อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิภาษหนังสือ “I Am Malala”



วิภาษหนังสือ “I Am Malala” แปลโดย ‘สหชน สากลทรรศน์’ สำนักพิมพ์มติชน (แบบพอสังเขป)
# ตอน 2 #  โดยอัซซาบิกูน
วิภาษหนังสือ “I Am Malala” แปลโดย ‘สหชน สากลทรรศน์’ สำนักพิมพ์มติชน (แบบพอสังเขป)
 # ตอน 1#

ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า เราไม่เห็นด้วยหากมีการปิดกั้นการเรียนการศึกษาของเด็กผู้หญิง และถึงขั้นมีการลงไม้ลงมือใช้อาวุธกัน หากมันเป็นเรื่องจริงเราก็ขอคัดค้านและหวังว่ามันจะหมดไปจากสังคมนั้นๆ แต่บทความนี้เป็นการตอบโต้งานเขียนของมาลาลา เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักการศาสนาอิสลาม และรู้เท่าทันแนวคิดเซคิวล่าร์ที่มุ่งทำลายล้างอิสลาม ถึงแม้ทั่วโลกจะพร้อมใจกันกระจายสิ่งที่เป็นความมดเท็จและความเข้าใจผิด แต่ทางเพจเราถึงจะเป็นคนกลุ่มเล็กๆบนโลกนี้ จะไม่ยอมปล่อยผ่านสิ่งนี้เป็นอันขาด

งานเขียนของมาลาลาเล่มนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากตัดพ้อความยากจนของตนเอง ตำหนิความล้าหลังของบ้านเกิดตนเอง โดยโทษไปที่ศาสนาและวัฒนธรรมที่นั่น นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีแนวคิดยกย่องวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่คนตะวันตกซึ่งภาคภูมิใจในอารยธรรมและเชื้อชาติของตนนั้นก็ย่อมถูกใจและพากันสนับสนุนมาลาลาอย่างแน่นอน อีกทั้งนอกจากจะดูแคลนวัฒนธรรมบ้านเกิดแล้ว ยังเป็นหนังสือที่มีเป้าหมายโจมตีศาสนาอิสลามและกลุ่มฏอลิบันอีกด้วย ฉะนั้นทั้งหนังสือและตัวมาลาลาจึงตกเป็นเครื่องมือของตะวันตกที่กำลังทำสงครามสื่อต่อโลกมุสลิม ชนิดที่เรียกว่ารีบตะครุบเลยทันที  

หน้าที่ 11 (บทนำ) มาลาลากล่าวว่า :
..แต่ฉันกลับอยู่ในประเทศที่เวลาเดินทางช้ากว่าปากีสถานบ้านเกิดที่รัก และบ้านของฉันในหุบเขาสวัตถึง 5 ชั่วโมง แต่ประเทศของฉันล้าหลังจากประเทศนี้หลายศตวรรษ ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากเท่าที่จะจินตนาการได้ ทุกก๊อกมีน้ำไหล ร้อนหรือเย็นแล้วแต่คุณต้องการ กดสวิตช์ไฟก็สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ต้องใช้ตะเกียงน้ำมัน มีเตาปรุงอาหารโดยไม่ต้องไปซื้อถังแก๊สจากตลาด ที่นี่ทุกอย่างทันสมัยมาก ชนิดที่หาอาหารปรุงสุกพร้อมกินได้ในซอง เมื่อฉันยืนที่หน้าต่างและมองออกไป ฉันมองเห็นตึกสูง ถนนยาวเหยียดมีรถราเคลื่อนที่ไปตามเลนอย่างเป็นระเบียบ แนวพุ่มไม้และสนามหญ้าสีเขียวตัดแต่งเรียงร้อย..

ประเด็นวิภาษ :
(ที่มาลาลากล่าวชื่นชมคือ เบอร์มิงแฮมประเทศอังกฤษ) นึกสภาพบ้านเก่ามาลาลาแล้วน่าอดสูนัก เราอยากให้มาลาลาได้มารู้จักเมืองไทย ที่นี่เป็นประเทศที่คนตะวันตกส่วนหนึ่งซึ่งอยากใช้ชีวิตมีความสุข เขาจะมาที่นี่กัน เชื่อว่าผู้คนเมืองที่มาลาลาพักพิงอยู่อาจไม่รู้จักประเทศไทย บางคนก็นึกว่าเป็นประเทศ Bangkok หรือไม่ก็ประเทศ Pattaya (เหมือนมัลดีฟส์ อะไรทำนองนั้น ..ใช่แล้วล่ะ คนตะวันตกจำนวนมาก ไม่มีความรู้รอบตัวเลย) ที่นี่ประเทศไทย บ้านเมืองเจริญแบบกลางๆ ผู้คนมีความรู้สูง จบปริญญาตรี โท เอก (แต่คนบางส่วนก็ไม่ค่อยมีความรู้รอบตัวเช่นกัน) สังคมทันสมัยฟังเพลงตะวันตก และผลิตเพลงได้เทียบเท่าตะวันตก (แต่คนตะวันตกเขาไม่สนหรอกเพราะโดยมากเขามักดูถูกภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาของเขา) คนที่นี่ดำเนินชีวิตตามแบบตะวันตกทุกประการ แทบไม่มีอะไรที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเลย คนตะวันตก คนอาหรับ คนแอฟริกา และคนเอเชียใต้บ้านมาลาลา ต่างก็นิยมมาที่นี่ แต่มุสลิมที่นี่เคร่งครัด มีการศึกษาสูง ยึดสันติวิธี นิยมกฎหมายและรัฐอิสลาม และไม่นิยมตะวันตก ส่วนคนศาสนิกอื่นก็มีจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งของโลกมุสลิมกับมหาอำนาจเป็นอย่างดี

หน้า 19 มาลาลากล่าวว่า :
ตอนฉันเกิด คนในหมู่บ้านเห็นอกเห็นใจแม่ และไม่มีใครแสดงความยินดีกับพ่อ ฉันเกิดตอนรุ่งเช้า ขณะที่ดาวดวงสุดท้ายกะพริบแสงก่อนดับลง พวกเราชาวพัชตุนถือเป็นฤกษ์ดี พ่อไม่มีเงินค่าโรงพยาบาลและหมอตำแย เพื่อนบ้านจึงต้องช่วยทำคลอด ลูกคนแรกของพ่อแม่คลอดออกมาตาย แต่ฉันโผล่ออกมาทั้งเตะและร้องไห้จ้า ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่เกิดมาในบ้านเมืองที่ยิงฉลองให้กับลูกชาย ส่วนลูกสาวถูกเก็บซ่อนไว้หลังผ้าม่าน หน้าที่ในชีวิตของพวกเธอมีแค่ทำอาหารกับคลอดลูก สำหรับชาวพัชตุนส่วนใหญ่ วันที่ลูกสาวคลอดจึงเป็นวันที่น่าหดหู่

ประเด็นวิภาษ :
ต้องขอแสดงความเห็นใจกับความยากจนของคุณจริงๆ แต่ความยากจนและชีวิตที่ลำบาก ไม่มีน้ำหนักหรือความชอบธรรมที่จะออกมาสร้างความสับสนให้ผู้คนชิงชังศาสนาอิสลามหรอก และเราขอแยกน้ำดีออกจากน้ำเสียดังนี้
-เรื่องราวของการเหยียดสตรีเพศ เป็นค่านิยมที่มีมาแต่โบราณในแทบทุกวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่ประเทศของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเมืองจีน ยุโรป เมืองไทย (ที่นี่บอกว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมไว้หน้าบ้าน) หรืออาหรับโบราณ ก็มีการฝังลูกหญิงทั้งเป็น แต่พอพระเจ้าทรงประทานศาสนาอิสลามมายังนบีมุฮัมมัด สิทธิสตรีตรงนี้ก็ถูกพิทักษ์ 
อัลกุรอานได้กล่าวตำหนิค่านิยมผิดๆเหล่านี้ไว้ว่า “และเมื่อพวกเขาได้รับข่าวว่าได้ลูกผู้หญิง ใบหน้าของเขาก็หมองคล้ำและเศร้าสลด
และเขาจะหลบตัวเองจากสังคม เนื่องจากความอับอายที่ได้ถูกแจ้งแก่เขา เขาจะเก็บเอาไว้ด้วยความอัปยศหรือฝังมันในดิน พึงรู้เถิด สิ่งที่พวกเขาตัดสินใจนั้นมันช่างชั่วร้าย ”  (บท อัลนะฮฺล์ 16:58-59)
ส่วนในบ้านเกิดของมาลาลา ก็มีร่องรอยของค่านิยมโบราณอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ใช่ศาสนาอิสลาม และแน่นอนว่ากลุ่มที่เคร่งครัดในศาสนาอิสลามอย่างฏอลิบันนั้น ไม่มีการยิงปืนฉลองที่ได้ลูกชาย และไม่มีความหดหู่เมื่อได้ลูกสาว ถูกต้องไหม? ..มาลาลาลองนึกทบทวนอีกทีซิว่า กลุ่มคนที่มีค่านิยมยกย่องลูกชาย ดูถูกลูกสาว คือกลุ่มคนที่อนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นและต่อต้านกลุ่มฏอลิบันใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่อย่างแน่นอน
-ที่กล่าวถึงการเกิดตอนรุ่งเช้าว่าเป็นฤกษ์ดีนั้น เป็นความเชื่อของปาทานหรือพัชตุนโบราณ ไม่ใช่ความเชื่อของศาสนาอิสลาม ตรงกันข้ามเลยก็คือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ต่อต้านเรื่องโชคลาง โหราศาสตร์ คำทำนายทายทัก เครื่องรางของขลังทั้งปวง ชาวอาหรับยุคก่อนก็เชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ดูดวง เชื่อเรื่องโชคลาง เรื่องนกฮูก เรื่องเดือนซอฟัร เหล่านี้ว่าเป็นลางร้าย แต่พออิสลามถูกประทานลงมา ท่านนบีมุฮัมมัดสอนว่า "ไม่มีโรคระบาด ไม่มีลางร้าย ไม่มีนกฮูก และไม่มีเดือนซอฟัร และไม่มีดวงดาว (โหราศาสตร์) และไม่มีภูตผีปีศาจ (คือภูตผีไม่ได้มีอำนาจลิขิตชะตา)" (หะดีษ บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
 จะเห็นได้ว่าแวดล้อมที่มาลาลาเกิดมานั้น มีอิสลามผสมผสานอยู่จริง แต่เนื้อแท้แล้วมันคือวัฒนธรรมท้องถิ่นซึ่งไม่ใช่อิสลาม ..มาลาลาลองนึกทบทวนดูอีกทีซิว่า กลุ่มคนที่ดูถูกลูกสาว เชื่อในโหราศาสตร์ เหล่านี้คือกลุ่มคนที่ต่อต้านฏอลิบันใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่ ก็เพราะกลุ่มฏอลิลันโดยรวมคือกลุ่มที่ฟื้นฟูหลักการอิสลาม ถึงแม้พวกเขาจะคลาดเคลื่อนไปบางเรื่องก็ตาม
-การที่มาลาลาคลอดมาแล้วทั้งเตะและร้องไห้จ้า อันนี้ในส่วนของร้องไห้นั้นเป็นเรื่องปกติของทารก ส่วนการเตะนี่เป็นเรื่องโม้ เพราะเด็กทารกแรกเกิดจะยังไม่ดิ้นเตะขาในทันที ถึงมาลาลาจะสื่อมาโดยมีนัยยะเชิงประชดว่าเป็นหญิงนักสู้ตั้งแต่เกิด ท่ามกลางความไม่ยินดีของปวงประชา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอแสดงความเห็นใจอีกครั้งที่คุณเกิดมาในสังคมแบบนั้น แต่คนเราทุกคนสามารถเลือกทางเดินได้บนความเป็นธรรมความถูกต้องด้วยกันทุกคน ทุกคนสามารถเลือกทางถูกทางหลงได้โดยใช้สติแยกแยะ ไม่จำเป็นต้องเลือกทางฟิตนะฮฺ (ความหลอกลวง, สร้างความสับสน) อย่างที่มาลาลาทำอยู่ 
-อีกประเด็นที่มาลาลากล่าวคือ ผู้หญิงมีหน้าที่แค่ทำกับข้าวและคลอดลูกเท่านั้น ข้อนี้ขอให้ตัดในส่วนค่านิยมการเหยียดเพศทิ้งไปก่อน แล้วพิจารณาเฉพาะสิ่งที่กล่าวมานี้จะเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับการเหยียดเพศเลย แต่มาลาลากลับเอาแนวคิดเหล่านี้จับรวมใส่เข้าไปด้วย ที่จริงแล้วหน้าที่ที่กล่าวมาถือว่ายิ่งใหญ่มาก ถึงแม้ศาสนาอิสลามไม่ได้ถือว่าการทำกับข้าวเป็นหน้าที่ของเพศหญิงอย่างเดียว แต่โดยรวมๆสตรีถูกสร้างมามีหน้าที่เป็นเพื่อนคู่ใจของชาย ดูแลปรนนิบัติชาย การทำกับข้าวก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง (แต่ไม่ได้หมายความว่าหน้าที่งานบ้านถูกจำกัดแต่เพศหญิงเท่านั้น ชายก็ควรร่วมรับผิดชอบด้วย) ซึ่งในวัฒนธรรมอื่นๆผู้ที่ตระเตรียมอาหารในครอบครัวก็มักเป็นเพศหญิงทั้งนั้น นี่คือวัฒนธรรมของชาวยุโรปเหมือนกัน และหน้าที่ของเพศหญิงที่วัฒนธรรมชาวโลกทั้งปวงถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ก็คือ การคลอดลูก การที่เป็นเพศที่ต้องอุ้มท้อง ต้องคลอดลูก ต้องให้นมลูก เป็นบุคคลที่ลูกผูกพันที่สุด นี่คือความยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจ มีแต่คนรุ่นใหม่ที่ไร้คุณธรรมและไร้ศีลธรรมที่เหยียดหยามสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นไม่มีใครดูถูกการคลอดลูกของเพศหญิง มีแต่ตัวมาลาลาที่รู้สึกแบบนั้นไปเอง จึงกล่าวถ้อยคำนั้นออกมา (ตัวมาลาลาต่างหากที่ดูถูกความเป็นเพศหญิงซะเอง) แล้วคุณจะยกย่องเพศไหน เพศที่คลอดลูกไม่ได้และเตะบอลเก่งอย่างนั้นหรือ? 
ในอิสลามนั้นให้รักแม่มากกว่าพ่อ เมื่อมีสาวกถามนบีมุฮัมมัดว่า “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ บรรดาผู้คนทั้งหลายใครคือผู้ที่สมควรจะได้รับการปฏิบัติดีจากฉัน”  ท่านนบีได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”
จากนั้นเขาจึงถามต่อว่า แล้วใครที่ฉันควรจะปฏิบัติดีอีก  ท่านนบีได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”
จากนั้นเขาจึงถามต่ออีกว่าแล้วหลังจากนั้นคือใครอีก (เป็นครั้งที่สาม)  ท่านนบีได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”
(ถัดมา) เขาจึงถามต่ออีกว่าแล้วใครอีก ท่านนบี จึงได้กล่าวตอบว่า “พ่อของท่าน” (หะดีษ บันทึกโดยบุคอรีย์ และมุสลิม )
และท่านนบีมุฮัมมัดยังให้ความสำคัญต่อคนเป็นภรรยาโดยท่านกล่าวว่า “คนที่ดี ที่สุดในหมู่พวกท่านนั้น  คือผู้ที่ทำดีที่สุดกับภรรยาของเขา” (หะดีษ บันทึกโดยติรมีซีย์) 

 หน้า 26-27 มาลาลากล่าวว่า :
ในสังคมของเรา ปกติครอบครัวเป็นผู้จัดแจงเรื่องการแต่งงาน แต่ของพ่อแม่เป็นการแต่งงานด้วยความรัก ฉันได้ฟังเรื่องราวว่าท่านพบกันอย่างไรมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ....พ่อแอบมองแม่อยู่นานจนรู้ว่าชอบพอกัน แต่สำหรับพวกเราการแสดงอารมณ์ทำนองนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม พ่อจึงสงกร่อนให้แม่แทน ซึ่งแม่อ่านไม่ออก

ประเด็นวิภาษ :
เราต้องแยกแยะให้ออกอีกเช่นกัน เรื่องการจัดแจงแต่งงาน ศาสนาอนุญาตให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่จัดหาแนะนำกันได้ แต่ห้ามบังคับ คือจะไม่มีการคลุมถุงชน ซึ่งที่จริงการคลุมถุงชนมีในแทบทุกวัฒนธรรม แต่สำหรับอิสลามได้ห้ามเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นสิทธิ์ของเจ้าตัวได้ตัดสินใจ หรือคิดจะหาหรือคัดเลือกใครด้วยตัวเองก็ได้ และผู้ที่จะทำหน้าที่แต่งงานให้คือพ่อของลูกสาว เพราะเขาถือว่าเพศหญิงมีเกียรติ เป็นเพศที่พ่อหวง ฉะนั้นพ่อของเขาก็จะเป็นคนแต่งหรือกล่าวถ้อยคำมอบให้เจ้าบ่าวเอง 
ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “หญิงหม้าย (เคยผ่านการแต่งงาน) ตัวของนางมีสิทธิมากกว่าผู้ปกครองของนาง และสตรีที่ยังไม่เคยผ่านการแต่งงาน นางจะต้องยินยอมเสียก่อน ซึ่งการยินยอมของนาง คือการนิ่งของนาง (ไม่ปฏิเสธคัดค้าน)” (หะดีษ บันทึกโดยมุสลิม) นี่คือกรณีที่พ่อแม่จัดหาแนะนำคู่ครองให้ ก็ห้ามคลุมถุงชน ลูกสาวต้องสมัครใจ และอีกรายงานจากท่านอิบนุอับบาสผู้เป็นสาวกเล่าว่า “แท้จริงมีหญิงสาวท่านหนึ่งมายังนบีมุฮัมมัด แล้วกล่าวว่า พ่อของนางจัดการแต่งงานให้แก่นาง โดยที่นางไม่ชอบ (ตัวเจ้าบ่าว) ท่านนบีจึงใช้ให้นางตัดสินใจ” (หะดีษ บันทึกโดยอบูดาวูด)  
ส่วนเรื่องของการแสดงอารมณ์ขณะยังไม่แต่งงาน อันนี้แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่มาจากบัญญัติศาสนาอิสลาม ซึ่งอิสลามอนุญาตให้แสดงความรักได้โดยวิธีที่บริสุทธิ์ เช่นกล่าวคำพูดต่อหน้าพ่อแม่ของเขา ไม่แอบลับหลัง หรือการจ้องมองกันในเชิงชู้สาวก็เป็นสิ่งที่ต้องห้าม อิสลามถือว่าความรักประเภทรักแท้จะเกิดหลังจากที่แต่งงานไปแล้ว ข้อนี้ทุกคนสามารถสัมผัสได้ว่า เมื่อแต่งงานแล้วจะมีความรู้สึกแตกต่างกับตอนที่ยังไม่แต่งงาน (มันจึงได้มีพิธีแต่งงานอยู่ในทุกๆวัฒนธรรมไงล่ะ) และอิสลามได้มีการจำกัดในเรื่องนี้คือระหว่างแต่งงานแล้วกับยังไม่ได้แต่งงาน
อีกประเด็นที่มาลาลากล่าวถึงคุณแม่ที่อ่านหนังสือไม่ออก ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากสำหรับสังคมของมาลาลา เพราะขนาดคุณแม่ของมาลาลาเป็นคนที่พอจะรู้ศาสนาแต่ก็ยังอ่านหนังสือไม่ได้ ตรงนี้ถือว่าสังคมนั้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของอิสลาม เพราะอิสลามส่งเสริมให้มนุษย์อ่านเขียนได้ มีความรู้ ดังที่อัลกุรอานโองการแรกที่ถูกประทานยังนบีมุฮัมมัดคือคำว่า “จงอ่าน” (เป็นคำสั่งสำหรับผู้ศรัทธาทุกคน) และในอิสลาม เรื่องของภาษาเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับศาสนาโดยตรง

สรุป ขอให้พี่น้องได้ติดตามเรื่อยๆ จากที่เราตรวจสอบการเผยแพร่แนวคิดของมาลาลาทั้งหมด ขอให้พี่น้องทราบว่าคนๆนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวพันใดกับอิสลาม หากแต่เป็นการอ้างนามมุสลิมเพื่อทำลายอิสลามเท่านั้น
..........................
ประณามสำนักพิมพ์มติชน ดันหนังสือมาลาลา
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/824160314272431/?type=1&relevant_count=1
.........................
# ต่อตอน 2 # 
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/845080838847045/?type=1&relevant_count=1

# ต่อตอน 3 #
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/845101262178336/?type=1&relevant_count=1

เหล่าผู้สนับสนุนมาลาลา พยามแอ๊บรับลูกส่งลูก ทำลายอิสลามแบบเนียนๆจนกระทั่งพี่น้องมุสลิมเราบางส่วนก็รู้ไม่เท่าทันเหมือนกัน ก็ไปเข้าใจว่ามาลาลาเป็นมุสลิมคนหนึ่งที่ต้องออกมาต่อสู้กับกลุ่มสุดโต่งที่กดขี่สตรี แต่จริงๆไม่ใช่เลย เธอได้แสดงออกให้เห็นว่าไม่ได้ความศรัทธาใดๆในอิสลามเลย และยังมีแนวคิดเซคิวล่าร์ที่ต่อต้านชารีอะฮฺอิสลามอีกด้วย
หน้า 27-28 มาลาลากล่าวว่า :
แม่มาจากครอบครัวที่ผู้หญิงเข้มแข็ง เช่นเดียวกับที่ผู้ชายมีอิทธิพล .....
...แม่เป็นคนเคร่งครัดในศาสนา จะละหมาดวันละ 5 ครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้ไปทำในมัสยิด เพราะอนุญาตให้แค่ผู้ชายเข้าเท่านั้น แม่ไม่อนุญาตให้เต้นรำ แม่บอกว่าพระเจ้าไม่โปรด แต่แม่ชอบประดับตัวด้วยของน่ารักกุ๊กกิ๊ก เสื้อผ้าถัก สร้อยคอทองคำ และกำไลข้อมือข้อเท้า ฉันคิดว่าฉันทำให้แม่ผิดหวังหน่อยๆ เพราะฉันเป็นเหมือนพ่อ ไม่ค่อยสนใจพวกเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ ฉันเบื่อการไปตลาด แต่ชอบเต้นรำกับเพื่อนนักเรียนที่โรงเรียน
ประเด็นวิภาษ :
หากมาลาคิดทบทวนซะหน่อยก็จะได้คำตอบว่าที่แม่มาจากครอบครัวที่ผู้หญิงเข้มแข็ง คือไม่ถูกกดขี่นั้นก็เพราะว่าเขามาจากครอบครัวของกลุ่มคนที่เคร่งครัดศาสนานั่นเอง เขาละหมาด 5 เวลา (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่แสดงว่าวัฒนธรรมที่มาลาลาอยู่นั้นนอกจากเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ เหยียดเพศ แล้วยังไม่ละหมาดครบ 5 เวลาอีกต่างหาก) และแม่ก็ไม่เต้นรำด้วย นั่นก็ถือว่าทำตามหลักการศาสนา
ส่วนการห้ามสตรีเข้ามัสญิดนั้นเป็นความเข้าใจศาสนาที่คลาดเคลื่อนของมุสลิมบางกลุ่ม แต่หากดูที่หลักบัญญัติจากอิสลามจริงๆแล้ว เพียงส่งเสริมให้สตรีละหมาดที่บ้านเพราะประเสริฐกว่า แต่หากใครอยากเข้ามัสญิดก็สามารถทำได้ ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ห้ามบรรดาบ่าวหญิงของอัลลอฮฺไม่ให้ไปยังมัสญิดของอัลลอฮฺ และจงให้พวกนางออกไปโดยไม่ใส่น้ำหอม” (หะดีษ บันทึกโดยอะหฺมัด และอบูดาวูด) จะเห็นได้ว่าศาสนาอนุญาตให้สตรีไปมัสญิดได้ แต่ห้ามใส่น้ำหอม เพราะน้ำหอมเป็นสิ่งดึงดูดทางเพศ (เผื่อหากสงสัยข้อนี้ก็เข้าใจไม่ยาก มาลาลาอยู่ในตะวันตกคงเห็นในโฆษณาบ่อยๆว่าเป้าหมายของน้ำหอมคือการดึงดูดเพศตรงข้าม) ซึ่งจะทำให้รบกวนการละหมาด
หน้า 35 มาลาลากล่าวว่า :
...นายพลเซียบอกกับผู้คนของเราว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องเชื่อฟังรัฐบาลของเขา เพราะดำเนินรอยตามหลักการอิสลาม นายพลเซียต้องการกระทั่งควบคุมว่าเราควรจะสวดภาวนาอย่างไร และตั้งสลุตหรือคณะกรรมการสวดภาวนาขึ้นประจำทุกเขตแม้แต่หมู่บ้านที่ห่างไกล และแต่งตั้งคณะสวดภาวนา 1 แสนคนไว้เป็นผู้ตรวจสอบ ก่อนหน้านั้นพวกครูสอนศาสนาอิสลามเกือบจะเป็นตัวตลก พ่อเล่าว่าในงานแต่งงานพวกครูจะยืนแกร่วอยู่ตามมุมและรีบกลับก่อน แต่ในยุคของนายพลเซีย พวกท่านกลายเป็นผู้มีอิทธิพลและได้รับการเรียกตัวไปอิสลามาบัดเพื่อแนะนำการเทศนา แม้แต่ปู่ของฉันก็ได้ไปด้วย ภายใต้การปกครองของนายพลเซีย ชีวิตของผู้หญิงในปากีสถานถูกคุมเข้มมากขึ้น จินนาห์บอกว่า “ไม่มีการต่อสู้ใดสำเร็จได้โดยปราศจากผู้หญิงร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ชาย ในโลกนี้มีอำนาจอยู่ 2 แบบ หนึ่งคือดาบและอีกหนึ่งคือปากกา แต่มีอำนาจที่ 3 ที่แข็งแกร่งกว่าทั้งสองอำนาจนั่นคือผู้หญิง” แต่นายพลเซียนำกฎหมายอิสลามมาใช้ ซึ่งทำให้ในชั้นศาล หลักฐานของผู้หญิงมีน้ำหนักเหลือเพียงครึ่งเดียวของผู้ชาย ไม่นานนักห้องขังของเราก็เต็มไปด้วยนักโทษอย่างเด็กหญิงวัย 13 ปี ซึ่งถูกข่มขืนและตั้งท้อง แล้วก็ถูกส่งไปเรือนจำข้อหาคบชู้ เพราะเธอไม่สามารถหาพยานผู้ชาย 4 คนมายืนยันว่ามันคืออาชญากรรม
ประเด็นวิภาษ :
ถึงแม้มาลาลาจะแสดงอาการต่อต้านการรณรงค์เรื่องละหมาด (หรือนมาซ ผู้แปลใช้คำว่าสวดภาวนา เพราะแปลจากคำว่า pray) ของนายพลเซียอุลฮัก รวมถึงต่อต้านกฎหมายอิสลาม แต่ต้องเข้าใจว่าการเชื่อมโยงเรื่องดังกล่าวในหัวสมองเป็นการหาข้ออ้างในการปฏิเสธชารีอะฮฺอิสลามด้วยหลักจับแพะชนแกะ -> ‘นี่ไงล่ะผู้นำคนนี้เอากฎหมายอิสลามมาใช้ กฎหมายไม่เป็นธรรม ->การรณรงค์เรื่องละหมาดจึงเป็นสิ่งไม่ดี’ -> สรุปคือผู้นำที่เอากฎหมายอิสลามมาใช้คือไม่ดี ..แต่ที่จริงต้องแยกออกมาเป็นเรื่องๆ
-เรื่องที่นายพลเซียอุลฮักได้พยามนำหลักอิสลามมาใช้ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมีความชอบธรรมที่ให้ประชาชนเชื่อฟัง มีการตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบเรื่องการละหมาด เรื่องนี้ถือว่านายพลเซียบริหารประเทศได้ถูกต้องตามหลักอิสลาม และเขายังฟื้นฟูสังคมจนทำให้นักการศาสนาได้มีเกียรติและมีบทบาท
-ส่วนกรณีนำกฎหมายอิสลามมาใช้ แล้วไม่เป็นธรรมต่อสตรี แก้ปัญหาอาชญากรรมไม่ได้ ถ้าผลออกมาอย่างนี้แสดงว่านั่นไม่ใช่อิสลาม เพราะอิสลามต้องให้ความเป็นธรรม และแก้ปัญหาได้
-ต้องแยกแยะให้ออกเรื่องจำนวนพยานที่ไม่เท่ากันของชายกับหญิง เพราะความเท่าเทียมไม่ได้หมายความว่าชายหญิงจะต้องมีอะไรเหมือนๆกัน เช่นกรณีพยาน ชาย 1 หญิงต้อง 2 เพราะความแม่นยำของผู้ชายนั้นมากกว่า ไม่โลเล ส่วนกรณีการข่มขืน อันนี้ไม่เกี่ยวกับต้องหาพยานชายหรือหญิงมาแข่งกัน แต่เป็นเพียงทัศนะจากการวินิจฉัยเทียบกับการผิดประเวณี (ซึ่งเทียบไม่ถูกต้อง) ซึ่งจะกล่าวหาว่าใครผิดประเวณีได้นั้นก็ต้องมีพยาน 4 คน (ที่มีกฎนี้ก็เพื่อที่จะให้เกิดการลงโทษได้ยากขึ้น รอบครอบขึ้น และขจัดค่านิยมการใส่ร้าย) แต่ดูเหมือนบ้านเมืองของมาลาลาและประเทศมุสลิมหลายๆประเทศ จะมีการปฏิบัติที่ผิดพลาดในเรื่องนี้ คือมักไปปรักปรำว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายทำผิดประเวณี ทั้งๆที่เวลาจะลงโทษผู้หญิงก็กลับไม่ต้องหาพยาน 4 คน แล้วก็ไม่ได้เป็นการสารภาพว่าทำผิด แต่เป็นการเล่าความว่าถูกข่มขืน (ตามกฎหมายศาสนาไม่สามารถเอาผิดฐานผิดประเวณี) ซึ่งกรณีการข่มขืนจริงๆแล้วต้องวินิจฉัยว่าเป็นการก่ออาชญากรรม สร้างความเสียหายบนแผ่นดินร้ายแรง (ความผิดอย่างหนึ่งในอิสลาม) ไม่ใช่วินิจฉัยว่าเป็นการผิดประเวณี เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอมด้วย จึงเป็นการก่ออาชญากรรม และคดีอาชญากรรมไม่ต้องรอพยานถึง 4 คนมาชี้

-ส่วนเรื่องเด็กหญิงอายุ 13 ถูกข่มขืนแล้วถูกลงโทษ มันช่างสอดคล้องกับที่โซมาเลียราวกับเป็นเรื่องเดียวกันโดยบังเอิญ จนคิดว่าบางทีมาลาลาอาจสับสนไปเอาข่าวโซมาเลียมาสวมเข้าไปในประวัติบ้านเกิดตนเอง อย่างไรก็ตามหากเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของมาลาลา นั่นก็ต้องถือว่า กฎหมายดังกล่าวไม่เป็นธรรม และไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของอิสลามที่ต้องการให้พิทักษ์ความดีงามป้องกันอาชญากรรม แต่กฎหมายดังกล่าวคือการสนับสนุนอาชญากรรม
-ส่วนที่จินนาห์ (ผู้ก่อตั้งประเทศ) กล่าวนั้นถูกต้องทุกประการ โดยเฉพาะที่กล่าวถึงการต่อสู้อีกรูปแบบหนึ่งคือการใช้ปากกา ซึ่งเราขอบอกว่าต่อไปคีย์บอร์ดนี่แหละที่จะเป็นอาวุธต่อสู้กับแนวคิดเซคิวล่าร์ที่ทำลายอิสลาม และยุคนี้สตรีมุสลิมนี่แหละที่จะออกมาปกป้องศาสนาอันบริสุทธิ์
หน้า 38 มาลาลากล่าวว่า :
ตาลิบคนหนึ่งพูดถึงจีฮัดในแง่ความรุ่งโรจน์ซึ่งพ่อของฉันก็หลงปลื้ม เขาย้ำกับพ่อไม่รู้จบว่าชีวิตบนโลกแสนสั้น และมีโอกาสไม่มากสำหรับคนหนุ่มในหมู่บ้าน ครอบครัวของเราเป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆ และพ่อแม่ไม่ได้ต้องการลงเอยด้วยการลงใต้เพื่อไปทำงานเหมืองถ่านหินเหมือนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น มันเป็นงานยากและอันตราย โลงศพของคนเสียชีวิตในอุบัติเหตุทยอยส่งกลับมาเรื่อยๆตลอดปี สิ่งที่ดีที่สุดที่เด็กผู้ชายในหมู่บ้านส่วนใหญ่หวังคือการไปทำงานก่อสร้างในซาอุดิอาระเบีย หรือดูไบ สวรรค์ที่มาพร้อมสาวพรหมจรรย์ 75 คน ฟังดูน่าดึงดูดใจ ทุกคืน พ่อจะสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า “โอ้อัลเลาะห์ กรุณาสร้างสงครามระหว่างชาวมุสลิมและพวกนอกรีต เพื่อที่ข้าจะได้ตายเพื่อพระองค์และได้เป็นผู้พลีชีพ” ชั่วขณะหนึ่ง ความเป็นมุสลิมของพ่อดูเหมือนจะสำคัญกว่าทุกสิ่งในชีวิต พ่อเริ่มเขียนชื่อตัวเองว่า “เซียอุดดิน ปานช์ปีรี” (ปานช์ปีรีเป็นนิกายหนึ่งทางศาสนา) และเริ่มไว้เคราครั้งแรกในชีวิต พ่อว่ามันเป็นเหมือนการล้างสมอง พ่อเชื่อว่าพ่ออาจจะเป็นกระทั่งมือระเบิดพลีชีพไปแล้วหากสมัยนั้นมีหน้าที่


ประเด็นวิภาษ :
มิน่าเล่า มาลาลาถึงได้โด่งดังและถูกหนุนจากสื่อตะวันตก เพราะมีการกระแนะกระแหนหลักการญีฮาดในทำนองเดียวกับที่สื่อตะวันตกโจมตีนั่นเอง ในช่วงนั้นที่มีสงครามโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน ซึ่งมาลาลาเองก็ทราบดีว่าอเมริกาชื่นชมและสนับสนุนเหล่ามุญาฮิดีน นอกจากซีไอเอจะร่วมหนุนแล้วก็ยังมีการสร้างหนังออกมาด้วย ซึ่งมาลาลาคงเกิดไม่ทันหนังฮอลลีวูดเรื่องแรมโบ้ 3 (หรือในถิ่นนั้นอาจยังไม่มีวิดีโอ) ..แต่สำหรับพวกเราโดนฮอลลีวูดล้างสมองจนไปๆมาๆรู้ทันหมดแล้ว พอพวกเขาปราบลัทธิคอมมิวนิสต์เสร็จ ตอนนี้ฮอลลีวูดก็หันมาปราบศาสนาอิสลามต่อ
ในช่วงนั้นบรรดาฏอลิบ (นักศึกษา) หรือฏอลิบัน ก็ต่างป่าวประกาศเชิญชวนสู่การญีฮาด ถ้าเป็นประเทศอื่นๆเขาจะปลุกระดมด้วยกับเรื่องการรักชาติ ตายเพื่อชาติ เพื่อชื่อเสียง เพื่อเสรีภาพของประชาชน อะไรต่างๆ หรือถ้ามีศาสนาความเชื่อก็จะปลุกระดมว่าจะได้บุญมหาศาล ธงชาติอังกฤษที่มาลาลาอยู่ใต้ร่มเงานั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพครูเสด ที่เคยปลุกระดมว่าไปฆ่าพวกนอกรีต ฆ่ามุสลิม พิชิตดินแดนเยรูซาเล็มแล้วจะได้เข้าสวรรค์
ส่วนมุสลิมก็จะปลุกระดมกระตุ้นกันในเรื่องศรัทธาเหมือนกัน (ส่วนความเชื่อไหนจะจริงจะปลอมอันนี้อีกเรื่องหนึ่ง) ที่จริงแล้วความรู้สึกอยากเข้าสวรรค์ มันคล้ายกับชาวไทยที่อยากรับเสด็จพระมหากษัตริย์ หรือวัยรุ่นที่ต้อนรับดารานักร้องในดวงใจ หรือชาวคริสต์ที่อยากพบพระเยซู แต่สำหรับมุสลิมจะรู้สึกปีติยินดีมากกว่านั้นที่จะไปอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า และความอยากสุขสบายก็เหมือนกับที่มาลาลาอยากไปอยู่ตะวันตกเพราะสบายกว่าบ้านเดิม ปลอดภัยจากการถูกยิง แต่มุสลิมรู้สึกซาบซึ้งและปีติยินดีมากกว่าเมื่อคิดอยากเข้าสวรรค์ หากคนเราอยากสุขสบาย รู้ว่าไปรบเพื่อชาติแล้วจะกลับมารับเหรียญจากประธานาธิบดีโอบามา มีโบนัส มีรถ มีบ้าน เขาคงจะไปรบอย่างภาคภูมิใจยิ่งนัก เช่นเดียวกัน ถ้าแบบนั้นไม่ผิด ในแบบอิสลามก็คงจะไม่ผิดที่คนจะอยากไปรบแล้วมารับรางวัลจากพระเจ้า มีวัง มีสวน สบายกว่าอังกฤษ อเมริกา ไม่ต้องเอาเงินไปเที่ยวโสเภณีในลอนดอน นิวยอร์ค หรือลาสเวกัส แต่มีภรรยาและมีนางสวรรค์ มีอารยธรรมสูงส่งในสวรรค์ ไม่ลามกต่ำช้า มาลาลาอยู่ในตะวันตกไม่สังเกตหรือว่า สตรีที่นั่นน่าสงสารขนาดไหน หลายๆคนเป็นได้แค่เครื่องมือโฆษณาขายรถและสินค้าต่างๆ เป็นแค่ตัวจิตวิทยาหลอกให้ผู้ชาย (อาจเป็นสามีคนอื่น) มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการ สตรีเหล่านั้นไม่รู้เหรอว่า ถ้าเธอได้เข้าสวรรค์เธอจะสูงส่ง และสวยงามยิ่งกว่านางสวรรค์เสียอีก
อย่างไรก็ตาม การปลุกระดมนำเรื่องการญีฮาดและผลตอบแทนมากล่าวนั้น จะต้องเป็นคนที่มีพื้นฐานการศรัทธาที่แน่นและถูกต้องอยู่แล้ว จึงจะเข้าใจการญีฮาดอย่างถูกต้อง ไม่ใช่มีหลักศรัทธาที่คลาดเคลื่อน มันจะกลายเป็นความหลงผิดในการต่อสู้ และสุดท้ายก็หันหลังให้อิสลาม
สรุป ขอให้พี่น้องมุสลิมไม่หลงคล้อยตามกระแสและแผนการของผู้ไม่หวังดี ฉุกคิดซักนิดว่าถ้าหากว่ามาลาลาเป็นผู้เผยแพร่อิสลาม หรือสร้างคุณประโยชน์ต่ออิสลามจริงๆแล้วก็คงจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจตะวันตกเป็นแน่ ฉะนั้นพี่น้องโปรดอย่าได้หลงไปสนับสนุนหรือเผยแพร่ผลงานเหล่านี้ ร้านไหนมีโปรดส่งคืนสำนักพิมพ์ไปเถอะ
และหันมารณรงค์ผลิตหนังสือประเภทหักล้างข้อใส่ไคล้อิสลามกันดีกว่า
...............................
# ความเดิมตอนที่ 1 #
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/845063405515455/?type=1&relevant_count=1
# ต่อตอน 3 #
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/845101262178336/?type=1&relevant_count=1
………………………
บทความเกี่ยวข้อง
ประณามสำนักพิมพ์มติชน ดันหนังสือมาลาลา
https://www.facebook.com/assabikoonthailand/photos/a.589552777733187.1073741825.465123040176162/824160314272431/?type=1&relevant_count=1
จอร์จ วอชิงตัน (ผู้ก่อตั้งอเมริกา) กลายเป็นเทพ รายล้อมด้วยนางฟ้า
https://www.facebook.com/1361713367301331/photos/a.1361739193965415.1073741828.1361713367301331/1464816583657675/?type=1&relevant_count=1





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น