อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮมาตุลลอฮิวาบารอกาตุ

ครับ...มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาชีวิต แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องได้พบกับความตาย ถึงแม้เขาจะทำอะไรเก็บไว้มากมาย แต่เมื่อความตายมาถึงมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้เตรียมตัว มนุษย์มักมีเป้าหมายที่จะสร้างความสำเร็จและความรุ่งเรืองขึ้นบนโลก แต่ความตายก็มาทำลายภาพลวงแห่งสำเร็จที่เขาได้วาดหวังไว้ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงสอนเขาว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยก่อนตาย

เราจะต้องเรียนรู้ความจริงจากความตาย เพราะความลับของชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น ความตายแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่ใช่นายของตัวเอง เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้นโลกนี้มิใช่สถานที่สำหรับการทำให้ความฝันของเราเป็นจริง ความตายสอนให้เรารู้ว่าเราควรจะมีชีวิตอย่างไรมันบอกให้เรารู้ถึงหนทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงต่างหาก...!!!

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อิสลามไม่มีวันฮาโลวีน



เห็นภาพการร่วมของมุสลิมบางคนแต่งตัวที่จินตนาการว่าเป็นผี เนื่องในวันฮาโลวีน ซึ่งเป็นเทศกาลของพวกศาสนาคริสต์ แล้วรู้สึกหดหู่เศร้าใจยิ่งนัก ทั้งที่อิสลามไม่มีหลักความเชื่อเรื่องผีๆ หรือดวงวิญญาณของผู้ตายที่มาปะปนกับชีวติความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เลย

 วันฮาโลวีน ( Halloween)กร่อนเสียงจาก "ออลแฮโลอีฟนิง" หมายถึง "เย็นนักบุญทั้งหลาย" เป็นเทศกาลประจำปีเฉลิมฉลองในหลายประเทศทุกวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายของศาสนาคริสต์ตะวันตก เป็นวันสมโภชที่ศาสนาคริสต์รับมาซึ่งเดิมได้รับอิทธิพลจากเทศกาลเก็บเกี่ยวของเคลต์ โดยอาจมีเหง้าเพเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซาวิน (Samhain) ของชาวเกล (Gaels) ฮาโลวีนกำเนิดขึ้นแยกกับซาวินและมีเหง้าศาสนาคริสต์อย่างเดียว

กิจกรรมฮาโลวีนตรงแบบมีทริกออร์ทรีต (trick-or-treating) ร่วมงานเลี้ยงเครื่องแต่งกาย ประดับตกแต่ง แกะสลักฟักทองเป็นแจ็กโอแลนเทิร์น (jack-o'-lantern) จุดคบเพลิง ไปบ้านผีสิงที่จัดขึ้น เล่นตลก เล่าเรื่องสยองขวัญและดูภาพยนตร์สยองขวัญ พวกเขา นิยมแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจและพาเพื่อนฝูงไปงานเลี้ยงฉลองกัน โดยในวันฮาโลวีนนั้น จะมีการประดับแสงไฟ ต่างๆ ให้คล้ายกับเมืองภูตผีปีศาจ โดยสัญลักษณะของวันฮาโลวีน คือ โคมไฟฟักทองแกะสลัก

 วันฮาโลวีน หรือวันปล่อยผี มีความเชื่อว่าพวกเขาได้อยู่บนสวรรค์ และพวกที่ยังต้องชดใช้โทษบาปในไฟชำระ รากความเชื่อแท้จริงของคาทอลิกอันเกี่ยวกับความตาย, นักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณในไฟชำระอันเป็นความเชื่อสำคัญอันหนึ่งของพวกเขา

ไม่เห็น คนกาเฟร สักคนมาร่วมงานปีใหม่ของอิสลามที่ผ่านพ้น
หรือแม้กระทั่ง วันอีัด วันรื่นเริงของอิสลามก็ตาม ทั่งที่ไม่มีข้อห้ามสำหรับพวกเขา
แต่เห็นแต่ มุสลิมนี่แหละ มักจะร่วมงานปีใหม่ของกาเฟรที่จะถึง
และแม้กระทั่ง ปีใหม่ของเทพเจ้าแห่งความตาย (ฮาโลวีน) 31 ตุลา ที่ผ่านมา ทั้งที่มันเป็นข้อห้ามสำหรับมุสลิม


ซุบฮานัลลอฮ

เป็นถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
อยากฝากให้พี่น้องช่วยกันเตือนๆและนำเสนอๆกันหน่อย

ไม่ใช่แค่มาตำหนิพี่น้องที่เอามาโพส มาบอกกล่าวว่า
ประจานเขาทำไม ก็ไปเตือนเขาซิ ศาสนาคือการตักเตือนเขาไม่ใช่หรอ
เอิ่มมม!! เพราะเรามัวแต่โลกสวยกับข้อแนะนำดีดี แต่งอมือ งอเท้าอะไรนีั้ซิ
เราถึงเห็นสังคม วิบัติ ขึ้นทุกวัน... อัลลอฮุอักบัร

เราหวังว่า พี่น้องที่อยู่ในรูป คงจะเตาบัตตัว และทำสิ่งเหล่านี้ ครั้งสุดท้ายในชีวิตนะครับ อินชาอัลลอฮ
ปล..ไม่ว่าจะเป็นเพราะกิจกรรมในโรงเรียนที่ครูสอน แต่นี้ คือการจัดกิจกรรมเลียนแบบที่เป็นความเชื่อของเขา

และอย่าไปอ้างว่า ทุกสิ่งอยู๋ที่เจตนา เพราะเจตนา ก็ต้องอยู่ที่การกระทำว่าอิสลามห้ามหรือไม่ด้วย ไม่ใช่แค่อ้างว่า หนูไม่คิดอะไร หนูแต่งตัวเท่านั้น

งั้นหนูก็ใส่ ชุดแม่ชี ชุดจีวรพระได้ซิ ...

อัลลอฮฺทรงตรัสในอัลกุรอานว่า ความว่า...."ละกุม ดีนุกุม วะ-ลิยะดีน"
สำหรับพวกท่านคือศาสนาของพวกท่าน
และสำหรับฉันคือศาสนาของฉัน.*(อัลกาฟิรูน:6)
...
*สิ่งที่ได้รับจากซูเราะฮฺนี้
1. เป็นการจำแนกระหว่างพวกศรัทธากับพวกปฏิเสธการศรัทธา
และพวกมุชริกีนอย่างชัดเจน คือการศรัทธาและการปฏิบัติที่แตกต่างกัน
2. ห้ามมิให้มุสลิมนำการปฏิบัติของศาสนิกอื่นมาปฏิบัติหรือเข้าร่วมอย่างเด็ดขาด
3.ผู้ใดนำการปฏิบัติของศาสนิกอื่นมาปฏิบัติหรือเข้าร่วมถือว่าเขาเป็นกาเฟร (ผู้ปฏิเสธ )

ท่านรอซูลฯกล่าวว่า ความว่า...
" บุคคลใดที่เลียนแบบชนกลุ่มหนึ่ง
เขาก็เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นด้วย "
(บันทึกโดยอบูดาวูด)

“ แน่นอนพวกเจ้าจะปฏิบัติตามกลุ่มชนที่มาก่อนพวกเจ้า คืบเป็นคืบ ศอกเป็นศอก ถึงแม้พวกเขาจะเข้ารูแย้ แน่นอนพวกเจ้าก็จะเข้าตามไป”
พวกเขา(บรรดาศอฮาบะฮ์ )ได้ถามว่า : ชาวยิวและชาวนาซอรอ (คริสต์)ใช่ไหม?
ท่านนะบีได้กล่าวว่า : จะมีใครอีกหรือ?
(บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม)









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น