ชายคนหนึ่งขี่ลาผ่านไปบนท้องถนน โดยปล่อยให้ลูกชายของเขาเดินอยู่ข้างหลัง มีคนกล่าวว่า : ชายคนนี้เป็นคน ที่ไม่มีความเมตตาเอาเสียเลย ตัวเขาขี่ลา และให้ลูกของเขาเดิน
ชายคนนั้นได้ยินสิ่งที่มีคนพูด ก็ลงจากลามาเดินเท้า และให้ลูกชายขี่ลา และเมื่อผ่านกลุ่มชนหนึ่ง พวกเขาก็ได้ กล่าวว่า : เด็กคนนี้เขาไม่ให้เกียรติพ่อของเขาเลย ตัวเขาขี่ลา และให้พ่อของเขาเดิน
ชายคนนั้นได้ยินสิ่งที่มีคนพูด เขาก็ขึ้นขี่ลาพร้อมกับลูกของเขา และเมื่อผ่านกลุ่มชนอื่น พวกเขาก็ได้กล่าวกันว่า: สองคนนี้ช่างไม่มีความเมตตาต่อลาผู้น่าสงสารเลย
หลังจากนั้นทั้งพ่อและลูกก็ลงเดิน และให้ลาเดินตามหลัง ทั้งสองได้เดินทางผ่านกลุ่มชนหนึ่ง พวกเขาก็ได้ กล่าวว่า : ชายคนนี้ช่างโง่เขลาซะเหลือเกิน เขาเดินพร้อมกับลูกของเขา แต่ปล่อยลาให้เดินโดยไม่มีใครขี่มัน
ขณะนั้นชายคนนั้นได้บอกกับลูกของเขาว่า: โอ้ลูกเอ่ย นี่แหละคำพูดของมนุษย์ ที่ไม่มีจุดจบ ถึงแม้ว่าลานั้นจะถูกแบกด้วยมือของเราก็ตาม
แง่คิดจากเรื่องนี้
คำพูดของมนุษย์นั้นหลากหลายความคิด หลากหลายมุมมอง แน่นอนว่าเราจะไปสนใจกับคำพูดของคนหนึ่ง คนใดมิได้เป็นการเฉพาะ จากตัวอย่างข้างต้นเมื่อชายคนนั้นได้ยินคำพูดของคนกลุ่มหนึ่งก็กระทำอีกแบบหนึ่ง พอไปได้ยินอีกกลุ่มหนึ่งก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นิสัยของมนุษย์นั้นชอบพูดด้วยกับอารมณ์ ตนเอง ความชอบ การนึกคิดของตนเองเป็นหลัก บางครั้งก็พูดแต่สิ่งไร้สาระไม่มีประโยชน์ คิดแต่เพียงว่า มีปากก็พูดไป
ฉะนั้นความถูกต้องไม่ได้อยู่ที่ว่า คนนั้นบอก คนนี้บอก แต่เราต้องพิจารณาถึงหลักการในแต่ละเรื่อง และมีความ อดทนให้มาก ๆ กับคำพูดต่าง ๆ ของมนุษย์ในลักษณะดูถูกเหยีดหยาม เพราะคำพูดของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1.คำพูดของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด
2.มนุษย์มีหลากหลายความคิด เราจะไปใส่ใจกับคำพูดทุกคนไม่ได้
3.ให้เรายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่สนใจคำพูดของมนุษย์
4.มาตรฐานความถูกต้องไม่ได้อยู่ที่คำพูดของมนุษย์ แต่อยู่ที่หลักการความเป็นจริง
5.มนุษย์คนใดที่มีนิสัยชอบตำหนิผู้อื่นนั้น เขาสมารถหาเรื่องมาตำหนิได้เสมอ
..............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น