อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เมื่อเรียนแบบเรียนซีฟัตยี่สิบย่อมมีวิชาอิลมูกาลาม


ชี้แจงข้อกล่าวหาว่าเป็นวาฮาบีข้อที่๗

จะรู้ว่าเป็นวาฮาบีคือคนที่ไม่เรียนแบบเรียนซีฟัต๒๐
ชี้แจง เมื่อเรียนแบบเรียนซีฟัต๒๐ย่อมมีวิชาอิลมูกาลาม(วิชาโวหารหรือวิทยโวหาร)(เป็นวิชาเพื่อซ่อนความหมายที่แท้จริง) สองวิชาที่ว่านี้มันจะควบคู้กันไป แหละเมื่อมีอิลมูกาลามย่อมมีวิชาตะสะวุฟเข้ามาแทรก ดังนั้นเมื่อสามวิชานี้เกิดขึ้นมาย่อมมีเรื่องบิดอ่ะเข้ามา เพราะวิชาอิลมูกาลามมาจากฟัลซะเฟาะหรือฟิโลโซฟยูนนาน(รับอิธพลตะวันตก) ซึงมูฮัมมัดอามีนในหนังสือฎูฮัลอิสลามเล่มที่สาม กล่าวถึง ความเป็นมาของอิลมูกาลาม ในสมัยผู้ปกครองอับบาสี่ โดยกล่าวว่าเป็นวิชาที่เอาความเข้าใจตามแบบยูนนาน(ชาวตะวันตก)คนที่ทำวิชานี้ เป็นคนมุสลิมเอง ที่เลื่อมใสศรัทธาอิสลามทุกประการเช่นรูกนอิหม่านรูก่นอิสลามลาม แต่พอจะยกหลักฐานอธิบายความเข้าใจ(กุรอ่านและฮาดิษ)แล้วจะใช้วิชาอิลมูกาลาม
ชี้แจง=สมัยก่อนหลังจานบีหลังจากศอฮาบะห์ก็มีคนเข้ารับอิสลามกัน ก็มีการแผ่ขยายมาบ้างในช่วงเหล่าบรรดามัซฮับ อาจเป็นไปได้ว่าเหล่าบรรดาอิหม่ามทั้งสี่ไม่เคยเจอพวกวิชาแบบนี้เพราะเป็นสถานที่มักกะมาดีนะเป็นสถานที่ปลอดภัย แต่เราลองมานึกดู คนที่เข้ารับอิสลามมาจาอินเดีย เปอร์เซีย คูรอซาน แถบซามัรกันดี ซึ่งเป็นที่ช่องโหว่ อย่างเช่นมีอากีดะมะยูซี เข้ามาตัวอย่างไปเอะใจว่าอัลลอฮอยู่บนอารัช อัลลอฮมีมือแล้วเกิดความหวั่นเกรงว่าหากลูกหลานถามเราแล้วเราจะตอบอย่างไร จนคิดไปคิดมา ในหนังสือฎูฮัลอิสลามกล่าวว่ามี๑รีวายัตจากอาลีบินอาบีตอลิบ (เป็นคำพูดของอาลี)
وقال علي حدثوا الناس بما يعرفون أتحبون أن يكذب الله ورسوله
http://library.islamweb.net/newlibrary/display_book.php?flag=1&bk_no=0&ID=128
กล่าวว่า"จงพูดให้คนรู้ ไม่ว่าอะไรก็ได้ที่สื่อให้คนเข้าใจ ท่านจะเอาใหมหากพูดเรื่องอัลเมื่อวาลิดบินมุสลิมถามอิหม่ามมาลิกและคนอื่นๆดังกล่าวนั้น ว่าด้วยซีฟัตอัลลอฮเป็นเช่นรัย ทั้งหมดแต่ละคนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
أمروها كما جاءت بلا كيف
http://www.google.com.sa/url?url=http://www.as-salaf.com/article.php%3Faid%3D68%26lang%3Dar&rct=j&q=&esrc=s&sa=U&ei=wtw6VIjbDpKu7AaQyoGABQ&ved=0CBQQFjAA&sig2=ubVCq9UuJs_QqIs0_wiCJA&usg=AFQjCNFhTnmNyMxzoc51KoOBDjzwqjMviw
ให้ยอมรับซีฟัตอัลลอฮเหมือนอย่างที่อัลลอฮกล่าวเอาไว้ทุกประการ และเราอย่าถามว่าซีฟัตของอัลลอฮเป็นอย่างไร โดยให้ยอมรับเท่าที่กุรอ่านบอก แต่พอดูอิลมูกาลามเขาจะรับไม่ได้ เขา(อาชาอีเราะ)บอกว่าต้องเอาปัญญามาประดิษคำ(กุรอ่าน) คือเดิมทีอาชาอิเราะเขาเป็นคนดีเหนียตดีเป็นคนอิหม่าน แต่คิดไกลเกินไป จนปั่นหัวคนให้เชื่อเป็นอย่างอื่นเนื่องจากกลัวคนจะไม่เข้าใจ ประกอบกับที่เขาเจอคำพูดของอาลีก็ยิ่งไปกันใหญ่ แถมเขายังมโณภาพว่าหากพวกเราว่าอัลลอฮอยู่บนชั้นฟ้าแล้วจะมีความเชื่อเหมือนกรีกโบราณ เพราะพวกนี้เดิมทีเป็นพวกที่บูชาไฟ พอพูดว่าอัลลอฮอยู่บนชั้นฟ้าแล้วจะคิดเหมือนเทวดาของเขาที่เคยเชื่อกันว่าอยู่บนฟ้าเช่นกันและบอกให้รู้ว่าเมือพระเจ้าอยู่บนฟ้าแล้วย่อมมีความสามารถเหนือทุกอย่างแล้วจึงเข้าใจว่าอัลลอฮมีช่องว่าง(บนฟ้า)จึงเป็นที่มาของการอยู่บนอารัช จนมีผู้คนเห็นด้วยกับเขา(ความคิดความเชื่อแบบอาชาอิเราะ)มาเป็นหลักฐานของอัลกุรอ่านจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกเลย จึงเป็นมรดกตกทอดสืบมาของศาสนา
فهاؤلاء رأواقف عندما جاء في الدين من غير تفسير
ปราชน์อูลามาะตอนนั้นรวมทั้งรอบีอะห์(ชาย)(รอบีอะห์เป็นโตะครูอิหม่ามมาลิก)ก็ไม่ตะวีลใดๆเลยเนื่องจากว่า
สิ่งนี้ไม่มีความจำเป็นนักแก่อุมมัต เนื่องจากสิ่งนี้มันเชื่อมโยงกับซีฟัตอัลลอฮ และมันสมองของเรามันเกินกว่าที่จินตนาการได้(จินตนาซีฟัตอัลลอฮ) ดังนั้นอัลลอฮว่าอะไร เราก็ต้องเชื่อตามนั้น ส่วนที่เหลือเราไม่ต้องไปถามว่าเป็นเช่นรัย
คือให้เรารู้เท่าที่กุรอ่านบอก แต่แนวทางแบบเรียนซีฟัต๒๐นั้นเป็นแนวทางอะห์ลุลกาลามที่ใช้โวหารนี้ ทำการเปลี่ยนแปลงความหมาย พอเขาเปลี่ยนความหมายแล้ว เขาจะไม่รู้สึกรู้ร้อนหนาวคือไม่เกรงกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงควายหมายแบบไม่บังควรเป็นที่สุด นั่นก็คือซีฟัตของอัลลอฮ(คุณลักษณะ)
ลอฮแล้วโกหกใส่อัลลอฮและนบี ถ้างั้นก็พูดตามความเข้าใจของท่านแล้วหยุด ณ ที่ตรงนั้น แม้ว่าเรื่องนั้นมันยาวไป อาจไม่เข้า เมื่อไม่เข้าใจ ก็เป็นอันว่าโกหกใส่นบีและอัลลอฮ" เมื่อเขา(คนที่ใช้อิลมูกาลาม)เกิดความเกรงกลัวว่าจะเป็นอย่างโน้นต้องไม่เป็นอย่างนี้แล้ว สมมุติอัลลอฮมีมือ เราก็เข้าใจ แต่เขาจะเข้าอย่างที่เขาเข้าใจเช่นเขาจะเข้าใจว่ามือไม่ใช่มือของอัลลอฮ หมายถึงความสามารถ แต่พอเราบอกว่ามือของอัลลอฮก็คือมือของอัลลอฮ แต่ไม่ใช่เหมือนมือแบบเราๆนี้ เขาก็จะถามมาอีกเฮ้ยเหตุใดมือถึงไม่เหมือนกัน แล้วถ้าอัลลอฮมีมือแล้ว นิ้วมือจะขยับได้ใหมแล้วเขาจะยกหมายเหตุจากคำกล่าวของอาลีว่า อย่าโกหกใส่อัลลอฮ หมายถึงพูดอะไรก็ได้ที่ให้คนเข้าใจอย่างมือหมายถึงความสามารถ แล้วเด็กที่ฟังก็จะร้องอ๋อว่ามือหมายถึงความสามารถนั่นเองเหตุที่เขาไม่บอกว่าเป็นมือก็ที่รู้ๆกันอยู่ว่ามือก็สามารถยกขึ้นมาได้เช่นยกของ มือก็ยกได้ก็หมายถึงก็อดรัตความสามารถนั่นเอง
จนเด็กนั้นเข้าใจ แต่ในทางภาษา คนๆนั้นกลัวว่าจะเสียศาสนา จากรุ่นสู่รุ่น คนที่ว่ากลัวจะอย่างโน่นอย่างนี้ จนกลายเป็นวิชาการเรียนแขนง๑ทางด้านศาสนา นี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นของคนเฒ่าคนแก่ที่สอนให้คนรุ่นหลังให้เข้าใจง่ายขึ้น จนคนรุ่นหลังเรียกวิชานี้ว่าฟัลซะเฟาะห์ แล้วฟัลซเฟาะอีกนี้แหละเป็นชารัตการเรียนอากีดะห์
จนถึงปัจจุบัน
อะห์มัดอามีน ในหนังสือฏฮัลอิสลามนี้ ว่านี่แหละคือโรคชนิด๑ในอิลมูกาลาม(วิชาโวหารที่เป็นวิชาที่พูดตามใจต้องการเองคิดเอง) กล่าวคือ เขา(อาชาอีเราะ)เชื่อกุรอ่านและฮาดิษแต่จะยกหลักฐานแปลตามอักลียะห์(ใช้มันสมองของตนเองแปล)
แม้ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ หลักฐานมันชัดเจนก็ตาม เมื่อเขาลืมคำพูดที่กล่าวไว้ของท่านอะห์หมัดอามีนในหนังสือดังกล่าวแล้ว อัลกุรอ่านถูกประทานลงมาสมัยนบีมูฮัมมัดนั้นเหมาะกับวัฒนะธรรมของคนสมัยนั้นเช่นมีคน๑มาถามนบีว่าผู้คน(ก่อนๆ)หาว่านบีอีซาเป็นพระเจ้าและลูกของพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้นกุรอ่านก็ตอบอย่างชัดเจนเคลียร์ปัญหาที่ถามนั้น
إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ
กุรอ่านบอกตรงๆแหละชัดเจนทันใดว่า เหมือนอย่างอีซาในทรรศนะของอัลลอฮแล้วเหมือนอย่างอาดัมที่มาจากดิน เมื่ออัลลอฮบอกว่าจงเป็นก็เป็นดังนั้นอีซาไม่ใช่อัลลอฮและลูกของอัลลอฮ ดังนั้นคำตอบของกุรอ่านจึงตัดปัญหาข้อสงสัย แต่วิชาอิลมูกาลามนั้นรันแต่จะเพิ่มปัญญาหา
เมื่อใดที่คนเข้ามาหานบี พวกนี้เป็นพวกที่ไม่เชื่อเรื่องสิ่งเร้นลับเช่นเรื่องกียามัต เรื่องฟื้นคืนชีพใหม่ อัลลอฮก็ตอบทันทีทันใด
كَمَا بَدَأْنَا أَوَّلَ خَلْقٍ نُعِيدُهُ
http://www.google.com.sa/url?url=http://fatwa.islamweb.net/fatwa/ShowFatwa.php%3FOption%3DFatwaId%26lang%3DA%26Id%3D28266&rct=j&q=&esrc=s&sa=U&ei=dWg6VLXNBeyu7Aaty4HwAQ&ved=0CBQQFjAA&sig2=gHfyknwce9jrAcSs355JXA&usg=AFQjCNGauj2subaBD8B1BobpHwneP6XKOQ
เฉกเช่นที่ฉัน(อัลลอฮ)บังเกิดเจ้าขึ้นมาในตอนนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น ฉันย่อมบังเกิดเจ้ามาขึ้นมาอีกในภายภาคหน้าอีกครั้ง ดังนั้นคำตอบจึงตัดปัญหาข้อสงสัย จะไม่กลายมาเป็นคำถามตามมาอีกภายหลังจนบานปลายถกกันมาอีก ถ้าพวกนั้นสงสัย ก็จะไม่เข้าใจปัญหา อะห์หมัดอามีนกล่าวว่า มีคนหนึ่งชื่อวาลิดบินมุสลิมถามอิหม่ามมาลิก+ถามซูเฟียนอัษเษารี+ถามลัยษ์บินซาอาดถามเรื่องเกี่ยวกับซีฟัดอัลลอฮเป็นเช่นไร เนื่องจากอิลมูกาลามมักจะแต่งเติมขึ้นมาเอง
มีคนมาถามนบีว่า อัลลอฮมีจริงหรือ ?กุรอ่านตอบทันทีว่า
أَفِي اللَّهِ شَكٌّ فَاطِرِ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْض
http://www.alro7.net/ayaq.php?langg=arabic&sourid=14&aya=10
ท่านยังสงสัยอีกหรือ(ว่าอัลลอฮมีหรือไม่มี )แล้วผู้ที่สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินใครกันเล่าที่สร้าง
ชี้แจง= พวกอาชาอีเราะจะตอบแบบไม่กระจ่าง หากมีคนมาถามว่าอัลลอฮมีหรือไม่มี กล่าวคือ อาชาอีเราะจะบอกว่าอัลลอฮวายิบต้องมี มุสตาฮีลที่อัลลอฮไม่มี คือเขาจะไม่ตอบอย่างที่กุรอ่านตอบ นี่แหละอิลมูกาลาม เนื่องจากเขากลัวว่าชาวบ้านไม่เข้าใจ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาได้สร้างกฎศาสนาขึ้นมาใหม่จนใครๆไม่เข้าใจ ทำให้ผู้คนละทิ้งข้อแท้จริงของศาสนามาเป็นสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน นี่แหละเป็นข้อผิดพลาดทางศาสนาที่มีอยู่จนปัจจุบัน กล่าวโดยอะห์หมัดอามีน ว่า แม้แต่ปัจจุบัน(สมัยอะห์หมัดอามีนเขียนหนังสือดังกล่าว)ก็ยังไม่มีราชวงค์ใดหรือผู้ปกครองแว่นแคว้นใดในโลกที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้(แก้ไขอิลมูกาลาม) หนังสือดังกล่าวเขียนว่าอินชาอัลลอฮ ก่อนกียามัตอาจเป็นไปได้ว่าน่าจะแก้ไขวิชานี้ได้ และยังกล่าวอีกด้วยว่าหากจะแก้ได้ความยากของมันก็พอๆกับจะเอาดวงดาวไปไว้ที่ดวงจันท์ ดวงจันท์ไปไว้ที่ดวงดาว หมายถึงโลกย่อมเกิดความวุ่นวาย เนื่องจากอิลมูกาลาม เขายึดว่านี่แหละคือศาสนา นี่แหละคือเตาฮีด อากีดะห์ นี่แหละคืออีหม่าน พอเราบอกว่าวิชานี้ผิดพลาดเขาก็ตอบเราทันทีต่างๆนานา
ทุกครั้งที่อาชาอีเราะเปลี่ยน จะให้ความหมายเป็นอย่างอื่นเพราะกลัวคนจะไม่เข้าใจตามมันสมองของเขานั้นจนไม่ยกหลักฐานซีฟัตคุณลักษณะของอัลลอฮที่มีในอัลกุรอ่านได้ ปัญหานี้เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ได้เขียนหนังสือที่กล่าวมาข้างต้น
อะห์หมัดอามีนยังกล่าวอีกว่า แล้วจะให้ศาสนานี้สง่างามได้อย่างไรในเรื่องอากีดะห์ นอกจากเราต้องหยุด ณ ตรงหลักฐานที่มีในกุรอ่านและฮาดิษ และเราควรพูดในคำที่กุรอ่านและฮาดิษอณุญาติ และควรหหยุดถามเพราะนบีก็หยุด ณ ที่ตรงนั้น โดยไม่ได้อธิบายอะไร คือเชื่อตามนบีบอก ดังนั้นเราก็จะปลอดภัยจากมัญฮัจย์ฟัลซะเฟาะและมูตากัลลีมีน เพราะมัญฮัจย์ดังกล่าวเป็นฮัจย์ที่ใช้สมองคิดเอง
ถ้าหากมีคนถามเราเพราะทำไม เรารับวิชาโวหารไม่ได้ เราขอตอบว่าเป็นวิชาที่มีปัญหา
โดยเฉพาะคนที่ให้คำนิยาม พวกวาฮาบีเป็นพวกที่ไม่เรียนแบบเรียนซีฟัต๒๐นั่นก็คือซีฟัตวายิบของอัลลอฮ๒๐ มุสตาเฮล๒๐ ฮารุส๑ซีฟัตวายิบของนบี๔มุสตาเฮล๔ฮาโรส๑เป็น๕๐เรียกว่ากอวาอีดุลอีมานหรืออากีดาตุลค็อมซีน=อากีดะห์๕๐ โดยพวกอาชาอาชาอีเราะให้นิยามจะรู้ว่าเป็นวาฮาบีคือคนที่ไม่เรียนแบบเรียนซีฟัต๒๐
แถมเขามาแถว่าพอเราไม่เรียนแบบเรียนซีฟัต๒๐แล้วเป็นอันว่าเราไม่เรียนเรื่องซีฟัตของอัลลอฮ(อันนี้เป็นข้อกล่าวหาของอาชาอีเราะ)
ถ้าอย่างนั้นข้อบ่งชี้ว่าเป็นวาฮาบีเพราะไม่เรียนแบบเรียนซีฟัต๒๐แล้ว อิหม่ามชาฟีอีและเหล่าอูลามาะยุคศอฮาบะห์ตาบีอีนตาบีอิตตาบีอีนในช่วง๓๐๐แรกก็เป็นวาฮาบีเช่นกัน เนื่อจากยุคสลาฟ ไม่มีเรียนแบบเรียนซีฟัต๒๐สอนกันในศาสนาและอิหม่ามชาฟีอีเกิดในช่วงที่วิชาแบบเรียนซีฟัต๒๐ยังไม่บังเกิด =อิหม่ามชาฟีอีนี่แหละวาฮาบีตัวพ่อ ซึ่งจะรู้ว่าวิชาแบบเรียนซีฟัต๒๐เกิดเมื่อใด มีบอกไว้หนังสืออัลอีบานะห์หน้า๒บทว่าด้วยใครคืออาบูฮาซันอัลอัซอารี อาบูฮาซันอัลอัซอารีเกิดปีที่๒๖๐หลังฮิจเราะส่วนชาฟีอีเสียชีวิตปี่ที่๒๐๔ฮิจเราะ แสดงว่ายังไม่เจอกัน อิหม่ามมาลีกีอิหม่ามฮานาฟีก็ไม่เจอกันกับอาบูฮาซันอัลอัชอารีแต่จะเจอกับอิหม่ามฮัมบาลีแต่ก็ไม่นานนัก
ประวัตเล็กน้อยคืออาบูฮาซันอยู่มาวันหนึ่ง เข้ามาในเมืองแบกแดด ได้เจอกับปราชน์ฮาดิษชื่ออัลฮาฟิษซาการียาบินยะห์ยาได้ฟังฟิกฮาดิษจนกลับนึกคิดสิ่งที่เขาร่ำเรียนมากับครูคนสำคัญชื่ออาบูอาลีอัจย์ญูบาอีซึ่งเป็นปราชน์ใหญ่สังกัตมุตาซีละห์ เป็นพ่อเลี้ยงของอาบูฮาซันเอง(สามาใหม่ของแม่อาบูฮาซัน)หมายถึงอาบูฮาซันร่ำเรียนมากับพ่อเลี้ยงของเขาเอง
ในขณะที่อาบูซันร่ำเรียนจนลึกเข้าไปๆนั้น มีอยู่คำถามจำนวนหนึ่งที่อาบูฮาซันครุ่นคิดถามแล้วพ่อเลี้ยงเขา พ่อเลียงก็ตอบไม่ได้ มีอยู่หลายคืนที่อาบูฮาซันคิดไม่ตก แล้วจึงไปละหมาด ขอต่ออัลลอฮโปรดช่วยเขาให้เจอกับความกระจ่าง หลังจาเขาละหมาดและนอนในขณะนั้น อาบูฮาซันก็ได้ฝันเห็นนบี โดยนบีกล่าวคำเดียวว่าจงยึดมั่นซุนนะของฉัน (ขอเสริมในฝันของเขามาว่านบีไม่ได้พูดให้รับผ้าเขียวแล้วจุ่มในน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาทำน้ำมนต์แจัจ่ายให้ชาวบ้าน) เมื่ออาบูฮาซันตื่นนอนจากนั้น จึงตรึงตราว่าวิชาดังกล่าวเป็นวิทโวหารคือใช้สำนวนในการแปลวิชาดังนี้ทิ้งออกไปจากสมองของเขา และพูดว่าอากีดะห์แบบนี้มีปัญหาในตัวมัน
ทำให้อาบูฮาซันต้องทำการเรียนเสียใหม่ตามแบบอย่างซุนนะห์เช่นไปฟังคำสอนของอิหม่ามอะห์หมัด +ดูหนังสือฟิกอักบัรของอาบูฮานีฟะห์เป็นเรื่องอากีดะห์ ขณะเขาร่ำเรียนอยู่นี้ได้เจออิบนูกุลลาบ อิหม่ามอสห์หมัดบอกว่าในรื่องอากีดะห์คนที่ชื่ออิบนูกุลลาบเป็นคนที่ชั่วช้าที่สุด เพราะเป็นอสรพิษปั่นปวนให้ชาวซุนนะห์ โดยอิหม่ามอะห์หมัดสั่งไม่ให้ไปเรียนกับมัน และบอกว่าหากใครที่ไปเรียนกับอิบนูกุลลาบก็อย่าได้มาร่ำเรียนกับฉัน(อิหม่ามอะห์หมัดโกรธ)เพราะคนนี้แหละที่ให้ข้อจำกัตซีฟัตของอกลลอฮมี๒๐ทีคิลาฟกับอาบูมันโศรอัลมาตูรีดีที่บอก๑๓ซีฟัต ซึงดูๆแล้วเป็นวิชาที่ค้างคาใจ จนเขาเขียนกีต๊าปขึ้นมาว่าอัลอีบานะห์อัลอูโศลอัดดยานะห์ นี่แหละคืออากีดะห์สุดท้ายของอิหม่ามอัชอารี โดยหนังสือนั้นบอกว่าเขาได้ละทิ้งอากีดะซีฟัต๒๐เหมือนกับที่เขาทิ้งเสื้อที่เขาสวมใส่อยู่ อาบูฮาซันได้ละทิ้งแต่คนบ้านเรากลับนำมาใช้ จึงเรียกว่าพวกอาชาอิเราะห์
เขาเรียกพวกเขาเองว่าอัชชะรี(อาชาอีเราะห์)จนถึงตายพวกลูกศิษอาชาอีเราะก็ไม่ยอมรับหนังสือของเขาเองทั้งๆที่อิหม่ามอัดดะห์บีและอิบนูกาษิรและบัยฮากี+อิหม่ามอิบนูตัยมียะห์+อิหม่ามนาวาวีก็ยืนยันว่าอัลอีบานะห์เป็นหนังสือยุคสุดท้ายของอาบูฮาซันอัลอัชอารี แต่พวกอาชาอีเราะปฏิเสฐเพราะค้านกับคำสอนของแบบเรียนซีฟัต๒๐ แหละการตั้งชื่อแบบเรียนซีฟัต๒๐ก็ไม่ถูกต้องเสียแล้วเพราะผู้ที่บ่งบอกลักษณะของพระองค์คืออัลลอฮเท่านั้น เราไม่บังควรที่จะบอกลักษณะของพระองค์โดยความคิดของเราเอง กล่าวคือในเรื่องอากีดะห์ จะไม่มีลักษณะเริ่มต้นด้วยซีฟัตวูญุด เมื่อกุรอ่านลงมา เราจะไม่เชี่อหรอกหรือ? ใครหรือที่ทำให้น้ำฝนหยดลงมา แต่เขา(อาชาอีเราะห์)จะสอนว่าอัลลอฮต้องมี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มี แต่กุรอ่านจะไม่มาในแนวแบบนี้เช่นบอกว่าวูญุดคือซีฟัตของอัลลอฮ เพราะรู้อยู่แล้วว่าอัลลอฮก็ต้องมี แล้วก็กีดำเป็นซีฟัตของอัลลอฮลำดับที่สองจนสุดที่๒๐แล้วหยุดแล้วตั้งชื่อซีฟัตตรงกันข้ามกับซีฟัตอัลลอฮ ทั้้งหมดทั้งมวลนี้ใช้และไตร่ตรองตามมันสมองของตนเอง(อักลียะห์มันติกหรืออิลมูกาลาม)ดังนั้นเราไม่ควรรับวิชานี้เรียน
อิบนก็อยยิมกล่าวว่าหากใครที่บอกว่าอัลลอฮมีศีฟัตกีดำ จงรู้ไว้เถิดกีดำไม่ใช่ศีฟัตของอัลลอฮในจำนวน๒๐ศีฟัต เพียงแต่บอกให้รู้ว่าอัลลอฮทรงมีมาก่อนที่จะมีสิ่งใดๆแค่นั้นเอง(มีบอกไว้ในอากีดะห์อัตตอฮาวียะห์ของอิหม่ามตอฮาวีในขณะนั้นที่อยากให้คนได้รับรู้ว่ากีดำนั้นไม่ใช่ศีฟัตแรกๆเพียงแต่ใช้ให้คนได้รับรู้ว่ากีดำไม่ใช่ศีฟัตของอัลลอฮ)แต่ในแบบเรียนศีฟัต๒๐ กีดำอยู่ลำดับที่๒ ของอัลลอฮซึ่งเป็นข้อผิดพลาดมากๆสิ่งหนึ่ง นี่แหละเป็นแนวทางอักลียะห์(ใช้ปัญญาคิดเองเหมือนฟัลศะเฟาะยูนนานหรือชาวตะวันตก)
ส่วนซุนนะเราชี้ชัดว่า คำที่คนเรียกว่าวาฮาบีนั้น อิหม่ามชาฟีอีก็อยู่หนึ่งในนั้นด้วย โดยที่ไม่เรียนศีฟัต๒๐เลยและไม่ตัซเบียห์(เปรียบเทียบ)และไม่ตะวีล(เปลี่ยนแปลงความหมาย)
ในสมัยชาฟีอี ไม่เคยได้ยินเรื่องศีฟัต๒๐แถมเขาแถมาว่าหากใครไม่เรียนศีฟัต๒๐ ละหมาดของเขานั้นไม่เสาะ(โมฆะ) เวลาละหมาดเขาบอกให้นึกถึงศีฟัตวูยุดกีดำบากอ มูคอลาเฟาะ แต่กุรอ่านบอกว่า วาลัมยากุลลาฮูกูฟูวันนอาฮัด เอาศีฟัต๒๐ใส่ชื่อเป็นของอัลลอฮ (มูคาลาเฟาะลิลฮาวาดิษ)โดยที่ไม่ใช้อย่างที่กุรอ่านบอก โดยกุรอ่านบอกว่าลัยษากามิษลีฮืชัยโอน อัลลอฮบอกเองว่าไม่เหมือนสิ่งใดๆ แต่วิชาแบบเรียนศีฟาต๒๐จะไม่ใช้อายัตที่ว่านี้
แต่จะใช้มูคอลาฟาตูฮูลิลฮาวาดิษซึ่งเป็นข้อผิดพลาด พอมาดูรายละเอียดศีฟาตอื่นๆในจำนวน๒๐ก็มีข้อผิดพลาดเช่นกันโดยจะมีการเปรียบเทียบญีเซ็มอารัต เญาฮัร ญาวาเฮร อีกก็เป็นปัญหาเช่นกันโดยเขาจะสอนว่าจงจำไว้อัลลอฮไม่มีญีเซ็มรูปร่าง อัลลอฮอยู่ทุกแห่ง(ขอเติมมาว่า อ้าวแล้วในส้วมละ อัลลอฮอยู่ได้หรอ)แล้วเขาแถอีกว่าหากอัลลอฮไม่อยู่ทุกหนทุกแห่งแล้วจะไม่ใช่อัลลอฮ ส่วนที่เราอยู่รอบตัวเรานี้เรียกว่าสิ่งที่ถูกสร้าง นี่แหละเป็นแบบเรียนที่แปลก อยู่นอกกฏเกณฑ์
อิบนูตัยมียะห์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่แปลกที่รับแนวคิดแบบฟัลศะเฟาะห์เป็นพวกที่สมองไม่สมประกอบมารับว่าเป็นอากีดะห์
ในอันนักดุลมันตีกี หนังสือของอิบนูตัยมียะห์กล่าวถึงอายัตอยู่ตอนหนึ่ง
وَأَنَّ هَذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيمًا فَاتَّبِعُوهُ وَلا تَتَّبِعُوا السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَنْ سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُمْ بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ. [الأنعام:153]
http://library.islamweb.net/newlibrary/display_book.php?idfrom=480&idto=480&bk_no=49&ID=488
อายัตนี้กล่าวซ้ำโดยลูกศิษ คืออิบนูก็อยยิมอัลเญาซียะห์ ความว่าแด่คนที่ไตร่ตรอง วันที่จะพบกับอัลลอฮ เขาจะต้องคิดถึงอายัตนี้ เพราะขณะเรามีชีวิตอยู่ ชาวอาชาอิเราะก็ขานรับบอกนี่แหละเป็นแนวทางของฉัน แนวทางที่ถูกต้องเพราะช่วงที่อาชาอิเราะมีชีวิตอยู่นั้นย่อมมีอีบาดัต รากฐานการดำเนินชีวิต กุรอ่านกล่าวว่าจงเอาแนวทางนี้ อย่าเอาแนวทางอื่น อิบนูตัยมียะห์กล่าวว่าแด่คนที่จิตสำนึกที่ดีจะครุ่นคิด ใครหรือที่เอาแนวทางอื่น หากเรามองดูพวกอื่นๆเช่นดูพวกชีอะห์ ญะห์มียะห์ ซูฟี พวกนี่แหละที่ออกนอกแนวทางคำสอนของอัลลอฮ แต่คนเหล่านี้ต่างก็อ้างว่ามาถูกทาง แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญ พวกที่กล่าวมานี้ไม่ได้ตามความเชื่อของบรรดาศอฮาบะห์ ทั้งๆที่กุรอ่านได้บอกไว้นี่แหละทางที่ถูกต้อง หมายถึงแนวทางที่นบีสอนให้กับศอฮาบะห์ พวกที่ว่าดังกล่าวนี้(อาชาอิเราะห์ ชีอะห์ ซูฟี ตารีกัต ญะห์มียะห์ มุตาซีละห์ฯลฯ) ไม่มีเลยที่อยู่ตามแบบฉบับมัญฮัจย์ของบรรดาศอฮาบะห์ ดังนั้นคนที่สำนึกได้อยากจะเจอกับพระองค์ เขาจะค้านกับแนวทางที่หลงที่เขายึดถือมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ความเชื่อ จนถึงกริยามารยาท
ดังนั้นคือแนวทางศีฟัต๒๐ ไม่ใช่แนวทางอะห์ลิซซุนนะห์ แต่มันมีต้นกำเหนิดมาจากฟัลศะเฟาะ+ อิลมูกาลาม +มุตาซีละห์+ญะห์มียะห์ จนมีปราชน์บางคนที่เป็นพวกนี้ได้ละทิ้งความเชื่อที่เป็นขยะดังกล่าว กลับมาหวนกลับตามเแนวทางของศอฮาบะห์ แนวทางของศอฮาบะห์นี้แหละที่จะปกป้องเรา
คนเขียนกีต๊าปดังกล่าวได้กล่าวถึงคำพูดของอิหม่ามชาฟีอีในฟัฏหุลบารีเล่มที่๑๓ว่า อัลลอฮนั้นได้ขานชื่อของพระองค์เองด้วยคุณลักษณะของอัลลอฮเอง ใครที่ค้านกับหลักฐานที่มีอยู่(กุรอ่านและฮาดิษ )แสดงว่าเขา(อาชาอิเราะและพวกที่หลงทาง)เป็นกาเฟร ชี้แจง= ในเมื่อเราทักชัดเจนแล้วว่าซุนนะเป็นเช่นไรและเขาไม่ยอมที่จะใช้และเชื่อศีฟัตของอัลลอฮ อิหม่ามชาฟีอีกล่าวว่า เขาได้ทำการกูโฟรต่ออัลลอฮนั่นก็คือรูก่นอีหม่าน เพราะศีฟัตของอัลลอฮที่มีบอกในกุรอ่านและฮาดิษเราเรียกว่าเป็นสิ่งที่เตาฟีกียะห์เนื่องจากอัลลอฮและรอซูลเท่านั้นที่บอก
เพราะนี่ไม่ใช่การเมืองยกตัวอย่าง กฎของประเทศมี๕ พอเรามาเลือกผู้แทนจะทำกฏหมายให้เหลือแค่๔เป็นต้น ถามว่าเราเป็นใครที่จะเขียนกฏหมายเอง ?ไอ้ที่ไปรวบรวมศีฟัตของอัลลอฮมาไว้ตรงนี้ แปลแบบนั้นแบบนี้ ให้ศีฟาตแก่อัลลอฮเพิ่ม นั่นมันเสมือนกับเป็นการงานของคริสเตียนเช่นไปบอกว่าอีซาเป็นใคร....เป็นลูกของพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้าเสียเอง(เป็นการตะวีลว่าอัลลอฮมีคุณลักษณะจุติลงร่างมนุษย์)ไปบอกว่ามัรยัมเป็นเมียเป็นต้น นี่มันสันดานคริสต์ แต่อาชาอิเราะไปเปลี่ยนเช่นมือ ไม่ใช่มือของอัลลอฮแต่แปลตะวีลอธิบายเป็นอย่างอื่น ซึ่งอูลามาะซุนนะจริงๆตอบว่า
أمروها كما جاءت بلا كيف
http://www.ahlalhdeeth.com/vb/forum/منتدى-عقيدة-أهل-السنة-والجماعة/191166-معنى-قول-السلف-أمروها-كما-جاءت
จงยินยอมอย่างที่อัลลอฮได้ตรัสเอาไว้ อย่าได้ถามว่าเป็นเช่นไร เพราะภาษากุรอ่านมันเข้าใจง่ายแต่อัลลอฮเป็นเช่นไร เรามิอาจรู้ได้(เพราะนบีก็หยุด ณตรงนั้น ไม่ได้อธิบายว่าเป็นเช่นรัย) นี่แหละเป็นแนวทางอะห์ลิสซุนนะห์ ส่วนก่อนหน้านี้หากเราได้มีความเชื่อที่ผิด ก็จะได้รับอภัยจากการที่ญาเฮล ไม่รู้ความจริงเช่นตายในขณะไม่รู้ความจริงว่าซุนนะห์กันจริงๆเป็นเช่นรัยตัวอย่างเขาตายไปด้วยความเชื่อที่ว่ากีดำเป็นคุณลักษณะของอัลลอฮ ไปมีความเชื่อเกานูฮูกอดีร็อน เกานูฮูมูรีดันคุณลักษณะ ..............ตะโละ...... สูลูฮีกอดิม ....สูลูฮีฮาดิษ ไปเชื่อแบบนั้น ไปตะโละต่างๆแล้วตายไป คนเขียนกีต๊าปดังกล่าว กล่าวหากใครที่ตายไปโดยเรียนวิชาที่ไม่ใช่ซุนนะหรือว่าญาเฮลอาจเป็นไปได้ที่จะได้รับอภัย สงสารนะ คนที่เรียนที่อ่านและฟังอยู่บ่อยๆว่าอัลลอฮมีศีฟัตรูบูบียะห์แล้วถ้าเป็นทีวีจานดำขณะนี้(คศ.๒๐๑๔)จะปิดโทรทัศน์หรือเปลี่ยนช่องไปเลย เเล้วก็จะเปิดที่วีที่มีการสอนวูญุดตรงกันข้ามกับไมดวูญุดอ้าาาานี่แหละถึงจะถูกทาง เขาจะกรั่นกรองกั่นกรองไม่ดูไม่ฟังของคนอื่น แถมมีอุสตะของเขาเตือนอยู่เนืองๆ ว่าหากไปเรียนเด๋วโดนๆ โตะครูเขาจะสอนว่าถ้าเอ็งไปเรียนว่าอัลลอฮมีมือ นั่นมันความเชื่อของฮินดูพุทธ เอ็งรู้หรือเปล่า?
http://www.thailandsworld.com/th/angkor/angkor-wat/index.cfm
เพราะไปบอกอัลลอฮมีมือแสดงว่าอัลลอฮเหมือนมัคลูคละสิ?(ดูอาชาอเราะห์มันกลัว) อาชาอิเราะขู่อีกว่า"เอ็งลองละหมาดแล้วนึกภาพอัลลอฮมีมือดูสิ จะคิดยังงัย"
อิหม่ามชาฟีอีกล่าวว่า อัลลอฮอาจจะให้อภัยหากคนนั้นไม่รู้ความจริง ดังนั้นเราควรเชื่อคุณลักษณะอัลลอฮในกุรอ่านฮาดิษและไม่ควรเปรียบเทียบเหมือนมัคลูค ลัยษากามิษลีฮีชัยอ. เนื่องจากแบบเรียนซีฟัต๒๐ไม่มีสอนในสมัยนบีและศอฮาบะห์ แหละการตั้งชื่อแบบเรียนซีฟัต๒๐ก็จุดบกพร่องในตัวมันเองเพราะไม่ตรงกับกุรอ่านและฮาดิษ
เมื่อพูดถึง
إن الله واحد لا شريك له.
อัลลอฮมีองค์เดียวโดยไม่มีสิ่งที่เหนือกว่าพระองค์
แต่คนบ้านเรา โตะครูที่เรียนแบบเรียนซีฟัต๒๐ถึงขั้น






















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น