อิสลามเป็นศาสนาของอัลลอฮฺ ไม่ใช่ศาสนาของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้แต่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ก็ไม่สามารถคิดค้น หรืออุตริคำสอนขึ้นมาเองได้
ลำดับขั้นของหลักฐานทางศาสนานั้น จำต้องเรียกลำดับตามขั้นตอนต่อไปนี้
คือ
1. คัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นหลักฐานสูงสุดทางศาสนา และทรงอำนาจที่สุดสำหรับมุสลิม
2. อัสสุนนะฮฺ หรืออัลหะดิษของท่านบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เข้ามาอธิบายหรือเป็นตัวกำหนดว่าอัลกุรอานวรรคใดโองการใดแปลว่าอะไร มีที่มาอย่างไร
3. คำอธบายของบรรดาเศาะหาบะฮฺ หรือบรรดาสาวก หรือลูกศิษย์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม หากเราไม่พบการอธิบายในอัลกุอาน หรืออัลหะดิษที่ถูกต้อง ก็ยังสามารถนำเอาความเข้าใจของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ซึ่งได้รับการยืนยันและรับรองของคัมภีร์อัลกุรอาน
وَالسَّابِقُونَ الْأَوَّلُونَ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنصَارِ وَالَّذِينَ اتَّبَعُوهُم بِإِحْسَانٍ رَّضِيَ اللَّهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا عَنْهُ وَأَعَدَّ لَهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي تَحْتَهَا الْأَنْهَارُ خَالِدِينَ فِيهَا أَبَدًا ذَٰلِكَ الْفَوْزُ الْعَظِيمُ ( 100 )
"บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง"
(อัลกุรอานสูเราะฮฺอัตเตาบัต 9:100)
4. คือคำอธิบายหรือความเข้าใจทางศาสนาของชาวสลัฟ ชาวสลัฟนั้นหมายถึงมุสลิมที่มีชีวิตในฮิจเราะฮศักราชที่ 1 ถึง ฮิจเราะฮฺศักราชที่ 300 ซึ่งหากไม่พบในอัลกรุอาน สุนนะฮฺนบี หรือบรรดาเศาะหาบะฮฺ แล้ว ก็ให้ถือคำอธิบายของชาวสลัฟเป้นหลักฐาน
ซึ่งส่วนมากเกือบร้อยเปอร์เซ็นของเรื่องราวทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นอิบาดะฮฺ หรืออะกีดะฮฺ จะถุกกล่าวไว่หมดสิ้นแล้วโดยชาวสลัฟ
ลำดับขั้นของการเข้าใจศาสนานั้นสามารถผ่านขั้นตอนทั้งสี่ตอนได้อย่างสมบูรณ์ จึงไม่สามารถตีความไปเป็นอื่นได้ อิสลามยอมรับความเห็นแตกต่างที่มีอยู่ในหมู่ชาวสลัฟเท่านั้น
จึงไม่มีมุสลิมคนใดที่จะเข้าใจศาสนา หรือตีความเรื่องศาสนาด้วยความเข้าใจของตนเองโดยละทิ้งชาวสลัฟ หากเป็นเช่นนั้นถือเป็นการคลาดเคลื่อน หรือเข้าข่ายการบิดเบือนหลักการศาสนา หรือพยายามตีความอัลกุรอานและหะดิษด้วยอารมณ์ เพื่อสนับสนุนแนวทางตนเอง
ความเข้าใจศาสนาจึงไม่อาจตีความตามความรู้สึกของตน ตามยุคสมัย หรือตามกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ แต่ต้องอธิบายตามลำดับขั้นของหลักฐานศาสนา ตามการอธิบายและความเข้าใจของชาวสลัฟเท่านั้น
ดังนั้น การที่มุสลิมคนใดกล่าวว่า หมูรับประทานได้แล้ว เพราะสะอาด ถูกหลักทางโภชนาการ หรือสุราดื่มได้แล้ว หรือมุสลีมะฮฺไม่ต้องคลุมฮิญาบแล้ว เพราะถือว่าผู้ที่ยังคลุมฮิญาบเป็นการล้าสมัย ถือเป็นการตีความตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของตน ขัดแย้งกับหลักฐานศาสนา ตามการธิบายและความเข้าใจชาวสลัฟ เป็นความคิดที่นอกกรอบ นอกลู่ทาง ห่างไกลแนวทางของบรรดาผู้ศรัทธาโดยสิ้นเชิง
พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
وَمَن يُشَاقِقِ الرَّسُولَ مِن بَعْدِ مَا تَبَيَّنَ لَهُ الْهُدَىٰ وَيَتَّبِعْ غَيْرَ سَبِيلِ الْمُؤْمِنِينَ نُوَلِّهِ مَا تَوَلَّىٰ وَنُصْلِهِ جَهَنَّمَ وَسَاءَتْ مَصِيرًا ( 115 )
"และผู้ใดที่ฝ่าฝืนร่อซูล หลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธา นั้น เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นกลับอันชั่วร้าย"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอันนิสาอฺ 4:115)
والله أعلم بالصواب
***************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น