อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การตรวจค้นและศาลมืด




แผนกตรวจค้น หรือ บัญชีการตรวจค้น


ผ่านไป 4 ศตวรรษของการล่มสลายของเมืองอันดะลุส นโปเลียนได้ส่งกองทัพไปพิชิตสเปนหลังจากนั้นได้ออกพระราชบัญญัติปี ค.ศ. 1808 ให้ยกเลิกแผนกตรวจค้นทั่วราชอาณาจักสเปน

นายทหารของกองทัพฝรั่งเศสคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า
“เราได้เข้าไปตรวจค้นในโบสถ์แห่งหนึ่งที่เราเคยได้ยินว่ามีการกระทำการทรมาน (ต่อชาวบ้านที่นับถือต่างนิกาย และมุสลิม) จากแผนกตรวจค้น

เราพยายามค้นหาสถานที่พวกเขาใช้ทรมานคน จนกระทั่งเราเกิดความท้อแท้และเชื่อว่าไม่น่าจะมีการทรมานในโบสถ์นี้ เพราะเราได้ทำการตรวจค้นโบสถ์ทุกซอกทุกมุม ทุกชั้นทุกห้องและด้วยทุกทางแล้ว แต่เราก้ไม่เจอหลักฐานพอที่จะบอกได้ว่า โบสถ์แห่งนี้เคยมีการทรมานอย่างที่มีคนเคยเล่ากัน แล้วเราก็เตรียมตัวเพื่อที่จะออกจากที่นี่

ขณะที่พวกเราทำการค้นหากันอยู่นั้นพวกบาทหลวง(ชาวคริสเตียน) ต่างก็ยืนยันและพากันสาบานเสียงแข็งว่าข่าวลือทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเท็จ ในขณะเดียวกันหัวหน้าผู้ดูแลโบสถ์ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่าไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ณ โบสถ์แห่งนี้เลย

หัวหน้าโบสถ์กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเบาๆ เขาก้มหัวเพื่อหลบสายตาของพวกเราอย่างนอบน้อม พวกเราสังเกตเห็นว่าตาของเขาเปียกชื้นไปด้วยรอยน้ำตา ข้าพเจ้าได้สั่งให้ทหารเตรียมตัวเพื่อจะได้ออกไปจากโบสถ์นี้เสียที่ แต่ร้อยโทเดอลีล ได้ขอเวลาข้าพเจ้าในการตรวจค้นเพิ่ม เขาพูดว่า “จะว่าไปแล้วภารกิจของเรายังไม่เสร็จสิ้นนะครับท่านผู้พัน” ข้าพเจ้าได้แย้งเขาไปว่า “ในเมื่อเราได้ค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมของโบสถ์นี้แล้ว แต่ไม่เจออะไรเลย ท่านต้องการอะไรกันแน่ ร้อยโทเดอลีล เขากล่าวตอบกลับมาว่า “ ข้าพเจ้าต้องการค้นชั้นใต้ดินของโบสถ์นี้ เพราะใจข้าพเจ้าเชื่อว่าความลับน่าจะอยู่ชั้นใต้ดินนี้แหละ”


เมื่อนักบวชได้ยินคำพูดของร้อยโทเดอลีล พวกเขาได้มองทางเราอย่างเคร่งเคลียด จึงทำให้ข้าพเจ้าต้องสั่งทหารค้นอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้สั่งให้ทหารนำพรมอันหรูหราออกไปจากพื้นของโบสถ์ แล้วข้าพเจ้าได้สั่งให้รดน้ำลงบนพื้น หลังจากนั้นก็สั่งเกตเห็นว่าน้ำค่อยๆไหลลงไปที่มุมห้องแห่งหนึ่ง ทำให้ร้อยโทเดอลีลถึงกับตะโกนออกมา เนื่องจากความดีใจ เขากล่าวว่า "ดูนี่สิ นี้คือประตู" แล้วเราก็มองตามที่ร้อยโทเดอลีลบอก ซึ่งความจริงก้ตรงตามที่เขาบอกทุกประการ ตรงมุมของห้องนั้นเป็นประตูที่ต้องเปิดด้วยวิธีการที่เจ้าเลห์และแยบยลอย่างยิ่ง นั้นก็คือการดึงสายโซ่ใต้โต๊ะทำงานของหัวหน้าโบสถ์ออกนั้นเอง


จากนั้นทหารก็ทำลายประตูด้วยพานท้ายปืนของพวกเขา ซึ่งนั่นทำให้คณะนักบวชต่างพากันหน้าซีด เมื่อประตูเปิดเราเห็นบันไดสู่ชั้นใต้ดิน ก่อนที่จะลงบันไดไปนั้น ข้าพเจ้าเดินไปตรงมุมหนึ่งที่มีเทียนขนาดใหญ่ ทันใดนั้นเองหัวหน้านักบวชได้เอื้อมมือมาแตะไหล่ข้าพเจ้าพร้อมกับพูดขอร้องว่า "อย่าเอามือที่เปลื้อนเลือดสงครามของท่านมาแตะเทียนอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์นี้เลย"

ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า "ท่านนักบวชมือของท่านต่างหากที่ไม่สมควรไปจับเทียนเปื้อนเลือดของผู้บริสุทธิ์(ที่พวกท่านทรมาน) และจะได้เห็นกันว่ามือใครที่สกปรกกว่าใครกันแน่ที่เป็นนักฆ่าเลือดเย็น"

ตรงมุมนั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ามีรูปขนาดใหญ่รูปหนึ่งแขวนอยู่ รูปนั้นเป็นรูปผู้นำแผนกการตรวจค้นคนหนึ่งของยุคก่อนหน้านี้ (หมายถึงรูปภาพที่ถูกนับถือบูชาให้เป็นวีรบุรุษคนสำคัญในการทรมานมุสลิมและชาวอาหรับ) เมื่อข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็มุ่งลงไปในชั้นใต้ดินโดยทันที

ข้าพเจ้าเดินไปตามบันไดพร้อมทหารของข้าพเจ้าซึ่งเดินตามมาติดๆ ทหารของข้าพเจ้าทั้งหมดล้วนถือดาบอยู่ในมืออย่างเตรียมพร้อม เมื่อเราลงมาถึงห้องสี่เหลี่ยม เราพบว่าตรงกลางห้องคือศาลตัดสิน ลักษณะของมันเป็นเสาใหญ่ทำจากหินอ่อนและมีโซ่เหล็กมัดอยู่รอบๆเสา โซ่นี้มีไว้มัดจำเลยที่จะถูกตัดสินนั้นเอง

ส่วนหน้าเสาหินอ่อนนี้เป็นม้านั่งเพื่อให้หัวหน้าแผนกนั่งเพื่อทำการตัดสินผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น ถัดจากห้องนี้เราได้เข้าไปในห้องสำหรับทรมานและฉีกร่างของคนเป็น ห้องนี้ถือเป็นห้องใต้ดินที่กว้างและใหญ่มาก


เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นสิ่งต่างๆในห้องนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นกลัวและขนลุก ข้าพเจ้าเกลียดชังความเลวร้ายเหล่านี้ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า

เราได้เห็นช่องเล็กๆ ขนาดเท่ากับตัวคน บ้างก็ตั้งเป็นแนวตรง บ้างก็ตั้งเป็นแนวขวาง นั้นหมายถึงว่า นักโทษผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ ต้องยืนหรือไม่ก็นอนจนตาย ซากศพของคนเหล่านั้นยังคงมีอยู่ให้เห็น บางคนตายจนร่างกายเน่าเปื่อย บางคนก็เห็นเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆไปแล้ว เพื่อที่จะทำให้กลิ่นเหม็นเบาบางลงบ้าง  ข้าพเจ้าได้สั่งให้ทหารเปิดหน้าต่างออกซึ่งนั้นเป็นเพียงช่องลมเล็กๆ เท่านั้น

นอกจากนี้เราได้พบโครงกระดูกของคนที่ยังถูกมัดติดอยู่กับโซ่ในห้องนี้ด้วย นักโทษที่เราพบนั้นมีทั้งชายและหญิงอายุของนักโทษเหล่านั้นจะอยู่ระหว่าง 14-70 ปี เราได้ช่วยเหลือนักโทษบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ออกมา ซึ่งบางคนก็มีอาการร่อแร่ปางตายแล้ว

นักโทษบางคนถึงกับเป็นบ้าเพราะถูกทรมานมากและนานจนเกินไป นักโทษทุกคนต่างอยู่ในสภาพเปลือยกาย ภาพที่เห็นนั้นถึงกับทำให้ทหารของข้าพเจ้าบางคนต้องถอดเสื้อคลุมออกเพื่อให้นักโทษเหล่านั้นแทน

เราค่อยๆนำนักโทษออกจากห้องขังอย่างระมัดระวังที่ละขั้นตอน เพราะเรากลัวว่าดวงตาของนักโทษที่คุ้นชินกับความมืดมายาวนานอาจจะบอดลง หากดวงตาของพวกเขาได้เห็นแสงสว่างในทันทีโดยที่ไม่ได้มีการปรับสายตาหรือทำให้ดวงตาได้ต้องแสงที่ละนิดที่ละน้อย บรรดานักโทษต่างร้องไห้ด้วยความดีใจ บางคนถึงขนาดจูบมือจูบเท้าผู้ที่ปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากการทรมานอันน่ากลัวนี้ เสียงร้องไห้นี้ระงมไปทั่วทั่งบรรยากาศ เชื่อว่าถ้าก้อนหินร้องไห้ได้ก้อนหินก็คงร้องไห้ไปด้วยแน่แล้ว

หลังจากนั้นเราย้ายไปยังห้องถัดไป ซึ่งห้องนี้ยิ่งทำให้เราขนพองสยองเกล้าขึ้นกว่าเดิม เราเห็นเครื่องมืออันน่าขยะแขยงที่ใช้ในการทรมานผู้คน หนึ่งในนั้นคือเครื่องมือสำหรับหักกระดูกและบดคนเป็นๆ เครื่องบดนี้จะเริ่มบดกระดูกจากเท้าเรื่อยไปจนถึงหน้าอก ศีรษะ และมือตามลำดับ เครื่องจะบดจนกระทั่งเนื้อแยกออกเป็นชิ้นๆ นั่นหมายความว่าอีกฝั่งหนึ่งของเครื่องบดจะเป็นช่องที่รวบรวมเนื้อและเลือดของมนุษย์ที่ถูกบด และนี่คือสิ่งที่พวกเขาได้ทำกับผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น

เราได้เห็นกล่องซึ่งมีขนาดเท่าหัวของมนุษย์ กล่องนี้เอาไว้ใช้สวมให้แก่นักโทษที่พวกเขาต้องการทรมาน พวกเขาจะผูกแขนผูกขาของนักโทษด้วยโซ่ เพื่อที่จะไม่ให้นักโทษเคลื่อนไหว ข้างบนกล่องนี้มีรูที่ถูกเจาะไว้เพื่อที่พวกเขาจะได้หยอดน้ำเย็นที่ละหยดลงบนหัวนักโทษตามเวลาที่กำหนด คือนาทีละหนึ่งหยดๆหลายคนถุกทรมานเช่นนี้จนบ้าและก็มีบางคนต้องตายจากการทรมานชนิดนี้



ต่อมาเราได้เห็นโลงที่มีฝาโลงถูกเสียบด้วยมีดและของมีคมสำหรับทรมานคนหนุ่มหรือวัยรุ่น พวกเขาจะเอาคนหนุ่มหรือวัยรุ่นโยนใส่โลง หลังจากนั้นก็จะปิดฝาโลงที่มีมีดหรือของแหลมคมปักอยู่ เมื่อโลงถูกปิดสนิทแล้ว มีดที่ปักอยู่กับฝาโลงก็จะทิ่มแทงนักโทษไปทั่วทั้งตัว

นอกจากนี้ เราได้เห็นเครื่องมือทรมานชิ้นอื่นๆอีก เช่น ตะขอแหลมสำหรับเกี่ยวลิ้นคน ซึ่งหลังจากที่มันเกี่ยวลิ้นของนักโทษแล้ว มันจะถูกดึงเพื่อให้ลิ้นนั้นออกมา แล้วลิ้นก็จะฉีกออก ตะขอบางอันใช้เกี่ยวไปที่เต้านมของผู้หญิงแล้วดึง ดั่งเช่นการดึงลิ้น เพื่อให้เต้านมฉีกออก หรือบางครั้งพวกเขาก็ตัดเต้านมทิ้งด้วยมีดไปเลยก็มี เราได้พบแส้เหล็กที่มีหนามแหลมคม แส้นี้ใช้ตีนักโทษที่ถูกให้เปลื่อย เพื่อทำให้กระดูกของเขาแตกละเอียด แล้วเนื้อก็หลุดลุ่ยออกมาเป็นชิ้น

(จากหนังสือ การตรวจค้นและศาลมืด ของ ดร.อาลี มัซฮัร ถ่ายทอดจากหนังสือแนวคิดหัวรุนแรงและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หน้า 311-318 อารีซัน เก็นตาสา แปล)



การทรมานดังกล่าวนี้เป็นเพียงแค่การลงโทษกลุ่มคริสเตียนต่างนิกายทีไม่ลงรอยกันกับพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นท่านทั้งหลายลองคิดดูว่าที่พวกเขาทำกับมุสลิมจะหนักขนาดไหน แน่นอนจะต้องหนักและทรมานกว่าแน่นอน
























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น