وَلَقَدْ بَعَثْنَا فِي كُلِّ أُمَّةٍ رَّسُولًا الآية
“และแน่แท้เราได้ส่งศาสนทูตผู้หนึ่งไปในทุกประชาคม” (บทอัน-นะหฺลุ้ : 34)
ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ระบุจำนวนของนบีว่ามี “140,000” คน จากจำนวนนั้นมีรสูลจำนวน 315 ท่าน (รายงานโดยอะหฺมัด) (ท่านริฎอ กล่าวว่า มี 142,000 คน)
ท่านกล่าวว่าอัลกุรอานบอกว่าทุกพื้นที่มีรสูล เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว และท่านก็กล่าวว่า เห็นด้วยไหม ที่จะเอาเนื้อหานี้ ว่าพุทธเจ้าเป็นรสูล เอามาเป็นวิธีเผยแพร่อิสลาม กับคนศาสนิก ผมถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ ถ้าคนหนึ่งคนใด เชื่อจริงๆนี่นะ เป็นเครื่องมือบอกพี่น้องชาวพุทธว่า ศาสนาของพวกท่านมีเชื้อแห่งศาสนาแห่งฟากฟ้า อันนำเขาไปรู้จักอัลลอฮฺ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างแท้จริงโดยเอาเนื้อหาในศาสนานี้มาตีความให้เขาสำนึกในแหล่งแท้ๆในเนื้อหานี้ ทำได้ไหม ผมไม่คัดข้อง ถือเป็นเรื่องสามารถที่กระทำได้
แต่ท่านริฎอ ไม่ได้ยกหลักฐานเหล่านี้เลย
وَلَقَدْ بَعَثْنَا فِي كُلِّ أُمَّةٍ رَّسُولًا أَنِ اعْبُدُوا اللَّـهَ وَاجْتَنِبُوا الطَّاغُوتَ
“และแน่แท้เราได้ส่งศาสนทูตผู้หนึ่งไปในทุกประชาคม (โดยศาสนทูตนั้นประกาศว่า) พวกท่านจงเคารพสักการะพระองค์อัลลอฮฺ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) และจงหลีกห่างสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นเป็นพระเจ้า” (อัน-นะหฺลุ้ : 36)
นั้นคืออัลลอฮฺได้ทรงศาสนทูตไปทุกๆประชาชาติ โดยประกาศให้สักการะพระองค์อัลลอฮฺ แล้วพระพุทธเจ้าละท่านประกาศให้สักการะพระองค์อัลลอฮฺองค์เดียวไหม? มีการประกาศหลักธรรมคำสอนในเรื่องเอกานุภาพของอัลลอฮฺ และเรียกร้องให้ทุกประชาคมทำการอิบาดะฮฺพระองค์อัลลอฮฺและหลีกห่างจากการตั้งภาคีไหม? คำตอบคือ "ไม่เลย"
แต่พระพุทธเจ้า กลับนำคำสอนเกี่ยวกับ การยึดพระรัตนตรัย หมายถึง แก้ว 3 ดวง คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ซึ่งมิใช่หลักเอกานุภาพอย่างแน่นอน
พระองค์อัลลอฮ์ ศุบฮานะฮูวะตะอาลา
وَمَا أَرْسَلْنَا مِن قَبْلِكَ مِن رَّسُولٍ إِلَّا نُوحِي إِلَيْهِ أَنَّهُ لَا إِلَـٰهَ إِلَّا أَنَا فَاعْبُدُونِ
“และเรามิได้ส่งศาสนทูตคนใดมาก่อนหน้าท่านนอกเสียจากว่าเราจะมีวะหิยฺไปยังศาสนทูตผู้นั้นว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นพวกท่านจงเคารพสักการะต่อข้า” (อัล-อัมบิยาอฺ : 25)
แต่พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ในพุทธศาสนาไม่ได้กล่าวเชิญชวนไปยังพระองค์อัลลอฮฺตะอาลาองคืเดียว
พระไตรปิฎกเป้นคัมภีร์ ซึ่งมิได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของศาสนาแห่งฟากฟ้า (อัล-อัดยานฺ อัส-สะมาวียะฮฺ) ที่เชื่อในพระผู้ทรงสร้างหนึ่งเดียวคือพระองค์อัลลอฮฺตะอาลา
หลักฐานของท่านเพียงพอแล้วหรือ? ที่มีความเชื่อว่า "พระพุทธเจ้าเป็นนบีของของอัลลอฮฺ" ที่ถูกส่งมายังประชาชาติอาเซียน(มันไม่ใช่ยุคสมัยหรอกหรือ เช่น ประชาชาติของนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ผู้คนตั้งแต่ยุคสมัยท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จนถึงวันกิยามะฮฺ เป็นประชาชาติของท่าน)
หลักที่จะต้องถือเป็นมาตรฐาน
لَانُثْبِتُ النَّبَوَّةَلِأَحَدٍإلَّابِدَلِيْلٍ
“เราจะไม่ยืนยันรับรองความเป็นนบีให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดนอกเสียจากด้วยหลักฐาน”
وَإِلَىٰ مَدْيَنَ أَخَاهُمْ شُعَيْبًا قَالَ يَا قَوْمِ اعْبُدُوا اللَّهَ مَا لَكُم مِّنْ إِلَٰهٍ غَيْرُهُ وَلَا تَنقُصُوا الْمِكْيَالَ وَالْمِيزَانَ إِنِّي أَرَاكُم بِخَيْرٍ وَإِنِّي أَخَافُ عَلَيْكُمْ عَذَابَ يَوْمٍ مُّحِيطٍ ( 84 )
"และยังกลุ่มชนของมัดยัน เราได้ส่งพี่น้องคนหนึ่งของพวกเขาคือชุอัยบ์ เขากล่าวว่า “โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย! พวกท่านจงเคารพอิบาดะฮ์อัลลอฮ์เถิด พวกท่านนั้นไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ และพวกท่านอย่าให้การตวง และการชั่งบกพร่อง แท้จริงฉันเห็นพวกท่านยังอยู่ในความดี และแท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านต่อการลงโทษในวันที่ถูกห้อมล้อมไว้" (อัลกุรอาน สุเราะฮฺ ฮูด 11:84)
ท่านจะนำท่านนบีชุอัยบ์ที่ถูกยืนยันความเป็นนบีของอัลลอฮฺมาเปลียบเทียบกับพระพุทธเจ้าของพุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าเป็นศาสทูตของอัลลอฮฺเช่นกันได้อย่างไรกัน...
ทั้งความเชื้อเหล่านี้ เป็นหลักอากีดะฮฺของลัทธิก็อดยานีย์สาขาลาโฮร์ ซึ่งกล่าวว่า
"พระพุทธเจ้า ขงจื้อ พระกฤษณะที่ชาวฮินดูยกย่องให้เป็นเทพเจ้านั้น เป็นศาสดาที่แท้จริง นี้เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับคัมภีร์กุรอานที่ประกาศว่าพระเจ้าส่งผู้สื่อสารไปทุกๆชาติบนพื้นโลก"
(หนังสือเผยแพร่ของลัทธิก็อดยานีย์ ชื่อ “หมัดผู้สืบทอดที่ทรงสัญญาไว้และมะฮฺดี” หน้า 7 พ.ศ.2537)
(อ่านเพิ่มเติม "ระวังอากีดะฮฺก็อดยานีย์" http://the-truth-of-islamic.blogspot.com/2013/02/blog-post_7220.html)
และท่านยังเชิญชวนมุสลิมให้นำหลักความเชื่อของท่าน ที่ว่า "พระพุทธเจ้าของพุทธศาสนามีเชื้อแห่งศาสนาแห่งฟากฟ้า" เป็นเครื่องมือในการเชิญชวนคนต่างศาสนิกอีกด้วย ทั้งที่ความเชื้อเหล่านี้ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานอิสลามเลยอย่างนั้นหรือ?
บรรดานักปราชญ์หรือศาลอิสลามในประเทศที่ใช้กฏหมายอิสลามมีความเห็นว่าความเชื่อเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และการเผยแพร่ความเชื่อเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนหลงผิดบุคคลที่เชื่อและเผยแพร่ความคิดดังกล่าวก็จะต้องถูกบังคับคดีให้ละเลิกและยุติความเชื่อตลอดจนการเผยแพร่นั้นภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด (เช่น 3 วัน) หากบุคคลผู้นั้นยังคงยืนกรานก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามระวางโทษที่กฏหมายอิสลามของประเทศนั้นกำหนดซึ่งอาจจะถูกคุมขังหรือมีโทษประหารชีวิตก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลและตัวบทกฏหมายเป็นสำคัญ (ส่วนนี้ โดยท่านอาจารย์อาลี เสื้อสมิง)
والله أعلم بالصواب
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น