วิภาษหนังสือ “I Am Malala” แปลโดย ‘สหชน สากลทรรศน์’ สำนักพิมพ์มติชน (แบบพอสังเขป)
# ตอน 2 # โดยอัซซาบิกูน
เหล่าผู้สนับสนุนมาลาลา พยามแอ๊บรับลูกส่งลูก ทำลายอิสลามแบบเนียนๆจนกระทั่งพี่น้องมุสลิมเราบางส่วนก็รู้ไม่เท่าทันเหมือนกัน ก็ไปเข้าใจว่ามาลาลาเป็นมุสลิมคนหนึ่งที่ต้องออกมาต่อสู้กับกลุ่มสุดโต่งที่กดขี่สตรี แต่จริงๆไม่ใช่เลย เธอได้แสดงออกให้เห็นว่าไม่ได้ความศรัทธาใดๆในอิสลามเลย และยังมีแนวคิดเซคิวล่าร์ที่ต่อต้านชารีอะฮฺอิสลามอีกด้วย
หน้า 27-28 มาลาลากล่าวว่า :
แม่มาจากครอบครัวที่ผู้หญิงเข้มแข็ง เช่นเดียวกับที่ผู้ชายมีอิทธิพล .....
...แม่เป็นคนเคร่งครัดในศาสนา จะละหมาดวันละ 5 ครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้ไปทำในมัสยิด เพราะอนุญาตให้แค่ผู้ชายเข้าเท่านั้น แม่ไม่อนุญาตให้เต้นรำ แม่บอกว่าพระเจ้าไม่โปรด แต่แม่ชอบประดับตัวด้วยของน่ารักกุ๊กกิ๊ก เสื้อผ้าถัก สร้อยคอทองคำ และกำไลข้อมือข้อเท้า ฉันคิดว่าฉันทำให้แม่ผิดหวังหน่อยๆ เพราะฉันเป็นเหมือนพ่อ ไม่ค่อยสนใจพวกเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ ฉันเบื่อการไปตลาด แต่ชอบเต้นรำกับเพื่อนนักเรียนที่โรงเรียน
ประเด็นวิภาษ :
หากมาลาคิดทบทวนซะหน่อยก็จะได้คำตอบว่าที่แม่มาจากครอบครัวที่ผู้หญิงเข้มแข็ง คือไม่ถูกกดขี่นั้นก็เพราะว่าเขามาจากครอบครัวของกลุ่มคนที่เคร่งครัดศาสนานั่นเอง เขาละหมาด 5 เวลา (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่แสดงว่าวัฒนธรรมที่มาลาลาอยู่นั้นนอกจากเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ เหยียดเพศ แล้วยังไม่ละหมาดครบ 5 เวลาอีกต่างหาก) และแม่ก็ไม่เต้นรำด้วย นั่นก็ถือว่าทำตามหลักการศาสนา
ส่วนการห้ามสตรีเข้ามัสญิดนั้นเป็นความเข้าใจศาสนาที่คลาดเคลื่อนของมุสลิมบางกลุ่ม แต่หากดูที่หลักบัญญัติจากอิสลามจริงๆแล้ว เพียงส่งเสริมให้สตรีละหมาดที่บ้านเพราะประเสริฐกว่า แต่หากใครอยากเข้ามัสญิดก็สามารถทำได้ ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ห้ามบรรดาบ่าวหญิงของอัลลอฮฺไม่ให้ไปยังมัสญิดของอัลลอฮฺ และจงให้พวกนางออกไปโดยไม่ใส่น้ำหอม” (หะดีษ บันทึกโดยอะหฺมัด และอบูดาวูด) จะเห็นได้ว่าศาสนาอนุญาตให้สตรีไปมัสญิดได้ แต่ห้ามใส่น้ำหอม เพราะน้ำหอมเป็นสิ่งดึงดูดทางเพศ (เผื่อหากสงสัยข้อนี้ก็เข้าใจไม่ยาก มาลาลาอยู่ในตะวันตกคงเห็นในโฆษณาบ่อยๆว่าเป้าหมายของน้ำหอมคือการดึงดูดเพศตรงข้าม) ซึ่งจะทำให้รบกวนการละหมาด
หน้า 35 มาลาลากล่าวว่า :
...นายพลเซียบอกกับผู้คนของเราว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องเชื่อฟังรัฐบาลของเขา เพราะดำเนินรอยตามหลักการอิสลาม นายพลเซียต้องการกระทั่งควบคุมว่าเราควรจะสวดภาวนาอย่างไร และตั้งสลุตหรือคณะกรรมการสวดภาวนาขึ้นประจำทุกเขตแม้แต่หมู่บ้านที่ห่างไกล และแต่งตั้งคณะสวดภาวนา 1 แสนคนไว้เป็นผู้ตรวจสอบ ก่อนหน้านั้นพวกครูสอนศาสนาอิสลามเกือบจะเป็นตัวตลก พ่อเล่าว่าในงานแต่งงานพวกครูจะยืนแกร่วอยู่ตามมุมและรีบกลับก่อน แต่ในยุคของนายพลเซีย พวกท่านกลายเป็นผู้มีอิทธิพลและได้รับการเรียกตัวไปอิสลามาบัดเพื่อแนะนำการเทศนา แม้แต่ปู่ของฉันก็ได้ไปด้วย ภายใต้การปกครองของนายพลเซีย ชีวิตของผู้หญิงในปากีสถานถูกคุมเข้มมากขึ้น จินนาห์บอกว่า “ไม่มีการต่อสู้ใดสำเร็จได้โดยปราศจากผู้หญิงร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ชาย ในโลกนี้มีอำนาจอยู่ 2 แบบ หนึ่งคือดาบและอีกหนึ่งคือปากกา แต่มีอำนาจที่ 3 ที่แข็งแกร่งกว่าทั้งสองอำนาจนั่นคือผู้หญิง” แต่นายพลเซียนำกฎหมายอิสลามมาใช้ ซึ่งทำให้ในชั้นศาล หลักฐานของผู้หญิงมีน้ำหนักเหลือเพียงครึ่งเดียวของผู้ชาย ไม่นานนักห้องขังของเราก็เต็มไปด้วยนักโทษอย่างเด็กหญิงวัย 13 ปี ซึ่งถูกข่มขืนและตั้งท้อง แล้วก็ถูกส่งไปเรือนจำข้อหาคบชู้ เพราะเธอไม่สามารถหาพยานผู้ชาย 4 คนมายืนยันว่ามันคืออาชญากรรม
ประเด็นวิภาษ :
ถึงแม้มาลาลาจะแสดงอาการต่อต้านการรณรงค์เรื่องละหมาด (หรือนมาซ ผู้แปลใช้คำว่าสวดภาวนา เพราะแปลจากคำว่า pray) ของนายพลเซียอุลฮัก รวมถึงต่อต้านกฎหมายอิสลาม แต่ต้องเข้าใจว่าการเชื่อมโยงเรื่องดังกล่าวในหัวสมองเป็นการหาข้ออ้างในการปฏิเสธชารีอะฮฺอิสลามด้วยหลักจับแพะชนแกะ -> ‘นี่ไงล่ะผู้นำคนนี้เอากฎหมายอิสลามมาใช้ กฎหมายไม่เป็นธรรม ->การรณรงค์เรื่องละหมาดจึงเป็นสิ่งไม่ดี’ -> สรุปคือผู้นำที่เอากฎหมายอิสลามมาใช้คือไม่ดี ..แต่ที่จริงต้องแยกออกมาเป็นเรื่องๆ
-เรื่องที่นายพลเซียอุลฮักได้พยามนำหลักอิสลามมาใช้ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมีความชอบธรรมที่ให้ประชาชนเชื่อฟัง มีการตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบเรื่องการละหมาด เรื่องนี้ถือว่านายพลเซียบริหารประเทศได้ถูกต้องตามหลักอิสลาม และเขายังฟื้นฟูสังคมจนทำให้นักการศาสนาได้มีเกียรติและมีบทบาท
-ส่วนกรณีนำกฎหมายอิสลามมาใช้ แล้วไม่เป็นธรรมต่อสตรี แก้ปัญหาอาชญากรรมไม่ได้ ถ้าผลออกมาอย่างนี้แสดงว่านั่นไม่ใช่อิสลาม เพราะอิสลามต้องให้ความเป็นธรรม และแก้ปัญหาได้
-ต้องแยกแยะให้ออกเรื่องจำนวนพยานที่ไม่เท่ากันของชายกับหญิง เพราะความเท่าเทียมไม่ได้หมายความว่าชายหญิงจะต้องมีอะไรเหมือนๆกัน เช่นกรณีพยาน ชาย 1 หญิงต้อง 2 เพราะความแม่นยำของผู้ชายนั้นมากกว่า ไม่โลเล ส่วนกรณีการข่มขืน อันนี้ไม่เกี่ยวกับต้องหาพยานชายหรือหญิงมาแข่งกัน แต่เป็นเพียงทัศนะจากการวินิจฉัยเทียบกับการผิดประเวณี (ซึ่งเทียบไม่ถูกต้อง) ซึ่งจะกล่าวหาว่าใครผิดประเวณีได้นั้นก็ต้องมีพยาน 4 คน (ที่มีกฎนี้ก็เพื่อที่จะให้เกิดการลงโทษได้ยากขึ้น รอบครอบขึ้น และขจัดค่านิยมการใส่ร้าย) แต่ดูเหมือนบ้านเมืองของมาลาลาและประเทศมุสลิมหลายๆประเทศ จะมีการปฏิบัติที่ผิดพลาดในเรื่องนี้ คือมักไปปรักปรำว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายทำผิดประเวณี ทั้งๆที่เวลาจะลงโทษผู้หญิงก็กลับไม่ต้องหาพยาน 4 คน แล้วก็ไม่ได้เป็นการสารภาพว่าทำผิด แต่เป็นการเล่าความว่าถูกข่มขืน (ตามกฎหมายศาสนาไม่สามารถเอาผิดฐานผิดประเวณี) ซึ่งกรณีการข่มขืนจริงๆแล้วต้องวินิจฉัยว่าเป็นการก่ออาชญากรรม สร้างความเสียหายบนแผ่นดินร้ายแรง (ความผิดอย่างหนึ่งในอิสลาม) ไม่ใช่วินิจฉัยว่าเป็นการผิดประเวณี เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอมด้วย จึงเป็นการก่ออาชญากรรม และคดีอาชญากรรมไม่ต้องรอพยานถึง 4 คนมาชี้
-ส่วนเรื่องเด็กหญิงอายุ 13 ถูกข่มขืนแล้วถูกลงโทษ มันช่างสอดคล้องกับที่โซมาเลียราวกับเป็นเรื่องเดียวกันโดยบังเอิญ จนคิดว่าบางทีมาลาลาอาจสับสนไปเอาข่าวโซมาเลียมาสวมเข้าไปในประวัติบ้านเกิดตนเอง อย่างไรก็ตามหากเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของมาลาลา นั่นก็ต้องถือว่า กฎหมายดังกล่าวไม่เป็นธรรม และไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของอิสลามที่ต้องการให้พิทักษ์ความดีงามป้องกันอาชญากรรม แต่กฎหมายดังกล่าวคือการสนับสนุนอาชญากรรม
-ส่วนที่จินนาห์ (ผู้ก่อตั้งประเทศ) กล่าวนั้นถูกต้องทุกประการ โดยเฉพาะที่กล่าวถึงการต่อสู้อีกรูปแบบหนึ่งคือการใช้ปากกา ซึ่งเราขอบอกว่าต่อไปคีย์บอร์ดนี่แหละที่จะเป็นอาวุธต่อสู้กับแนวคิดเซคิวล่าร์ที่ทำลายอิสลาม และยุคนี้สตรีมุสลิมนี่แหละที่จะออกมาปกป้องศาสนาอันบริสุทธิ์
หน้า 38 มาลาลากล่าวว่า :
ตาลิบคนหนึ่งพูดถึงจีฮัดในแง่ความรุ่งโรจน์ซึ่งพ่อของฉันก็หลงปลื้ม เขาย้ำกับพ่อไม่รู้จบว่าชีวิตบนโลกแสนสั้น และมีโอกาสไม่มากสำหรับคนหนุ่มในหมู่บ้าน ครอบครัวของเราเป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆ และพ่อแม่ไม่ได้ต้องการลงเอยด้วยการลงใต้เพื่อไปทำงานเหมืองถ่านหินเหมือนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น มันเป็นงานยากและอันตราย โลงศพของคนเสียชีวิตในอุบัติเหตุทยอยส่งกลับมาเรื่อยๆตลอดปี สิ่งที่ดีที่สุดที่เด็กผู้ชายในหมู่บ้านส่วนใหญ่หวังคือการไปทำงานก่อสร้างในซาอุดิอาระเบีย หรือดูไบ สวรรค์ที่มาพร้อมสาวพรหมจรรย์ 75 คน ฟังดูน่าดึงดูดใจ ทุกคืน พ่อจะสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า “โอ้อัลเลาะห์ กรุณาสร้างสงครามระหว่างชาวมุสลิมและพวกนอกรีต เพื่อที่ข้าจะได้ตายเพื่อพระองค์และได้เป็นผู้พลีชีพ” ชั่วขณะหนึ่ง ความเป็นมุสลิมของพ่อดูเหมือนจะสำคัญกว่าทุกสิ่งในชีวิต พ่อเริ่มเขียนชื่อตัวเองว่า “เซียอุดดิน ปานช์ปีรี” (ปานช์ปีรีเป็นนิกายหนึ่งทางศาสนา) และเริ่มไว้เคราครั้งแรกในชีวิต พ่อว่ามันเป็นเหมือนการล้างสมอง พ่อเชื่อว่าพ่ออาจจะเป็นกระทั่งมือระเบิดพลีชีพไปแล้วหากสมัยนั้นมีหน้าที่
มิน่าเล่า มาลาลาถึงได้โด่งดังและถูกหนุนจากสื่อตะวันตก เพราะมีการกระแนะกระแหนหลักการญีฮาดในทำนองเดียวกับที่สื่อตะวันตกโจมตีนั่นเอง ในช่วงนั้นที่มีสงครามโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน ซึ่งมาลาลาเองก็ทราบดีว่าอเมริกาชื่นชมและสนับสนุนเหล่ามุญาฮิดีน นอกจากซีไอเอจะร่วมหนุนแล้วก็ยังมีการสร้างหนังออกมาด้วย ซึ่งมาลาลาคงเกิดไม่ทันหนังฮอลลีวูดเรื่องแรมโบ้ 3 (หรือในถิ่นนั้นอาจยังไม่มีวิดีโอ) ..แต่สำหรับพวกเราโดนฮอลลีวูดล้างสมองจนไปๆมาๆรู้ทันหมดแล้ว พอพวกเขาปราบลัทธิคอมมิวนิสต์เสร็จ ตอนนี้ฮอลลีวูดก็หันมาปราบศาสนาอิสลามต่อ
ในช่วงนั้นบรรดาฏอลิบ (นักศึกษา) หรือฏอลิบัน ก็ต่างป่าวประกาศเชิญชวนสู่การญีฮาด ถ้าเป็นประเทศอื่นๆเขาจะปลุกระดมด้วยกับเรื่องการรักชาติ ตายเพื่อชาติ เพื่อชื่อเสียง เพื่อเสรีภาพของประชาชน อะไรต่างๆ หรือถ้ามีศาสนาความเชื่อก็จะปลุกระดมว่าจะได้บุญมหาศาล ธงชาติอังกฤษที่มาลาลาอยู่ใต้ร่มเงานั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพครูเสด ที่เคยปลุกระดมว่าไปฆ่าพวกนอกรีต ฆ่ามุสลิม พิชิตดินแดนเยรูซาเล็มแล้วจะได้เข้าสวรรค์
ส่วนมุสลิมก็จะปลุกระดมกระตุ้นกันในเรื่องศรัทธาเหมือนกัน (ส่วนความเชื่อไหนจะจริงจะปลอมอันนี้อีกเรื่องหนึ่ง) ที่จริงแล้วความรู้สึกอยากเข้าสวรรค์ มันคล้ายกับชาวไทยที่อยากรับเสด็จพระมหากษัตริย์ หรือวัยรุ่นที่ต้อนรับดารานักร้องในดวงใจ หรือชาวคริสต์ที่อยากพบพระเยซู แต่สำหรับมุสลิมจะรู้สึกปีติยินดีมากกว่านั้นที่จะไปอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า และความอยากสุขสบายก็เหมือนกับที่มาลาลาอยากไปอยู่ตะวันตกเพราะสบายกว่าบ้านเดิม ปลอดภัยจากการถูกยิง แต่มุสลิมรู้สึกซาบซึ้งและปีติยินดีมากกว่าเมื่อคิดอยากเข้าสวรรค์ หากคนเราอยากสุขสบาย รู้ว่าไปรบเพื่อชาติแล้วจะกลับมารับเหรียญจากประธานาธิบดีโอบามา มีโบนัส มีรถ มีบ้าน เขาคงจะไปรบอย่างภาคภูมิใจยิ่งนัก เช่นเดียวกัน ถ้าแบบนั้นไม่ผิด ในแบบอิสลามก็คงจะไม่ผิดที่คนจะอยากไปรบแล้วมารับรางวัลจากพระเจ้า มีวัง มีสวน สบายกว่าอังกฤษ อเมริกา ไม่ต้องเอาเงินไปเที่ยวโสเภณีในลอนดอน นิวยอร์ค หรือลาสเวกัส แต่มีภรรยาและมีนางสวรรค์ มีอารยธรรมสูงส่งในสวรรค์ ไม่ลามกต่ำช้า มาลาลาอยู่ในตะวันตกไม่สังเกตหรือว่า สตรีที่นั่นน่าสงสารขนาดไหน หลายๆคนเป็นได้แค่เครื่องมือโฆษณาขายรถและสินค้าต่างๆ เป็นแค่ตัวจิตวิทยาหลอกให้ผู้ชาย (อาจเป็นสามีคนอื่น) มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการ สตรีเหล่านั้นไม่รู้เหรอว่า ถ้าเธอได้เข้าสวรรค์เธอจะสูงส่ง และสวยงามยิ่งกว่านางสวรรค์เสียอีก
อย่างไรก็ตาม การปลุกระดมนำเรื่องการญีฮาดและผลตอบแทนมากล่าวนั้น จะต้องเป็นคนที่มีพื้นฐานการศรัทธาที่แน่นและถูกต้องอยู่แล้ว จึงจะเข้าใจการญีฮาดอย่างถูกต้อง ไม่ใช่มีหลักศรัทธาที่คลาดเคลื่อน มันจะกลายเป็นความหลงผิดในการต่อสู้ และสุดท้ายก็หันหลังให้อิสลาม
สรุป ขอให้พี่น้องมุสลิมไม่หลงคล้อยตามกระแสและแผนการของผู้ไม่หวังดี ฉุกคิดซักนิดว่าถ้าหากว่ามาลาลาเป็นผู้เผยแพร่อิสลาม หรือสร้างคุณประโยชน์ต่ออิสลามจริงๆแล้วก็คงจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจตะวันตกเป็นแน่ ฉะนั้นพี่น้องโปรดอย่าได้หลงไปสนับสนุนหรือเผยแพร่ผลงานเหล่านี้ ร้านไหนมีโปรดส่งคืนสำนักพิมพ์ไปเถอะ
และหันมารณรงค์ผลิตหนังสือประเภทหักล้างข้อใส่ไคล้อิสลามกันดีกว่า
...............................
# ความเดิมตอนที่ 1 #
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/845063405515455/?type=1&relevant_count=1
# ต่อตอน 3 #
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/845101262178336/?type=1&relevant_count=1
………………………
บทความเกี่ยวข้อง
ประณามสำนักพิมพ์มติชน ดันหนังสือมาลาลา
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/824160314272431/?type=1&relevant_count=1
จอร์จ วอชิงตัน (ผู้ก่อตั้งอเมริกา) กลายเป็นเทพ รายล้อมด้วยนางฟ้า
https://www.facebook.com/1361713367301331/photos/a.1361739193965415.1073741828.1361713367301331/1464816583657675/?type=1&relevant_count=1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น