.
13 ปีกัีบการแผยแผ่ศาสนาอิสลามของท่านนบีมุฮัมมัด ในนครมักกะฮฺเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามและเป็นไปอย่างยากลำบาก
ปฏิบัติภารกิจ ประกอบศาสนกิจ ศึกษาเรียนรู้ เผยแผ่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ
จนกระทั่งการเข้ารับอิสลามของบุคคลท่านหนึ่ง ได้เปลี่ยนสถานการณ์เหล่านี้ จากเดิมทีที่เป็นเรื่องลับใต้ติดจนเปิดเผยอย่างองอาจในสังคมมักกะฮฺ
นั่นคือ การประกาศตนยอมรับอิสลามของท่านอุมัรฺ อิบนุ อัลค็อฏฏอบ เจ้าของฉายา "อัลฟารุก" (ผู้จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ)
........................
ก่อนรับอิสลาม
ผู้คนต่างรู้จักเขาผู้นี้เป็นอย่างดี ในนามผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง ของเมืองมักกะฮฺแห่งนี้ หลายคนเกรงกลัวเขา ในขณะที่อีกมากหลายยกย่องชื่นชมบางคนเคารพเขา ในขณะที่บางคนเกลียดเข้าไส้ และเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ประกาศกร้าวว่าจะเด็ดหัวท่านนบีมุฮัมมัด ให้หลุดจากบ่าด้วยฝีมือของเขาเอง
จนกระทั่งเหตุการณ์ที่พลิกผันก็เกิดขึ้น เมื่ออัลลอฮฺ ทรงประสงค์ให้โองการหนึ่งจากอัลกุรอาน "แท้จริงข้าคืออัลลออฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นจงเคารพภักดีต่อข่า และจงดำรงละหมาด เพื่อรำลึุกถึงข้า" (ฏอฮา : 14) เป็นเหตุดลใจเขา จนเขาหันมาประกาศตนเข้ารับอิสลามในที่สุด
นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ร่วมต่อสู้กับศัตรูแบบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านนบีมาโดยตลอดจนเขาตั้งปฏิญาณว่า "แม้หัวตนเองต้องหลุึดจากบ่าก็ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้่ายท่านนบีโดยเด็ดขาด"
...............................
อุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบ ขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮฺดูแลบ้านเมืองหลังจากที่สหายรักทั้งคู่ (นั่นคือ) ท่านนบีมุฮัมมัดและท่านอะบูบักรฺ จากไป
"แม้แต่แกะตายตัวเดียวบนฝั่งแม่้น้ำยูเฟรดิส ข้าก็จะต้องรับผิดชอบ"
ไม่ใช่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ แม้แต่สัตว์เลี่ยงเล็กใหญ่ก็ต้องได้รับสิทธิต่างๆ เหล่านั้นเฉกเช่นเดียวกัน
ด้วยความเป็นผู้ทรงอิทธิพลเดิม เขาจึงปกครองบ้านเมืองได้อย่างปกติสุข และสามารถขยายขอบเขตอาณาจักร สร้างสันติสุขไปถึงต่างแคว้นแดนไกล จนเป็นที่รักของประชาชนอันมากมาย
แต่เมื่อใดหากมีคนรัก เมื่อนั้นย่อมมีคนเกลียด!
............................
ขณะที่ท่านอุมัรฺกำลังนำละหมาดอยู่.....
ชายผู้เกลียดชังท่านคนหนึ่ง ได้แอบก้าวมาจากแถวหลังใช้มีดดาบจ้วงแทงใส่ร่างท่านและวิ่งหนีจากไปแต่ท่านก็ยังฝืนยืนตัวตรงนำละหมาดต่อไป ดั่งบอกให้รู้ว่า ผู้ที่ลอบสังหารในครั้งนี้ไม่มีราคาค่างวดใดให้ต้องหันมาต่อกร มันเป็นเพียงยุงตัวหนึ่งที่ตอมแขนขณะละหมาดเท่านั้น
การสังหารผู้นำ อีกทั้งยังมีอิทธิพลสูงคนหนึ่ง ย่อมต้องถูกจัดการตามล่ามาลงโทษอย่างสาสม
แต่ตัวท่านกลับถามคำถามแค่เพียงว่า "ฆาตรกรเป็นใคร และศาสนาอะไร?"
เมื่อได้รับคำตอบว่า "ไม่ใช่มุสลิม" แต่ท่านก็ "ขอบคุณพระเจ้า"
นับเป็นบทเรียนอันสวยงาม สมดั่งเป็นหัวหน้าของบรรดาปวงชนผู้ศรัทธาเพราะแม้ตัวเองต้องเจ็บช้ำ แทนที่จะเป็นห่วงบาดแผลของตนเอง แต่ท่านกลับห่วงใยต่อฆาตกร กลัวว่าจะเป็นมุสลิมผู้หลงผิดภายใต้การเป็นหัวหน้าของท่าน
............................
อุมัรฺมีชีวิตอยู่ได้ต่อไปเพียง 4 วันก่อนที่วาระสุดท้ายจะมาถึง
เขาได้จัดแจงจ่ายหนี้สินส่วนตัวต่าง ๆ และเรียกลูกชายมา "เจ้าจงไปหาท่านหญิงอาอิชะฮฺมารดาแห่งศรัทธาชน และแจ้งว่า "อุมัรฺ ฝากสะลาม แต่อย่าบอกว่าหัวหน้าของผู้ศรัทธาเพราะขณะนี้ฉันไม่ได้เป็นหัวหน้าของบรรดาผู้ศรัทธาแล้ว และบอกกับนางว่า อุมัรฺ อิบนุ อัลค็อฏฏอบ ขออนุญาตฝังร่างเคียงข้างกับสหายทั้งสองของท่าน"
แม้ชีวิตเราที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้เมื่อการตายมาถึงเราไม่อาจขุดหลุมฝังร่างเคียงกับบรรดาผู้ประเสริฐทั้งสามนี้ แต่เราก็จะขอติดตาม เพื่อไปอยู่เคียงข้างท่านในสวนสวรรค์ อินชาอัลลอฮฺ
หลายคนเกรงกลัวเขาในขณะที่อีกมากหลายยกย่องชื่นชม บางคนเคารพเขา ในขณะที่บางคนเกลียดเข้าไส้
แต่สำหรับเราจะขออยู่ติดตามท่านหัวหน้าของบรรดาผู้ศรัทธาคนนี้สืบไป
........................
ผู้เขียน : บุหรง
(จากหนังสือ : ก่อนฤดูเก็บเกี่ยว)
อดทน เพื่อชัยชนะ โพส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น