อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ฮิญาบ ระหว่างการเปิดหน้าและปิดหน้า



ฮิญาบเป็นขอบเขตการแต่งกายของมุสลิม สำหรับมุสลีมะฮ์นั้น ก็มีบัญญัติเรื่องฮิญาบปรากฏอย่างชัดเจนในอัลกุรอาน อย่างปฏิเสธไม่ได้

พระองค์อัลลอฮ์ (ศุบฮานะฮูวะตะอาลา) ตรัสว่า

وَقُل لِّلْمُؤْمِنَاتِ يَغْضُضْنَ مِنْ أَبْصَارِهِنَّ وَيَحْفَظْنَ فُرُوجَهُنَّ وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا وَلْيَضْرِبْنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَىٰ جُيُوبِهِنَّ وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا لِبُعُولَتِهِنَّ أَوْ آبَائِهِنَّ أَوْ آبَاءِ بُعُولَتِهِنَّ أَوْ أَبْنَائِهِنَّ أَوْ أَبْنَاءِ بُعُولَتِهِنَّ أَوْ إِخْوَانِهِنَّ أَوْ بَنِي إِخْوَانِهِنَّ أَوْ بَنِي أَخَوَاتِهِنَّ أَوْ نِسَائِهِنَّ أَوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُنَّ أَوِ التَّابِعِينَ غَيْرِ أُولِي الْإِرْبَةِ مِنَ الرِّجَالِ أَوِ الطِّفْلِ الَّذِينَ لَمْ يَظْهَرُوا عَلَىٰ عَوْرَاتِ النِّسَاءِ وَلَا يَضْرِبْنَ بِأَرْجُلِهِنَّ لِيُعْلَمَ مَا يُخْفِينَ مِن زِينَتِهِنَّ وَتُوبُوا إِلَى اللَّهِ جَمِيعًا أَيُّهَ الْمُؤْمِنُونَ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ ( 31 )

"และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัน-นูร  24:31)


يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُل لِّأَزْوَاجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَاءِ الْمُؤْمِنِينَ يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِن
جَلَابِيبِهِنَّ ذَٰلِكَ أَدْنَىٰ أَن يُعْرَفْنَ فَلَا يُؤْذَيْنَ وَكَانَ اللَّهُ غَفُورًا رَّحِيمًا

"โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ" (อัลกุรอาน สูเราะฮฺอัล-อะห์ซาบ , 33:59)

ฮิญาบในการปฏิบัติ นักวิชาการจะมีความเห็นคล้ายคลึงกัน เช่น เห็นพ้องกันโดยเอกฉันท์ว่าเปิดแขนไม่ได้ เปิดไหล่ไม่ได้ แต่งกายรัดรูปไม่ได้ หรือเสื้อผ้าโปร่งบางไม่ได้ เป็นต้น

ส่วนของใบหน้า นักวิชาการมีความขัดแย้งกัน โดยทัศนะต่างกันนั้น อันเนื่องจากเรื่องของการตีความที่เกิดจากตัวบทหลักฐานเดียวกัน

ทัศนะเปิดหน้า

นักตัฟซีร(นักอธิบายอัลกุรอาน) ต่างมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเกี่ยวกับถ้อยคำที่ว่า " إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا " (เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้)  และบรรดาผู้นำทางวิชาการต่างๆ ก้เห็นขัดแย้งกันอยู่ในการระบุขอบเขตของเอาเราะฮฺ (สิ่งที่ต้องปกปิด) ของผุ้หญิง

ดังที่ท่านอิมามอัช-เชากานียฺได้รายงานเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ "นัยลุล เอาฏอรฺ"

ส่วนหนึ่งจากนักวิชาการที่มีทัศนะว่า "ทั้งหมดของร่างกายเว้นแต่ใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง" นั้นคือ ส่วนอื่นๆของร่างกายผู้หญิงเป็นสิ่งที่ต้องปกปิดยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง
ความเห็นนี้เป็นทัศนะของอัล-ฮาดียฺ เป็นทัศนะหนึ่งของอัล-กอซิม เป็นหนึ่งในสองทัศนะของอิมามอบู ฮะนีฟะฮฺ (เจ้าของมัซฮับฮานาฟีย์) และเป็นทัศนะของอิมามมาลิก (เจ้าของมัซฮับมาลีกีย์)

ส่วนหนึ่งของนักวิชาการที่มีทัศนะว่า "ยกเว้นใบหน้า ฝ่ามือทั้งสอง เท้าทั้งสอง รวมทั้งกำไลเท้า" นั้นคือ  ส่วนอื่นๆของร่างกายผู้หญิงเป็นสิ่งที่ต้องปกปิดยกเว้นบหน้า ฝ่ามือทั้งสอง เท้าทั้งสอง รวมทั้งกำไลเท้า
นี้เป็นทัศนะหนึ่งของอิมามอบู ฮะนีฟะฺฮ์ (เจ้าของมัซฮับฮานาฟีย์) เป็นทัศนะของท่านอัษ-เษารียฺ และอบุล อับบาส

และยังมีผู้มีทัศนะอีกว่า "ทั้งหมดของร่างกาย เว้นใบหน้า" นั้นคือ  ส่วนอื่นๆของร่างกายผู้หญิงเป็นสิ่งที่ต้องปกปิดยกเว้นใบหน้า
นี้เป็นทัศนะของอิมามอะหฺมัด อิบนุ ฮันบัล (เจ้าของมัซฮับฮับบาลีย์) และท่านดาวูด

ไม่มีผู้ใดเคยกล่าวว่า หน้าเป็นเอาเราะฮฺสิ่งที่ต้องปกปิด เว้นแต่ปรากฏอยู่ในรายงานของอิมามอะหฺมัด ซึ่งเป็นรายงานที่ไม่เป็นที่รูกจักกัน(ไม่มะอฺรูฟ) และทัศนะบางส่วนของผู้ดำเนินตามมัซฮับชาฟิอีย์

นักวิชาการเหล่านี้เห็นว่า ตามที่ปรากฏในตัวบทต่างๆ และหะดิษที่รายงานกันมานั้น แสดงให้เห็นว่าใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองไม่ใช่เอาเราะฮฺ นี้เป็นสิ่งที่ได้รายงานกันมาโดยท่านอิบนุ อับบาส ท่านอิบนุ อุมัร และคนอื่นๆจากเหล่าเศาะหาบะฮฺ บรรดาตาบิอีน และผู้นำ(สำนักคิด)ต่างๆ

ท่านอิบนุ ฮัซมฺ ซึ่งอยู่ในแนวของพวกซอฮิรีย์ที่ยึดเอาความหมายทางตัวอักษรที่ได้จากตัวบท ได้รุปพระดำรัสของอัลลอฮฺตะอาลา ในอีกอายะฮฺที่ว่า " يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِنجَلَابِيبِهِنَّ" (ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง) หมายถึงการอนุญาตให้เปิดหน้าได้ อันเนื่องจากว่า การที่พระองค์สั่งให้ดึงเสื้อคลุมมาปิดหน้าอก ไม่ใช่ปิดเหนือใบหน้า

บรรดามุสลิมมีมติเป็นเอกฉันท์ต่อหลักการชารีอะฮฺที่ว่า การละหมาดของผู้หญิงในมัสยิดต่างๆนั้น ให้เปิดใบหน้าและฝ่ามือ โดยอยู่แถวหลังผู้ชาย และอนุญาตให้เข้าร่วมรับฟังทางความรู้ได้

และได้มีมติเอกฉันท์ในเรื่องของผู้หญิงที่ครองอิหฺรอมในพิธีหัจญ์และอุมเราะฮ์ให้เปิดพหน้า
อันแสดงว่าหน้าย่อมไม่เป็นเอาเราะฮฺ


ทัศนะปิดหน้า

อุละมาอฺที่มีทัศนะว่าใบหน้าเป็นเอาเราะฮฺที่จำต้องปกปิด ได้แก่ สายมัซฮับฮัมบาลีย์ อุละมาอฺส่วนใหญ่สายมัซฮับชาฟีอีย์ อุละมาอฺรุ่นหลังในสายมัซฮับฮะนะฟีย์ และมาลีกีย์ โดยอ้างอิงหลักฐานต่อไปนี้

จากการที่สลัฟ(คนในยุคสามร้อยปีแรก) บางท่าน เช่น อิบนุ มัสอูด, อัล-ฮะซัน, อิบนุ ซีรีน ได้อธิบายอายะฮฺที่ว่า  إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا " (เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้) คือเสื้อผ้าและอวัยวะที่พ้นชายผ้า สิ่งที่บางที่ก็ต้องเปิดเผย เช่นแหวน ใบหน้ากับฝ่ามือนั้นไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้น ที่ให้เปิดเผยได้ ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ผู้ทีมิใช่สามีหรือมะหฺร็อมมอง เว้นแต่กรณีจำเป็นอย่างยิ่งยวด เช่น การรักษา การเป็นพยาน เป็นต้น

อิบนุ กะษีร ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า คือ มิให้พวกนางเปิดเผยเครื่องประดับแก่คนอื่น (ที่แต่งงานกันได้) เว้นแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะปิด ซึ่งอิบนิมัสอูด กล่าวว่า "สิ่งนั้นคือเสื้อผ้านั้นเอง"

จากการที่เศาะหาบะฮฺ และตะบีอีนบางท่านได้อธิบายอายะฮฺ ที่ว่า

 " يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِن جَلَابِيبِهِنَّ" (ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง)

ในประเด็นการดึงญิลบาบลงมานั้น พวกเขาให้ความเห็นว่า การปิดใบหน้านั้นเอง ผู้รู้ในในกลุ่มนี้  ได้แก่ อิบนุ มัสอูด, อิบนุ อับบาส, อุบัยดะฮฺ์, เกาะตาดะฮ์, อัลฮะซัน, อัลบะศอรีย์, สะอีด บิน ญุบัยรฺ, อิบรอฮีม อันนะคออีย์

หลักฐานจากหะดิษที่รายงานจากอิบนุ อุมัร ว่า ท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)กล่าวว่า
"ผู้หญิงที่ครองอิหฺรอมไม่ต้องปิดหน้าและไม่ต้องสวมถุงมือ"

จากหะดิษนี้ ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวว่า
"นี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผ้าคลุมหน้าและถุงมือเป้นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้หญิงที่ไม่ครองอิหฺรอม ซึ่งพวกนางได้ปิดหน้าและสวมถึงมือ

อนึ่งเอาเราะฮิต่อมะฮิรอม เช่นพ่อ พี่ชาย น้องชาย เป็นต้น ยกเว้นสามี ในทัศนะของฝ่ายปิดหน้านั้นให้เปิดเผยได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ



الله أعلم بالصواب











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น