อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อันดะลุสภายหลังสิ้นสุดการปกครองอิสลาม


ด็อกเตอร์ ซิจริด ฮ็อง ได้กล่าวว่า
“ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1498 คาร์ดินาล ดิไบเดอร์ ได้ยกไม้กางเขนไปตั้งไว้ที่พระราชวังอัลฮัมบรา(พระราชวังแดง) ซึ่งถือเป็นป้อมหลักหรือศูนย์กลางการปกครองของราชวงศ์นาซิรียะฮฺ (ราชวงศ์อุมัยยะฮฺในสะเปน) การยกไม้กางเขนครั้งนั้นถือว่าเป็นการสิ้นสุดการปกครองของมุสลิมในสเปน

หลังจากสิ้นสุดการปกครองของอิสลามในสเปนครั้งนี้ ทำให้อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของอิสลามที่แผ่ขยายทั่วยุโรปในยุคกลางหายไปด้วย และในช่วงแรกที่คริสเตียนชนะมุสลิมนั้น พวกเขายังคงให้เกียรติมุสลิมอยู่ แต่นั้นก็เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น หลังจากนั้นพวกคริสเตียนได้เริ่มที่จะกำจัดมุสลิม รวมทั้งเตรียมการเพื่อที่จะถอนรากถอนโคนอารยธรรมและวัฒนธรรมอิสลามออกไป

มุสลิมถูกห้ามไม่ให้ประกอบพิธีกรรมต่างๆของศาสนาอิสลาม อันที่จริงพวกเขาถูกบังคับให้ละทิ้งอิสลามเสียด้วยซ้ำ เช่นเดียวกันพวกเขาถูกห้ามไม่ให้ใช้ภาษาอาหรับ แม้กระทั่งชื่อภาษาอาหรับก็ถูกห้ามใช้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้การแต่งกายแบบชาวอาหรับก็ถูกห้าม ผู้ใดที่ฝ่าฝืนจะถูกเผาทั้งเป็นหรือไม่ก็ถูกทรมานอย่างรุนแรง" (จากหนังสือ “ชาตินิยมและการรุกรานทางความคิด")

นี่เป็นสาเหตุที่มุสลิมหายไปจากอันดะลุส ไม่เหลือมุสลิมแม้แต่คนเดียวที่กล้าเปิดเผยสถานะทางศาสนาของตนเอง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น