อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิภาษหนังสือ “I Am Malala” การพาดพิงอิสลามอย่างคลาดเคลื่อน


วิภาษหนังสือ “I Am Malala” แปลโดย ‘สหชน สากลทรรศน์’ สำนักพิมพ์มติชน (แบบพอสังเขป)
# ตอน 3 #  โอยอัซซาบืกูน

มหาอำนาจที่กำลังคุกคามโลกมุสลิม สร้างกระแสมาลาลา โดยอาศัยความรู้สึกของมนุษย์มาเป็นช่วงจังหวะในการเล่นงานอิสลาม แน่นอนว่าเด็กผู้หญิงที่ถูกยิง เด็กผู้หญิงที่อยากเรียนหนังสือ ฟังดูแล้วน่าเห็นใจยิ่งนัก จึงสามารถฉกฉวยดึงอารมณ์ผู้คนมาเปิดรับความคิดต่อต้านกลุ่มศาสนาได้ไม่ยาก

หน้า 40 มาลาลากล่าวว่า :
ย่าคอยให้กำลังใจพ่อเพราะเป็นลูกคนโปรด และท่านเชื่อว่ามีสิ่งที่ใหญ่คอยท่าอยู่ในตัวพ่อ ย่ารักพ่อมาก....
.... แต่ย่าเคยโกรธพ่อขนานใหญ่ครั้งหนึ่ง เมื่อผู้วิเศษจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่าดีไร เซย์ดาน เดินทางมายังหมู่บ้านในช่วงเวลานั้นและขอแป้งข้าวโพด วันหนึ่งเมื่อปู่ย่าไม่อยู่บ้าน ผู้วิเศษจำนวนหนึ่งมาที่บ้าน พ่อของฉันทุบสลักกลอนกล่องไม้ที่ใส่แป้งข้าวโพดและเติมใส่ชามของพวกเขาจนเต็ม เมื่อปู่ย่ากลับมาพวกท่านโมโหมากและตีพ่อ

ประเด็นวิภาษ :
ตกลงที่มาลาลากำลังกระแนะกระแหนอยู่นั้นเราก็ไม่ทราบว่าเป็นศาสนาลัทธิใดกันแน่ ถึงได้มีผู้วิเศษมาขอแป้งข้าวโพดด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ศาสนาอิสลาม

หน้า 47 มาลาลากล่าวว่า :
หนังสือที่ชื่อ เดอะ ซาตานิก เวอร์ซิส เขียนโดยซัลมาน รัชดี เป็นงานเขียนล้อเลียนชีวิตศาสดาที่ใช้ฉากในบอมเบย์ ชาวมุสลิมทั่วไปถือเป็นการดูหมิ่น และงานเขียนชิ้นนี้จุดประกายให้เกิดความโกรธแค้น จนดูเหมือนไม่มีใครพูดถึงอย่างอื่นเลย สิ่งที่แปลกคือไม่มีใครสังเกตสำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานชิ้นนี้ และความเป็นจริงมันไม่ได้มีวางขายในปากีสถาน

ประเด็นวิภาษ :
ซัลมาน รุชดี เป็นคนที่ออกนอกศาสนาและพุ่งเป้าโจมตีอิสลามอย่างเปิดเผย และทำงานนี้เรื่อยมา ถ้าหากมาลาลายอมรับว่าหนังสือเล่มดังกล่าวดูหมิ่นศาสดา หน้าที่ของมุสลิมคือต้องออกมาปกป้องและคัดค้าน จะแสดงความโกรธแค่ไหนขึ้นอยู่กับศรัทธาที่มากน้อยของแต่ละคน (เช่นหากมีคนใส่ร้ายพ่อของมาลาลาจนเสียหายทั้งที่ไม่เป็นความจริง มาลาลาจะโกรธมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรักที่มีต่อพ่อแล้วล่ะ) ส่วนคนที่เข้าข้างหรือแสดงความเข้าใจผู้ดูหมิ่นนั้น เกรงว่าจะมีความบกพร่องด้านการศรัทธา หรือมีแนวคิดทำนองเดียวกัน เราไม่ได้พูดถึงว่าจำเป็นต้องประท้วงทุกคนหรือไม่ หรือใครจะอ่านหนังสือแล้วหรือไม่ ผู้กระทำเขาก็เปิดเผยการโจมตีอิสลามอย่างโจ่งแจ้ง คนบ้านมาลาลาไม่ได้อ่าน หรือเขาอาจไม่รู้ว่าประเทศไหนพิมพ์ แต่คนที่อื่นเขาอ่าน เขารู้จักเป็นอย่างดี จึงได้มีฟัตวาออกมาให้ลงโทษซัลมาน รุชดี (แต่คนไม่รู้หรือไม่ได้ตรวจสอบอย่างครบถ้วนก็มีสิทธิ์แสดงความโกรธและตอบโต้อยู่ดีหากข้อมูลนั้นเปิดเผยชัดเจน)

หน้าที่ 53-54 มาลาลากล่าวว่า :
....พ่อกลับไม่ได้อยู่พิธีสมรสหลัก และเข้าร่วมพิธีในวันสุดท้ายที่สมาชิกครอบครัวจะถือพระคัมภีร์อัลกุรอาน และผ้าคลุมเหนือศีรษะคู่บ่าวสาว พร้อมกันนั้นจะถือกระจกให้พวกเขาส่อง สำหรับคู่แต่งงานหลายคู่ที่พ่อแม่เป็นฝ่ายจัดหาคู่ให้นั้น วันแต่งงานคือวันแรกที่บ่าวสาวพบหน้ากันผู้ใหญ่จะอุ้มเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ไปนั่งบนตักของคู่แต่งงานเพื่อกระตุ้นให้มีลูกชาย

ประเด็นวิภาษ :
ที่กล่าวมามีศาสนาอิสลามเอี่ยวด้วยก็คือมีอัลกุรอานร่วมอยู่ในงานด้วย แต่เนื้อหาทั้งหมดไม่มีสิ่งใดที่เป็นการแต่งงานตามบัญญัติอิสลามเลย
-สมาชิกครอบครัวจะถือคัมภีร์อัลกุรอานและผ้าคลุมอยู่บนหัวคู่บ่าวสาว หรือไม่ว่าจะถือกระจกส่อง สิ่งนี้ไม่มีในบัญญัติอิสลาม นั่นคงเป็นการประดิษฐ์คิดพิธีกรรมให้มันดูเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนอย่างในเมืองไทย มีมุสลิมบางส่วนที่มีการแห่ขันหมากด้วย (Hae-kan-Maak ไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะประเทศอื่นไม่รู้จัก) ซึ่งเป็นการนำวัฒนธรรมท้องถิ่นของศาสนิกอื่นมาผสมบรรจุเข้าไปในพิธีกรรมแต่งงานของมุสลิมด้วย แต่จริงๆแล้วการแต่งงานในอิสลาม มีขั้นตอนเพียงแค่ มีแขกหรือพยานมาร่วมงาน มีพ่อเจ้าสาวและเจ้าบ่าว ประกาศคำเสนอและสนองรับ เท่านี้ก็จบ จากนั้นจะมีการกินเลี้ยงก็เป็นสิ่งที่อนุญาต และมีหลักศาสนารองรับเช่นกัน
-ส่วนการที่พ่อแม่จัดหาคู่ ก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่า พ่อแม่จัดหาแนะนำให้ได้แต่ห้ามคลุมถุงชน ส่วนที่ว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เห็นหน้ากันครั้งแรกก็วันแต่งงาน ข้อนี้ถือว่าขัดกับหลักบัญญัติของอิสลาม เพราะศาสนาอิสลามส่งเสริมให้มีการมองหน้าเพื่อที่จะเลือกตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ หากไม่พอใจก็ไม่ต้องแต่ง กล่าวคือทั้งชายและหญิงมีสิทธิ์เลือกด้วย ..ซึ่งถามมาลาลาทบทวนว่า กลุ่มฏอลิบันเขาไม่ทำกันแบบบ้านมาลาลาใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่
-การอุ้มเด็กผู้ชายมานั่งตักเพื่อจะได้มีลูกชาย การกระทำดังกล่าวถือเป็นบาปร้ายแรงรองๆจากการเชื่อโหราศาสตร์เลยทีเดียว ในเมืองไทยเมื่อมีการขายของได้ จะเอาเงินมาตบๆตีๆที่สินค้า โดยเชื่อว่าจะทำให้ขายดี ลักษณะทำนองนี้ถือว่าบกพร่องในเรื่องหลักศรัทธาอย่างร้ายแรง ..ซึ่งก็ขอให้มาลาลานึกทบทวนอีกทีว่า คนกลุ่มนี้ที่แต่งงานแบบนี้ คือกลุ่มที่ต่อต้านฏอลิบันใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่อย่างแน่นอน

หน้า 79 มาลาลากล่าวว่า :
รายการโปรดของฉันคือชากา ลากา บูม บูม ละครซีรีส์เกี่ยวกับเด็กชายอินเดียชื่อซันจูผู้มีดินสอมหัศจรรย์ ทุกสิ่งที่วาดจะกลายเป็นจริงขึ้นมา ถ้าเขาวาดผักต้นหนึ่งหรือตำรวจนายหนึ่ง ผักและตำรวจนั้นจะเกิดขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ ถ้าเผลอไปวาดงูเข้า เขาจะลบออกและงูก็หายไป เขาใช้ดินสอช่วยผู้อื่น เขาเคยแม้แต่ช่วยพ่อแม่จากแก๊งอันธพาล ฉันอยากได้ดินสอมหัศจรรย์นั้นมากกว่าสิ่งใดในโลก ตอนกลางคืนฉันสวดมนต์อ้อนวอน “พระเจ้า กรุณามอบดินสอของซันจูให้หนูด้วยเถอะ หนูจะไม่บอกใคร แค่วางมันไว้ในตู้ของหนู หนูจะใช้มันเพื่อทำให้ทุกคนมีความสุข” ทันทีที่ฉันสวดจบ ฉันจะรีบไปดูลิ้นชัก ดินสอไม่เคยวางอยู่ที่นั่นเลย

ประเด็นวิภาษ :
จะเห็นได้ว่าในเรื่องการขอวิงวอนจากพระเจ้านั้นมาลาลาก็เอามาเป็นเรื่องขบขันล้อเล่น แล้วเธอไม่มีความเข้าใจในหลักศรัทธา อย่างเช่นเรื่องดินสอวิเศษ นอกจากไม่ใช่หลักวิทยาศาสตร์แล้วก็ยังขัดกับหลักศาสนาอีกด้วย ไม่แตกต่างอะไรกับเรื่องโดเรมอน (ไม่ทราบว่าบ้านเกิดของมาลาลามีการ์ตูนญี่ปุ่นรึเปล่า) เรื่องนี้สวนทางศาสนาล้วนๆ แล้วอ้างวิทยาศาสตร์ แต่ในทางปฏิบัติคือคนดีช่วยเหลือโลกอย่างโดเรมอนและโนบิตะ (ถ้าเป็นของมาลาลาคือซันจู) กลับใช้เครื่องมือวิเศษที่เรียกว่าไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ทุกแง่มุม มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเวทมนต์ถึงขั้นลิขิตชะตากรรมชีวิตทุกคนได้ (แบบนี้อ้างพระเจ้าจะดูสมจริงสมจังมากกว่า) นั่นคือสิ่งที่ขัดกับหลักศรัทธาในอิสลามทั้งปวง ฉะนั้นการขอพรของมาลาลาจึงไม่บรรลุผล เนื่องจากเป็นการขอพรที่ไม่เป็นไปตามกฎที่พระเจ้าสร้างไว้ เช่น เป็นเอดส์ เป็นมะเร็ง โดยกฎธรรมชาติคืออาจจะหายหรือไม่หายก็ได้ แต่เราขอพรให้หาย เป็นต้น เหมือนกับกรณีที่แพทย์สามารถรักษาให้หายจากการถูกฏอลิบันยิงได้ โดยที่แพทย์คนนี้ไม่มีอำนาจจะลิขิตรักษาให้ผู้ป่วยทุกคนรอดตายได้ ..ส่วนประเด็นอยากช่วยสังคมให้มีความสุข ข้อนี้ต้องขอบอกว่าการที่สังคมจะมีความสุขสงบได้ก็ต้องนำอิสลามมาปกครองเท่านั้น หากมาลาลามีอายุยาวไปอีกหลายปี อาจจะพบกับรัฐอิสลามในอนาคต แล้วจะพบว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความสุข ความเป็นธรรม ปัญหาความยากจนจะถูกแก้ไข แต่ปัจจุบันที่มหาอำนาจที่อ้างเสรีภาพมาปกครองโลกนั้น มีแต่สงครามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เอารัดเอาเปรียบ และระบบทุนนิยมและการล่าอาณานิคมเป็นเหตุทำให้บ้านเกิดของมาลาลาที่เคยเป็นดินแดนรุ่งเรืองในอาณาจักรอิสลาม กลับกลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความยากจน

หน้า 84 มาลาลากล่าวว่า :
....เหตุการณ์ 9/11 มันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบ.....
....โอซามา บินลาเดน ผู้นำอัลไกด้าอาศัยอยู่ที่จังหวัดกันดาฮาร์ ระหว่างเกิดการโจมตีอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ และอเมริกาส่งกองกำลังหลายพันนายเพื่อมาจับกุมเขา และล้มล้างขบวนการตาลิบันซึ่งให้ความคุ้มครองบินลาเดน

ประเด็นวิภาษ :
มาลาลาตกข่าวแล้วล่ะ ช่วยเข้า youtube ดูคลิปย้อนหลัง หรือค้น google ก็ได้จะพบว่าอเมริกาไม่ได้ส่งกองกำลังมาจับตัวบินลาเดน ปี 2001 พวกเขาใช้เครื่องบินปูพรมถล่มบ้านเรือนของชาวบ้านที่บริสุทธิ์ตายไป 3,000 คน ในทันที ตึกเวิร์ลเทรดถล่มภายในไม่กี่นาที แต่สงครามอัฟกานิสถานยาวนานจนคนล้มตายจำนวนมาก และยังลามไปถึงอิรักจนมีคนตายนับแสน (จากการใส่ร้ายว่าอิรักเกี่ยวพันก่อการร้าย) ถ้าหากว่าบิน ลาเดนฆ่าคน 3,000 คน จริงตอน 9/11 และทำให้อเมริกามีความชอบธรรมที่จะล้างแค้นไปถล่มที่ต่างๆได้ แบบนี้เดี๋ยวอัลกออิดะฮฺก็คิดเหมือนกัน ล้างแค้นถล่มอเมริกาที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ..หรือไม่หากจะจับจอร์จ บุชคนเดียว อัลกออิดะฮฺหรือฏอลิบันคงต้องส่งหน่วย Navy Seal หย่อนลงจากเฮลิค็อปเตอร์ไปบุกบ้านจอร์จ บุชแล้วกราดยิง เอาศพไปทิ้งทะเล พร้อมปกปิดวิดีโอไว้ไม่เผยแพร่ แล้วก็กุข่าวเท็จว่าจอร์จ บุชวิ่งไปหลบหลังภรรยาบ้างแล้วล่ะ

หน้า 85 มาลาลากล่าวว่า :
พวกเราไม่ชอบตาลิบัน เพราะเคยได้ยินว่าพวกเขาทำลายโรงเรียนสำหรับเด็กผู้หญิง และระเบิดพระพุทธรูปองค์ใหญ่หลายองค์ เรามีพระพุทธรูปจำนวนมากที่เราต่างก็ภูมิใจ แต่ชาวพัชตุนไม่ชอบการระเบิดโจมตีอัฟกานิสถาน หรือการที่ปากีสถานยื่นมือเข้าช่วยเหลืออเมริกา...

ประเด็นวิภาษ :
แหม้..ถึงว่าล่ะเข้าทางคนไทยส่วนหนึ่งเหมือนกัน หนังสือมาลาลาถึงได้ถูกดันในเมืองไทยด้วย
มาลาลามีจุดยืนเรื่องการคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยกับสงครามนั้นดีแล้ว แต่ในส่วนของการทำลายรูปปั้น ข้อนี้ถ้าเป็นมุสลิมที่เข้าใจเรื่องหลักศรัทธาคงไม่ติดใจ แต่หากได้อ่านหนังสือมาลาลาทั้งเล่มก็จะรู้ว่ามาลาลาไม่ได้มีศรัทธาใดๆในศาสนาอิสลาม (ในเมืองไทยมีชาวพุทธบางกลุ่มที่เห็นด้วยกับการทำลายรูปปั้น เพราะถือว่าพระพุทธเจ้าได้สั่งห้ามไว้เรื่องการปั้นรูปศาสดามาเคารพ แต่โดยทั่วไปชาวพุทธส่วนมากย่อมไม่พอใจ เราก็เข้าใจ และเห็นใจ แต่นี่คือหลักการศาสนาอิสลามจริงๆที่ต้องทำลายรูปปั้น) การทำลายรูปปั้นเป็นสิ่งที่ศาสนทูตของพระเจ้าได้กระทำไว้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนบีอิบรอฮีม (อับราฮาม) ที่ทั้งชาวยิวและคริสต์ก็ศรัทธา แต่ก็น่าแปลกว่าสื่อของชาวยิวกลับโหมโรงเล่นงานมุสลิมในประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถไปทำลายรูปปั้นได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย อย่างกรณีของฏอลิบันก็ทำในขณะที่เขาได้ปกครองบ้านเมืองขณะนั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สามารถเป็นแหล่งการศึกษาอารยธรรมได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะไม่มีรูปปั้นก็ตาม วันหนึ่งสังคมยุคต่อไปอาจเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น
ส่วนกรณีการปิดโรงเรียนเด็กผู้หญิง เราไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ซึ่งถ้าเป็นจริงแล้วไซร้ นั่นก็ไม่ใช่หลักการศาสนาอิสลาม เว้นแต่จะมีเหตุผลอื่น (เช่นแอบแฝงเป็นแหล่งบ่มเพาะลัทธิแปลกปลอมหรือซ่องสุมก่อกบฏ เป็นต้น) แต่ปกติแล้วการห้ามสตรีเรียนหนังสือ ข้อนี้ไม่มีในบัญญัติอิสลาม

หน้า 91 มาลาลากล่าวว่า :
ชาวมุสลิมแบ่งแยกได้เป็น 2 นิกายหลัก ได้แก่ สุหนี่และชีอะห์ โดยหลักการแล้วทั้งสองนิกายนี้มีความเชื่อหลักและพระคัมภีร์อัลกุรอานเล่มเดียวกัน แต่เห็นต่างกันตรงที่ว่าใครควรเป็นศาสดาของศาสนาอิสลาม

ประเด็นวิภาษ :
ซุนนีและชีอะห์ไม่ได้เห็นต่างกันในเรื่องใครจะเป็นศาสดา (หลังที่ท่านนบีมุฮัมมัดจากไป) ก็ไม่ทราบส่วนนี้ผู้เขียนเขียนผิด หรือผู้แปลแปลผิด เพราะทั้งสองถือว่านบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาคนสุดท้าย แต่ทั้งสองเห็นแย้งกันว่าใครคือคอลิฟะฮฺ (Caliph) สืบทอดการปกครองรัฐต่อจากนบีมุฮัมมัด ฝ่ายซุนนีก็ถือว่าที่ดำรงตำแหน่งสืบกันมานั้นถูกต้องชอบธรรมอยู่แล้ว คืออบูบักรฺ, อุมัร, อุษมาน, อะลี ตามลำดับ ส่วนชีอะห์มองว่าไม่ใช่ ต้องเป็นอะลี (คือหลานนบีมุฮัมมัด) เท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นคอลิฟะฮฺคนแรก และตำแหน่งก็ต้องสืบทอดกันโดยสายตระกูลนี้ เริ่มต้นของนิกายคือมีเพียงประเด็นนี้

สรุป จะเห็นได้ว่า มาลาลาได้เล่านู่นเล่านี่มากมาย แต่เกือบจะทั้งหมดก็ถือว่าเป็นการพาดพิงอิสลามอย่างคลาดเคลื่อน และไม่มีเรื่องราวใดๆเลยนอกจากความพยามที่จะเย้ยหยันศาสนาความเชื่อเท่านั้น นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างความสับสนให้สังคมได้เข้าใจผิดว่าสิ่งที่มาลาลาตำหนิ กระแนะกระแหนนั้นคือศาสนาอิสลาม และอาจเกิดมโนภาพเชื่อมโยงผิดๆว่านั่นคือสังคมของฎอลิบันหรือกลุ่มเคร่งที่มีปัญหากับมาลาลา แต่จริงๆไม่ใช่เลย มาลาลาจับแพะชนแกะ สร้างความเข้าใจผิดโดยนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนที่ยึดวัฒนธรรมความเชื่อแบบท้องถิ่นที่ไม่ใช่อิสลาม และอาจทำให้คนอ่านเอาไปสวมครอบใส่ให้ฏอลิบัน ในขณะที่พวกเขาต่อต้านสิ่งผิดๆที่มาลาลากล่าวมา แล้วก็มีปัญหาอยู่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นสำหรับข้อเสียของฎอลิบันจริงๆ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทั้งหมด เราไม่เห็นด้วยกับการยิงมาลาลา แต่เราก็มีความสงสัยเงื่อนงำเหมือนกันว่ามันมีอะไรมากกว่าที่เรารับรู้หรือไม่ ..ว่าใครทำและทำเพราะอะไร? (เพราะโลกนี้มันช่างซับซ้อนกว่าสิ่งที่เห็น)

………………………

สุดท้ายสำหรับพี่น้องมุสลิม โปรดตั้งสติและรู้เท่าทันว่ามาลาลาคนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับอิสลาม เพียงแต่แอบอ้างนามมุสลิมแล้วคอยโจมตีให้ร้ายอิสลาม ไม่ต่างกับมาร์จาเน ซาตราปี (Marjane Satrapi) ผู้เขียน Persepolis ซึ่งเคยทำมาก่อนหน้านี้แล้ว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น