อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ดุอาอุของแม่





นานมาแล้วมีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่งซึ่งมีอีหม่านที่เข้มแข็ง

ประกอบแต่คุณงามความดีเป็นที่กล่าวขานของบุคคลโดยทั่วไป
เขาอาศัยอยู่กับแม่
เพียงสองคนเท่านั้น แต่ละวันเขาเฝ้าปรนนิบัติคุณแม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

อยู่มาวันหนึ่ง ชายหนุ่มมีความตั้งใจว่าเขาต้องออกไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมที่เมืองมักกะฮุ จึงเอ๋ยเรื่องนี้กับแม่ว่า

“โอ้แม่.. ฉันต้องการไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมที่เมืองมักกะฮฺแม่จะว่ายังไงบ้างจร๊ะ ?”

คุณแม่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับตกใจ

“ลูกจ๋า...เจ้าเป็นลูกคนเดียวของแม่ ลูกเปรียบเสมือน ไข่มุกของแม่ ไม่มีใคร
ดูแลแม่อีกแล้วนอกจากเจ้า หากเจ้าจากแม่ไปแล้วแม่จะอยู่กับใครล่ะ?”

แม่กล่าวออกมาด้วยความวิตกกังกล

แม้ว่าแม่จะขอร้องแล้วขอร้องอีก แต่ก็ไม่สามารถยับยั้ง
ความตั้งใจของเขาได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเก็บข้าวของเดินทาง
ออกบ้านโดยไม่ไยดีว่าคุณแม่จะเสียใจแค่ไหน

เมื่อลูกเดินทางจากไปแล้ว แม่ก็ต้องร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม
เพราะนางเข้าใจดีว่าการไปเรียนที่เมืองมักกะฮุนั้น
ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะกลับมา
ด้วยความโมโหที่ลูกไม่เชื่อฟังและเห็นใจแม่
นางจึงวิงวอนขอดุอาร์ทุกๆ วันว่า

“โอ้อัลลอฮ์ ลูกของข้าทำร้ายจิตใจข้า ขอพระองค์ได้โปรดสร้างความยุ่งยากลำบากแก่เขาด้วยเถิด”
.....................

ฝ่ายลูกชายของนางหลังจากเดินทางถึงเมืองมักกะฮุ
แล้วจึงได้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในมัสยิดหลังหนึ่ง
ด้วยความขยันหมั่นเพียร พร้อมทั้งการทำอิบาดะฮุ
อย่างเคร่งครัด แต่หาคำนึงไม่ว่าแม่เศร้าเสียใจแค่ไหน

ในเวลาต่อมาเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในคืนหนึ่งมีการลักขโมยเกิดขึ้นในเมืองมักกะฮุ โจรคนหนึ่งไปขโมยของในบ้านหลังหนึ่งแต่แล้วเจ้าบ้านไหวตัวทันจึงตะโกนให้คนช่วย

“ช่วยด้วย โจรเข้าบ้านข้า....”

ได้ยินดังนั้นผู้คนต่างก็แตกตื่นวิ่งวุ่นเพื่อจะจับ
โจรคนนั้นเจ้าโจรขี้ขโมยจึงวิ่งหนีอย่างสุดกำลังแล้ว
วิ่งเข้าไปในมัสยิดที่ชายหนุ่มซอลิหุกำลังทำอิบาดะฮุอยู่
เมื่อเห็นเช่นนั้นโจรจึงรีบชี้ไปที่ชายหนุ่มคนนั้นและตะโกนด้วยเสียงอันดังลั่นว่า

“เจ้าคนนี้แหละเป็นโจร เจ้าคนนี้แหละเป็นโจร....!”
โดยไม่ทันได้ไหวตัว ชายหนุ่มถูกชาวบ้านจับตัวทันที ส่วนโจรตัวจริงก็อาศัยความชุลมุนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชายหนุ่มถูกนำขึ้นศาลพิพากษา และแล้วก็ถูกตัดสินด้วยคำตัดสินที่หนักหน่วง

เขาถูกตัดมือทั้งสองข้าง ถูกตัดเท้า และดวงตาถูกควักออก เจ้าหน้าที่ทางราชการคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “นี่แหละคือผลของการขโมยของของคนอื่น”

#แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับพูดขึ้นว่า

“โอ้ท่าน ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นแต่จงกล่าวว่า นี่แหละผลของการเนรคุณฝ่าฝืนคำสั่งของแม่...”

เจ้าหน้าที่คนนั้นรู้สึกงุน งง กับคำพูดของเขา แล้วความจริงก็ปรากฎขึ้น ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เจ้าหน้าที่จึงเข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่ไช่โจรดังที่เข้าใจกันจึงส่งตัวเขากลับบ้าน

ขณะที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง เขาได้ยินแม่ขอดุอาร์ว่า
“โอ้อัลลอฮ์ หากพระองค์ได้ทรงทดสอบลูกของข้าแล้วได้โปรดส่งตัวเขากลับมาบ้านด้วยเถิด”

ชายหนุ่มทำทีเป็นขอทานแล้วพูดขึ้นว่า

“โอ้ท่านเจ้าของบ้านได้โปรดบริจาคให้ข้าหน่อยเถอะ...”

แม่ของเขาหาทราบไม่ว่าผู้ที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือนั้นเป็นใคร นางจึงตอบว่า “เจ้าจงเข้ามาใกล้ๆประตูหน่อย”

ชายหนุ่มตอบว่า “ข้าเข้าไปไม่ได้หรอกข้าไม่มีเท้า”

แม่กล่าวอีกว่า “หากท่านไม่มีเท้าก็ให้ยื่นมือมาก็ได้”

เขาตอบว่า “อภัยให้ข้าเถิด ข้าไม่มีมือทั้งสองข้างเพราะมือของข้าถูกตัดแล้ว ท่านออกมาพบข้าหน่อยเถอะ”

แม่กล่าว “ข้าไม่มีมุหุริม (สามีที่เป็นผู้ปกครอง) จะให้ข้าออกไปพบท่านได้อย่างไร...”

ชายหนุ่มพูดว่า
“อย่าได้กังวลไปเลย ดวงตาของข้าบอดทั้งสองข้างแล้ว....!”

จากนั้นแม่จึงเปิดประตูออกมาในมือของนางถือโรตีมาชิ้นหนึ่งด้วยเพื่อจะให้ขอทาน ชายหนุ่มไม่ได้แตะต้องโรตีดังกล่าวแม้แต่น้อย
แต่เขากลับเข้าตะครุบบนหน้าตักของแม่แล้วร้องให้สะอึกสะอื้น

“แม่...แท้จริงแล้วข้านี่แหละคือลูกของแม่ อภัยให้ลูกเถิด ลูกผิดไปแล้วที่ทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียว...”

แม่กอดลูกร่ำไห้ด้วยความคิดถึง นางอนาถใจนักที่ลูกรักต้องประสบชะตากรรมด้วยดุอาร์ของนางที่วอนขอต่ออัลลอฮ์อยู่ทุกวัน บัดนี้คำวิงวอนของนางถูกตอบรับแล้ว

ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวให้แม่ฟังจนหมดสิ้น
แม้ว่าแม่จะโศกเศร้าเสียใจอย่างไรแต่นางก็ต้องอดกลั้น
นางให้อภัยแก่ลูกรักของนางและปลอบขวัญว่า

"”โอ้ลูกจ๋า...แม้นว่าแม่และเจ้าจะถูกทดสอบมากมายเพียงนี้ แต่ขอให้ลูกจงอดทนเถิด โลกนี้เจ้าประสบชะตากรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม่หวังว่าโลกหน้าลูกจะได้เป็นลูกของแม่และมีร่างกายที่สมบูรณ์ยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก”

ทั้งสองต่างร่ำไห้ในเหตุการณ์ที่ผ่านมาในที่สุดสองแม่ลูกจึงได้กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามสมควร

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า การเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่นั้นสำคัญมาก
ท่านนบีเคยบอกว่ารองลงมาจากท่านนบีแล้วเราต้องรักแม่มากที่สุด
หากสิ่งใดที่แม่สั่งให้เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ผิดหลักศาสนาเราจะต้องปฏิบัติตาม และเราต้องปรนนิบัติรับใช้ท่านจวบจนท่านกลับคืนสู่อัลลอฮ์ (ถึงแก่กรรม) ขอให้เราจงจำเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ ท่านนบีเคยกล่าวว่า

“สวรรค์นั้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา”


......................................................................................
Ref: อาจารย์มันศูรุ อับดุลลอฮ์ (เรื่องเล่าอันทรงคุณค่า)
 สายลม แห่งความห่วงใย รู่กอยยะห์ โพส




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น