อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ยืนหยัดให้มั่นคง


1.
"ฉันประหลาดใจเหลือเกินกับการที่มนุัษย์มาร้องขอให้ผู้ถูกดกขี่ร้ัองขอการอภัยโทษ และขอความกรุณาจากผู้กดขี่

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง แม้่ว่าการเอ่ยคำขอโทษเพียงไม่กี่คำจะช่วยให้ฉันรอดพ้นจากความตาย ฉันก็ไม่มีวันที่จะกระทำ

และฉันจะกลับไปพบพระผู้อภิบาลด้วยความภาคภูมิใจ เพราะพระองค์จะทรงอยู่กับฉัน"

"ถ้าฉันถูกจองจำด้วยความยุติธรรมแล้วฉันยินดีที่จะรับโทษทัณฑ์ต่าง ๆ ด้วยความถูกต้องและเป็นธรรม

แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นด้วยความอยุติธรรมแล้ว ฉันก็ไม่สามารถจะคุกเข่าลงเพื่อร้องขอความเมตตาต่อหน้าความชั่วร้าย และความอยุติธรรมนั้นได้"
...................................

2.
ทั้งสองประโยคนี้เป็นคำกล่าวที่ไม่สามารถลบเลือนออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของโลกได้ เพราะทั้งสองเป็นคำกล่าวอันมีค่าของ "ชัยยิด กุฏุบ" (1906-1966) นักคิดนักเขียนชาวอียิปต์ ผู้นำกลุ่มอิควานมุสลิมูน หรือกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ซึ่งเขาได้เอ่ยมันขึ้นมาเพื่อเป็นการประกาศให้โลกได้รับรู้ว่า เขาได้ทำการซื้อขายโลกใบนี้เเพื่ออาคิเราะฮฺแล้ว

การตัดสินใจพูดประโยคเหล่านี้ออกมา...

นำมาซึ่งผลการถูกคำตัดสินของศาลให้ประหารชีวิตเขาทันที ถึงแม้ว่าคำตัดสินนี้จะถูกทักท้วงโดยหลายฝ่าย และหลายองค์กรอันมากมาย ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ แม้กระทั่งให้ศาลทบทวนคำตัดสินก็ตาม

สัญญาณถึงวาระแก่ความตายได้มาถึงชัยยิด อัลกุฏุบ....

เมื่อเขาถูกนำตัวขึ้นชั้นศาลและปฏิเสธการกล่าวคำขอโทษแก่ "ยามัล อับดุล นาศิรฺ" (ผู้นำอียิปต์ในขณะนั้น) หลังจกาที่ถูกทรมานในเรือนจำ ด้วยการถูกทุบตีทำร้ายร่างกายโดยปราศจากความปรานี และยังต้องรับมือกับความดุึร้ายป่าเถื่อนของมนุษย์ด้วยการปล่้อยสุนัขเข้าไปทำร้ายโดยการกัดและลากไปรอบ ๆ ห้องขัง

หากรวมเวลาที่ใช้ไปในเรือนจำ (ที่อธรรม) ย่อมไ่ม่ต่ำกว่า 25 ปี ถึงแม้ว่าคำตัดสินประหารชีวิตสามารถเปลี่ยนแปลงไปด้วยแค่เพียงคำขอโทษ เพียงไม่กี่คำ...

แต่เขาก็เลือกที่จะยืนหยัดและยืนกรานที่จะกลับไปหาพระผู้อภิบาลด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเขารู้ดีว่า "ความตายไม่เคยทำให้ใครต้องวิตกกังวลหรือหวาดระแวงเลย นอกจากผู้ืที่มีใจรักและหลงใหลต่อดุนยาเท่านั้น"
...................................

3.
หลายต่อหลายครั้งในการใช้ชีวิตของคนเีรา่ มักจะถูกตัดสินโดยผู้คนอื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินในเรื่องย่อย ๆ เช่น การถูกตัดสินแพ้ชนะในเกมส์กีฬา ไปจนถึงการตัดสินที่ทำให้ล้มละลายในทรัพย์สิน จนกระทั่งการประหารชีวิต และบ่อยครั้งที่ถูกตัดสินไปด้วยความไม่ยุติธรรม จึงนำมาซึ่งความกระวนกระวายและความหวาดระแวงในคำตัดสินที่อธรรมเหล่านั้น

การยืนหยัดอยู่้บนสัจธรรมอย่างคงมั่นเป็นคุณลักษณะหนึ่งของผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮฺ เป็นการพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของตนเองได้ดี และเ็ป็นการประกาศถึงการไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความอธรรม อีกทั้งไม่ยินยอมคุกเข่าลงต่อความชั่วร้ายตราบจนชีวิตจะหาไม่

เช้าวันจันทร์ 26 สิงหาคม 1966 วันที่ไม่มีอะไรหักมุม....

ชัยยิด อัลกุฏุบ ถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอ อีกทั้งยังถูกอธรรมจนวินาทีสุดท้าย ด้วยการถูกแขวนคอก่อนเวลา 8 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ผิดปกติในทำการประหาร เพราะเวลาปกติในการประหารชีวิตคือตั้งแต่ 8 โมงเช้าเป็นต้นไป

จากวันนั้นจนถึงวันนี้...

หนังสือพิมพ์ หนังสือ บทความที่ได้เขียนถึงเขา ต่างก็กล่าวถึงผลลัพธ์ของการถูกแขวนคอในวันนั้นด้วยอายะอฺอัลกุรอานที่ว่า

"และเจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮฺนั้นตาย มิได้ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของเขาในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ" (อาละอิมรอน : 169)


................................
ผู้เขียน : บุหรง
(จากหนังสือ : ก่อนฤดูเก็บเกี่ยว)
อดทน เพื่อชัยชนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น