อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

โต๊ะกีแซะฮฺวลีย์แห่งชัยฏอน



อัล-กะรอมะฮฺ หมายถึงสิ่งหนึ่งที่อาจมีอยู่เหนือกฏธรรมชาติ แต่มิได้มีขึ้นเพื่อการท้าทาย หรืออวดอ้างตนเป็นผู้วิเศษเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงให้มีขึ้นกับเฉพาะบ่าวของพระองค์ที่ศอและห์และเคร่งครัดในหลักการศาสนา ทั้งนี้เพื่อการให้เกียรติต่อเขา อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับบุคคลที่ดีมากมายครั้งในอดีต ดั่งที่ถูกระบุในสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟี หรือบุคคลในยุคเศาะหาบะฮฺ และตาบิอีน อย่างที่เกิดกับท่านอุมัร บินอัล-ค็อฏฏ็อบ(ร่อฎียัลลอฮุอันฮุมา) ซึ่งสามารถมองเห็นกองทัพศัตรูในต่างเมืองขณะที่คุฏบะฮฺอยู่บนมิมบัร, เหตุการณ์ที่บรรดามะลาอีกะฮฺนั้นมาให้สลามแก่อิบรอน อิบนุ หุศอยน์ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ) ท่่านซัลมานอัลฟาริซีย์ และอะบุ๊ดดัรดาอ์ (ร่อฎียัลลอฮุอันฮุมา) กำลังกินอาหารในจาน จานหรืออาหารที่อยู่ในจานนั้นก็ได้ทำการตัสบี้ห์สดุดีพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา เป็นต้น

ดังดั้น "กะรอมาต" เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงให้แก่บรรดาบ่าวที่ศอและห์ บรรดาวะลี หรือเอาลิยาอฺของอัลลอฮฺ ซึ่งยึดยึดมั่นอยู่ในอัล-กิตาบุลลอฮฺและอัส-สุนนะฮฺ


พระองคือัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า

أَلَا إِنَّ أَوْلِيَاءَ اللَّهِ لَا خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلَا هُمْ يَحْزَنُونَ ( 62 )

"พึงทราบเถิด ! แท้จริง บรรดาคนที่อัลลอฮ์รักนั้น ไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ แก่พวกเขาและพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจ"

الَّذِينَ آمَنُوا وَكَانُوا يَتَّقُونَ ( 63 )

"คือบรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขามีความยำเกรง"

لَهُمُ الْبُشْرَىٰ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَفِي الْآخِرَةِ لَا تَبْدِيلَ لِكَلِمَاتِ اللَّهِ ذَٰلِكَ هُوَ الْفَوْزُ الْعَظِيمُ ( 64 )

"สำหรับพวกเขาจะได้รับข่าวดี ในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และในโลกหน้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในลิขิตของอัลลอฮ์ นั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺยูนุส 10:62)

ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"สัญญาณแห่งการเป็นนบีไม่คงเหลืออยู่อีกแล้ว เว้นแต่การแจ้งข่าวดี เหล่าเศาะฮาบะฮฺถามว่า : การแจ้งข่าวดีหมายถึงอะไรเล่า? ท่านตอบว่า : คือความฝันที่ดี" (บันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์


อิสลามมีหลักทางศาสนาที่ชัดเจนเกี่ยวกับเชื่อถือต่อ "กะรอมัต" อยู่ กล่าวคือ มิได้หมายความว่าสิ่งที่คิดว่ามหัศจรรย์ หรือแปลกเหนือธรรมดาทุกอย่างนั้นคือ "กะรอมาต" เสมอไป ซึ่งการเชื่อเช่นนั้นบางที่อาจเป็นการนำพาสู่การเกินเลย หรือเปิดทางให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในศาสนา ไม่ว่าเวทมนต์ของมารร้าย ชัย และพวกดัจญาล ปะปนจนกลายเป็นเรื่องเดียวกันได้
ระหว่าง "กะรอมาต" กับเวทมนต์ นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

กะรอมาต คือสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากการฏออะฮิต่ออัลลอฮฺ และเป็นคุณลักษณะเฉพาะบรรดาผู้ที่เคร่งครัดอยู่ในหลักการเท่านั้น

พระองค์อัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า

 وَمَا كَانُوا أَوْلِيَاءَهُ إِنْ أَوْلِيَاؤُهُ إِلَّا الْمُتَّقُونَ( 34 )

 "และพวกเขาก็มิใช่บรรดาบุคคลที่รักพระองค์(วะลียุลลอฮฺ)ไม่ แท้จริงบุคคลที่รัก(วะลี)ของพระองค์มิใช่อื่นใด นอกจากบรรดาผู้ยำเกรง(มุตตากีน)เท่านั้น..." (อัลกุรอาน สุเราะฮฺอัล-อันฟาล  8: 34)


ส่วนเวทมนมนต์ คือ  สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากงานที่เป็นการปฏิเสธ และสิ่งชั่วช้าหรือการฝ่าฝืน(มุอฺศียะฮฺ)

อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ยอมรับว่ามีสิ่งที่เป็นเวทมนต์ และนักมายากลอยู่ในโลก แต่ทั้งนี้พวกเขาถือว่าสิ่งนั้นไม่อาจทำอันตรายแก่บุคคลใดได้ นอกจากด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น

พระองค์อัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า

 وَإِنَّ الشَّيَاطِينَ لَيُوحُونَ إِلَىٰ أَوْلِيَائِهِمْ لِيُجَادِلُوكُمْ وَإِنْ أَطَعْتُمُوهُمْ إِنَّكُمْ لَمُشْرِكُونَ ( 121 )

"และแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหาย ของมัน เพื่อพวกเขา จะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อันอาม  6:121)


 وَلَٰكِنَّ الشَّيَاطِينَ كَفَرُوا يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ

 "แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์"

 وَمَا هُم بِضَارِّينَ بِهِ مِنْ أَحَدٍ إِلَّا بِإِذْنِ اللَّهِ وَيَتَعَلَّمُونَ مَا يَضُرُّهُمْ وَلَا يَنفَعُهُمْ ( 102 )
 และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา  (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-บะเกาะเราะฮ 2:102)


และแน่นอน โตีะกีแซะ ที่มุสลิมบางคน หรือบางกลุ่มนับถือกราบไหว้บูชา มันคือวลีย์(ผู้เป็นที่รัก)ของชัยฏอน  ที่ทำให้พวกเขาหลงลืมการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ปรุ่งแต่งความชั่วให้เป็นความชอบธรรมแก่พวกเขา นำเอาสิ่งที่เป็นเท็จมาบอกพวกเขา แล้วทำให้พวกเขาหูหนวก ไม่มีโอกาสได้รับฟังความจริง ทำให้ตาของพวกเขาบอด ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ พวกเขานัเนจึงเป็นผู้รับใช้แก่มัน เชื่อฟังคำสั่งต่างๆของมัน  และนำความชั่วช้ามาหลอกหลวงพวกเขา และชักจูงพวกเขาไปสู่ความเสื่อมเสีย จนมันได้นำความชั่วช้ามาปรุ้งแต่งให้เกิดความสวยงามแก่พวกเขา แล้วพวกเขาเห็นดีเห็นงามไปด้วย และได้นำเอาความดีมาทำให้เป็นสิ่งที่ชั่วช้าน่าเกลียด แล้วพวกเขาก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ชั่วช้าน่าเกลียดไปด้วย

 สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาที่พวกเขาได้วอนขอกับมัน หรือมันทำให้เกิดสิ่งที่มหัศจรรย์เหนือธรรมชาติใที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ให้พวกเขาได้เห็น นั้นไม่ใช่ "กะรอมาต" ที่อัลลอฮฺทรงให้มีขึ้นกับเฉพาะบ่าวของพระองค์ที่ศอและห์และเคร่งครัดในหลักการศาสนาแต่อย่างใด แต่มันเป็นการหลอกหลวง เป็นเวทมนต์ หรือมายากลที่เป็นผลงานของมารร้ายชัยฏอน มันไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการปล่อยให้มีการหลงจากอัลลอฮฺแก่ผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระองค์ หรือการช่วยเหลือจากชัยฏอน แก่ผู้เป็นวลีย์ของมัน

พระองค์อัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า


 وَالَّذِينَ كَفَرُوا أَوْلِيَاؤُهُمُ الطَّاغُوتُ يُخْرِجُونَهُم مِّنَ النُّورِ إِلَى الظُّلُمَاتِ أُولَٰئِكَ أَصْحَابُ النَّارِ هُمْ فِيهَا خَالِدُونَ ( 257 )

 "และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น บรรดาผู้ช่วยเหลือของพวกเขาก็คือ อัฎ-ฎอฆูต(พวกหัวหน้ามารร้าย) โดยที่พวกมันจะนำพวกเขาออกจากแสงสว่างไปสู่ความมืด ชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล" (อัลกุรอาน สุเราะฮฺอัล-บะเกาะเราะฮ  2:257)


 وَإِنَّ الشَّيَاطِينَ لَيُوحُونَ إِلَىٰ أَوْلِيَائِهِمْ لِيُجَادِلُوكُمْ وَإِنْ أَطَعْتُمُوهُمْ إِنَّكُمْ لَمُشْرِكُونَ ( 121 )

"และแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหาย ของมัน เพื่อพวกเขา จะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อันอาม  6:121)

และผู้ใดวอนขอ ขอความอนุเคราะห์ บนบานจากโต๊ะกีแซะฮฺ หรือได้ผินเอาโต๊ะกีแซะฮฺที่เคารพบูชา ถือเป็นการตั้งภาคีต่อพระองค์อัลลอฮฺแล้ว ถึงแม้เขาจะอ้างว่าเป็นเพียงตะวัสสุ้ล การนำโต๊ะกีแซะเป็นสื่อกลางเพื่อเข้าใกล้ชิดกับอัลลอฮฺตะอาลาก็ตาม

พระองค์อัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า

وَلاَ تَدْعُ مِن دُونِ اللّهِ مَا لاَ يَنفَعُكَ وَلاَ يَضُرُّكَ فَإِن فَعَلْتَ فَإِنَّكَ إِذًا مِّنَ الظَّالِمِينَ

"และเจ้าอย่าวิงวอนสิ่งใดอื่นจากอัลลอฮ์ที่ไม่อำนวยประโยชน์แก่เจ้า และไม่ให้โทษแก่เจ้า หากเจ้ากระทำเช่นนั้น แท้จริงเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้อธรรม" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺยูนุส :106)


إِنَّ الْإِنسَانَ لِرَبِّهِ لَكَنُودٌ

"แท้จริงงมนุษย์เป็นผู้เนรคุณต่อพระเจ้าของเขา" (อัลกุรอาน สุเราะฮอัล-อาดิยาต : 6)

และผู้ใดยังวอนขอจากโต๊ะกีแซะ และไม่เตาบัตกลับเนื้อกลับใจยังพระองค์อัลลอฮฺ ก็จงระวังโทษอันใหญ่หลวงจากพระองค์

ท่านรสูุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า
"ผู้ใดตายไปในขณะที่เขาอ้อนวอนแด่อัลลอฮฺ ซึ่งเทียบเคียงคนหนึ่งคนใด เขาจะได้เข้านรก" ผบันทึกหะดิษโดยอิมามอัลบุคอรีย์)


والله أعلم بالصواب



 










พวกเขาเชื่อว่า  ใครได้ไปช่วยหามหรือได้แตะสัมผัส #ไม้โบราณหรือไม้แห่งชีริก# จะได้รับริสกีบารากัตจากโต๊ะกีแซะ 













7 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ6 พฤษภาคม 2563 เวลา 06:01

    ครูบาอาจารย์ของคุณไม่สั่งไม่สอนเหรอว่าการซอเล็มคนมันบาป.โต๊ะกีแซะเขาคือวะลียุ้ลลอฮ.ก่อนจะลงเว็บอะไรนะ,หัดศึกษาประวัติ​ของเขามาเสียก่อนเเล้สค่อยมาลง.แล้วไอ้ที่คุณเขียนว่า"วลีเเห่งชัยฎอน" ก็คุณ​นั่นเเหละ"วลีย์อิบลีส" เห็นอะไรนิดหน่อยไม่ได้
    ว่าเขาชิริกบ้างบิดอะห์บ้าง.ผมไม่อยากพูดอะไรมากหรอก,ถ้าอยากรู้อยากเห็น​ก็แอดเฟสมา
    FB:Alee Binnuroy​

    ตอบลบ
  2. บาปที่คุณเอาคนที่มีความรู้ ทางศาสนา และปฏิบัติตัวจนได้ไกล้ชิดอัลลอฮ์ จะติดตัวคุณไปตราบใดที่้ว็บที่ฟิตนะฮ์ใส่ร้ายนึ้ยังอยุ่ คุณศึกษา ถึงตัวตนและคำสอนของโต๊ะกีดีพอแล้วหรือยัง ถึงได้ใส่ร้ายท่านขนาดนี้

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. กระผม นาย ชาคริต โพธิ์กระจ่าง
      ผมขออนุญาตโต้แย้งกับกระทู้นี้!!!
      โต๊ะกีท่านเป็นคนที่มี"ตะเซาวุฟ"แกร่งกล้ามาก,ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ท่านจะคอยสอนลูกศิษย์ลูกหาให้เตาบะห์ และ กล่าวกลิเมาะห์ชะฮาดะห์ อยู่ตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอ ก่อนที่ท่านจะเสด็จวะฟาตกลับสู่พระองค์ ท่านได้กล่าวว่า "หลังจากยุคของซะยอแล้วก็ไม่มีคอลีฟะตุ้ลมุรชีดหน้าไหนอีก แม้นหากอนุชนรุ่นหลังอิหม่านต่อซะยออย่างแท้จริง ปฏิบัติตามห้ามตามใช้(ขึ้นลงตามสาย) โดยการมาร่วมงานเมี๊ยะราจ งานมูโหลด งานโฮลเช็คอับดุลกอเด็ร อัล-ญัยลานีย์ อย่างเป็นประจำโดยมิขาดสาย แล้วไซร้ซะยอจะขอรับดอมาน(รับผิดชอบ)ในการการชะฟาอะห์(ช่วยเหลือ)เองในทุกกรณี"
      ฉะนั้นคนที่เขาเป็นครูมุรชีดจริงๆเขาจะต้องยอมรับในการกระทำของลูกศิษย์ได้ตลอดทุกเมื่อทุกเวลาทั้งดุลยาและอาคีรัต
      #หนึ่งในสานุศิษย์โต๊กีแซะ

      ลบ
  3. คุณสร้างจึ้นมาเพื่อ อะไรครับ
    คุณไม่ได้ศึกษาอะไรเลย ผมอาจารย์ประวัติศาสตร์ ศิลปากร
    คุณลองไปศึกษาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ว่ามนโลกนี้
    พิธีการแบบนี่เขาเรียกอะไร แล้วไม่มใช่ที่ไทยทำ
    มีมาตั้งแต่สมัยอดีต และทุกวันนี้ ทั้งโลกก็ยัฃยึดแนวทางนี้
    หาใช่เหมือนศาสนาอื่น เพราะศาสนาอื่นก็ไม่มีแบบนี้

    ตอบลบ
  4. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ

  5. คุณไปอ่านหลักปฏิบัติให้ดีเสียก่อนจะเอากรุอ่านมาโยงผิดถูกคุณรู้ดี ในหลักศรัทธา นั้นมีอะไร กรุอ่านบอกไว้อย่างไร
    อัลฮาดีษมีไว้ทำอะไร แล้วสิ่งที่บรรดาสานุศิษย์เขาทำ ทำเพื่ออะไร
    คุณต้องศึกษาให้ได้ถึงแก่นแท้เสียก่อน
    ฝากไว้ให้คิด พิจารณา

    ตอบลบ
  6. ผมในฐานะศิษย์คนหนึ่งที่ตามแนวทางของที่โต๊ะกีนำมาคือตอรีเกาะฮ์กอดิรียะฮ์ซึ่งมาจากแช็คอับดุลกอเดร ญัยลานีย์ มีสายสะนัดซัลซีละฮ์เชื่อมถึง การที่คุณกล่าวหาว่าโต๊ะกีเป็นวลีย์ชัยตอนเป็นสิ่งที่โง่มาก วลีย์ขัยตอนคือหมอผีไสยศาสตร์มนต์ดำไม่อยู่ร่องรอยศาสนา แต่กับโต๊ะกีตรงกันข้าม ท่านทั้งละหมาด ถือศีลอด ออกซะกาต สอนอัลกุรอาน สอนศาสนา บริจาคทานเป็นนิจนี่หรือวลีย์ชัยตอน
    อัลลอฮ์ตรัสว่าใครเป็นศัตรูกับวลีย์ของฉันเท่ากับเป็นศัตรูกับข้า
    ท่านกล้าประกาศตัวเป็นศัตรูกับวลียุ้ลลอฮ์แน่นอนความหายนะจะประสบกับท่าน ด้วยเหตุที่ท่านทำตัวเป็นศัตรูกับวลียุ้ลลอฮ์ ท่านกล้าอ้างกุรอาน แต่กลับนำฟิตนะห์มาผสม ช่างชั่วช้าจริงๆ สิ่งที่ท่านพูดมาคือท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสายโต๊ะกีเลย ท่านใช้ดูยูทูปดูคลิป ฟังคำลือคำเล่าอ้างแล้วนั่งเทียนเขียนเดาส่งมั่วซั่ว ท่านช่างเลวเหลือเกินอย่าอ้างตัวเป็นผู้รู้ศาสนาเลย ถ้ายังมีแต่อิ้ลมูฟิตนะห์อยู่ในหัวใจ

    ตอบลบ