วิภาษหนังสือ “I Am Malala” แปลโดย ‘สหชน สากลทรรศน์’ สำนักพิมพ์มติชน (แบบพอสังเขป)
# ตอน 1# โดยอัซซาบิกูน
ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า เราไม่เห็นด้วยหากมีการปิดกั้นการเรียนการศึกษาของเด็กผู้หญิง และถึงขั้นมีการลงไม้ลงมือใช้อาวุธกัน หากมันเป็นเรื่องจริงเราก็ขอคัดค้านและหวังว่ามันจะหมดไปจากสังคมนั้นๆ แต่บทความนี้เป็นการตอบโต้งานเขียนของมาลาลา เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักการศาสนาอิสลาม และรู้เท่าทันแนวคิดเซคิวล่าร์ที่มุ่งทำลายล้างอิสลาม ถึงแม้ทั่วโลกจะพร้อมใจกันกระจายสิ่งที่เป็นความมดเท็จและความเข้าใจผิด แต่ทางเพจเราถึงจะเป็นคนกลุ่มเล็กๆบนโลกนี้ จะไม่ยอมปล่อยผ่านสิ่งนี้เป็นอันขาด
งานเขียนของมาลาลาเล่มนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากตัดพ้อความยากจนของตนเอง ตำหนิความล้าหลังของบ้านเกิดตนเอง โดยโทษไปที่ศาสนาและวัฒนธรรมที่นั่น นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีแนวคิดยกย่องวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่คนตะวันตกซึ่งภาคภูมิใจในอารยธรรมและเชื้อชาติของตนนั้นก็ย่อมถูกใจและพากันสนับสนุนมาลาลาอย่างแน่นอน อีกทั้งนอกจากจะดูแคลนวัฒนธรรมบ้านเกิดแล้ว ยังเป็นหนังสือที่มีเป้าหมายโจมตีศาสนาอิสลามและกลุ่มฏอลิบันอีกด้วย ฉะนั้นทั้งหนังสือและตัวมาลาลาจึงตกเป็นเครื่องมือของตะวันตกที่กำลังทำสงครามสื่อต่อโลกมุสลิม ชนิดที่เรียกว่ารีบตะครุบเลยทันที
หน้าที่ 11 (บทนำ) มาลาลากล่าวว่า :
..แต่ฉันกลับอยู่ในประเทศที่เวลาเดินทางช้ากว่าปากีสถานบ้านเกิดที่รัก และบ้านของฉันในหุบเขาสวัตถึง 5 ชั่วโมง แต่ประเทศของฉันล้าหลังจากประเทศนี้หลายศตวรรษ ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากเท่าที่จะจินตนาการได้ ทุกก๊อกมีน้ำไหล ร้อนหรือเย็นแล้วแต่คุณต้องการ กดสวิตช์ไฟก็สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ต้องใช้ตะเกียงน้ำมัน มีเตาปรุงอาหารโดยไม่ต้องไปซื้อถังแก๊สจากตลาด ที่นี่ทุกอย่างทันสมัยมาก ชนิดที่หาอาหารปรุงสุกพร้อมกินได้ในซอง เมื่อฉันยืนที่หน้าต่างและมองออกไป ฉันมองเห็นตึกสูง ถนนยาวเหยียดมีรถราเคลื่อนที่ไปตามเลนอย่างเป็นระเบียบ แนวพุ่มไม้และสนามหญ้าสีเขียวตัดแต่งเรียงร้อย..
ประเด็นวิภาษ :
(ที่มาลาลากล่าวชื่นชมคือ เบอร์มิงแฮมประเทศอังกฤษ) นึกสภาพบ้านเก่ามาลาลาแล้วน่าอดสูนัก เราอยากให้มาลาลาได้มารู้จักเมืองไทย ที่นี่เป็นประเทศที่คนตะวันตกส่วนหนึ่งซึ่งอยากใช้ชีวิตมีความสุข เขาจะมาที่นี่กัน เชื่อว่าผู้คนเมืองที่มาลาลาพักพิงอยู่อาจไม่รู้จักประเทศไทย บางคนก็นึกว่าเป็นประเทศ Bangkok หรือไม่ก็ประเทศ Pattaya (เหมือนมัลดีฟส์ อะไรทำนองนั้น ..ใช่แล้วล่ะ คนตะวันตกจำนวนมาก ไม่มีความรู้รอบตัวเลย) ที่นี่ประเทศไทย บ้านเมืองเจริญแบบกลางๆ ผู้คนมีความรู้สูง จบปริญญาตรี โท เอก (แต่คนบางส่วนก็ไม่ค่อยมีความรู้รอบตัวเช่นกัน) สังคมทันสมัยฟังเพลงตะวันตก และผลิตเพลงได้เทียบเท่าตะวันตก (แต่คนตะวันตกเขาไม่สนหรอกเพราะโดยมากเขามักดูถูกภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาของเขา) คนที่นี่ดำเนินชีวิตตามแบบตะวันตกทุกประการ แทบไม่มีอะไรที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเลย คนตะวันตก คนอาหรับ คนแอฟริกา และคนเอเชียใต้บ้านมาลาลา ต่างก็นิยมมาที่นี่ แต่มุสลิมที่นี่เคร่งครัด มีการศึกษาสูง ยึดสันติวิธี นิยมกฎหมายและรัฐอิสลาม และไม่นิยมตะวันตก ส่วนคนศาสนิกอื่นก็มีจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งของโลกมุสลิมกับมหาอำนาจเป็นอย่างดี
หน้า 19 มาลาลากล่าวว่า :
ตอนฉันเกิด คนในหมู่บ้านเห็นอกเห็นใจแม่ และไม่มีใครแสดงความยินดีกับพ่อ ฉันเกิดตอนรุ่งเช้า ขณะที่ดาวดวงสุดท้ายกะพริบแสงก่อนดับลง พวกเราชาวพัชตุนถือเป็นฤกษ์ดี พ่อไม่มีเงินค่าโรงพยาบาลและหมอตำแย เพื่อนบ้านจึงต้องช่วยทำคลอด ลูกคนแรกของพ่อแม่คลอดออกมาตาย แต่ฉันโผล่ออกมาทั้งเตะและร้องไห้จ้า ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่เกิดมาในบ้านเมืองที่ยิงฉลองให้กับลูกชาย ส่วนลูกสาวถูกเก็บซ่อนไว้หลังผ้าม่าน หน้าที่ในชีวิตของพวกเธอมีแค่ทำอาหารกับคลอดลูก สำหรับชาวพัชตุนส่วนใหญ่ วันที่ลูกสาวคลอดจึงเป็นวันที่น่าหดหู่
ประเด็นวิภาษ :
ต้องขอแสดงความเห็นใจกับความยากจนของคุณจริงๆ แต่ความยากจนและชีวิตที่ลำบาก ไม่มีน้ำหนักหรือความชอบธรรมที่จะออกมาสร้างความสับสนให้ผู้คนชิงชังศาสนาอิสลามหรอก และเราขอแยกน้ำดีออกจากน้ำเสียดังนี้
-เรื่องราวของการเหยียดสตรีเพศ เป็นค่านิยมที่มีมาแต่โบราณในแทบทุกวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่ประเทศของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเมืองจีน ยุโรป เมืองไทย (ที่นี่บอกว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมไว้หน้าบ้าน) หรืออาหรับโบราณ ก็มีการฝังลูกหญิงทั้งเป็น แต่พอพระเจ้าทรงประทานศาสนาอิสลามมายังนบีมุฮัมมัด สิทธิสตรีตรงนี้ก็ถูกพิทักษ์
อัลกุรอานได้กล่าวตำหนิค่านิยมผิดๆเหล่านี้ไว้ว่า “และเมื่อพวกเขาได้รับข่าวว่าได้ลูกผู้หญิง ใบหน้าของเขาก็หมองคล้ำและเศร้าสลด
และเขาจะหลบตัวเองจากสังคม เนื่องจากความอับอายที่ได้ถูกแจ้งแก่เขา เขาจะเก็บเอาไว้ด้วยความอัปยศหรือฝังมันในดิน พึงรู้เถิด สิ่งที่พวกเขาตัดสินใจนั้นมันช่างชั่วร้าย ” (บท อัลนะฮฺล์ 16:58-59)
ส่วนในบ้านเกิดของมาลาลา ก็มีร่องรอยของค่านิยมโบราณอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ใช่ศาสนาอิสลาม และแน่นอนว่ากลุ่มที่เคร่งครัดในศาสนาอิสลามอย่างฏอลิบันนั้น ไม่มีการยิงปืนฉลองที่ได้ลูกชาย และไม่มีความหดหู่เมื่อได้ลูกสาว ถูกต้องไหม? ..มาลาลาลองนึกทบทวนอีกทีซิว่า กลุ่มคนที่มีค่านิยมยกย่องลูกชาย ดูถูกลูกสาว คือกลุ่มคนที่อนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นและต่อต้านกลุ่มฏอลิบันใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่อย่างแน่นอน
-ที่กล่าวถึงการเกิดตอนรุ่งเช้าว่าเป็นฤกษ์ดีนั้น เป็นความเชื่อของปาทานหรือพัชตุนโบราณ ไม่ใช่ความเชื่อของศาสนาอิสลาม ตรงกันข้ามเลยก็คือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ต่อต้านเรื่องโชคลาง โหราศาสตร์ คำทำนายทายทัก เครื่องรางของขลังทั้งปวง ชาวอาหรับยุคก่อนก็เชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ดูดวง เชื่อเรื่องโชคลาง เรื่องนกฮูก เรื่องเดือนซอฟัร เหล่านี้ว่าเป็นลางร้าย แต่พออิสลามถูกประทานลงมา ท่านนบีมุฮัมมัดสอนว่า "ไม่มีโรคระบาด ไม่มีลางร้าย ไม่มีนกฮูก และไม่มีเดือนซอฟัร และไม่มีดวงดาว (โหราศาสตร์) และไม่มีภูตผีปีศาจ (คือภูตผีไม่ได้มีอำนาจลิขิตชะตา)" (หะดีษ บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
จะเห็นได้ว่าแวดล้อมที่มาลาลาเกิดมานั้น มีอิสลามผสมผสานอยู่จริง แต่เนื้อแท้แล้วมันคือวัฒนธรรมท้องถิ่นซึ่งไม่ใช่อิสลาม ..มาลาลาลองนึกทบทวนดูอีกทีซิว่า กลุ่มคนที่ดูถูกลูกสาว เชื่อในโหราศาสตร์ เหล่านี้คือกลุ่มคนที่ต่อต้านฏอลิบันใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่ ก็เพราะกลุ่มฏอลิลันโดยรวมคือกลุ่มที่ฟื้นฟูหลักการอิสลาม ถึงแม้พวกเขาจะคลาดเคลื่อนไปบางเรื่องก็ตาม
-การที่มาลาลาคลอดมาแล้วทั้งเตะและร้องไห้จ้า อันนี้ในส่วนของร้องไห้นั้นเป็นเรื่องปกติของทารก ส่วนการเตะนี่เป็นเรื่องโม้ เพราะเด็กทารกแรกเกิดจะยังไม่ดิ้นเตะขาในทันที ถึงมาลาลาจะสื่อมาโดยมีนัยยะเชิงประชดว่าเป็นหญิงนักสู้ตั้งแต่เกิด ท่ามกลางความไม่ยินดีของปวงประชา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอแสดงความเห็นใจอีกครั้งที่คุณเกิดมาในสังคมแบบนั้น แต่คนเราทุกคนสามารถเลือกทางเดินได้บนความเป็นธรรมความถูกต้องด้วยกันทุกคน ทุกคนสามารถเลือกทางถูกทางหลงได้โดยใช้สติแยกแยะ ไม่จำเป็นต้องเลือกทางฟิตนะฮฺ (ความหลอกลวง, สร้างความสับสน) อย่างที่มาลาลาทำอยู่
-อีกประเด็นที่มาลาลากล่าวคือ ผู้หญิงมีหน้าที่แค่ทำกับข้าวและคลอดลูกเท่านั้น ข้อนี้ขอให้ตัดในส่วนค่านิยมการเหยียดเพศทิ้งไปก่อน แล้วพิจารณาเฉพาะสิ่งที่กล่าวมานี้จะเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับการเหยียดเพศเลย แต่มาลาลากลับเอาแนวคิดเหล่านี้จับรวมใส่เข้าไปด้วย ที่จริงแล้วหน้าที่ที่กล่าวมาถือว่ายิ่งใหญ่มาก ถึงแม้ศาสนาอิสลามไม่ได้ถือว่าการทำกับข้าวเป็นหน้าที่ของเพศหญิงอย่างเดียว แต่โดยรวมๆสตรีถูกสร้างมามีหน้าที่เป็นเพื่อนคู่ใจของชาย ดูแลปรนนิบัติชาย การทำกับข้าวก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง (แต่ไม่ได้หมายความว่าหน้าที่งานบ้านถูกจำกัดแต่เพศหญิงเท่านั้น ชายก็ควรร่วมรับผิดชอบด้วย) ซึ่งในวัฒนธรรมอื่นๆผู้ที่ตระเตรียมอาหารในครอบครัวก็มักเป็นเพศหญิงทั้งนั้น นี่คือวัฒนธรรมของชาวยุโรปเหมือนกัน และหน้าที่ของเพศหญิงที่วัฒนธรรมชาวโลกทั้งปวงถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ก็คือ การคลอดลูก การที่เป็นเพศที่ต้องอุ้มท้อง ต้องคลอดลูก ต้องให้นมลูก เป็นบุคคลที่ลูกผูกพันที่สุด นี่คือความยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจ มีแต่คนรุ่นใหม่ที่ไร้คุณธรรมและไร้ศีลธรรมที่เหยียดหยามสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นไม่มีใครดูถูกการคลอดลูกของเพศหญิง มีแต่ตัวมาลาลาที่รู้สึกแบบนั้นไปเอง จึงกล่าวถ้อยคำนั้นออกมา (ตัวมาลาลาต่างหากที่ดูถูกความเป็นเพศหญิงซะเอง) แล้วคุณจะยกย่องเพศไหน เพศที่คลอดลูกไม่ได้และเตะบอลเก่งอย่างนั้นหรือ?
ในอิสลามนั้นให้รักแม่มากกว่าพ่อ เมื่อมีสาวกถามนบีมุฮัมมัดว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ บรรดาผู้คนทั้งหลายใครคือผู้ที่สมควรจะได้รับการปฏิบัติดีจากฉัน” ท่านนบีได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”
จากนั้นเขาจึงถามต่อว่า แล้วใครที่ฉันควรจะปฏิบัติดีอีก ท่านนบีได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”
จากนั้นเขาจึงถามต่ออีกว่าแล้วหลังจากนั้นคือใครอีก (เป็นครั้งที่สาม) ท่านนบีได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”
(ถัดมา) เขาจึงถามต่ออีกว่าแล้วใครอีก ท่านนบี จึงได้กล่าวตอบว่า “พ่อของท่าน” (หะดีษ บันทึกโดยบุคอรีย์ และมุสลิม )
และท่านนบีมุฮัมมัดยังให้ความสำคัญต่อคนเป็นภรรยาโดยท่านกล่าวว่า “คนที่ดี ที่สุดในหมู่พวกท่านนั้น คือผู้ที่ทำดีที่สุดกับภรรยาของเขา” (หะดีษ บันทึกโดยติรมีซีย์)
หน้า 26-27 มาลาลากล่าวว่า :
ในสังคมของเรา ปกติครอบครัวเป็นผู้จัดแจงเรื่องการแต่งงาน แต่ของพ่อแม่เป็นการแต่งงานด้วยความรัก ฉันได้ฟังเรื่องราวว่าท่านพบกันอย่างไรมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ....พ่อแอบมองแม่อยู่นานจนรู้ว่าชอบพอกัน แต่สำหรับพวกเราการแสดงอารมณ์ทำนองนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม พ่อจึงสงกร่อนให้แม่แทน ซึ่งแม่อ่านไม่ออก
ประเด็นวิภาษ :
เราต้องแยกแยะให้ออกอีกเช่นกัน เรื่องการจัดแจงแต่งงาน ศาสนาอนุญาตให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่จัดหาแนะนำกันได้ แต่ห้ามบังคับ คือจะไม่มีการคลุมถุงชน ซึ่งที่จริงการคลุมถุงชนมีในแทบทุกวัฒนธรรม แต่สำหรับอิสลามได้ห้ามเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นสิทธิ์ของเจ้าตัวได้ตัดสินใจ หรือคิดจะหาหรือคัดเลือกใครด้วยตัวเองก็ได้ และผู้ที่จะทำหน้าที่แต่งงานให้คือพ่อของลูกสาว เพราะเขาถือว่าเพศหญิงมีเกียรติ เป็นเพศที่พ่อหวง ฉะนั้นพ่อของเขาก็จะเป็นคนแต่งหรือกล่าวถ้อยคำมอบให้เจ้าบ่าวเอง
ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “หญิงหม้าย (เคยผ่านการแต่งงาน) ตัวของนางมีสิทธิมากกว่าผู้ปกครองของนาง และสตรีที่ยังไม่เคยผ่านการแต่งงาน นางจะต้องยินยอมเสียก่อน ซึ่งการยินยอมของนาง คือการนิ่งของนาง (ไม่ปฏิเสธคัดค้าน)” (หะดีษ บันทึกโดยมุสลิม) นี่คือกรณีที่พ่อแม่จัดหาแนะนำคู่ครองให้ ก็ห้ามคลุมถุงชน ลูกสาวต้องสมัครใจ และอีกรายงานจากท่านอิบนุอับบาสผู้เป็นสาวกเล่าว่า “แท้จริงมีหญิงสาวท่านหนึ่งมายังนบีมุฮัมมัด แล้วกล่าวว่า พ่อของนางจัดการแต่งงานให้แก่นาง โดยที่นางไม่ชอบ (ตัวเจ้าบ่าว) ท่านนบีจึงใช้ให้นางตัดสินใจ” (หะดีษ บันทึกโดยอบูดาวูด)
ส่วนเรื่องของการแสดงอารมณ์ขณะยังไม่แต่งงาน อันนี้แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่มาจากบัญญัติศาสนาอิสลาม ซึ่งอิสลามอนุญาตให้แสดงความรักได้โดยวิธีที่บริสุทธิ์ เช่นกล่าวคำพูดต่อหน้าพ่อแม่ของเขา ไม่แอบลับหลัง หรือการจ้องมองกันในเชิงชู้สาวก็เป็นสิ่งที่ต้องห้าม อิสลามถือว่าความรักประเภทรักแท้จะเกิดหลังจากที่แต่งงานไปแล้ว ข้อนี้ทุกคนสามารถสัมผัสได้ว่า เมื่อแต่งงานแล้วจะมีความรู้สึกแตกต่างกับตอนที่ยังไม่แต่งงาน (มันจึงได้มีพิธีแต่งงานอยู่ในทุกๆวัฒนธรรมไงล่ะ) และอิสลามได้มีการจำกัดในเรื่องนี้คือระหว่างแต่งงานแล้วกับยังไม่ได้แต่งงาน
อีกประเด็นที่มาลาลากล่าวถึงคุณแม่ที่อ่านหนังสือไม่ออก ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากสำหรับสังคมของมาลาลา เพราะขนาดคุณแม่ของมาลาลาเป็นคนที่พอจะรู้ศาสนาแต่ก็ยังอ่านหนังสือไม่ได้ ตรงนี้ถือว่าสังคมนั้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของอิสลาม เพราะอิสลามส่งเสริมให้มนุษย์อ่านเขียนได้ มีความรู้ ดังที่อัลกุรอานโองการแรกที่ถูกประทานยังนบีมุฮัมมัดคือคำว่า “จงอ่าน” (เป็นคำสั่งสำหรับผู้ศรัทธาทุกคน) และในอิสลาม เรื่องของภาษาเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับศาสนาโดยตรง
สรุป ขอให้พี่น้องได้ติดตามเรื่อยๆ จากที่เราตรวจสอบการเผยแพร่แนวคิดของมาลาลาทั้งหมด ขอให้พี่น้องทราบว่าคนๆนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวพันใดกับอิสลาม หากแต่เป็นการอ้างนามมุสลิมเพื่อทำลายอิสลามเท่านั้น
..........................
ประณามสำนักพิมพ์มติชน ดันหนังสือมาลาลา
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/824160314272431/?type=1&relevant_count=1
.........................
# ต่อตอน 2 #
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/845080838847045/?type=1&relevant_count=1
# ต่อตอน 3 #
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/845101262178336/?type=1&relevant_count=1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น