อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การเตือนของฉัน




ซูเราะฮฺ อัล-มุลก์ อายะฮฺที่ 16 - 19
...........................................................
ความหมาย อายะฮฺ ที่ 16 :
สูเจ้ารู้สึกปลอดภัยว่าผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้า (1) จะไม่ทำให้สูเจ้าถูกสูบจมลงไปใต้ดิน และแผ่นดินจะเริ่มสั่นสะเทือนในทันทีกระนั้นหรือ ?

ความหมาย อายะฮฺ ที่ 17 :
สูเจ้ารู้สึกปลอดภัยว่าผู้อยู่ในชั้นฟ้าจะไม่ส่งพายุที่นำก้อนหินมากระหน่ำใส่สูเจ้ากระนั้นหรือ (2) แล้วสูเจ้าจะได้รู้ว่าการเตือนของฉันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด (3)
ความหมาย อายะฮฺ ที่ 18 :
และบรรดาผู้คนก่อนหน้าพวกเขาก็ปฏิเสธเช่นกัน ดังนั้น จงดูว่าการลงโทษของฉันเป็นเช่นใด (4)
ความหมาย อายะฮฺ ที่ 19 :
พวกเขาไม่ได้ดูนกเหนือพวกเขาที่กางปีกและหุบปีกของมันกระนั้นหรือ ? ไม่มีใครพยุงพวกมันไว้นอกจากผู้ทรงกรุณา (5) แท้จริงพระองค์ทรงเฝ้ามองทุกสิ่ง (6)
..................................................
(1) นี่มิได้หมายความว่าอัลลอฮฺทรงอยู่ในชั้นฟ้า แต่ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าโดยปกติแล้วมนุษย์มักจะมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเมื่อเขาต้องการหันไปหาพระองค์ เขาจะยกมือของเขาขึ้นสูงไปยังท้องฟ้าในการวิงวอนต่อพระองค์เมื่อเขาพบว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพที่มิอาจช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขาประสบหายนะภัยอย่างทันทีทันใด เขาก็จะกล่าวว่ามันมาจากเบื้องบน เมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เขาจะกล่าวว่า มันมาจากเบื้องบนและเขามักจะเรียกคัมภีร์ที่อัลลอฮฺประทานมาว่าคัมภีร์จากเบื้องบน ตามฮะดีษของอบูดาวูด มัคนผู้หนึ่งมาหาท่านรอซูลุลลอฮฺพร้อมกับทาสหญิงผิวดำคนหนึ่งและกล่าวว่า : “ฉันจำเป็นต้องปบ่อยทาสคนหนึ่งให้เป็นอิสระ ฉันสามารถปล่อยทาสหญิงคนนี้ให้เป็นอิสระได้หรือไม่ ?” ท่านรอซุลลุลลอฮฺได้ถามทาสหญิงคนนั้นว่า “อัลลอฮฺอยู่ไหน ?” นางได้ชี้ขึ้นไปยังเบื้องบนท่านรอซูลุลลอฮฺได้ถามว่า “ฉันเป็นใคร ?” นางได้ชี้ไปยังท่านก่อนและหลังจากนั้นก็ชี้ไปบนฟ้าซึ่งเห็นได้ว่าเธอต้องการที่จะกล่าวว่า “ท่านมาจากอัลลอฮฺ” ดังนั้น ท่านรอซูลุลลอฮฺจึงได้กล่าวว่า “ปล่อยนางให้เป็นอิสระนางเป็นผู้ศรัทธา” (มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคล้ายกับเรื่องนี้ถูกเล่าไว้ในหนังสือ “มุวัฏเฏาะอ์” มุสลิมและนะซาอีด้วย) เกี่ยวกับเรื่องของนางเคาละฮฺ บินตี ซัลบ๊ะฮฺ นั้น อุมัรฺได้กล่าวกับผู้คนว่า “นางเป็นผู้หญิงที่คำร้องของนางได้ยินไปถึงเหนือเจ็ดชั้นฟ้า” ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ที่เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดถึงพระเจ้า จิตใจของเขาจะหันไปยังชั้นฟ้าข้างบน ไม่ใช่แผ่นดินเบื้องล่าง ในทัศนะดังกล่าวนี่เองที่คำว่า “มันฟิสสะมาอ์” (พระองค์ผู้อยู่ในชั้นฟ้า) ได้ถูกใช้ในการพูดถึงอัลลอฮฺ ในที่นี้ไม่มีช่องโหว่ใด ๆ ที่จะทำให้สงสัยว่ากุรอานถือว่าอัลลอฮฺอาศัยอยู่ในชั้นฟ้า ความจริงแล้ว ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะมาสงสัยด้วย เพราะในตอนเริ่มต้นของซุเราะฮฺ อัล-มุลก์ก็ได้มีการกล่าวไปแล้วว่า : “พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเป็นชั้น ๆ “ และในซูเราะฮฺอัล-บะกอเราะฮฺก็ได้มีการกล่าวว่า : “สูเจ้าจะพบอัลลอฮฺไม่ว่าสูเจ้าจะหันหน้าไปทางไหนก็ตาม” (กุรอาน 2 :115)
(2) วัตถุประสงค์ของคำพูดตรงนี้ก็เพื่อที่จะย้ำว่า : “การอยู่รอดและความเป็นอยู่ที่ดีของสูเจ้าบนโลกนี้ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานและความกรุณาปรานีของอัลลอฮฺตลอดเวลา สูเจ้าไม่ได้เดินอาด ๆ อยู่บนโลกนี้ได้ด้วยอำนาจของสูเจ้าเอง สูเจ้าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอัลลอฮฺในทุกนาทีที่สูเจ้าใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ มิเช่นนั้นแล้ว อัลลอฮฺจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นเมื่อใดก็ได้ตามที่พระองค์ทรงต้องการ ซึ่งจะทำให้โลกใบนี้กลายเป้นสุสานสำหรับสูเจ้าแทนที่จะเป็นเปลให้สูเจ้านอน หรือพระองค์อาจจะทำให้เกิดลมพายุพัดกระหน่ำใส่บ้านเรือนในเมืองของสูเจ้าพังพินาศราบคาบลงไปเมื่อใดก็ได้”
(3) “การเตือนของฉัน” หมายถึงการเตือนที่ได้ถูกส่งผ่านมาทางท่านรอซูลุลลอฮฺและกุรอานถึงบรรดาผู้ปฏิเสธแห่งมักกะฮฺว่า : “ถ้าหากสูเจ้าไม่ละเว้นจากการปฏิเสธและการบูชาเทวรูป และไม่ยอมรับหลักความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวที่ถูกส่งมายังสูเจ้า สูเจ้าจะถูกอัลลอฮฺลงโทษ”
(4) นี่เป็นการพูดถึงกลุ่มคนที่ปฏิเสธบรรดารอซูลที่ได้มายังพวกเขาก่อนหน้านี้และได้ถูกอัลลอฮฺลงโทษหลังจากนั้น
(5) นั่นคือ นกแต่ละตัวที่บินอยู่ในอากาศได้นั้นอยู่ในความคุ้มครองของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปรานี พระองค์คือผู้ทีทำให้นกแต่ละตัวมีรูปแบบและโครงสร้างที่ทำให้มันสามารถบินได้ พระองค์คือผู้ทรงสอนวิธีการยืนให้นกแต่ละตัว พระองค์ต่างหากที่เป็นผู้ทรงทำให้อากาศเชื่อฟังกฎที่ทำให้สิ่งที่หนักกว่าอากาศสามารถบินลอยอยู่ในอากาศได้ และพระองค์อีกเช่นกันที่พยุงนกในอากาศทุกตัวไว้ มิเช่นนั้นแล้ว ทันทีที่พระองค์เลิกให้ความคุ้มครองเมื่อใด มันก็จะตกลงสู่พื้นทันที
(6) นั่นคือ นี่มิได้จำกัดอยู่แค่นกเท่านั้น แต่อะไรก็ตามที่ดำรงอยู่ได้ในโลกก็เพราะว่าอัลลอฮฺทรงให้การคุ้มครองอยู่ พระองค์เท่านั้นที่ประทานปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของทุกสิ่ง และพระองค์ต่างหากที่ทรงเฝ้าดูว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมานั้นได้รับปัจจัยที่จำเป็นของชีวิต


..........................................................
จากหนังสือ : ตัฟฮีมุลกุรอาน ความหมาย คัมภีร์ อัล-กุรอาน เล่ม 8 //อรรถาธิบายโดย : เมาลานา ซัยยิด อบุล อะลา เมาดูดี // แปลโดย : บรรจง บินกาซัน
อดทน เพื่อชัยชนะ โพสต์





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น