อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำไมมุสลิมต้องตามพวกเขาลงรูแย้ั



อิทธิพลประเพณี วัฒนธรรม หลักความเชื่อ แนวทางในการปฏิบัติของยะฮูดียฺ (ยิว) และนัศรอนียฺ (คริสต์) ในปัจจุบันนั้น แพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก มนุษย์ส่วนใหญ่ได้นำแนวทางในการดำเนินชีวิตของยะฮูดียฺ และ นัศรอนียฺมาปฏิบัติจนเกือบจะทำให้วัฒนธรรม ประเพณี แนวทางในการปฏิบัติของตนเองนั้นสูญหายไป หรือแม้ กระทั่งคนไทยเองก็ดี ที่ทุกวันนี้นั้นคนไทยหลายคนกำลังทำลายแนวทางในการดำเนินชีวิต วัฒนธรรมของ ชาวไทยด้วยแนวทางของยิวและคริสเตียน

อิทธิพลประเพณี วัฒนธรรม หลักความเชื่อ แนวทางในการปฏิบัติของยะฮูดียฺ (ยิว) และนัศรอนียฺ (คริสต์) ในปัจจุบันนั้น ไม่ได้ทำลายเฉพาะแค่แนวทางการปฏิบัติของคนทั่วไปเท่านั้น แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังมีอิทธิพลต่อ บรรดามุสลิมซึ่งเป็นประชาชาติที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง มีแนวทางในการดำเนินชีวิตเป็นของตนเองอีกด้วย ซึ่งประเด็นนี้นั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวเตือนล่วงหน้ามาแล้วเมื่อ 1,400 กว่าปีที่แล้ว ว่าต่อไปจะมีมุสลิมไปทำตัว ประพฤติตนเลียนแบบยิว และคริสเตียน อย่างไม่ลืมหู ลืมตา

มีรายงานจาก อบูสะอีด อัลคุดรีย์ เล่าว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

لَتَتَّبِعُنَّ سَنَنَ الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ شِبْرًا بِشِبْرٍ وَذِرَاعًا بِذِرَاعٍ حَتَّى لَوْ دَخَلُوا فِي جُحْرِ ضَبٍّ لَاتَّبَعْتُمُوهُمْ قُلْنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ  آلْيَهُودَ  وَالنَّصَارَى  قَالَ فَمَنْ

“ต่อไปพวกท่านจะปฏิบัติตามแนวทางของผู้ที่มาก่อนพวกท่านทีละคืบ ทีละศอก แม้กระทั่งพวกเขา เข้าไปอยู่ในรูของแย้ก็เข้าตามไปด้วย พวกเราได้ถามท่านร่อซูลว่า โอ้ท่านร่อซูล ท่านหมายถึงพวก ยะฮูดีย์ (ยิว) และนัสรอนี (คริสเตียน) ใช่ไหม? ท่านร่อซูลตอบว่า จะเป็นใครอีก ถ้าไม่ใช่พวกนี้ ”
(บันทึกโดยมุสลิม : 2669)

คำกล่าวของท่านนบีนั้นได้ฉายภาพให้เห็นอย่างชัดเจนในปัจจุบัน ว่ามุสลิมหลายคนปฏิบัติตนเฉกเช่นยิวหรือ คริสเตียน หรือแม้กระทั่งบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาปฏิบัติกัน มุสลิมก็ดำเนินตาม โดยไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ทั้งสิ้น อาทิเช่น

ประการแรก : การร่วมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ของชาวยิวและคริสต์

มุสลิมหลายคนได้เข้าร่วมฉลองเทศกาลของชาวยิวและคริสต์โดยหารู้ไม่ว่า เทศกาลวันคริสต์มาสก็ดี หรือเทศ กาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็ดี ตลอดจนเทศกาลวันวาเลนไทน์ก็ดี เป็นเทศกาลที่มีหลักความเชื่อในเทพเจ้า ต่าง ๆ  เรื่องของศาสนาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น   แน่นอนว่ามุสลิมต้องออกห่างจากสิ่งดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยว ข้องกับหลักความเชื่อ เรื่องศาสนา พระองค์อัลลอฮฺ ทรงมีรับสั่งว่า

لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِينِ

“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”
(อัล-กาฟิรูน : 6)

เป็นที่ต้องห้ามสำหรับมุสลิมในการที่จะไปนำความเชื่อหรือไปเกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อของศาสนาอื่นโดย เด็ดขาด และเมื่อมุสลิมนั้นได้ทราบว่า เทศกาลต่าง ๆ ที่มาจากยิวและคริสต์มีเรื่องของเทพเจ้า หลักความเชื่อเข้า มาเกี่ยวข้องแล้ว ก็ต้องออกห่าง อีกทั้งท่านนบีนั้นได้ห้ามการเลียนแบบกลุ่มชนอื่นดังที่มีรายงานจากท่านอิบนิ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ

“บุคคลใดประพฤติตนเลียนแบบกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งจากกลุ่มนั้น ”

(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4031 ดู เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอฺอัลบานียฺ : 2831 ดู ญามิอุศเศาะฆีรสุญูตียฺ  : 8593)

หะดีษนี้นั้นบ่งชี้ถึงการที่คนหนึ่งได้ทำตัว ประพฤติตนเลียนแบบกลุ่มใด ศาสนาใด ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พวกเขา ปฏิบัติ   ความเชื่อในเรื่องของศาสนา   เขาก็เป็นส่วนหนึ่งจากกลุ่มนั้นตัวอย่างเช่น หากมุสลิมคนใดปรารถนา ที่จะเลียนแบบยิวและคริสต์ในเทศกาลต่าง ๆ ไปเข้าร่วมอวยพร เขียนการ์ด (สคส) แต่งชุดซานต้าครอส มอบของขวัญ หรือ ไปเข้าร่วมนับ countdown เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตลอดจน ไปร่วม มอบดอกไม้ ช็อคโกแลตกับคนรักในเทศกาลวันวาเลนไทน์ แสดงว่ามุสลิมคนนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งจากยิวและ คริสต์นั่นเอง


ท่านเชคคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมิยะฮฺได้กล่าวอีกว่า “ไม่อนุญาตให้มุสลิมคนใดลอกเลียนแบบผู้ไม่ใช่มุสลิมในสิ่งใด สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับวันรื่นเริงของ พวกเขา แม้จะในเรื่องอาหารการกิน การอาบน้ำชำระร่างกาย การก่อไฟ การงดเว้นในสิ่งที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำในชีวิตประวันหรือในเรื่องที่เกี่ยวกับอิบาดะฮฺอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสิ่งใดก็ตาม ไม่อนุญาตให้จัดงาน เลี้ยงฉลองหรือการให้ของขวัญ การขายสิ่งของใดๆ เพื่อใช้ในวันดังกล่าว หรือการให้เด็กๆ ละเล่นใดๆ หรือประดับประดาอย่างสวยงามเพื่อวันดังกล่าว สรุปแล้ว ไม่อนุญาตให้มุสลิมมี การเน้นเป็นพิเศษในวันรื่นเริงของผู้ไม่ใช่มุสลิมด้วยสิ่งใดก็ตามที่เป็นเอกลักษณ์ของวันดังกล่าว หากแต่ว่า วันดังกล่าวเป็น เพียงวันธรรมดาทั่วไปสำหรับมุสลิม โดยไม่มีการเน้นอะไรที่แปลกออกไปจากวันอื่นๆ” (มัจญ์มูอฺ อัลฟะตาวา เล่มที่ 25 หน้า 329) (1)

อัลหาฟิซ อัซซะฮะบีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “หากว่าสำหรับชาวนะศอรอ(ชาวคริสต์)มีวันรื่นเริงสำหรับ พวกเขา สำหรับชาวยิวก็มีรื่นเริงสำหรับพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นมีไว้เฉพาะสำหรับวันรื่นเริงเหล่านั้น  ดังนั้นมุสลิม จึงไม่มีการร่วมในวันรื่นเริงกับพวกเขา ดังเช่นที่มุสลิมไม่ได้ร่วมในศาสนบัญญัติต่างๆ และกิบละฮฺของพวกเขา” (ตะชับบุฮุ อัลเคาะสีส บิอะฮฺลิ อัลเคาะมีส, เล่มที่ 4 หน้าที่ 193 ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร อัลหิกมะฮฺ ฉบับที่ 4 หน้า 193) (2)

อิบนุ หะญัร อัลหัยตะมีย์ นักปราชญ์มัซฮับชาฟิอี กล่าวว่า : ส่วนหนึ่งจากบิดอะฮที่น่าเกลียดที่สุด คือ การที่บรรดา มุสลิม เห็นชอบกับบรรดาชาวคริสเตียนในเทศกาลรื่นเริงของพวกเขา ด้วยการเลียนแบบ การกิน การมอบของ ขวัญ และการรับของขวัญของพวกเขา ในเทศกาลนั้น และผู้คนส่วนมากที่ให้ความสนใจดังกล่าว คือ บรรดาชาว อียิปต์ ทั้งๆที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า “ ผู้ใดเลียนแบบกลุ่มชนใด เขาก็เป็นส่วนหนึ่ง จากกลุ่มชนนั้น “(ดู ฟะตาวาอัลฟิกฮียะฮอัลกุบรอ เล่ม 4 หน้า 238 ) (3)

เพราะเหตุนี้จึงไม่อนุญาตให้มุสลิมแสดงออกในวันวาเลนไทน์ด้วยสิ่งที่บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ของวันดังกล่าว แม้จะเป็นอาหารการกิน เครื่องดื่มต่างๆ เสื้อผ้า การแลกเปลี่ยนของขวัญและอื่น ๆ มุสลิมควรที่ต้องเข้มแข็งและ ภูมิใจในศาสนาอิสลาม และไม่ควรที่จะคล้อยตามกระแสของวัฒนธรรมอื่นๆ เราขอพรต่อเอกองค์อัลลอฮฺเพื่อ ทรงปกป้องมุสลิมทุกคนจากฟิตนะฮฺต่างๆ ทั้งที่เห็นชัดเจนและสิ่งที่มองไม่เห็น และขอให้พระองค์ทรงดูแลด้วย ทางนำของพระองค์” (มัจญ์มูอฺ อัลฟะตาวา อัชชีค อิบนิ อุษัยมีน เล่มที่  16 หน้าที่ 199) (4)

การร่วมงานวันรื่นเริงของผู้ไม่ใช่มุสลิมและการกล่าวอวยพร

แปลโดย อ.ซุฟอัม อุษมาน

ที่มา : www.islamhouse.com/files/.../th_islamqa_hudhur_a3yad_almusyrikeen.doc

คำถาม: อนุญาตให้ร่วมงานฉลองวันรื่นเริงที่สำคัญของชาวคริสเตียนและกล่าวอวยพรแก่พวกเขาหรือไม่?

คำตอบ: อัลหัมดุลิลลาฮฺ ท่านอิบนุล ก็อยยิม ได้กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้มุสลิมร่วมงานในวันฉลองของผู้ไม่ใช่ มุสลิม ซึ่งบรรดาอุละมาอ์ต่างมีความเห็นตรงกันในประเด็นนี้ บรรดาฟุเกาะฮาอ์ (นักนิติศาสตร์อิสลาม) ในมัซฮับ ทั้งสี่ต่างให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนในตำราของพวกเขา ... อัลบัยฮะกีย์ได้รายงานด้วยสายราย งานที่เศาะหีหฺจากอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ท่านกล่าวว่า "อย่าได้เข้าไปหาพวกมุชริกีนในโบสถ์ในวันเฉลิมฉลอง ของพวกเขา เพราะความพิโรธ (ของอัลลอฮฺ) จะลงมายังพวกเขาเหล่านั้น" ท่านอุมัร ยังได้กล่าวอีกว่า "จงอยู่ให้ห่างจากศัตรูของอัลลอฮฺในวันเฉลิมฉลองของพวกเขา" อัลบัยฮะกีย์ยังได้รายงานจากอิบนุ อัมร์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ด้วยสายรายงานที่ดีว่า "ใครที่ผ่านเมืองของพวกอะญัม (บรรดาคนที่ไม่ใช่อาหรับมุสลิม) แล้วไปร่วมงานฉลองวันนัยรูซ (Nayrouz วันขึ้นปีใหม่ของชาวอียิปต์โบราณที่ชาวคริสต์ออโธด็อกซ์นำมา ใช้-ผู้แปล) และเทศกาลของพวกเขา และเลียนแบบพวกเขาจนกระทั่งเสียชีวิตในสภาพเช่นนั้น เขาจะถูกต้อน ให้ชุมนุมพร้อมๆ พวกเขาในวันกิยามะฮฺ" (ดู อะหฺกาม อะฮฺลิซซิมมะฮฺ 1:723-724)

คำตอบโดย เชคมุหัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด

ที่มา www.islamqa.com ฟัตวาหมายเลข 11427  (5)

ดังนั้นวันสำคัญของอิสลามนั้นมีแค่เพียง 2 วันเท่านั้น คือ วันอีดิลฟิฏรฺและวันอีดิลอัฎฮา ดังที่มีรายงานจากอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า

قَدِمَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْمَدِينَةَ وَلَهُمْ يَوْمَانِ يَلْعَبُونَ فِيهِمَا فَقَالَ مَا هَذَانِ الْيَوْمَانِ قَالُوا كُنَّا نَلْعَبُ فِيهِمَا فِي الْجَاهِلِيَّةِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِنَّ اللَّهَ قَدْ أَبْدَلَكُمْ بِهِمَا خَيْرًا مِنْهُمَا يَوْمَ الْأَضْحَى وَيَوْمَ الْفِطْرِ

“ ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้มาถึงมะดีนะฮฺในขณะที่ชาวมะดีนะฮฺมีสองวันซึ่งเป็น วันที่พวกเขามีการละเล่นรื่นเริง ท่านรอซูลุลลอฮฺจึงได้กล่าวถามว่า สองวันนี้เป็นวันอะไร? พวกเขาจึง ตอบว่า วันดังกล่าวเป็นวันที่พวกเราจัดให้มีการรื่นเริงในสมัยญาฮิลียะฮฺ ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า  ความจริงแล้วอัลลอฮฺได้ทรงเปลี่ยนวันที่ดีกว่าวันอีดดังกล่าวสำหรับ พวกท่าน นั่นคือ วันอีดอัฎฮาและอีดฟิฏรี่ "

(บันทึกโดยอบูดาวุด หมวดที่ว่าด้วยเรืองการละหมาด : 1134 เชคอัลบานียฺ ระบุว่าหะดีษนี้เศาะเหี๊ยะหฺ ในเศาะเหี๊ยะฮฺอบูดาวุด : 1134 )

แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลก เพราะเมื่อเวลาวันสำคัญของอิสลามมาถึง มุสลิมหลายคนกลับไม่ให้ความสนใจ เหมือนกับเทศกาลของกลุ่มชนอื่น ๆ ดังนั้นเมื่อถึงเทศกาลต่าง ๆ มุสลิมต้องไม่เข้าร่วม เกี่ยวข้องใด  ๆ ทั้งสิ้น

*************************
(1) อิบบรอเฮง อาลฮูเซน , หุก่มการร่วมวันวาเลนไทน์  http://www.islamhouse.com/p/76023

(2) แหล่งเดียวกัน

(3) อะซัน,การร่วมเทศกาลรื่นเริงการเฟรในทัศนะอิสลาม http://www.moradokislam.org/modules.php?name=News&file=article&sid=423

(4) อิบบรอเฮง อาลฮูเซน ,หุก่มวันวาเลนไทน์ www.islamhouse.com/files/th/ih_fatawa/th_islam_hukum_valentine.doc

(5) www.islamhouse.com/files/.../th_islamqa_hudhur_a3yad_almusyrikeen.doc

.........................

โดย วะร่อซะตุซซุนนะฮฺ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น