อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การกลัวพระเจ้าที่มองไม่เห็น




ซูเราะฮฺ อัล-มุลก์ อายะฮฺที่ 12
...........................................................

ความหมาย อายะฮฺ ที่ 12

บรรดาผู้เกรงกลัวพระผู้อภิบาลของพวกเขาโดยที่มองไม่เห็นนั้น (1) สำหรับพวกเขาคือการให้อภัยและรางวัลตอบแทนอันใหญ่หลวง (2)
..................................................

(1) นี่คือพื้นฐานที่แท้จริงของศีลธรรมในศาสนา การที่ใครยับยั้งตนเองจากความชั่วเพราะมันเป็นความชั่วในความคิดเห็นส่วนตัวของเขาหรือเพราะโลกถือว่ามันเป็นความชั่ว หรือเพราะว่าการทำความชั่วเป็นสิ่งที่จะสร้างความเสียหายขึ้นในโลก หรือเพรามันจะถูกลงโทษโดยอำนาจในโลกนั้นเป็นพื้นฐานที่บอบบางสำหรับศีลธรรม ความเห็นส่วนตัวของมนุษย์อาจจะผิดก็ได้ เขาอาจจะถือว่าสิ่งดีเป็นสิ่งเลวและถือว่าสิ่งเลวเป็นสิ่งดี เพราะความคิดของเขาเอง ในประการแรก มาตรฐานความดีและความชั่วของโลกไม่เคยเหมือนกันและมันสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ปัจจุบันนี้ไม่มีมาตรฐานใดในปรัชญาทางศีลธรรมที่ถือว่าเป็นสากลและยั่งยืนและไม่เคยมีใครพบมาก่อน ความกลัวว่าจะสูญเสียทางโลกไม่ได้เป็นพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับศีลธรรม คนที่หลีกเลี่ยงความชั่วเพราะกลัวว่าจะได้รับความเสียหายจากการทำความชั่วนั้น ไม่สามารถที่จะรักษาตนเองไว้ให้พ้นจากการทำชั่วได้เมื่อเขาไม่กลัวว่าจะเกิดความสูญเสียขึ้น ในทำนองเดียวกัน อันตรายของการถูกลงโทษจากอำนาจทางโลกก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเปลี่ยนคนให้เป็นสุภาพบุรุษได้ ทุกคนรู้ว่าไม่มีอำนาจใดในโลกนี้จะรู้ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น อาชญากรรมหลายอย่างสามารถทำได้โดยไม่มีใครมองเห็น หลังจากนั้นก็มีวิธีการหลายอย่างที่ช่วยให้คนสามารถรอดพ้นจากการลงโทษของอำนาจทุกอย่างในโลกนี้ และกฎหมายที่อำนาจในโลกนี้สร้างขึ้นไม่ครอบคลุมความชั่วทั้งหมด ความชั่วส่วนใหญ่ก็ยังไม่อยู่ภายในขอบเขตกฎหมายทางโลกในขณะที่ความชั่วนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าที่พวกเขาถือว่าเป็นสิ่งที่น่าถูกลงโทษเสียอีก นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมศาสนาแห่งสัจธรรมจึงได้วางรากฐานของศีลธรรมไว้บนพื้นฐานที่บุคคลจะต้องละเว้นความชั่ว เพราะเกรงกลัวพระเจ้าผู้มองเห็นเขาในทุกสถานการณ์ ผู้ที่ไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากการลงโทษของพระองค์ไปได้และผู้ที่ประทานเกณฑ์ตัดสินความดีและความชั่วที่เป็นมาตรฐานสากลและถาวรแก่มนุษย์ การหลีกเลี่ยงความชั่วและหันมาทำความดีเพราะเกรงกลัวพระองค์เท่านั้นคือ ความดีที่แท้จริงซึ่งศาสนาแนะนำ นอกไปจากนี้แล้ว ถ้ามนุษย์คนใดละเว้นจากการทำชั่วเพราะเหตุผลอื่นหรือเลือกทำสิ่งที่รูปแบบภายนอกถูกถือว่าเป็นการทำดีแล้ว การกระทำทางศีลธรรมเหล่านี้ของเขาจะไม่มีความในโลกหน้า เพราะมันเป็นเหมือนกับอาคารที่ถูกสร้างบนทราบ

(2) นั่นคือ การกลัวพระเจ้าที่มองไม่เห็นนั้นมีผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สองประการติดตามมา นั่นคือ ....1) ความผิดและบาปอะไรก็ตามที่เขาทำไว้เพราะความอ่อนแอของมนุษย์จะได้รับการให้อภัยถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้มิได้ถูกทำไปเพราะความไม่กลัวพระเจ้า และ .....2) ความดีอะไรก็ตามที่มนุษย์ทำไปบนพื้นฐานของความเชื่อนี้จะได้รับการตอบแทนอย่างมหาศาล

..........................................................

จากหนังสือ : ตัฟฮีมุลกุรอาน ความหมาย คัมภีร์ อัล-กุรอาน เล่ม 8 //อรรถาธิบายโดย : เมาลานา ซัยยิด อบุล อะลา เมาดูดี // แปลโดย : บรรจง บินกาซัน
อดทน เพื่อชัยชนะ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น