อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เมื่อโต๊ะละแบร่วมพิธีประดิษฐานและบวงสรวงรูปปั้น





มันรู้สึกเจ็บแปลบในส่วนลึกของหัวใจ  เมื่อได้แลเห็นมุสลิมบางคน ที่ถูกเรียกว่าโต๊ะละแบ หรือโต๊ะละใบ ผู้แสวงกินบุญ ได้ร่วมพิธีประดิษฐาน อันเชิญ และบวงสรวงรูปปั้น(บูชาด้วยเครื่องสังเวยและธูปเทียน) เพื่อคนต่างศาสนิกเขาไว้กราบไหว้บูชา ด้วยการทำพิธีสูตรเดิมๆ คือร่วมกันอ่านยาซีน ซิกรุลลอฮฺ และขอดุอาอ์ ในบริเวณพิธีบวงสรวงรูปปั้นดังกล่าว

ในฐานะเป็นมุสลิม ผู้นับถือศาสนาอิสลาม อันเป็นศาสนาที่บริสุทธิ์ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งลงมายังบ่าวของพระองค์ มันรับไม่ได้ เมื่ออิสลามถูกย่ำยีต่อหน้าต่อตา จากผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้รู้ศาสนา และปฏิบัติศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่กลับมาทำพิธีและส่งเสริมให้เขากราบไหว้สิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ 

การที่โต๊ะละแบมาทำพิธี ในกรณีที่คนต่างศาสนิกสร้างประดิษฐ์รูปปั้นขึ้นมาเพื่อสำหรับกราบไหว้บูชา  ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นพิธีศาสนาอิสลามก็ตามแต่  แต่พิธีเหล่านี้ไม่มีหลักฐานใดๆ จากศาสนาที่สนับสนุนให้กระทำ นอกจากมันเป็นสิ่งอุตริกรรมในศาสนา และเป็นการส่งเสริมให้เขาสักการะสิ่งอื่น อันเป็นชิริก ที่เป็นบาปใหญ่ ซึ่งอัลลอฮฺไม่ทรงให้อภัยแก่ผู้ที่ตั้งภาคีต่อพระองค์ 

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 وَلَوْ أَشْرَكُوا لَحَبِطَ عَنْهُم مَّا كَانُوا يَعْمَلُونَ ( 88 ) 

"และหากเขาได้ให้มีภาคีขึ้นแล้ว แน่นอนสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำกันมา ก็สูญสิ้นไปจากพวกเขา"
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อันอาม 6:88)

ท่านรสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า
"พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
: ฉันเป็นผู้ถูกตั้งภาคีด้วย ที่ไม่ต้องการการตั้งภาคีมากที่สุด ใครที่ทำการงานหนึ่งการงานใด ที่เอาคนหนึ่งคนใด มามีหุ้นส่วนกับฉัน ฉันจะทอดทิ้งเขา และการตั้งภาคีของเขาด้วย" (หะดิษกุ๊ดซีย์)

ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“บาปใหญ่ที่สุด คือ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ การฝ่าฝืนพ่อแม่ และเป็นพยานเท็จ” (บันทึกหะดิษโดยอิมามมุสลิม)


เรื่องพิธีกรรมความเชื่อประเพณีของศาสนา หรือลัทธิอื่นนั้น อิสลามได้แบ่งแยกไว้ชัดเจนและเด็ดขาดแล้ว ศาสนาใครศาสนามัน จะไปกล่าวว่า พราหมณ์เขายังทำได้เลย นั้นก็เป็นเรื่องของเขา พุทธกับพราหมณ์ เขามีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่อดีตกาล หากชาวพุทธศาสนาจะทำพิธีกรรมใดๆ ก็จะเอาพิธีกรรมของพราหมณ์ประกอบพิธีเสมอ แล้วอิสลามละ ใครใช้ให้มาทำตามอำเภอใจ ใครบอกว่าเขาทำได้ เราก็ทำได้ ศาสนาไม่ได้ห้ามให้ไปตั้งวงทำพิธีตั้งและบวงสรวงรูปปั้น ใครบอกว่าทำได้  จะสร้างพิธีกรรมอันใด เพียงนำการอ่านอัลกุรอาน กล่าวซิกรุลลอฮฺ และกล่าวดุอาอ์ อันสนับสนุนให้กระทำทั่วๆไปอยู่แล้วในศาสนาเท่านั้น แล้วใครบอกว่าให้ทำเช่นนัี้นได้  ทุกอย่างมันเกิดจากการเออเองทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามีหลักฐานหรือไม่ ขอให้ได้ทำ แล้วเมื่อมีคนถามว่ามีหลักฐานให้ทำไหม ก็ไปยิบหลักฐานโน้น หลักฐานนี้ มารองรับ แล้วก็ยกมาอ้างว่านี้ไงหลักฐาน หากไม่สามารถหาหลักฐานใดมารองรับพิธีกรรมของเขา ก็จะตอบโต้กลับไปยังผู้ถามว่า แล้วมีหลักฐานห้ามไหม เพื่อให้ผู้ถามไปหาหลักฐานที่ห้ามมาลบล้างพิธีกรรมที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมา 

อย่าบอกนะว่า ผู้ที่ทำพิธีเหล่านี้ คือผู้ที่ตามมัซฮับชาฟิอีย์ ท่านอิมามชาฟิอีย์ และลูกศิษย์ของท่านไม่รู้ด้วย ท่านไม่เคยให้ทำ หรือสนับสนุนให้ทำพิธีกรรมเหล่านี้เลย ทุกอย่างคิดเอง แล้วเออเองทั้งหมด 

มันคุ้มกันไหม? ที่พวกเขาทำให้ศาสนาอันบริสุทธิ์ มาเปราะเปื้อนสิ่งมลทินที่พวกเขาทำขึ้น มาแลกเปลี่ยนกับข้าวหนึ่งมื้อที่แสนอร่อย กับซองเงิน 1 ซอง มันคุ้มกันหรือ? ที่จะแลกกับการที่ให้คนต่างศาสนิกในพื้นที่มองพวกเขาว่า ไม่ว่าศาสนาไหนก็อยู่ร่วมกันได้ มีการจัดพิธีกรรมของศาสนานี้ ศาสนาอีกศาสนาก็มาร่วมวงได้ คำตอบ คือมันไม่คุ้มกันเลย ทั้งที่การพบปะกันในสังคมระหว่างมุสลิมกับคนต่างศาสนิก อิสลามนั้นสนับสนุน ไม่ได้ห่วงห้ามแต่อย่างใด แล้วทำไมพวกเขาไม่แยกแยะเล่า

จะโทษคนต่างศาสนิกก็ไม่ได้ หากมุสลิมไม่บอกเขา เขาก็ไม่รู้ เขาจะมาบังคับเราไม่ได้ หากเราได้ปฏิเสธมัน แต่ที่มันเกิดขึ้นได้ก็มุสลิมเรานี้แหละ ที่สมัครใจเข้าร่วมทำพิธีกับเขาเอง




อีกอย่างหนึ่งที่ปรากฎอยู่ในพิธีคือ ผู้นำซึ่งดูแลแลในหน่วยงานนั้น ซึ่งเป็นมุสลิมมาแต่กำเนิด กลับร่วมพิธีกับเขา โดยพนมมือไหว้รูปปั้นที่เขาอันเชิญประดิษฐาน และบวงสรวงนั้นด้วย 

เขาไม่รู้หรอกหรือ? ว่ามันคือการกระทำที่เป็นการทรยศต่อพระเจ้าของเขา พระองค์ทรงตรัสย้ำแล้วย้ำอีก ว่าอย่าสักการะสิ่งอื่นมาเทียบเคียงพระองค์ ใครกระทำเช่นนั้นจะล้างผลาญความดีต่างๆ จนไม่เหลือความดีใดๆ เลยสำหรับเขา

พระองค์อัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

﴿ وَلَقَدۡ أُوحِيَ إِلَيۡكَ وَإِلَى ٱلَّذِينَ مِن قَبۡلِكَ لَئِنۡ أَشۡرَكۡتَ لَيَحۡبَطَنَّ عَمَلُكَ وَلَتَكُونَنَّ مِنَ ٱلۡخَٰسِرِينَ ٦٥ ﴾ [الزمر: ٦٥]  

“และแท้จริง ได้มีวะห์ยูแก่เจ้า(โอ้มุหัมมัด)และบรรดานบีก่อนหน้าเจ้าว่า
หากแม้นว่าเจ้าตั้งภาคี (ต่ออัลลอฮฺ) แน่นอนว่าการภักดีของเจ้า(ที่มีต่ออัลลอฮฺ)จะมลายสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ขาดทุนอย่างแน่นอน” 
(อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัซ-ซุมัรฺ 65)

แน่นอน เขาต้องรู้ แต่ที่เขากระทำลงไป ก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งเกียรติยศ และการนับถือของคนในสังคม เขาจึงยอมทรยศต่อพระองค์อัลลอฮฺ มันคุ้มกันแล้วหรือ? ที่จะแลกศาสนากับมัน ทั้งความเป็นจริงที่เขาเป็นใหญ่ในวันนี้ ไม่ใช่เพราะพระองค์อัลลอฮฺหรอกหรือ? ที่ทำให้เขามีวันนี้ได้...


นอกจากมุสลิมบางคน หรือบางกลุ่ม ร่วมทำพิธีประดิษฐานและรูปปั้นของต่างศาสนิก โดยอ้างว่าเป็นพิธีศาสนาอิสลามแล้ว ยังมีอีกหลายพิธี ที่ไม่อยากกล่าวถึง ที่พวกเขาได้เข้าได้ร่วมพิธี โดยได้มีการกล่าวศอลาวาตนบีเสียงดัง ไปพร้อมกับพระของพุทธศาสนากล่าวบทสวด ประกอบกับเสียบรรเลงดนตรี ดังกึกก้องไปทั่ว มันช่างอดหู่ และน่าสมเพชสลดใจยิ่งนัก

จงทิ้งพิธีกรรมเหล่านั้นเสียเถิดโอ้โต๊ะละแบทั้งหลาย อย่าฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺและรสูลของพระองค์อีกเลย  แล้วกลับไปสู่กิตาบุลลอฮและสุนนะฮฺ ตามความเข้าใจของบรรพชนสลัฟ ไปพร้อมๆกัน 


والله أعلم بالصواب


2 ความคิดเห็น: