฏิบัติตามเดือนเสี้ยวในประเทศของตนเอง กับการถ่างตารอฟังข่าวเดือนเสี้ยวจากต่างประเทศจนดึกดื่นหรือเลยเที่ยงคืน ... 
อันไหนคือความสะดวก อันไหนคือความลำบาก วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ไม่ยาก ...
ก็อาจจะยังหลงเหลือข้ออ้างอีกข้อหนึ่งของบุคคลบางกลุ่มที่รู้สึกว่า ไม่ค่อยจะเข้าท่า เอาเสียเลย ในการถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนของต่างประเทศ  คือการอ้างว่า เมื่อเรารวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นชมรมใดๆขึ้นมาแล้ว  ก็ควรจะแยกตัวเองเป็นอิสระในการดูเดือนเพื่อถือศีลอดและออกอีดเป็นของกลุ่มเราเอง โดยไม่จำเป็นจะต้องไปปฏิบัติตามการเห็นเดือนของสำนักจุฬาราชมนตรีอีกต่อไป ...
ผมอยากจะขอถามว่า ...
1. การกำหนดวันดูดวงจันทร์ เพื่อถือศีลอดและออกอีดของสำนักจุฬาราชมนตรีในแต่ละครั้ง  ไม่ถูกต้องซุนนะฮ์ในข้อใด พวกท่านจึงปฏิบัติตามไม่ได้ ? ...
2.  การที่พวกท่านต้องการแยกตัวเองออกจากสำนักจุฬาราชมนตรีซึ่งเป็นผู้นำของมุสลิมในประเทศไทยที่ถูกต้องตามหลักการและหลักกฎหมาย  โดยอ้างว่าต้องการ  ดูเดือนเอง  ในการถือศีลอดของกลุ่มตนเองอย่างอิสระนั้น ...  
แน่ใจหรือว่า  หลังจากแยกตัวออกจากสำนักจุฬาฯ แล้ว  กลุ่มหรือชมรมของพวกท่านจะทำการ  ดูเดือนเอง อย่างที่อ้าง ? ... 
แน่ใจหรือว่า  สุดท้ายพวกท่านจะไม่หันไป ตักลีด หรือ หลับหูหลับตา ตามนักวิชาการกลุ่มอื่นที่ สถาปนาตัวเอง เป็น  ผู้นำ  ด้วยการประกาศให้มุสลิมในประเทศไทยถือศีลอดและออกอีดตามการเห็นเดือนในต่างประเทศจากอินเตอร์เน็ต  แข่งกับจุฬาราชมนตรีซึ่งเป็นผู้นำที่แท้จริง  ทั้งๆที่ทุกครั้งท่านจุฬาฯ ก็ได้ออกประกาศให้พวกท่าน ดูเดือน ด้วยตัวของพวกท่านเอง  แล้วแจ้งข่าวไปให้สำนักจุฬาฯ ทราบและท่านก็พร้อมที่จะประกาศยอมรับการ رُؤْيَةٌ   (เห็นเดือนของพวกท่าน ? ...
ผู้นำแท้ สั่งให้พวกท่านดูเดือน  พวกท่านก็ไม่เคยดูและไม่เคย  แม้แต่คิด ที่จะดู ..  กลับคิดแต่จะ  แยกตัว  ออกจากผู้นำแท้เพื่อไป  ตักลีดผู้นำปลอม ลูกเดียว .. ทั้งๆที่สิ่งที่ผู้นำแท้สั่งพวกท่าน คือการดูเดือนนั้น .. ถูกต้องตามซุนนะฮ์! ...
มีหะดีษบทใดและซุนนะฮ์ข้อใดหรือที่อนุญาตให้เรา  ไม่ว่าจะอ้างตัวเองเป็นชาวซุนนะฮ์หรือผู้ที่เรากล่าวหาว่าเขาว่าเป็นพวกบิดอะฮ์  ฝ่าฝืนและแยกตัวเองออกจากการปฏิบัติตาม  คำสั่งที่ถูกต้องและชอบธรรม ของผู้นำ ? ...
3.  ผู้ที่อ้างว่าตัวเองเป็นชาวซุนนะฮ์ แต่ฝ่าฝืน  คำสั่งที่ถูกต้อง ของผู้นำ .. กับผู้ที่ถูกฝ่ายแรกกล่าวหาว่าเป็นพวกบิดอะฮ์  แต่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดต่อ คำสั่งที่ถูกต้องของผู้นำ... 
ใครกันแน่คือผู้ที่กระทำบิดอะฮ์.. และใครกันแน่ที่ปฏิบัติตามซุนนะฮ์ ในกรณีนี้ ??? ...
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมจะงดเว้นจากการกล่าวถึงไม่ได้ก็คือ  การอ่านคุฏบะฮ์ของคอฏีบ(คอเต็บบางท่านที่นำชาวบ้านในมุเก่มของตน นมาซอีดิ้ลฟิฏรี่ปีนี้ ในวันศุกร์ที่ 12  ตุลาคม 2550  ที่ผ่านมา ตามการเห็นเดือนของประเทศซาอุฯ ... 
เท่าที่ทราบมา  คอเต็บบางท่านกล่าวในคุฏบะฮ์วันอีดของตนว่า ผู้ที่ไม่ออกอีดในวันศุกร์ตามซาอุฯ (เหมือนพวกตนเป็นพวกหะหร่าม ...
บางท่านกล่าวว่า ผู้ที่ไม่ออกอีดในวันศุกร์ตามซาอุฯ (เหมือนพวกตนเป็นผู้กระทำสิ่งบิดอะฮ์ ...
ที่รุนแรงที่สุดก็คือ ข้อกล่าวหาของคอเต็บ (ในภาคกลางบางท่านที่ว่า  ผู้ที่ไม่ออกอีดในวันศุกร์ตามซาอุฯ (เหมือนพวกตนเป็นผู้ที่มีสมองแต่ไม่ใช้สติปัญญา,  มีดวงตาแต่ไม่รู้จักมอง,  มีหูแต่ไม่รู้จักฟัง จึงไม่ต่างอันใดกับปศุสัตว์ ฯลฯ ... (ข่าวว่า อ้างโองการที่ 179 จากซูเราะฮ์อัล-อะอฺรอฟ มาประกอบการกล่าวหาด้วย...
ผมขอเรียนชี้แจงว่า ...
ผมไม่เคยเจอว่า ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จะเคยกล่าวหาผู้ที่ไม่ถือศีลอดรอมะฎอนและออกอีดิ้ลฟิฏรี่ตามประเทศซาอุฯ ว่า เป็นพวกหะหร่าม ...
ผมไม่เคยเจอว่า ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จะเคยกล่าวตำหนิผู้ที่ไม่ถือศีลอดรอมะฎอนและออกอีดิ้ลฟิฏรี่ตามประเทศซาอุฯว่า เป็นผู้กระทำสิ่งบิดอะฮ์ ...
และผมก็ไม่เคยเจอว่า ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม จะเคยกล่าวประณามผู้ที่ไม่ถือศีลอดรอมะฎอนและออกอีดิ้ลฟิฏรี่ตามประเทศซาอุฯ ว่า ไม่รู้จักใช้สติปัญญาเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ ... 
แต่, ผมเคยอ่านเจอเพียงว่า ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้เคยกล่าวตำหนิ, และประณามผู้ที่  แยกตัวเองออกจากประชาชนส่วนใหญ่ (ที่ปฏิบัติตามผู้นำในสิ่งถูกต้อง แม้เพียงคืบเดียว  ว่า  เขาจะต้องตายในสภาพของพวกญาฮิลียะฮ์ ... 
    (บุคอรีย์,  หะดีษที่ 7143,  และมุสลิม,  หะดีษที่ 55/1849) ...
นี่คือหลักฐานของผม!...
 แล้วไหนล่ะ  หลักฐานของพวกท่าน ?? ...
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น