
#อินนาลิลลาฮีวาอินนาอิลัยฮิรอญีอูน
#เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่า
ยังมีพี่น้องมุสลิมของเราอีกจำนวนมาก กระทำสิ่งที่หมิ่นเหม่ต่อการตกศาสนา ด้วยการบวงสรวง, กราบไหว้, หรือวิงวอนขอต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ และเหตุการณ์ที่ว่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นที่เดียว
ในจังหวัดอยุธยา
แต่มะก่อมของบรรดาผู้ที่เขาเชื่อว่าเป็นโต๊ะวะลีกะรอมัตนั้น
กระจายอยู่ทั่วเมืองไทย และต่างก็มีตำนานพิสดารอันลือลั่น
จนกล่าวกันว่า บุคคลเหล่านั้นตอนที่มีชีวิตอยู่เขาเป็นคนที่มีบุญญาธิการ บางคนสามารถเดินบนน้ำ บางคนเหาะเหิรเดินอากาศได้ บางคนหายตัวได้ บางคนแบ่งร่างไปปรากฏในหลายสถานที่ และฯลฯ
สถานที่เหล่านี้ที่ขึ้นชื่อก็เห็นจะมี โต๊ะตะเกี่ย โต๊ะกีแซะ อยู่ที่อยุธยา
โต๊ะเกาะไร่ อยู่ที่ ฉะเชิงเทรา
โต๊ะระยองอยู่ที่ จ.ระยอง,
และโต๊ะมะขามอยู่ที่ จ.ตราด เป็นต้น
ชมคลิปประกอบ การวอนขอของมุสลิมบางกลุ่มต่อโต๊ะกีเซะ
https://www.facebook.com/video.php?v=316118025254892&set=vb.100005700910151&type=2&theater
โต๊ะกีแซะฮ เชคมูฮัมหมัดอลาลีซุกรี่บินอุสมาน โตีะกีแซะฮิในตำนานของพวกเขา
http://www.youtube.com/watch?v=9qt055bt5kM
เนื่องจากความหละหลวมของบรรดาผู้นำตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ที่ไม่เอารู้เอาชี้กับเรื่องที่เป็นอันตรายต่ออะกีดะห์ของบรรดามุสลิม แต่เขาจะให้ความสำคัญกับอาหารที่จะกินลงท้อง ที่ต้องกวดขันไล่ตีตราฮาลาล แต่มุสลิมเสพอะกีดะห์ผิดๆ เช่นนี้พวกเขากลับนิ่งเฉย จนวันเวลาผ่านไปเนินนานทำให้สถานที่เหล่านี้ถูกมองว่าขลังและศักดิ์สิทธิ จนกลายเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน
และไม่เฉพาะมุสลิมเพียงอย่างเดียว บางที่ก็มีการจัดลิเก มหรสพถวาย ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับศาลเจ้าพ่อ,เจ้าแม่ที่มีอยู่ดาษดื่น
แต่ที่ไม่น่าเกิดขึ้นก็คือบริเวณที่ทำการนั้นคืออณาเขตของมัสยิด หรือบางที่ไม่ใช่เขตมัสยิดแต่ก็เป็นกุโบร์ของมุสลิม
แต่การจะจัดการใดๆในปัจจุบันดูจะเป็นเรื่องยากเข้าไปทุกที เพราะบางสถานที่ก็ได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานไปแล้ว
ที่จริงตามข้อกำหนดของศาสนานั้น หน้าที่ของคนเป็นจะต้องขอดุอาอ์ให้กับผู้ตาย ไม่ใช่ไปขอเอาจากผู้ตาย และหากผู้ตายสามารถเนรมิตสิ่งใดให้ได้ละก็ บุคคลที่ประเสริฐที่สุดที่น่าจะวิงวอนขอมิใช่นบีมูฮัมหมัดหรอกหรือ เพราะท่านก็ตายไปแล้วเช่นกัน หรือบรรดาคลลีฟะห์ บรรดาศอฮาบะห์ผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลายจะไม่ดีกว่าหรือ แต่เราก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเราประกาศตนอยู่ทุกวัน และวันละหลายครั้งว่า
اِيَّاكَ نَعْبُدُ وَاِيَّاكَ نَسْتَعِيْنُ
“เฉพาะพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้นที่เราจะอิบาดะห์ และเฉพาะอัลลออ์เท่านั้นที่เราจะวิงวอนขอช่วยเหลือ” ซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ อายะห์ที่ 5
ด้วยเหตุนี้การวิงวอนขอต่อคนตายจึงเป็นชิริก (การตั้งภาคี) อย่างไม่ต้องสงสัยและไม่มีข้อขัดแย้งในหมู่ปวงปราชญ์
ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า
اِذَا مَاتَ الانْسَانُ اِنْقَطَعَ عَنْهُ عَمَلُهُ
“เมื่อมนุษย์ได้ตาย งานของเขาก็จบแล้ว” รายงานโดยอบูฮุรอยเราะห์ บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3084
บุคคลที่นอนอยู่ในกุโบร์นั้น เมื่อตอนเขามีชีวิตอยู่เขาก็ต้องทำอะมัลเหมือนอย่างกับเราที่ละหมาด,บวช,ซะกาต,ฮัจญ์, ขอดุอาอ์, และอื่นๆ แต่เมื่อเขาจากดุนยาไป งานของเขาก็จบ ข้างต้นนี้คือคำยืนยันจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แต่เราผู้อยู่เบื้องหลังยังไม่ยอมให้งานของคนตายจบด้วยการเอาเขาเป็นสื่อให้ขอดุอาอ์ให้แก่เราอีก
ส่วนคำอ้างที่ว่า “ไม่ได้ขอกับตะเกี่ย เพียงให้ท่านช่วยขอต่ออัลลอฮ์อีกทีหนึ่ง” เป็นคำที่พ้องกับคำของพวกมุชรีกีนที่ได้กล่าวอ้างไว้ ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงนำมากล่าวไว้ว่า
وَالَّذِيْنَ اتَّخَذُوا مِنْ دُوْنِهِ أوْلِيَاءَ مَا نَعْبُدُهُمْ اِلاَّ لِيُقَرَبُوْنَا الِى اللهِ زُلْفًا
“และบรรดาผู้ที่เอาสิ่งอื่นเป็นผู้คุ้มครองนอกจากอัลลอฮ์ (พวกเขากล่าวว่า) เราไม่ได้อิบาดะห์ต่อสิ่งเหล่านั้น นอกจากเพื่อทำให้เราได้ใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์” ซูเราะห์อัชซุมัร อายะห์ที่ 3
คนที่ให้คนตายขอดุอาอ์ให้เขาไม่แตกต่างจากมุชรีกีนในอายะห์ข้างต้นนี้เลย
..........................
Sulaimarn Darakai




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น