อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

วาทะกรรมที่มักได้ยินบ่อยคือ ใครถูกใครผิด อัลลอฮตัดสินเอง


ข้างต้นมาจากคนสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง คือกลุ่มที่อ้างว่า เมื่อนบี ศอ็ลฯไม่ห้ามก็ทำไปเถอะ จึงมี่พิธีกรรมเกิดขึ้นใหม่มากมากมายโดยอ้างกฏข้อนี้ ใครห้ามก็ถูกกล่าวหาว่าสร้างฟิตนะฮ ทำให้คนแตกแยก และกลุ่มที่สองคือกลุ่มโลกสวย ไม่ยากทำตัวให้คนเกลียดจัง ก็มักจะบอกว่า อย่าเสียเวลาทะเลาะกันเล้ย..ใครถูกใครผิดอัลลอฮตัดสินเอง

ความจริงถ้าทุกคนคิดที่จะลอยตัวเหนือปัญหา ไครทำอะไร ใครทำผิด ทำถูก ก็ช่าง เอาไว้ให้อัลลอฮตัดสินเอง การพูดแบบนี้ คนพูดไม่ทราบเลยหรือว่า คนที่จะถูกตัดสินลงโทษด้วยคือ คนที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม

เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า "มุสลิมคือ คนที่อยู่ในเรือลำเดียวกัน

النعمان بن بشير أن النبي قال: ((مَثَلُ الْقَائِمِ عَلَى حُدُودِ اللَّهِ وَالْوَاقِعِ فِيهَا كَمَثَلِ قَوْمٍ اسْتَهَمُوا عَلَى سَفِينَةٍ، فَأَصَابَ بَعْضُهُمْ أَعْلاهَا وَبَعْضُهُمْ أَسْفَلَهَا، فَكَانَ الَّذِينَ فِي أَسْفَلِهَا إِذَا اسْتَقَوْا مِنَ الْمَاءِ مَرُّوا عَلَى مَنْ فَوْقَهُمْ، فَقَالُوا: لَوْ أَنَّا خَرَقْنَا فِي نَصِيبِنَا خَرْقًا وَلَمْ نُؤْذِ مَنْ فَوْقَنَا، فَإِنْ يَتْرُكُوهُمْ وَمَا أَرَادُوا هَلَكُوا جَمِيعًا، وَإِنْ أَخَذُوا عَلَى أَيْدِيهِمْ نَجَوْا وَنَجَوْا جَمِيعًا

รายงานจากอัลนุอฺมาน บิน บาชีร (ร.ฎ) กล่าวว่า “อุปมาผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนกฎข้อห้ามของอัลลอฮ(ปฎิบัติตามกฏข้อห้ามต่างๆของอัลลอฮ) และผู้ที่ได้ตกอยู่ในมัน(ตกอยู่ในการฝ่าฝืนกฎข้อห้ามของอัลลอฮ)อุปมัยดังเช่น กลุ่มชนหนึ่ง พวกเขาได้มีการจับฉลากกันบนเรือลำหนึ่ง แล้วส่วนหนึ่งของพวกเขา ได้(อยู่)ชั้นบนของเรือ และส่วนหนึ่งของพวกเขาได้อยู่ชั้นล่างของเรือลำนั้น แล้วบรรดาผู้ที่อยู่ในชั้นล่างของเรือ เมื่อพวกเขาต้องการดื่มน้ำ พวกก็เดินผ่านผู้ที่อยู่เบื้องบนของพวกเขา ดังนั้นพวกเขา(พวกที่อยู่ชั้นล่าง)จึงกล่าวว่า “ถ้าพวกเราเจาะรูสักรูหนึ่งในส่วนของพวกเรา(เพื่อจะเอาน้ำมาใช้)และพวกเราก็จะไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ที่อยู่ข้างบนของพวกเรา ,ดังนั้น หากพวกเขา(พวกที่อยู่ชั้นบน)ปล่อยให้พวกเขา(พวกที่อยู่ชั้นล่างของเรือ)ทำตามความต้องการของพวกเขา แน่นอนพวกเขาทั้งหมด ก็จะประสบกับความวิบัติ และถ้าหากพวกเขายับยั้งพวกนั้นไว้(ไม่ให้เจาะท้องเรือ) แน่นอน พวกเขาปลอดภัยและพวกเขาปลอดภัยทั้งหมด” - รายงานโดยบุคอรี

----------------------------------

จากเนื้อหาของหะดิษข้างต้น จะเห็นได้ว่า มุสลิมนอกจากจะต้องรับผิดตนเองแล้ว ก็จะต้องรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย กล่าวคือ จะต้องช่วยกันดูแลคนในสังคมให้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของศาสนาและจะต้องช่วยกันห้ามและยับยั้งผู้ที่ละเมิดและฝ่าฝืนข้อบังคับของศาสนา เพราะสังคมมุสลิม เปรียบเสมือนการอยู่ร่วมในเรือลำเดียวกัน หากมีใครสักคนเจาะท้องเรือ โดยไม่มีใครห้ามยับยั้ง ห้ามปราม แน่นอนคนโดยสารที่อยู่ในเรือทั้งหมด ก็จมน้ำตาย ในทำนองเดียวกันหากคนในสังคมได้กระทำการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับของศาสนาและกระทำสิ่งที่ผิด สิ่งที่ส่งผลร้ายให้แก่คนในสังคม แน่นอน อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะเอาผิดคนที่ปล่อยปละละเลยเช่นกัน

อนึ่ง อิสลามคือ ศาสนา ที่มีคำสอนมาจากวะหยูของพระเจ้า คือ อัลกุรอ่าน ผ่านการถ่ายทอดและอรรถาธิบายโดยศาสนทูตคือ มุหัมหมัด ศอ็ลฯ ซึ่งมาในรูปของอัสสุนนะฮ ถ้าสองสิ่งนี้ ยังไม่ได้รับความไว้วางใจในการติดสินว่าใครถูก ใครผิด แต่ต้องคอยให้อัลลอฮตัดสินในวันกิยามะฮอย่างเดียว แล้วศาสนาอิสลามที่นับถือกันอยู่ในดุนยาตอนนี้ จะมีประโยชน์อะไร วัลอิยาซุบิลละฮ

والله أعلم بالصواب

.....................
อะสัน หมัดอะดั้ม




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น