อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มัซฮับและขบวนการ : ซูฟีย์ : หลักการและการปฏิบัติ



ในระหว่างสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด สาวกบางคนของท่านได้ตัดสินใจที่จะละเว้นจากการนอนและจะใช้เวลาตลอดทั้งคืนไป กับการนมาซ บางคนได้ตัดสินใจที่จะถือศีลอดทุกวันโดยไม่ขาด บางคนก็ตัดสินใจที่จะหยุดมีความสัมพันธ์ทางด้านการแต่งงานกับผู้หญิงทั้งนี้ เพื่อที่จะได้มีเวลาอย่างเต็มที่สำหรับการปฏิบัติศาสนกิจต่ออัลลอฮฺ

เมื่อท่านศาสดาได้ยินเรื่องนี้ ท่านได้กล่าวว่า : "เกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ซิถึงได้กล่าวเช่นนั้น ฉันเองถือศีลอดบางวันและฉันก็ละศีลอด ฉันนมาซในช่วงเวลาหนึ่งของกลางคืนและนอน และฉันก็แต่งงาน ดังนั้น ใครก็ตามที่หันไปจากแนวทางของฉัน เขาก็ไม่ได้เป็นพวกฉัน" (รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)

อิส ลามได้สั่งใช้ให้ดำเนินชีวิตสายกลางทั้งนี้เพื่อที่มุสลิมจะได้ไม่ทำอะไรไป จนเกินพอดีหรือน้อยไปกว่าที่ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ชีวิตสันโดษ (เหมือนอย่างสงฆ์) ก็เป็นที่ต้องห้ามในกุรอาน อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า " ส่วนการเป็นนักบวชนั้น เราไม่ได้บัญญัติมันขึ้นมาสำหรับพวกเขา พวกเขาเองต่างหากที่สร้างมันขึ้นมา" (กุรอาน 57:27)

ท่าน ศาสดาและสาวกของท่านตลอดจนนักวิชาการมุสลิมคนสำคัญจะทำงาน ต่อสู้ ตัดสินระหว่างมุสลิมและสอนกุรอานผู้คนและตักเตือนผู้คนให้ทำความดี

ยิ่ง ไปกว่านั้น สาวกหลายคนก็เป็นนักธุรกิจและแสวงหาความมั่งคั่งเพื่อที่จะใช้จ่ายเงินในหน ทางแห่งอิสลามและท่านศาสดาก็ส่งเสริมพวกเขา ในฮะดีษหนึ่ง ท่านศาสดาได้กล่าวว่า :"จะประเสริฐยิ่งถ้าทรัพย์สินที่ซื่อสัตย์เป็นของคนที่มีคุณธรรม" (รายงานโดยอะหมัด)

ท่านได้วิงวอนให้อนัส อิบนุมาลิกบ่าวของท่านและได้จบการวิงวอนของท่านโดยกล่าวว่า : " โอ้ อัลลอฮฺ ได้โปรดเพิ่มพูนให้แก่เขาในทรัพย์สินและลูกๆและโปรดให้เขาได้รับความดีงามในสิ่งนั้น" (รายงานโดยบุคอรี)

อิบนุ มัศอูด ได้กล่าวว่าท่านรอซูลุลลอฮได้ลากเส้นๆหนึ่งด้วยมือของท่านและกล่าวว่า : " นี่คือแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลลอฮฺ" หลังจากนั้น ท่านก็ลากเส้นหลายๆเส้นไปทางด้านขวาและทางด้านซ้าย หลังจากนั้นก็กล่าวว่า : " นี่เป็นหนทางอื่นๆ ไม่มีเส้นทางใดสักเส้นทางเดียวจากเส้นทางเหล่านี้ที่ไม่มีมารร้ายบนเส้นทางเหล่านั้นเรียกร้องไปหามัน" หลังจากนั้น ท่านก็ได้อ่านกุรอานตรงที่มีความหมายว่า : "แท้จริง นี่คือหนทางที่เที่ยงตรง ดังนั้น จงตามมันและจงอย่าปฏิบัติตามทางอื่นๆ เพราะมันจะทำให้สูเจ้าออกห่างจากหนทางของพระองค์" (กุรอาน 6:153)

การเกิดขึ้นของ ซูฟีย์

ถึงแม้จะมีคำเตือนดังกล่าวแล้วก็ตาม มุสลิมบางคนก็ปฏิบัติอย่างสุดโต่งในทางด้านศาสนาและหลีกเลี่ยงชีวิตทางโลก ในกลุ่มคนเหล่านี้ก็คือพวก ซูฟีย์ที่เลือกดำเนินชีวิตอย่างสุดโต่งและละทิ้งการแสวงหารายได้ที่ถูกต้อง และงานที่เป็นประโยชน์ คนเหล่านี้อ้างถึงความไว้วางใจในอัลลอฮฺเพียงอย่างเดียวในเรื่องการยังชีพ และชอบที่จะปลีกตัวออกไปใช้ชีวิตสันโดษอยู่ตามลำพัง

คำว่า " ซูฟีย์" ความจริงแล้วเกิดขึ้นมาในยุคหลัง (ในเมืองกูฟะฮประเทศอิรัคระหว่างสมัยราชวงศ์อับบาซียะฮฺในคริสตศตวรรษที่ 9) มันอาจจะมาจากคำว่า "ซุฟ"ในภาษาอาหรับซึ่งหมายถึงเสื้อคลุมขนสัตว์หยาบๆที่พวกนักบวชสวมใส่และต่อมาพวกมุสลิมบางคนที่ชอบดำเนินชีวิตแบบสันโดษได้นำมาใช้

กล่าวโดยทั่วไปแล้ว แหล่งที่มาของลัทธิถือสันโดษในอิสลามได้เกิดขึ้นมาจากแหล่งต่างๆที่มิใช่อิส ลามในยุโรปโบราณและแม้แต่ในอินเดีย ประเพณีก่อนหน้าอิสลามส่วนหนึ่งก็เข้ามาสู่อิสลามภายใต้คราบของการปลีกตัว ออกไปถือสันโดษตามลำพัง

รูปแบบการใช้ชีวิต

หลัก คำสอนและพิธีกรรมแทบจะทั้งหมดของ ซูฟีย์นั้นถ้าไม่เหมือนกันทุกอย่างก็แทบจะเหมือนกับขบวนการใช้ชีวิตแบบนัก บวชโบราณที่มิใช่อิสลาม เช่น ศาสนาคริสต์ตะวันออก (นิกายเนสโตเรียนและซีรีแอค) และศาสนาพุทธ ดังนั้น หลักคำสอนและพิธีกรรมต่างของพวก ซูฟีย์จึงได้รับการปฏิเสธจากมุสลิมส่วนใหญ่เพราะมันเป็นสิ่งอุตริที่ขัดกับ คำสอนที่แท้จริงของอิสลาม

ในปลายศตวรรษที่ 10 ซูฟีย์ได้แพร่ขยายไปทั่วอิรัค อิหร่านและอียิปต์ ในศตวรรษที่ 11 และ 12 แนวความคิดของพวก ซูฟีย์ได้รับการยอมรับบ้างทั้งนี้เนื่องมาจากความพยายามและการเขียนของ ผู้ทรงความรู้ชาวซุนนีคนสำคัญๆอย่างเช่น อิมามเฆาะซาลี ต่อมาพวก ซูฟีย์ก็ค่อยๆสร้างพิธีกรรมและหลักการต่างๆที่เสียหายรุนแรงขึ้นและบิดเบือน หลักความศรัทธาอันบริสุทธิ์ของอิสลามที่มีอยู่ในกุรอานและแบบอย่างคำสอนของ ท่านศาสดามุฮัมมัด ผู้นำ (เชค) ของคนพวกนี้ได้ทำให้มุสลิมแตกออกเป็นกลุ่มและนิกายต่างๆ ในที่สุด ความเป็น ซูฟีย์สายกลางก็ค่อยๆหายไปจนทำให้หลักการและการปฏิบัติอันสุดโต่งห่างไกลออก ไปจากหลักความเชื่อและกฎหมายอิสลาม

การให้ความเคารพผู้นำ (เชค) อย่างสุดโต่ง

หนึ่ง ในด้านที่เป็นอันตรายที่สุดของพวก ซูฟีย์สุดโต่งก็คือการให้ความเคารพแก่คนที่มีคุณธรรมความรู้อย่างเกินขอบเขต โดยสานุศิษย์ของคนเหล่านี้ บางกลุ่มสดุดีผู้นำของตนเป็นประจำด้วยข้อความแห่งความรักที่เลยเถิดและใช้ เหล้าทำให้เกิดความมึนเมาเป็นสัญลักษณ์แทนความรักของพระเจ้า ผู้นำ (เชค) ของพวก ซูฟีย์ถูกเรียกว่า "อัล-อาริฟ บิลละฮฺ" (ผู้มีความรู้จักอัลลอฮฺอย่างลึกซึ้ง) บางทีพวก ซูฟีย์ก็ให้ความเคารพผู้นำของตนอย่างสิ้นเชิงจนถึงขนาดยอมทำตามผู้นำของตน ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขตจำกัด มีหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติตามแนวทาง ซูฟีย์ไว้ดังนี้

: " จงมอบหมายการงานแก่ท่าน (ผู้นำ) และไม่ต้องถามว่าทำไม ถึงแม้ว่าท่านจะออกมาด้วยบางสิ่งที่เป็นบาป จงอยู่ต่อหน้าท่านเหมือนกับคนตายที่ถูกอาบน้ำและถูกชำระล้างจากสิ่งสกปรก อย่าเดินบนเสื่อของท่านหรือนอนบนหมอนของท่าน"

พวก ซูฟีย์ถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติตามที่จะต้องเป็นทาสในความคิดและร่าง กายต่อผู้นำของตน ถ้าหาก ซูฟีย์ที่เป็นสานุศิษย์ฝ่าฝืนคำสั่งเหล่านี้ เขาจะไม่ได้รับความเมตตาจากผู้นำของเขาและจะไม่มีวันเจริญ อย่างไรก็ตาม หลักการอิสลามไม่อนุญาตให้มีการเชื่อฟังผู้ใดในเรื่องที่เป็นบาป พวก ซูฟีย์ทำความชั่วบางอย่างและพวกที่ตามคนพวกนี้เชื่อว่าคนเหล่านั้นทำสิ่งที่ ถูกต้องดีงามและเป็นการกระทำอันมหัศจรรย์

ปาฏิหารย์ของพวก ซูฟีย์

ปาฏิหาริย์ ที่ถูกกล่าวอ้างของพวก ซูฟีย์มีมากมายรวมทั้งการฟื้นคืนชีพหลังความตายหรือการที่พวกเขาไม่ได้รับ บาดเจ็บหรือเป็นอันตรายจากกระสุนหรือดาบหรือไฟ ปาฏิหาริย์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นโดยการใช้วิธีการทางไสยศาสตร์หรือการตบตาหรือ โดยการช่วยเหลือของชัยฏอน แต่เล่ห์กลและปาฏิหาริย์จอมปลอมเหล่านี้สามารถดึงดูดผู้คนได้มากมาย

อัช-ชะ อ์รอนี ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์คนหนึ่งได้อ้างว่าอะหมัด อัล-บะดาวี ครูของเขาได้ควบคุมจักรวาลจากหลุมฝังศพของเขา พวก ซูฟีย์จะปกป้องตัวเองให้พ้นจากการถูกลงโทษในการตกศาสนาโดยการใช้หลักความ เชื่อลับๆและคำศัพท์ที่คลุมเครือ

เหยื่อของชัยฏอน

อัล-ฮาฟิซ อิบนุ อัล-เญาซี นักวิชาการมุสลิมคนสำคัญ (เสียชีวิตใน ฮ.ศ.597) ได้เขียนหนังสืออันทรงคุณค่าไว้เล่มหนึ่งชื่อ "ตัลบีส อิบลีส" (วิธีการของชัยฏอนต่อผู้นมาซ) ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เขาได้ปฏิเสธการปฏิบัติผิดๆของพวก ซูฟีย์ พวก ซูฟีย์ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับอัล ลอฮฺ แต่การอ้างตัวว่าเป็นผู้ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่ ขัดกับอิสลาม

อย่างไรก็ตาม พวก ซูฟีย์อ้างว่าอำนาจทางจิตใจและการเป็นสื่อกลางกับอัลลอฮฺมาจากครูของพวกเขา ความจริงแล้ว ชัยฏอนได้หลอกลวงพวกเขาให้เชื่อว่าพวกเขามีความสามารถที่จะบรรลุถึงการรวม กันทางด้านจิตวิญญาณหรือการติดต่อกับอัลลอฮฺและผู้รู้ได้ นั่นคือ การได้รับความรู้ในสัจธรรมของพระเจ้าโดยตรง (ฮะกีเก๊าะฮฺ)

พวก ซูฟีย์ได้รับอิทธิพลมาจากพวกบาฏิน ปรัชญากรีก ศาสนาพุทธและเทวศาสตร์ของชาวคริสเตียน ดังนั้น พวก ซูฟีย์จึงเชื่อในเรื่องการได้รับความรู้ภายในซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็โดยการ ฝึกฝนจิตวิญญาณและการทรมานร่างกายเพื่อขัดเกลาตนเองให้เป็นผู้ได้รับความรู้ นั้น หลังจากนั้น ซูฟีย์ก็สามารถที่จะเห็นความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวบทของกุรอานและคำ สอนของท่านศาสดามุฮัมมัด คนที่ไม่ได้รับความรู้ภายในจะสามารถเห็นความหมายภายนอกของกุรอานเท่านั้นและ คนเหล่านี้จะถูกเรียกว่าผู้ปฏิบัติตามชะรีอ๊ะฮฺหรือคนที่รู้ความหมายตามตัว อักษร (อะฮ์ลุซซอฮิร) ในขณะที่พวก ซูฟีย์เรียกตัวเองว่าผู้รู้ความจริงที่แท้จริงและผู้รู้ในสิ่งที่ซ่อนเร้น (อะฮ์ลุลบาฏิน) พวกเขากล่าวว่าพวกเขาก้าวพ้นชะรีอ๊ะฮฺไปถึงการรับรู้ภายในแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้ทำสิ่งต้องห้ามได้โดยเหตุผลที่ว่าความรู้ที่สูง กว่าของพวกเขาทำให้พวกเขาอยู่นอกข้อจำกัดของกฎหมายอิสลามที่เห็นอยู่

ซูฟีย์สร้างพิธีกรรมอุตริขึ้นมา

สิ่ง อุตริที่พวก ซูฟีย์สร้างขึ้นมานั้นมีทั้งการทำตัวเองให้ต่ำต้อยต่อหน้าผู้คน พิธีกรรมรำลึกถึงอัลลอฮฺด้วยการกล่าววลีที่เอ่ยนามของพระองค์ครั้งแล้วครั้ง เล่าซึ่งขัดต่อแบบอย่างของท่านศาสดามุฮัมมัด การจัดงานฉลองวันเกิดขึ้นของท่านศาสดามุฮัมมัดอย่างฟุ่มเฟือย การไปเยี่ยมหลุมฝังศพของหัวหน้า ซูฟีย์และวิงวอนต่อคนเหล่านี้ให้ประทานความจำเริญแก่พวกเขาและเป็นตัวกลาง ระหว่างพวกเขากับอัลลอฮฺ

การปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่มุสลิมส่วนใหญ่ประณามว่าเป็น "การสักการะบูชานักบุญ" และเป็น "การชิริก" ยิ่งไปกว่านั้น ครูของพวก ซูฟีย์ยังอ้างว่าตัวเองเป็นแหล่งที่มาของการรู้จักพระเจ้า (มะอ์ริฟะฮ์) แก่นักวิชาการอิสลาม

ซูฟีย์สุดโต่ง

อัล-ฮุ ซัยน์ อิบนุ มันซูร อัล-ฮัลลาจเชื่อว่าอัลลอฮฺอาศัยอยู่ในร่างของมนุษย์ ทุกสิ่งมีอยู่นั้นคืออัลลอฮฺในความเป็นจริง ส่วนอบู ยะซีด บิสตามี (ตายฮ.ศ.874) และอัล-ญุนัยด์ (ตาย ฮ.ศ.910) ได้เริ่มหาประสบการณ์ในการที่จะรวมกับอัลลอฮฺในตอนแรกด้วยการ "เมา" กับความรักของตนเอง

ใน ขณะที่พวก ซูฟีย์หลายคนปิดบังอำพรางหลักความเชื่อที่บิดเบนของตัวเอง แต่อัล-ฮัลลาจญ์สานุศิษย์คนหนึ่งของอัล-ญุนัยด์ได้ออกเดินทางไปสั่งสอนหลัก การของตัวเองอย่างเปิดเผย เจ้าหน้าที่ในกรุงแบกแดดจึงได้จับกุมเขา นักวิชาการส่วนใหญ่ตัดสินว่าเขาตกศาสนาและต่อมาเขาได้ถูกประหารชีวิตใน ฮ.ศ.309

อิบนุอะเราะบีก็เชื่อในหลัก "วะฮ์ดะตุลวุญูด" คือเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงด้านหนึ่งของตัวตนที่แท้จริงของอัล ลอฮฺและพระองค์นั้นคือทั้งหมดที่ไม่ได้ปรากฏให้เห็นนอกจากภายในส่วนต่างๆของ สิ่งทั้งหลายและทุกสิ่งที่มีอยู่นั้นก็คืออัลลอฮฺ เขาวิพากษ์วิจารณ์นบีฮารูนเมื่อตอนที่ท่านตำหนิพวกยิวที่เคารพบูชารูปปั้น วัวทองคำ มีคนอ้างว่าเขากล่าวว่า "ผู้เคารพสักการะวัวนั้นไม่ได้เคารพสักการะสิ่งใดนอกไปจากอัลลอฮฺ" เขาเองได้ยกย่องฟาโรห์และประกาศว่าฟาโรห์ตายในสภาพที่มีความศรัทธาอัน บริสุทธิ์และเป็นผู้ศรัทธาคนหนึ่งซึ่งขัดกับตัวบทในกุรอาน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม อิบนุอะเราะบีก็ได้รับการยกย่องจากพวก ซูฟีย์และพวกเขาได้เรียกเขาว่า "อัล-กุตุบุล อักบัร" (แกนอันยิ่งใหญ่)

หนังสือหลายเล่มที่เขาเขียนขึ้นอย่างเช่น " อัล-ฟะตูฮาตุล มักกียะฮ์" และ "ฟุซูลุลฮิกัม" นั้นเต็มไปด้วยเรื่องนอกศาสนาอย่างเห็นได้ชัด เขาได้เขียนหนังสืออธิบายความหมายขึ้นมาเล่มหนึ่งซึ่งเขาเรียกว่า "อัต-ตัฟซีรุล บาฏิน" ทั้งนี้เพราะเขาถือว่าความหมายที่ซ่อนเร้นของกุรอานนั้นมีแต่ ซูฟีย์ที่รู้ลึกซึ้งเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้ อิบนุอะเราะบีถือว่าพวกบูชาเทวรูปอยู่ในหนทางที่ถูกเนื่องจากในทัศนะของเขา นั้นอัลลอฮฺทรงมีอยู่ในทุกสิ่ง (หมายความว่าสิ่งถูกสร้างทุกอย่างที่มีอยู่นั้นคือพระองค์) ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพสักการะรูปปั้นหรือเคารพหินหรือต้นไม้หรือมนุษย์หรือดวงดาว ก็เท่ากับเขาผู้นั้นเคารพสักการะอัลลอฮฺ เขากล่าวว่า : " ดังนั้น คนที่มีความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ก็คือคนที่เห็นวัตถุบูชาทุกอย่างเป็น ปรากฏการณ์ของความจริงที่มีอยู่ในนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกเคารพสักการะ"

ดัง นั้น พวกเขาจึงเรียกมันว่าพระเจ้าพร้อมกับชื่อเฉพาะของมันไม่ว่ามันจะเป็นก้อนหิน ต้นไม้ สัตว์ บุคคล ดวงดาวหรือทูตสวรรค์ อิบนุอะเราะบีจึงประกาศว่าการเคารพบูชาวัตถุจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าถูกประณาม เพราะทุกสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะนั้นเป็นเพียงพระเจ้าที่ปรากฏในรูปของ มนุษย์ ต้นไม้หรือหิน อิบนุอะเราะบียังเชื่อว่าทุกศาสนานั้นเป็นหนึ่งเดียวและหัวใจของเขาพร้อมที่ จะยอมรับทุกนิกายและศาสนา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเตือนลูกศิษย์ของเขามิให้เชื่อในศาสนาใดเป็นการเฉพาะและมิให้ปฏิเสธ ศาสนาอื่นทั้งหมด

อับดุลการีม อัล-ญีลีซึ่งเสียชีวิตใน ฮ.ศ.830 ก็เชื่อในเอกภาพของศาสนาหรือทุกศาสนาก็เหมือนกันดังที่เขาได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง " อัล-อินซานุล กามิล" (มนุษย์ที่สมบูรณ์) ดังนั้น ในทัศนะของอับดุลการีม มัสญิดและโบสถ์จึงไม่มีความแตกต่างกันและถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนบาปและไม่ เชื่อฟังคำสั่งของอัลลอฮฺตามตัวบทกฎหมายอิสลาม (ชะรีอ๊ะฮ์) ที่ปรากฏอยู่ เขาก็ยังปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺ อิบนุลฟาริด

กวีคนหนึ่งได้อ้าง ว่าความจริงแล้วอัลลอฮฺก็คือสิ่งถูกสร้างของพระองค์และเขาได้แต่งบทกวีขึ้น มาบทหนึ่งซึ่งในนั้นเขากล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นเพศหญิง

ระบบตำแหน่งของ ซูฟีย์

ซูฟีย์หลายคนยังเชื่อว่าประชากรแต่ละรุ่นจะมีครูคนหนึ่งซึ่งเป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์" อย่างลับๆ และการมาปรากฏของคนผู้นี้เองที่ทำให้โลกยังดำเนินอยู่ต่อไป เป็นที่เชื่อกันว่าครูผู้นี้จะนำความจำเริญ (บะรอก๊ะฮ์) อันมหัศจรรย์ที่ได้รับมาจากครูคนก่อนๆมาให้ลูกศิษย์ของตน ซูฟีย์ส่วนใหญ่อ้างว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากอะลี อิบนุ อบีฏอลิบหรือครอบครัวของท่านศาสดามุฮัมมัดและพวกเขาได้รับความจำเริญสืบทอด ต่อเนื่องกันมาจากบุคคลเหล่านั้นผ่านทางตำแหน่งหน้าที่สืบทอดต่อกันมา

ซูฟีย์บางคนอาจถูกเรียกว่า "วะลี" (เพื่อนของพระเจ้า) ซึ่งหมายถึง "คนที่ไปถึงขั้นสูงสุดในการมีความสัมพันธ์กับอัลลอฮฺ" ดังที่กล่าวไว้ในกุรอานว่า " บรรดาผู้ไม่กลัวและไม่เศร้าโศกเสียใจ" เฉพาะคนที่ได้รับประสบการณ์ ซูฟีย์อย่างสมบูรณ์เท่านั้นที่จะรู้จัก "มนุษย์ที่สมบูรณ์"พวกเขาคือผู้นำที่มีความจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของจักรวาลเพราะพวกเขามีอำนาจ ความรู้และพลังอันมหัศจรรย์ที่พระเจ้ามอบหมายมาให้

ลำดับชั้นที่มองไม่เห็นของพวกผู้นำ (เชค) ซูฟีย์ประกอบด้วย 40 อับดัล ( "ตัวแทน" เพราะเมื่อคนหนึ่งคนใดเสียชีวิต อีกคนหนึ่งก็จะถูกเลือกโดยอัลลอฮฺให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเชค) 7 เอาตาด (หลักแห่งความศรัทธา) 3 นุกอบา (ผู้นำที่นำคนมาให้ครูของตน) ที่นำโดย "กุตุบ" (แกน) หรือ " เฆาซ์" (ผู้ช่วยเหลือ) ซึ่งเป็นฉายาที่ผู้นำ ซูฟีย์กล่าวอ้าง พวก ซูฟีย์มี "ตราประทับ" (คอติม) หรือบุคคลสุดท้ายที่สมบูรณ์ที่สุดของพวกตนในขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ด้วย อัล-มิรฆอนี แห่งซูดานได้อ้างว่าเขาเป็นตราประทับ (คอติม) และสำนัก ซูฟีย์ของเขาได้ถูกเรียกว่า "คอติมัยยะอ๊ะฮ์"

กลุ่มซูฟีย์

นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 พวก ซูฟีย์ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือ "เฏาะรีก" (ตะรีกัต) กลุ่มที่สำคัญๆและยังมีอยู่ในปัจจุบันก็คือกลุ่มซานุสซีในอาฟริกาเหนือ กลุ่มนักชบันดี กลุ่มนิมะตุลลอฮ์และกลุ่มชิสตี (ในอิหร่าน ตุรกี เอเชียกลางและอินเดีย) ซูฟีย์ส่วนใหญ่เป็นพวกซุนนี บางกลุ่มก็รับความเชื่อของชีอ๊ะฮ์ในระหว่างศตวรรษที่ 15 และ 16 กลุ่มเบกตาชีและกลุ่มเศาะฟาวีเป็นพวกชีอ๊ะฮ์สุดโต่ง ในตอนต้นศตวรรษที่ 16 พวกเศาะฟาวีได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้ายึดอิหร่านไว้ได้เกือบทั้งหมด

พวก ซูฟีย์บางกลุ่มเป็นที่ยอมรับโดยคนในท้องที่ เช่น กลุ่มเบกตาชี (ต้นศตวรรษที่ 14) ในตุรกีและกลุ่มอะฮมะดียะฮ์ (หลังจากอะหมัด อัล-บะดะวี เสียชีวิตใน ฮ.ศ.1286) ในอียิปต์ อย่างไรก็ตาม พวกอะฮ์มะดียะฮ์สามารถดึงพวกผู้ปกครองในราชวงศ์มัมลูกให้มาเลื่อมใสได้ กลุ่มอื่นอย่างเช่นชาซิลีและริฟาอีก็มีสาวกของตนในหมู่ชนชั้นกลางชาวอียิปต์ ในอาฟริกาเหนือ กลุ่มติยานียะฮ์ซึ่งถูกก่อตั้งใน ค.ศ.1781และซานุสซีมีบทบาทขึ้นมาในศตวรรษที่ 19 และเข้าไปเล่นการเมืองด้วย กลุ่มติยานียะฮ์นั้นได้ขยายอิทธิพลของตนเข้าไปถึงเซเนกัลและไนจีเรีย

ซูฟีย์ปัจจุบัน

ปัจจุบัน พวก ซูฟีย์ที่เป็นลูกหลานของผู้นำ ซูฟีย์ผู้มีชื่อเสียงได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหราเหมือนกับคนราชวงศ์ บรรพบุรุษของพวกเขาได้ทำลายการญิฮาดซึ่งหมายถึงการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ไปหมดสิ้นแล้วและพวกเขาอ้างว่าญิฮาดหมายถึงการต่อสู้กับจิตใจของตัวเองเท่า นั้น การอธิบายความหมายของคำว่าญิฮาดเช่นนี้ได้เปิดโอกาสให้อำนาจล่าอาณานิคมเข้า มายึดครองดินแดนมุสลิมส่วนใหญ่ไว้ และเนื่องจากพวกอำนาจล่าอาณานิคมให้การสนับสนุนมุสลิมทุกกลุ่มที่หันเหออกไป จากหลักการที่แท้จริงของอิสลาม ดังนั้น พวกนักล่าอาณานิคมจึงตอบแทนพวก ซูฟีย์โดยการให้ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์แก่คนเหล่านี้ไว้เป็นที่ทำกิน แม้ในบางช่วงที่พวก ซูฟีย์ได้อำนาจทางการเมือง แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้ส่งเสริมความดีและห้ามปรามความชั่ว แต่พวกเขากลับหันห่างออกจากการเคารพสักการะพระเจ้าและปูพรมให้ลูกศิษย์คลาน เข้ามาหาความสุขกับการกินและดื่ม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น