อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ซัลมาน อัลฟาริซียฺ ฉันมาเพื่อแสวงหาสัจจธรรม



ท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของผู้แสวงหาความจริง ด้วยการค้นหาพระเจ้า
คือเรื่องของท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์
เราจะเปิดโอกาสให้ท่านเล่าเหตุการต่างๆด้วยตนเอง เพราะท่านมีความรู้สึกอันล้ำลึก และรายงานเหตุการณ์
ได้ละเอียดอ่อนแม่นยำกว่า
ท่านซัลมานได้เล่าไว้ว่า " ฉันเป็นชายหนุ่มชาวเปอร์เซีย อาศัยอยู่ ณ เมืองอัซบะฮาน ซึ่งตั้งอยู่ในตำบล ญัยยาน
บิดาเป็นผู้นำประจำหมู่บ้าน ครอบครัวของฉันร่ำรวยที่สุด มีบ้านพักใหญ่โตระโหฐานกว่าครอบครัวอื่นๆ
นอกจากนั้น ตัวฉันเองนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก ก็กลายเป็นสมบัตอันล้ำค่าชิ้นเดียวที่บิดารักมากที่สุด ความรักที่บิดา
มอบให้ฉันนั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งถึงกับได้กักกันตัวฉันไว้ในบ้าน คล้ายกับว่าฉันเป็นลูกผู้หญิง เพราะเกรงว่า
หากปล่อยให้ออกนอกบ้านอาจจะได้รับอันตราย
ฉันตั้งหน้าปฎิบัติศาสนกิจ ตามลัทธิบูชาไฟ อย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นผู้มีหน้าที่ยืนถือไฟที่พวกเรากราบไหว้
ใครจะปฎิบัติพิธีกรรมบูชาไฟ จะต้องจุดต่อจากต้นไฟที่ฉันถืออยู่ จนกระทั่งไฟไม่เคยดับเลยตลอดวันตลอดคืน
บิดาของฉันเป็นเจ้าของไร่ ท่านดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี คอยเก็บผลไม้เป็นประจำ จึงมีรายได้จากผลิดผลมากมายมหาศาล
อยู่มาวันหนึ่งท่านติดธุระในเมือง ไม่สามารถไปไร่ได้ตามปกติ ท่านจึงกล่าวแก่ฉันว่า " ลูกรัก พ่อไปทำงานในไร่ทุกวัน
ดังที่เจ้าเห็นแล้วนั่นแหละ วันนี้ ขอให้เจ้าจัดการดูแลแทนพ่อด้วย เพราะพ่อมีธุระที่จะต้องทำ "
ฉันจึงออกจากบ้าน มุ่งไปไร่ทันที ระหว่างทางนั้น ฉันเดินผ่านโบส์หลังหนึ่งซึ่งเป็นของศาสนาคริสต์ ได้ยินเสียงพวกเขา
สวดวิงวอนอยู่ในนั้น จึงทำให้ฉันเกิดความสนใจขึ้นมาทันที ฉันไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์หรือศาสนาอื่นๆมาก่อนเลย
เพราะพ่อให้ฉันอยู่แต่ในบ้าน คอยกักกันไม่ให้พบปะกับใคร เมื่อฉันได้ยินเสียงของพวกเขาจึงเข้าไปดู เพื่อที่จะได้ดูพิธีที่
พวกเขากำลังปฎิบัติอยู่ เมื่อฉันได้พินิจพิจารณาดูการสวดวิงวอน ทำให้ฉันประหลาดใจและประทับใจศาสนาของพวกเขามาก
จึงกล่าวกับตัวเองว่า " ขอสาบานว่า ศาสนานี้ดีกว่าศาสนาที่เรานับถืออยู่ ขอสาบานว่าวันนี้ฉันจะอยู่กับพวกเขาจนดวง
อาทิตย์ตก ฉันไม่ไปไร่ของพ่ออีกแล้ว "
หลังจากนั้น ฉันจึงถามพวกเขาว่า " ต้นกำเนิดของศาสนานี้อยู่ที่ไหน? " พวกเขาตอบว่า " อยู่ที่ชาม หรือ ซีเรีย "
มืดแล้ว ฉันกลับถึงบ้าน พ่อไต่ถามว่า " ได้ไปทำงานอะไรในไร่บ้าง? " ฉันจึงกล่าวว่า " คุณพ่อครับ ลูกเดินผ่านคนกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งพวกเขากำลังสวดวิงวอนอยู่ในโบสถ์ สิ่งที่ลูกเห็นจากการปฎิบัติศาสนกิจทำให้ลูกประหลาดใจมาก
ลูกจึงอยู่ที่นั่นจนตะวันตกดิน
เมื่อบิดาได้ฟังดังนั้น ท่านกลัวมาก และกล่าวว่า " ลูกรัก ศาสนาที่ลูกได้พบมานั้นไม่ดีเลย ศาสนาของเจ้าและศาสนาของ
บรรพบุรุษของเจ้าซิ ดีกว่า " ฉันค้านว่า " ไม่จริงหรอกพ่อ ลูกสาบานให้ก็ได้ว่าศาสนาของพวกเขานั้น ดีกว่าศาสนาของเรา "
เมื่อพ่อได้ยินฉันพูดเช่นนั้นก็ยิ่งกลัวมากขึ้น กลัวว่าฉันจะออกจากศาสนาเดิมที่นับถืออยู่ คือบูชาไฟ พ่อจึงขังฉันไว้ในบ้าน
คราวนี้มัดเท้าทั้งสองของฉันด้วย โอกาสเหมาะ ฉันจึงส่งคนหนึ่งไปหาพวกคริสต์ และสั่งว่า " ถ้าหากมีกองคาราวาน
บรรทุกสินค้ามาถึงที่นี่ และจะไปเมืองชามก็จงช่วยส่งข่าวให้ฉันทราบด้วย "
อีกไม่กี่วันต่อมา ได้มีกองคาราวานบรรทุกสินค้ามุ่งหน้าไปเมืองชาม พวกคริสต์จึงแจ้งข่าวนี้ให้ฉันทราบ ฉันพยายามแก้เชือก
ที่มัดเท้าทั้งสองข้างจนสำเร็จ และหลบซ่อนออกจากบ้าน แอบเดินทางไปกับกองคาราวาน จนกระทั่งถึงเมืองชาม
ฉันพักอยู่ที่นั่น ถามพวกเขาว่า " ใครคือผู้ประเสริฐสุด ของศาสนานี้ " พวกเขาตอบว่า " บาดหลวงที่โบสถ์แห่งหนึ่ง "
ฉันจึงไปหาบาดหลวงผู้นั้น และแจ้งความประสงค์ว่า " ฉันประทับใจชาวคริสต์มาก และปรารถนาจะอยู่กับท่าน รับใช้ท่าน
ร่ำเรียนเรื่องศาสนา และจะได้สวดวิงวอนพร้อมท่านด้วย " บาดหลวงผู้นั้นตอบว่า " ยินดีต้อนรับ ขอเชิญมาอยู่กับเราเถิด "
ฉันจึงได้เข้าไปอาศัยอยู่ ณ โบสถ์แห่งหนึ่งนั้น และรับใช้บาดหลวงในกิจการของโบสถ์พร้อมกันไป
ต่อมาฉันรู้ว่าชายผู้เป็นบาดหลวงนั้น มีพฤติกรรมไม่ดี คือเขาใช้ประชาชนบริจาคทาน และบอกว่าผู้บริจาคนั้นจะได้ผลบุญ
ผลตอบแทนอย่างมากมาย แต่เมื่อประชาชนบริจาคทรัพย์ให้เขาใช้จ่ายในกิจการของพระเจ้า เขากลับนำเอาทรัพย์นั้นไป
สะสมไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง แต่เพียงผู้เดียว ไม่เคยแจกจ่ายให้คนยากจนเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งสะสมทองคำไว้จน
เต็มเหยือกน้ำขนาดใหญ่ มีจำนวนถึงเจ็ดเหยือก เมื่อเห็นเช่นนั้นฉันจึงโกรธ และเกลียดเขามากที่สุด
ต่อมา บาดหลวงผู้นั้นก็ถึงแก่กรรม มีพี่น้องชาวคริสต์มาร่วมพิธีฝังศพจำนวนมาก ฉันจึงเปิดเผยให้ทราบว่า
แท้จริงท่านผู้นี้มีพฤติกรรมที่ไม่ดี เพราะใช้และส่งเสริมให้พวกท่านบริจาคทรัพย์สินเงินทอง
แต่เมื่อพวกท่านนำมาบริจาคแล้ว เขากลับเก็บสะสมทรัพย์นั้นไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนแต่เพียงผู้เดียว
ไม่เคยแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้เลยแม้แต่น้อย ประชาชนต่างก็ถามฉันว่า " ท่านรู้เช่นนั้นได้อย่างไร? "
ฉันตอบว่า " ข้าพเจ้าจะชี้แหล่งขุมทรัพย์ให้พวกท่านทราบ " พวกเขากล่าวว่า " ได้ซิ . ถ้าเช่นนั้นก็จงบอกเราเถิด
ฉันจึงนำไปดูสถานที่ที่ซุกซ่อนทรัพย์ พวกเขาจึงนำเงินและทองคำออกมาทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนถึงเจ็ดเหยือกใหญ่
ประชาชนเห็นเช่นนั้นจึงโกรธมาก พวกเขากล่าวว่า " ขอสาบานว่า เราจะไม่ฝังศพเขาเด็ดขาด ต่อจากนั้น
พวกเขาก็ช่วยกันจับศพบาดหลวงนั้นตรึงกางเขนและขว้างด้วยก้อนหิน
ต่อมาอีกไม่กี่วัน ประชาชนก็แต่งตั้งบาดหลวงคนใหม่และฉันก็ยังประจำอยู่กับเขา ณ โบสถ์แห่งนั้น เขาเป็นคน
สละโลก ซึ่งฉันไม่เคยเห็นใครเหมือนเขาเลย ไม่เคยเห็นใครปรารถนาโลกหน้ายิ่งไปกว่าเขา แถมยังเป็นผู้ขยัน
ขันแข็งในเรื่องพิธีกรรมศาสนาทั้งวันทั้งคืน โดยมิได้หยุดหย่อน ฉันรักเขาและศรัทธาในตัวเขามาก
ฉันอยู่กับเขาระยะหนึ่งจนกระทั่งเขาถึงแก่กรรม และก่อนที่เขาจะสิ้นใจ ฉันถามว่า " ท่านครับบอกหน่อยได้ไหมว่า
หลังจากที่ท่านถึงแก่กรรมแล้ว ฉันจะไปอยู่กับใครอีกต่อไป? "
ท่านตอบว่า " ลูกรัก ไม่มีใครรู้เรื่องศาสนาที่เราเคยปฎิบัตินั้นอีกเลย นอกจากชายผู้หนึ่งซึ่งอยู่ที่ " เมาซิล " เพราะ
เขาไม่บิดเบือน ไม่เปลี่ยนแปลงศาสนา และสัจจะธรรมอยู่กับเขา "
เมื่อเขาถึงแก่กรรม ฉันก็เดินทางต่อไปยัง " เมาซิล " ทันทีเพื่อที่จะได้พบกับชายที่บาดหลวงบอกไว้ ครั้นพบชายผู้นั้น

ณ ที่เมือง " เมาซิล " แล้ว ฉันจึงเล่าเรื่องราวให้เขาทราบว่า ได้มีบาดหลวงท่านหนึ่งสั่งไว้ก่อนตายว่าให้มาหาท่าน
เพื่อแสวงหาสัจจะธรรม
ชายผู้นั้นได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงกล่าวว่า " จงอยู่กับเราที่นี่เถิด " ฉันจึงอยู่ที่นั่น พบว่าเขาเป็นคนดีอย่างที่บาดหลวง
คนก่อนบอกไว้จริงๆ ขอสาบานได้ว่าฉันอยู่ไม่กี่วันเขาก็ต้องมีอันเป็นไปอีกคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะตาย ฉันกล่าวกับเขาว่า
" ท่านครับ ท่านก็ทราบจุดประสงค์ของฉันแล้ว บอกฉันหน่อยได้ไหมครับว่าจะไปอยู่กับใครต่อไปจึงจะดี? "
เขาตอบว่า " ลูกรัก ขอสาบานว่าเราไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าใครจะรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องศาสนาของเราดียิ่งไปกว่าชายผู้หนึ่ง
ซึ่งอยู่ที่ " นัซซีบีน " จงไปอยู่กับเขาเถิด หลังจากฝังศพเสร็จแล้ว ฉันจึงไปหาชายที่อยู่ " นัซซีบีน " และบอกให้ทราบว่า
ชายที่อยู่ " เมาซิล " สั่งให้มาอาศัยอยู่ด้วย เขากล่าวว่า " จงอยู่กับเราเถิด " ฉันจึงอยู่กับเขา และพบว่าเขาเป็นคนดีจริงๆ
ขอสาบานว่าฉันมาอยู่ที่นั่นไม่กี่วัน ชายผู้นั้นก็ถึงแก่กรรม และก่อนตายฉันกล่าวแก่เขาว่า " ท่านก็ทราบเรื่องของฉันดีอยู่แล้ว
ท่านจะสั่งฉันให้ไปอยู่กับใครต่อไป เขากล่าวว่า " ลูกรัก เราไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าจะเหลือผู้ใดที่จะรอบรู้กิจการของเรา
นอกจากชายผู้หนึ่งซึ่งอยู่ที่ " อัมมูรียะฮฺ " สัจจธรรมอยู่กับเขาจงไปหาเขาเถอะ " ต่อจากนั้นฉันจึงไปหาชายที่อยู่อัมมูรียะฮฺ
และได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาทราบ เขากล่าวว่า " เธอจงพำนักอยู่กับเราที่นี่เถิด " ฉันจึงอยู่ ณ ที่นั้น ขอสาบานว่าเขาเป็น
คนดีจริงๆ และฉันก็ทำงานเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะให้ด้วย
ต่อมาไม่นานเขาก็ตายไปอีกคนหนึ่ง และก่อนตายฉันถามว่า ท่านทราบดีอยู่แล้วว่าฉันมาเพื่อแสวงหาสัจจธรรม
จงบอกฉันหน่อยเถิดว่าจะไปหาใครที่ไหนอีก และจะให้ฉันทำอย่างไร? เขากล่าวว่า " " ลูกรัก ฉันขอสาบานว่าไม่มีใครอีกแล้ว
ที่จะยึดถือและปฎิบัติได้อย่างที่เราเคยยึดถือปฎิบัติ แต่ขณะนี้ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ซึ่งเป็นเวลาแห่งการรอคอย เพราะจะมีนบี
ท่านหนึ่งเกิดขึ้นในดินแดนอาหรับ ท่านผู้นี้ถูกแต่งตั้งให้เผยแผ่ตามศาสนาของท่านนบี อิบรอฮีม และท่านผู้นี้จะอพยพจาก
บ้านเกิดเมืองนอนมายังดินแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีต้นอินทผลัมมากมาย อยู่ระหว่างหินร้อนที่มีสีดำคล้ำและแหลมคม
ท่านผู้นี้มีเครื่องหมายเป็นข้อสังเกตได้อย่างชัดเจน คือท่านจะรับประทานของฮะดียะฮฺ แต่จะไม่รับประทานสิ่งที่ถูกมอบให้เป็น
ซ่อดะเกาะฮฺ และที่บ่าทั้งสองข้างจะมีตราแห่งการเป็นนบีประทับอยู่ ถ้าเจ้าสามารถไปหาท่านผู้นี้ได้ ณ ดินแดนที่มีลักษณะ
ดังกล่าวนั้นแล้ว เจ้าก็จงกระทำเถิด " "

ต่อมาเมื่อเขาถึงแก่กรรม ฉันยังอยู่ที่อัมมูรียะฮฺอีกชั่วระยะหนึ่ง จนกระทั้งได้มีพวกพ่อค้าชาวอาหรับ
เผ่ากัลบฺ ผ่านมาถึงอัมมูรียะฮฺ ฉันจึงเสนอต่อเขาว่า " ถ้าหากพวกท่านสัญญาว่าจะพาฉันไปยังดินแดนอาหรับ
ฉันจะให้วัวและแกะแก่พวกท่าน พวกนั้นกล่าวว่า ได้ซิ พวกเราจะพาท่านไป ฉันจึงมอบวัวและแกะให้
พวกเขาได้พาฉันเดินทางมาจนกระทั่งถึง วาดีอัล กุรอ " ซึ่งเป็นบริเวณหุบเขาแห่งหนึ่งอยู่ระหว่างมะดีนะฮฺกับชาม
พวกเขาก็ผิดสัญญาและได้รวมหัวกันจับฉันขายให้เป็นทาสแก่ชาวยิวคนหนึ่ง ฉันจึงจำต้องอยู่รับใช้ชาวยิวผู้นั้น
จนกระทั่งอีกไม่กี่วันต่อมา มีลูกพี่ลูกน้องของเขาคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวเผ่า " บนี กุรอยเซาะฮฺ " ได้มาเยี่ยมเยียน
และขอซื้อตัวฉันอีกทอดหนึ่ง เขาพาฉันมาอยู่มะดีนะฮฺ ฉันมองเห็นต้นอินทผลัมซึ่งครั้งหนึ่งชายจากอัมมูรียะฮฺ
เคยบอกไว้ มาคราวนี้ฉันเองได้รู้จักเมืองมะดีนะฮฺซึ่งเป็นเมืองที่มีลักษณะเหมือนกัยที่ชายจากอัมมูรียะฮฺเคยบอกไว้
ฉะนั้นฉันจึงอยู่ที่มะดีนะฮฺเพื่อรับใช้นายคนใหม่ ซึ่งเป็นชาวยิวเผ่า บนีกุรอยเซาะฮฺผู้นั้น
ฝ่านท่านนบี ขณะนั้นกำลังเรียกร้องเชิญชวนหมู่คณะในมักกะฮฺให้รับอิสลาม แต่ฉันก็ไม่เคยทราบข่าวคราวความ
เคลื่อนไหวของท่านเลย เพราะต้องทำแต่งานตามหน้าที่ในฐานะเป็นทาส
ต่อมาท่านร่อซูลได้อพยพมายัษริบ หรือมะดีนะฮฺ ฉันขอสาบานว่า ขณะนั้นฉันกำลังอยู่บนยอดต้นอินทผลัม
ขณะนั้นได้มีลูกพี่ลูกน้องของเขาคนหนึ่งมาหาและกล่าวว่า " ขอให้พระเจ้าจงจัดการเผ่าบนีกอลละฮฺด้วยเถิด
อันหมายถึงเอ๊าซฺและค็อซฺรอจญ์ ขอสาบานว่าขณะนั้นพวกนั้นกำลังชุมนุมอยู่ที่กุบาอฺ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ชาน
เมืองมะดีนะฮฺ เพราะวันนี้ได้มีชายชาวมักกะฮฺอพยพมาถึงที่นั่น และชายผู้นั้นได้อ้างตนว่าเป็น นบี "
เมื่อฉันได้ยินข้อความทั้งหมดก็เกิดความรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ร่างกายสั่นสะท้านคล้ายกับจะเป็นไข้ จนฉันเกรงว่าจะตก
ลงมาโดนนายที่อยู่ข้างล่าง ฉันจึงรีบลงมาจากยอดอินทผลัมโดยเร็ว และไต่ถามชายผู้มาเยือนทันทีว่า
เมื่อสักครู่นี้ท่านพูดว่าอย่างไรนะครับ ได้โปรดทบทวนให้ฟังอีกครั้งจะได้ไหม? คำถามของฉันต่อชายผู้นั้นทำให้นายโกรธมาก
เขาจึงใช้กำปั้นทุบฉันเปรี้ยงหนึ่ง และกล่าวสำทับว่า " มันเป็นกงการอะไรของเอ็งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือ ไปๆๆๆจงกลับไป
ทำงานต่อเดี๋ยวนี้ "
เย็นวันนั้น หลังจากเก็บผลอินทผลัมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงหยิบไว้นิดหน่อย และมุ่งไปกุบาอฺซึ่งท่านร่อซูลกำลังพักอยู่
ณ ที่นั้น ฉันจึงเข้าไปหาและกล่าวว่า " ทราบข่าวว่าท่านเป็นคนดี มีพรรคพวกอพยพติดตามมาด้วย เป็นคนต่างถิ่นซึ่งต้อง
การความช่วยเหลือ และนี่อินทผลัมของฉัน ซึ่งฉันนำติดตัวมาเป็นศอดะเกาะฮฺ และท่านนั้นเหมาะสมที่จะได้รับยิ่งกว่าผู้อื่น "
แล้วฉันก็วางอินทผลัมไว้ใกล้ๆท่าน
ท่านร่อซูลก็กล่าวแก่บรรดาศอหะบะฮิว่า " พวกท่านจงรับประทานซิ แต่ตัวท่านเองมิได้แตะต้องเลย ฉันจึงรู้แก่ใจว่าได้พบ
เครื่องหมายการเป็นนบีอย่างหนึ่งแล้วคือ ไม่กินของที่นำมาเป็นศอดะเกาะฮฺ
ฉันลาท่านกลับมาก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มเก็บอินทผลัมเตรียมไว้อีก เมื่อท่านร่อซูลออกจากกุบาอฺ ย้ายเข้ามาอยู่มะดีนะฮฺ
ฉันก็มาหาท่านอีกแล้วกล่าวว่า " ฉันทราบว่าท่านไม่รับประทานสิ่งที่เป็น " ศอดะเกาะฮฺ " แต่นี่คือ " ฮะดียะฮฺ " ของขวัญซึ่ง
ฉันนำมาให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่าน " คราวนี้ท่านรับประทานอินทผลัมนั้นร่วมกับศอหะบะฮฺด้วย
ฉันจึงพูดกับตัวเองในใจว่า " นี่แหละคือเครื่องหมายการเป็นนบีข้อที่สองละ " คือจะรับประทานของ " ฮะดียะฮฺ "
คือที่ถูกนำมาให้เป็นของกำนัล และฉันได้พบท่านร่อซูลอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ท่านอยู่ที่บะเกี้ยอฺ เพื่อฝังศพศอหะบะฮฺท่านหนึ่ง
ฉันเห็นท่านร่อซูลนั่งอยู่มีเสื้อคลุมสองตัว ฉันกล่าวคำให้สลามและเดินวกไปทางด้านหลัง หวังใจว่าจะได้เห็นตราประทับ
ดังที่ชายจากอัมมูรียะฮฺเคยบอกไว้ เมื่อท่านนบีเห็นฉันกำลังจ้องมองด้านหลังของท่าน คล้ายกับจะค้นหาอะไรสักอย่าง
ท่านก็รู้ความประสงค์ของฉันทันที ท่านจึงหย่อนผ้าคลุมจากหลังของท่าน ฉันจึงมองเห็นตราประทับได้อย่างถนัดตา
ดังนั้นฉันจึงรู้ว่าท่านคือนบี ฉันตรงเข้าสวมกอดร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติเป็นล้นพ้น ท่านร่อซูลจึงถามว่า " เรื่องราวของท่าน
เป็นอย่างไรรึ? ฉันจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ท่านฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านร่อซูลแปลกใจและดีใจเป็นอย่างยิ่ง และบอกให้
บรรดาศอหะบะฮฺฟังเรื่องราวของฉันด้วย ฉันจึงเล่าให้ฟังโดยตลอด สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้เหล่าศอหะบะฮฺยิ่งนัก
พวกเขาต่างแสดงความปลื้มปิติและดีใจต่อฉันมาก
" ขอความสันติสุขได้ประสบแก่ท่าน ซัลมาน อัลฟาริซียฺ วันที่เขาได้ค้นหาสัจจธรรมไปทั่วทุกหัวระแหง "
" ขอความสันติสุขได้มีแด่ท่าน ซัลมาน อัลฟารีซียฺ วันที่เขาพบสัจจธรรม และได้ศรัทธาอย่างแน่นแฟ้น
" ขอความสันติสุขได้ประสบแด่ท่าน ซัลมาน อัลฟาริซียฺ วันที่ท่านสิ้นชีวิต และวันที่ท่านจะกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง

****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น