อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

จำเป็นหรือไม่ที่ผู้นำจะต้องเป็น “มะอฺศูม” (ผู้ไร้บาป)

.มะห์มูด (ปราโมทย์ศรีอุทัย 


ในอัล-กุรฺอ่านได้กล่าวถึง ความผิด ของท่านนบีย์อาดัมอะลัยฮิสสลามที่ฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์ซ.บ. ด้วยการไปกินผลไม้ต้องห้าม .. ในอายะฮ์ที่ 36 ซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์ ... 
และในอัล-กุรฺอ่าน ยังได้กล่าวถึง ความพลาด ของท่านนบีย์มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่แสดงความไม่พอใจต่อคนตาบอดที่เข้ามาขัดจังหวะขณะที่ท่านกำลังสนทนากับผู้นำมุชริกบางคน .. จนถูกพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ตำหนิในอายะฮ์ที่ 1-10 ซูเราะฮ์ عَبَسَ  ...
ตัวอย่างเหล่านี้จากอัล-กุรฺอ่าน แสดงว่ามนุษย์ทุกคน ไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งผู้เป็นนบีย์หรือรอซู้ลฯ  จะหลีกเลี่ยงจากความ ผิดพลาด หาได้ไม่ ...
ดังนั้น ในหลักการของอิสลามจึงไม่เคยมีบทบัญญัติไว้ว่า  ผู้นำ จะต้องเป็นมะอฺศูม คือเป็นผู้ไร้บาปและ/หรือจะต้องปราศจากความผิดพลาดโดยสิ้นเชิง ...
นอกจากใน อะกีดะฮ์ ของพวกชีอะฮ์เท่านั้นที่มีกำหนดเอาไว้ว่า อิหม่ามของพวกเขาล้วนเป็นมะอฺศูม .. ซึ่งไม่ถือว่า เป็นอะกีดะฮ์ของอิสลาม ...
เพราะผู้นำ  ไม่ว่าในยุคใดสมัยใด  ก็คือปุถุชนคนหนึ่งเหมือนปุถุชนทั่วๆไป จึงมีโอกาสกระทำความผิดพลาดได้เสมอ ...
ผู้นำระดับคอลีฟะฮ์ของมุสลิมในอดีตหลายท่าน ก็เคยมีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมและถูกประณามว่าเป็นคน  ฟาซิก  จนกลายเป็น  จุดอ่อน  ให้พวกชีอะฮ์นำมากล่าวโจมตีพวกซุนหนี่อยู่จนถึงปัจจุบัน ...
ความจริงผมไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาพูดเป็นการสาวไส้ให้กากิน แต่จำเป็นจะต้องนำข้อมูลเพียงบางส่วนมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเพื่อเป็นหลักฐานคือ ...
(1).  ท่านอัล-วะลีด บินอุกบะฮ์ บินอบีย์มุอีฏ ผู้ซึ่งท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน บินอัฟฟาน ร.ฎ. แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองกูฟะฮ์ในปี ฮ.ศ. 26 หลังจากที่ได้ถอดท่านสะอัด บินอบีย์วักกอฏ ร.ฎ. ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองดังกล่าว ...
มีกล่าวในหนังสือ شَرْحُ الْعَقِيْدَةِ الطَّحَاوِيَّةِ ..  หน้า 422 ว่า ...
    وَكَذَلِكَ عَبْدُاللهِ بْنُ مَسْعُوْدٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ وَغَيْرُهُ يُصَلُّوْنَ خَلْفَ الْوَلِيْدِ بْنِ عُقْبَةَ بْنِ أَبِىْ مُعِيْطٍ، وَكَانَ يَشْرَبُ الْخَمْرَ ....                                                              
ในทำนองเดียวกัน ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุมัสอูด ร.ฎ. และเศาะหาบะฮ์ท่านอื่นๆ ก็ยังเคยนมาซตามท่านอัล-วะลีด บินอุกบะฮ์ บินอบีย์มุอีฏ ทั้งๆที่เขาเป็นคนชอบดื่มสุรา (จนครั้งหนึ่ง เคยนำนมาซซุบห์ถึง 4 ร็อกอะฮ์ก็มี...
(2).  ท่านยะซีด บินมุอาวิยะฮ์ (เป็นคอลีฟะฮ์ท่านที่ 2 แห่งวงศ์อุมัยยะฮ์ .. ครองอาณาจักรชามต่อจากท่านมุอาวิยะฮ์ ร.ฎ. ผู้เป็นบิดาในปี ฮ.ศ. 61-64,  รวมเวลาอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี 8 เดือน...
ท่านอิบนุหะญัร อัล-ฮัยตะมีย์ นักวิชาการฟิกฮ์ผู้โด่งดังแห่งมัษฮับชาฟิอีย์ (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 909-974,  สิ้นชีวิตที่นครมักกะฮ์,  มัยยิตของท่านถูกฝังที่สุสานมะอฺลา) ได้กล่าวในหนังสือ اَلصَّوَاعِقُ الْمُحَرِّقَةُ  เล่ม 2 หน้า 630, 632 ว่า ...
وَاعْلَمْ أَنَّ أَهْلَ السُّنَّةِ قَدِ اخْتَلَفُوْا فِىْ تَكْفِيْرِ يَزِيْدَ بْنِ مُعَاوِيَةَ وَوَلْىِعَهْدِهِ مِنْ بَعْدِهِ،  فَقَالَتْ طَائِفَةٌ : إِنَّهُ كَافِرٌ، ........... وَقَالَتْ طَائِفَةٌ : لَيْسَ بِكَافِرٍ ...                             
 พึงทราบเถิดว่า  แท้จริงชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ได้ขัดแย้งกัน (ขอย้ำว่า ที่ขัดแย้งกันคือชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์,  ไม่ใช่พวกชีอะฮ์ในการหุก่มว่า ท่านยะซีด บินมุอาวิยะฮ์เป็นกาฟิรฺหรือไม่ ? .. และการปกครองของท่านในยุคหลังจากท่านมุอาวิยะฮ์ถูกต้องหรือไม่ ?  บางพวกกล่าวว่า ท่านยะซีดเป็นกาฟิรฺ ........  และบางพวกกล่าวว่า ท่านไม่ใช่กาฟิรฺ
แล้วท่านอิบนุหะญัรฺ ก็ได้กล่าวสรุปในหน้าที่ 632  หนังสือเล่มเดียวกันนั้นว่า ...
              وَعَلَى الْقَوْلِ بِأَنَّهُ مُسْلِمٌ،  فَهُوَ فَاسِقٌ، شَرِيْرٌ،  سَكِيْرٌ،  جَائِرٌ              
และแม้จะยึดถือตามทัศนะที่ว่า ท่านยะซีดยังเป็นมุสลิมอยู่  แต่เขาก็คือ คนเลว,  คนชั่ว,  คนขี้เมา,  คนอธรรม 
(3).  ท่านอัล-หัจญาจญ์ บินยูซุฟ อัษ-ษะเกาะฟีย์  ซึ่งเคยปกครองนครมะดีนะฮ์,  ต่อมาท่านอับดุลมะลิก บินมัรฺวาน คอลีฟะฮ์ท่านที่ 5 แห่งวงศ์อุมัยยะฮ์ ได้โยกท่านออกจากตำแหน่งเดิม ไปเป็นผู้ครองเมืองอิรัก, บัศเราะฮ์ และกูฟะฮ์ ในปี ฮ.ศ. 75 .. ดังข้อมูลจากหนังสือหนังสือ อัล-บิดายะฮ์ วัน-นิฮายะฮ์  เล่มที่ 9  หน้า 11 ...
มีกล่าวในหนังสือ  شَرْحُ الْعَقِيْدَةِ الطَّحَاوِيَّةِ  หน้า  421 เกี่ยวกับท่านอัล-หัจญาจญ์ ว่า ...
  ((وَفِىْ صَحِيْحِ الْبُخَارِىِّ)) أَنَّ عَبْدَاللهِ بْنَ عُمَرَ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ كَانَ يُصَلِّى خَلْفَ الْحَجَّاجِ بْنِ يُوْسُفَ الثَّقَفِىِّ،  وَكَذَلِكَ أَنَسُ بْنُ مَالِكٍ،  وَكَانَ الْحَجَّاجُ فَاسِقًا  ظَالِمًا               
 มีบันทึกในหนังสือเศาะเหี๊ยะฮ์บุคอรีย์ว่า  ท่านอับดุลลอฮ์ บินอุมัรฺ ร.ฎ. และเช่นเดียวกัน ท่านอนัส บินมาลิก ร.ฎ. ได้เคยนมาซหลัง (คือเป็นมะอ์มูมของท่านอัล-หัจญาจญ์ บินยูซุฟ อัษ-ษะเกาะฟีย์ ทั้งที่ท่านอัล-หัจญาจญ์เป็นคนฟาซิก,  คนอธรรม

(4).  ท่านอัล-วะลีด บินยะซีด บินอับดุลมะลิก,  (เป็นคอลีฟะฮ์ท่านที่ 11 แห่งวงศ์อุมัยยะฮ์,  ดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ในปี ฮ.ศ. 125) ... 
ท่านอิบนุกะษีรฺ ได้กล่าวในหนังสือ  อัล-บิดายะฮ์ วัน-นิฮายะฮ์  เล่มที่ 6  หน้า 635  ว่า  ท่านอัล-วะลีด บิน ยะซีดผู้นี้ เป็นคนฟาซิก (คนเลว...
 ท่านอัล-หะซัน อัล-บัศรีย์ (เป็นตาบิอีนระดับอาวุโส,  สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 110) ได้ตอบคำถามของผู้ที่ถามท่านเรื่อง การนมาซตามหลังอิหม่ามที่ทำบิดอะฮ์ ว่า ..
                                  
                                    صَلِّ خَلْفَهُ!  وَعَلَيْهِ بِدْعَتُهُ                               
จงนมาซตามเขาไปเถอะ!  เรื่องบิดอะฮ์ของเขา เขาจะต้องรับผิดเอาเอง
(จาก  เศาะเหี๊ยะฮ์บุคอรีย์  บาบที่ 56  กิตาบอัล-อะซาน ด้วยสายรายงานมุอัล
ลัก,  และท่านสะอีด บิน มันศูรฺ ได้บันทึกด้วยสายรายงานที่ต่อเนื่องและถูกต้อง) ...
 และท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  ยังได้เคยกล่าวไว้ว่า ...
                ((يُصَلُّوْنَ لَكُمْ!  فَإِنْ أَصَابُوْا فَلَكُمْ،  وَإِنْ أَخْطَؤُوْا فَلَكُمْ وَعَلَيْهِمْ))               
ให้พวกเขา (ผู้นำ)นำนมาซพวกท่านไปเถอะ!  ถ้าหากพวกเขาถูกต้อง พวกท่านก็ได้รับผลบุญ (และพวกเขาก็ได้รับผลบุญ),  ถ้าหากพวกเขาทำผิด พวกท่านก็ยังได้รับผลบุญ แต่พวกเขาต้องรับความผิดนั้นเอาเอง 
    (บุคอรีย์,  หะดีษที่  694)
       ตัวอย่างจากข้อมูลที่ได้นำเสนอมานี้  จึงเป็นหลักฐานที่แสดงว่า  ผู้นำนั้น ไม่ว่าจะเป็นคอลีฟะฮ์ซึ่งเป็นผู้นำระดับประเทศ,  หรืออิหม่ามมัสญิดซึ่งเป็นผู้นำระดับล่าง -- ก็คือปุถุชนคนหนึ่ง  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากมลทินเหมือนผ้าขาวที่ถูกพับเก็บไว้ในตู้เซฟ ...
 ขนาดผู้นำบางท่านเป็นคนฟาซิก,  คนเลว,  คนชั่ว,  คนอธรรม,  คนขี้เหล้า บรรดาเศาะหาบะฮ์ชั้นนำระดับท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุมัสอูด,  ท่านอนัส อิบนุมาลิก,  ท่านอับดุลลอฮ์อิบนุอุมัร ร.ฎ. และเศาะหาบะฮ์ท่านอื่นๆ ก็ยังคงนมาซตามพวกเขา ...  
ขนาดผู้นำทำบิดอะฮ์  ท่านอัล-หะซัน อัล-บัศรีย์ นักวิชาการระดับสูงของตาบิอีนก็ยังแนะนำให้นมาซตามหลังเขา ...   
และต่อให้ผู้นำนมาซผิด ท่านศาสดาก็ยังสั่งใช้ให้เป็นมะอ์มูมของพวกเขา .. 
 แล้ว, .. ผู้นำที่ยึดหลักการถือศีลอดและออกอีดด้วยการดูเดือน .. ถูกต้องตามซุนนะฮ์ทุกประการ ...
 มีหลักฐานข้อใดหรือที่อนุญาตให้เราแยกตัวออกและไม่ต้องปฏิบัติตาม ? ...
 หรือเราจะยอมเสียอุดมการณ์ผู้เผยแผ่ซุนนะฮ์ (รวมทั้งเสี่ยงต่อการเสียอะกีดะฮ์) ด้วยการปฏิเสธหะดีษที่ถูกต้องของท่านศาสดาบทข้างต้น และหลายๆบทที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไป  ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว ...
คือ เพราะกลัวจะเสียฟอร์มนักวิชาการดังของเรา ??? ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น