อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การก่อกบฏต่อผู้นำรัฐอิสลาม



                     สถานการณ์ความวุ่นวายก่อจลาจลรัฐประหารการโค่นล้มผู้นำรัฐที่ผู้นำและประชาชนเป็นมุสลิมส่วนใหญ่ในโลกอาหรับ แอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง หรือที่เรียกว่าสถานการณ์อาหรับสปริง ไม่ว่าในประเทศอียิปต์ ลิเบีย หรือตุีรกี ก็ตามที ซึ่งนับวันยิ่งเพิ่มความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง

ผลที่ได้รับ คือจะทำให้ประเทศเหล่านั้นก่อให้เกิดความอ่อนแอ เกิดความบอบช้ำ ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของประชาชน  ศาสนา ความมั่นคงของรัฐ ที่สร้างความสูญเสียอย่างมากมายให้กับประเทศชาติ ที่สำคัญจะก่อให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นศัตรูและเข่นฆ่ากันเอง

และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด คือผู้ที่อยู่เบื่องหลังแห่งความวุ่นวายนั้น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นศัตรูตัวชะกาสของอิสลาม นั้นคือ พวกยิว และอเมริกา ที่เป็นผู้คิดค้นสร้างเครื่อข่ายออนลาย ที่เป็นจุดสำคัญแห่งการร่วมตัวของผู้ก่อการจลาจล พวกเขาไม่จำต้องlสูญเสียงบประมาณ กำลังทหารและอาวุธยุทธโถปกรณ์ที่จะขับไล่รัฐบาลของประเทศนั้นๆซึ่งตนไม่ชอบขี้หน้า และยังสร้างความแอ ความเป็นศัตรู ของประชาชนในประเทศ โดยที่พวกเขาไม่ต้องลงทุนเข้ายึดหรือจัดการด้วยตนเองแต่ประการใด

สำหรับการก่อกบฏต่อผู้นำรัฐอิสลามนั้น ถือเป็นที่ต้องห้าม มันเป็นการสร้างความสูญเสียที่เลวร้ายยิ่งกว่าการอยู่ใต้ผู้ปกครองที่มีการกดขี่เสียอีก

รายงานจากท่านฮุซัยฟะฮฺ บินยะมาน ร่อฎียัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า
“ฉันได้ถามท่านบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า : โอ้ท่านรสูลของอัลลอฮฺ เราต่างเคยมีชีวิตอยู่ในยุคที่มีแต่ความเลวร้าย และพระองค์อัลลอฮฺ ก็ได้แทนที่ด้วยยุคที่มีแต่ความดี แล้วยังมีความชั่วปรากฏขึ้นแทนความดีอีกครั้งหรือไม่? ท่านนบีตอบว่า : ใช้แล้ว ฉันจึงถามท่านต่อว่า : หลังจากนั้นความชั่วก็จะกลับมาอีกใช่หรือไม่? ท่านตอบว่า : ใช่ ฉันจึงถามท่านต่อว่า : แล้วมันมีสภาพเป็นอย่างไร? : (จะปรากฏ) เหล่าผู้ปกครองขึ้นหลังจากยุคของฉัน ซึ่งเป็นกลุ่มนักปกครองที่ไม่ได้ชี้นำคนตามทางนำที่ฉันเทศนา ตลอดจนไม่ได้สร้างแบบอย่างตามแบบอย่าง (สุนนะฮฺ) ของฉัน ในหมู่พวกเขาบางคนจะมีหัวใจ (ที่โหดร้ายดุจ) ซาตานในคราบของมนุษย์ ฉันจึงกล่าวว่า : โอ้ท่านรสูลของอัลลอฮฺ เราควรจะทำอะไรเล่า หากเรามีชีวิตทันยุคเข็ญเหล่านั้น ท่านตอบว่า : เจ้าจำต้องเชื่อฟัง และภัคดีผู้นำเหล่านั้น แม้ว่าเหล่าผู้ปกครองจะเฆี่ยนตีหลังพวกท่าน และยึดทรัพย์สินของพวกท่านไป ฉะนั้นท่านก็จงเชื่อฟังและภัคดีต่อเขา” (เศาะเฮียะฮฺมุสลิม เลขที่ 1847)

มีศอหาบะฮฺได้ถามท่านบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
“เราเพชิญหน้ากับพวกเขาด้วยคมดาบได้หรือไม่ ท่านนบี ตอบว่า ; ไม่ ตราบใดที่ผู้ปกครองเหล่านี้ยังทำการละหมาดร่วมกับพวกท่านอยู่” (เศาะเฮียะฮฺมุสลิม เลขที่ 1855)

การเชื่อฟังและภัคดีต่อพวกเขาหมายถึงการยอมรับอำนาจจากการปกครองของพวกเขา และยุติการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐทุกประเภท ส่วนนโยบายหรือคำสั่งของผู้ปกครองในเรื่องใดที่สวนทางกับหลักศาสนาก้ไม่อนุญาตให้ทำตามคำสั่ง ขณะเดียวกันประชาชนก็จำต้องภัคดีต่ออำนาจการปกครองของผู้นำในเรื่องที่ถูกต้องตามหลักศาสนาในเรื่องอื่นๆ

การแก้ปัญหาทรราชด้วยการก่อจลาจลรัฐประหารจึงเป็นสิ่งต้องห้าม ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นการสร้างความเสียหายที่เลวร้ายยิ่งกว่าการอยู่ใต้ปกครองที่มีการกดขี่

ท่านอิมามอะหฺมัด กล่าวว่า
“ไมอนุญาตแก่คนหนึ่งคนใดให้ทำการต่อสู้กับผู้ปกครอง และก็ไม่อนุญาตให้ก่อกบฏต่อผู้ปกครองรัฐ ผู้ใดกระทำสิ่งเหล่านั้น เขาก็คือพวกนอกรีตซึ่งไม่ได้ดำรงอยู่บนอัสสุนนะฮ” ( อุศูลอัสสุนนะฮฺ เล่ม 1 หน้า 48)

ท่านฮะซัน อัลบัศรีย์ (อุลามาอฺชาวสลัฟ) กล่าวว่า
“แท้จริงแล้ว คนอย่างอัลฮัจญาจฺ (แม่ทัพคนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในยุคต้นอิสลามเป็นคนของรัฐบาลที่มีความโหดร้าย) คือการลงโทษของพระองค์อัลลอฮฺ ดังนั้นจงอย่าปัดการลงโทษของอัลลอฮฺด้วยมือทั้งสองของพวกท่าน แต่ท่านต้องยอมรับการลงโทษของพระเจ้า และแสดงถึงความอ่อนน้อมต่อพระองค์เสีย เพราะพระองค์กล่าวว่า และโดยแน่แท้เราได้ทดสอบพวกเขาด้วยการลงโทษ แต่พวกเขาก็หาได้นอบน้อมต่อพระเจ้าของพวกเขาไม่ และพวกเขาก็ไม่ยอมถ่อมตน (อัลกุรอาน 23:76)” (มินฮาญุสุนนะฮฺอันนะบะวียะฮฺฟีนักดิลกะลามอัชชีอะฮฺอัลก็อดรียะฮฺ ไคโร มักตะบะอิบนุตัยมียะฮฺ เล่ม 4 หน้า 529)


والله أعلم بالصواب

....................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น