อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรื่องคุณนุ๊ก สุทธิดาเข้ารับอิสลาม



ขออนุญาตสร้างความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม กรณีคุณมดดำพิธีกรรายการทีวีวิจารณ์เรื่องคุณนุ๊ก สุทธิดาเข้ารับอิสลาม

จากเนื้อข่าวที่เราพบตามเว็บข่าวต่างๆ ทราบว่าคุณนุ๊กได้ถูกเพื่อนต่อว่าจากที่ได้รู้ว่าคุณนุ๊กเข้ารับอิสลาม ซึ่งสิ่งนี้มักเป็นสิ่งที่มุสลิมยุคปัจจุบันมักเผชิญหนักกว่ายุคก่อน ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมเดิมหรือมุสลิมใหม่ก็ตาม อันเนื่องจากสถานการณ์โลกและสื่อตะวันตกที่สร้างทัศนคติที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับอิสลาม

ส่วนกรณีคุณมดดำ ก่อนอื่นก็ต้องขอชมที่ทางพิธีกรทุกท่านพยามให้เกียรติผู้ที่นับถือศาสนาอื่น แต่เนื่องจากเป็นรายการวิจารณ์ จึงอาจแสดงความเห็นเกี่ยวกับอิสลามอย่างคลาดเคลื่อนหรือไม่ครบถ้วน ก็ไม่ขอตำหนิใดๆ เพราะเข้าใจว่าอาจรับรู้ข้อมูลต่อๆกันมาจากมุสลิมในสังคมที่อาจปฏิบัติไม่ถูกต้องนัก และก็มีส่วนที่คุณมดดำได้พาดพิงศาสนาพุทธโดยไม่รู้ตัว ซึ่งประเด็นที่คุณมดดำได้พยามทักท้วงและวิจารณ์มีดังนี้ 1.) คุณนุ๊กเป็นคนสุดโต่ง พอจะศึกษาพุทธก็ไปบวชโกนผมไปเลย 2.) อิสลามไม่ใช่ว่าจะเข้าง่ายๆต้องเรียนต้องสอบ 3.) เวลาถือศีลอดก็จะเคร่งกันจริงๆ กลืนน้ำลายก็ไม่ได้ 4.) หมาก็ห้ามจับ

ในปัจจุบันสังคมเราได้รับอิทธิพลของรัฐโลกวิสัยตะวันตก มองว่าศาสนาเป็นเรื่องไร้สาระ ไร้เหตุผล การเป็นคนดีคือไม่เบียดเบียนใครก็พอ ส่วนใครที่เคร่งในศาสนามากๆก็จะมองเป็นคลั่งไป ก็ถือเป็นเรื่องแปลกว่า ทำไมนักวิทยาศาสตร์ที่หมกมุ่นอยู่ในห้องทดลอง คุยกับคนอื่นเป็นแต่เรื่องวิทยาศาสตร์ เขียนหนังสือออกมาก็ไม่มีใครเข้าใจนอกจากคนที่ศึกษาเหมือนกัน เรากลับไม่มองว่าคนเหล่านี้คลั่งหรือสุดโต่ง หรืออย่างนักกีฬา หรือนักร้อง ที่ตั้งแต่เด็กจนโตก็หมกมุ่นแต่เรื่องการฝึกซ้อม คลั่งไคล้ลุ่มหลงเสพแต่สิ่งที่ตนเองชอบ เรากลับไม่ถือว่าคนเหล่านี้คลั่งหรือสุดโต่ง

เรื่องวิทยาศาสตร์ก็มีประโยชน์สำหรับมนุษย์ในเรื่องการเข้าใจธรรมชาติและการพัฒนา แต่ศาสนาเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์ไปไกลกว่านั้นคือให้คำตอบกับชีวิต รู้ที่มาที่ไปของชีวิต ฉะนั้นคนที่สนใจอยู่กับเรื่องศาสนา เรียนรู้หรือปฏิบัติตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นความสุดโต่งแต่อย่างใด (ยกเว้นหากจะมีก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ที่อาจปฏิบัติเกินเลยกว่าสิ่งที่ศาสนาบัญญัติ)

ซึ่งเราจะขอทำความเข้าใจประเด็นต่างๆดังนี้
1. การโกนผม (ปลงผม) ในศาสนาพุทธเป็นบัญญัติสำหรับภิกษุและภิกษุณี ฉะนั้นคนที่บวชเป็นภิกษุและภิกษุณี เพื่อศึกษาเรียนรู้ ก็จะต้องโกนผมเป็นธรรมดา คุณจะถือว่าเขาสุดโต่งหรือ?
http://th.wikipedia.org/wiki/ภิกษุณี
2. การเข้ารับอิสลามทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก คือหากศึกษาและศรัทธาแล้วก็ปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูต (ผู้นำสาร) ของพระองค์” เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นมุสลิมแล้ว ส่วนที่คุณนุ๊กต้องเรียนต้องสอบนั้นเป็นเรื่องของระบบการเรียนการสอนของมูลนิธิสันติชน (อยู่ซอยลาดพร้าว 112) ซึ่งเปิดสอนอบรมผู้สนใจศึกษาอิสลามทุกวันอาทิตย์ กรณีนี้เป็นเรื่องของหลักสูตรของมูลนิธิ ไม่ใช่ส่วนของบัญญัติศาสนาในเรื่องการเข้ารับอิสลาม และสำหรับการเข้ารับอิสลามถือเป็นเรื่องปกติมากในสังคมทั่วไป ยิ่งแล้วที่มูลนิธิสันติชนก็จะมีคนเข้ารับอิสลามเป็นปกติเกือบทุกสัปดาห์
คนทำงานสื่อควรทำการบ้านเรื่องนี้เล็กน้อย ค้นหาข้อมูลการเข้ารับอิสลามของคนรอบโลก ว่ามีสถิติอย่างไร และเขามีเหตุผลความคิดกันแบบไหน
*อีกประการที่พิธีกรอีกท่านได้เสริมเข้ามาเรื่องของการขลิบสำหรับผู้ชายนั้น ก็ขอชี้แจงว่าการขลิบถือว่าเป็นหลักการศาสนาอิสลาม แต่ไม่ได้เป็นเงื่อนไขการเข้ารับอิสลาม คือเป็นคนละส่วนกัน และการขลิบไม่ได้มีแต่ศาสนาอิสลามเท่านั้น ศาสดาในยุคก่อนก็ทำการขลิบ เนื่องจากท่านเหล่านั้นก็ถือเป็นศาสนทูต (ผู้นำสาร) ในอิสลามเหมือนกัน เช่น พระเยซู และโมเสส ซึ่งเป็นชาวฮิบรู ในปัจจุบันชาวฮิบรูหรือยิวก็ยังคงมีการขลิบ และต่อมาการขลิบก็ถูกบรรจุในหลักสูตรแพทย์ด้วยโดยเป็นทางเลือก ฉะนั้นเมื่ออยู่ในหลักสูตรการแพทย์ ก็ไม่ควรถือว่าเป็นเรื่องแปลก*
3. การถือศีลอดไม่มีบัญญัติห้ามกลืนน้ำลาย ซึ่งตรงนี้อาจเป็นการเข้าใจผิดๆของคนไทยมุสลิมในยุคก่อนเนื่องจากไม่ค่อยมีคณาจารย์ที่คอยสอนอย่างทั่วถึง สำหรับการถือศีลอดในศาสนาอิสลามนั้นมีสองแบบ คือการถือศีลอดทั่วไป ไม่ได้เป็นข้อบังคับ กับอีกแบบคือการถือศีลอดเดือนรอมฎอน ข้อนี้ถือเป็นข้อบังคับ ซึ่งหากคนที่เพิ่งเริ่มต้นนั้นก็อาจค่อยๆฝึกฝนไปทีละน้อย เมื่อทำได้แล้วก็จะพบว่าไม่ใช่เรื่องยากที่คนเราจะอดอาหาร และมุสลิมทั่วไปไม่ว่าจะเคร่งมากหรือน้อยก็ตาม ส่วนมากก็สามารถถือศีลอดกันได้เป็นปกติ และนอกจากศาสนาอิสลามแล้ว ในศาสนาอื่นๆก็มีการถือศีลอดเหมือนกันเช่น คริสต์และยิว ซึ่งชาวคริสต์ในบางกลุ่มยังคงถือศีลอดตามพระคัมภีร์อยู่ และสำหรับชาวยิวจะถือนานกว่ามุสลิมอีกก็คือ 1 วันกับ 1 คืน อันเป็นที่มาของคำว่า Breakfast (แปลว่า ‘ละศีลอด’ คือเริ่มกินได้ตอนเช้า)
http://en.wikipedia.org/wiki/Breakfast
http://en.wikipedia.org/wiki/Fasting
4. อิสลามไม่ได้ห้ามจับหมา ศาสนาอิสลามอนุญาตให้เลี้ยงหมาได้ โดยถูกระบุไว้ในอัลกุรอาน ในเรื่องของการใช้หมาล่าสัตว์ (บทที่ 5 โองการที่ 4) และเรื่องราวของชาวถ้ำผู้ศรัทธาที่เลี้ยงหมาและเดินทางไปด้วย (บทที่ 18 โองการที่ 18 และ 22) ซึ่งการเลี้ยงหมาก็ต้องมีการฝึกและสัมผัสเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่บัญญัติศาสนาถือว่าน้ำลายหมาเป็นสิ่งสกปรก และเป็นเพียงทัศนะของปราชญ์บางสำนักนิติบัญญัติเท่านั้นที่ถือว่าตัวหมาทั้งตัวเป็นสิ่งสกปรก (เมื่อสัมผัสก็ต้องล้างมือ) แต่ทั้งหมดก็อนุญาตให้เลี้ยงได้ ส่วนที่อิสลามห้ามคือการเลี้ยงในบ้าน เพราะถือว่าไม่เหมาะ จะอนุญาตให้เลี้ยงนอกตัวบ้านเท่านั้น เพื่อจะได้เฝ้าบ้าน หรือเพื่อใช้งานอื่นๆ จากตรงนี้เองอาจทำให้คนไทยมุสลิมในยุคก่อนรับรู้ไปผิดๆว่าห้ามเลี้ยงหมาหรือห้ามจับ เพราะรู้บัญญัติแบบไม่ครบถ้วน

*เรื่องที่ควรรู้และเข้าใจอีกประการหนึ่งก็คือ การที่คนใดปฏิบัติตามบัญญัติอิสลามไม่ได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่มุสลิม ไม่เช่นนั้นแล้วในโลกนี้ก็คงจะนับใครเป็นมุสลิมไม่ได้เลยซักคน เพราะไม่มีใครสามารถปฏิบัติตามบัญญัติศาสนาได้อย่างถูกต้อง 100% แน่นอนแม้กระทั่งบรรดาปราชญ์ผู้ทรงความรู้ จริงๆการเป็นมุสลิมคือมีศรัทธาตามที่ปฏิญาณไว้ (ที่ชี้แจงไปข้อ 2) และยึดมั่นตามนั้น* ก็อยากจะชี้แจงให้ทราบเพียงเท่านี้

บทสรุปที่อยากฝากคือ สิ่งที่สื่อพึงตระหนักเมื่อจะนำเสนอเรื่องราวใดที่พาดพิงถึงอิสลาม คือต้องนึกเสมอว่าอิสลามมีศาสนิกมากเป็นอันดับสองของโลก และในเมืองไทยนั้นมีมุสลิมราว 7-10 ล้านคน (ไม่มีการสำรวจประชากรที่เชื่อถือได้ / สำรวจขั้นต่ำคือ 3 ล้านกว่า) และจำนวนมากก็ปะปนอยู่ในสังคมทั่วไป ฉะนั้นการนำเสนอประเด็นใดก็ควรระวังความคลาดเคลื่อน หากต้องการอ้างอิงข้อมูลใดๆเกี่ยวกับอิสลาม ก็ควรนำเสนอจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น หนังสือ บทความ งานเขียนงานแปลจากปราชญ์มุสลิม หรือจากสิ่งที่คณาจารย์ได้สอนทางทีวีช่องมุสลิม เป็นต้น

………………………….
*ข้อพึงตระหนักสำหรับมุสลิม
บุรุษต้องให้เกียรติ รักษาขอบเขตที่พึงปฏิบัติโดยทั่วไปต่อสตรีตามหลักการอิสลาม
คนทั่วไปพึงหลีกเลี่ยงจากการค้นหาหรือติดตามผลงานในอดีตของคุณนุ๊ก เพราะเจ้าตัวคงยินดีให้รู้จักเขาในชีวิตใหม่ ศรัทธาใหม่ของเขา เช่นเดียวกับคุณโต ซิลลี่ฟูล ที่เปลี่ยนชีวิตตนเองมาสู่หนทางของศาสนา และไม่ยินดีให้ติดตามผลงานของเขาในอดีต แต่อยากให้ทุกคนได้รู้จักติดตามสิ่งที่เขาค้นพบและเผยแพร่ในปัจจุบัน*


....................
โดยอัซซาบิกูน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น